ความโมโหในอกของลู่หมิงแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้วนี่เขาไปรับตัวมารผจญอะไรกลับมาเนี่ย!ท่าทางแบบนี้จะใช้ใจแลกใจ ใช้เหตุผลแลกเหตุผลได้อย่างไร? เหตุผลก็บ้าแล้ว!ลู่หมิงกระทืบเท้า“ข้าคือพ่อเจ้า และเจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าจะแต่งงานกับจิ้นอ๋องไม่ได้!”ก่อนหน้านี้เขาหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ตอนนี้คิดได้แล้ว ว่าเขาจะต้องยืนหยัดยืนอยู่ข้างองค์ชายรองกับฮ่องเต้ และไม่สามารถเข้าข้างจิ้นอ๋องได้!อีกอย่าง ลู่เจาหลิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเป็นคนที่รับมือได้ยาก และยากจะควบคุม หากได้รับผลประโยชน์อันใดจริง ๆ นางจะต้องไม่คำนึงถึงตระกูลลู่อย่างแน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาก็ไม่สามารถให้ลู่เจาหลิงปีนต้นไม้ใหญ่ และหลีกหนีจากการควบคุมได้เช่นกัน“ลู่เจาอวิ๋นกับองค์ชายรองกำหนดวันแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ?” ทันใดนั้นลู่เจาหลิงก็เอ่ยถามลู่หมิงตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว “ยัง...”“เช่นนั้นพวกท่านสามารถไตร่ตรองให้นางยกเลิกงานแต่งได้เลย เพราะถึงอย่างไรข้าก็รับพระราชโองการมาแล้ว”เมื่อนางเอ่ยคำพูดนี้ก็ทำท่าให้ชิงอินและชิงหลิงมาพยุงนางให้ลูกขึ้นนางอยากจะกลับไปพักผ่อนแล้ว นางปวดหั
ลู่เจาหลิงนอนหลับจนถึงตะวันโด่งฟ้าเมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็มีห่อผ้าชิ้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะแล้วอาจจะรู้สึกว่ามันสกปรก ด้านล่างจึงปูด้วยผ้าผืนหนึ่งไว้ก่อนด้วยนางรู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย และนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงจะคิดขึ้นมาได้ ว่านี้คือห่อผ้าที่ ‘นาง’ พกกลับมาจากบ้านนอกเมื่อตระกูลลู่ส่งคนไปรับที่นอกเมือง ลู่ผู้น่าสงสารจึงเก็บข้าวของได้เพียงห่อผ้าชิ้นเดียว แถมยังต้องปิดบังคนในตระกูลลู่จากนอกเมืองพวกนั้นและซ่อนมันไว้อีกแต่ตอนที่กลับมายังเมืองหลวงและเจอโจรปล้น ห่อผ้านี้ก็หายไปแล้ว“คุณหนู ห่อผ้านี้ท่านอ๋องเป็นคนให้ข้านำกลับมาเจ้าค่ะ” ชิงอินเอ่ยลู่เจาหลิงประหลาดใจ “เขาถึงกับยังมีเวลาว่างไปช่วยข้าเก็บห่อผ้าอย่างนั้นหรือ?”อีกอย่าง หาเจอได้อย่างไรกัน? เพราะแม้แต่นางเองยังคิดไม่ออกเลยว่าห่อผ้านี้หายไปอยู่ที่ใดทว่าเมื่อวานนางคิดไว้แล้ว ว่ารอให้ร่างกายดีขึ้นอีกสักหนึ่งค่อยคำนวณหาตำแหน่งของห่อผ้านั้น แต่ตอนนี้กลับไม่ต้องเสียแรงทำเรื่องนั้นแล้ว“ท่านอ๋องบอกว่า ห่อผ้านี้ถูกนำกลับมาจากเส้นทางในภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนักเจ้าค่ะ” ชิงอินเอ่ยลู่เจาหลิงลุกขึ้นยืนและเดินมาที่โต๊ะ พลางแก
พวกนางไม่วางใจยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่หลังจากนี้ลู่เจาหลิงแต่งงานกับท่านอ๋อง พวกนางก็ยังสามารถติดตามนางไปที่จวนจิ้นอ๋องได้ทั้งสองคนนำสัญญาทาสที่รับกลับมา ส่งมันให้กับมือของลู่เจาหลิงลู่เจาหลิงมองไปที่ใบหน้าที่แตกต่างไปจากเมื่อวานอย่างชัดเจนของพวกนาง พลางยิ้มน้อย ๆ ออกมาแล้วเก็บสัญญาทาสเอาไว้“เช่นนั้นนับจากนี้ พวกเจ้าก็มาติดตามข้าเถิด”นับตั้งแต่ที่พวกนางตัดสินใจจะติดตามนางด้วยความสมัครใจ ไอมรณะที่อยู่บนใบหน้าของพวกนางก็พลันมลายไปจนสิ้นลู่เจาหลิงไม่ได้บอกพวกนาง ว่าหากยังอยู่ที่จวนจิ้นอ๋อง ไม่เกินครึ่งเดือนพวกนางทั้งสองคนจะตายตกตามกันในใจของชิงอินและชิงหลิงรู้สึกโล่งอกที่จริงพวกนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในชั่วขณะที่ส่งสัญญาทาสของตนเองให้ไปนั้น พวกนางรู้สึกโล่งใจไปพร้อมกันราวกับฝุ่นผงได้ถูกสะบัดออกไปอย่างไรอย่างนั้นลู่เจาหลิงสำทับกับชิงหลิงว่า “เจ้าต้องเปลี่ยนชื่อ ตัวอักษรหลิงนี้ ขัดแย้งกับดวงชะตาของเจ้า”ชิงหลิงตกตะลึงไปชั่วครู่เรื่องที่พวกนางเลือกลู่เจาหลิงโดยสมัครใจนั้น นางรู้สึกพึงใจอยู่บางส่วน ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะพูดกับให้นางมากขึ้น“เจ้ามักจะป่วยหนักทุก ๆ ส
ลู่เจาหลิงมองเห็นถุงผ้าไม่กี่ใบนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่คือของขวัญที่ลู่น้อยผู้น่าสงสารเตรียมไว้ให้กับคนตระกูลลู่ที่จริงแล้วลู่น้อยที่น่าสงสารรู้ตัวเองดีว่า เมื่อกลับมาตระกูลลู่ในเมืองหลวงแล้ว ตนเองจะไม่เป็นที่ต้อนรับ และนางก็รู้ด้วยว่าที่ตนเองถูกทิ้งให้อยู่ในชนบทนับสิบปีนั้นมีเบื้องหลัง ทว่าลำพังเพียงแค่นางผู้เดียวนั้นไร้พลัง ทำได้เพียงคบค้ากับพวกเขาไปก่อนชั่วคราวเท่านั้นรอกระทั่งมีจุดยืนที่มั่นคงในเมืองหลวง ค่อยสืบเรื่องในตอนนั้นให้กระจ่างดังนั้นนางจึงเตรียมของขวัญให้กับบรรดาคนของตระกูลลู่แต่ว่าเดิมทีตอนที่นางอยู่ในชนบท ก็ถูกปฏิบัติเหมือนวัวเหมือนม้า ทนทุกข์ทรมาน ย่อมเตรียมของขวัญดี ๆ อันใดไม่ได้อยู่แล้วถุงผ้าใบน้อยเย็บมาจากเศษผ้าที่นางเก็บสะสมไว้เป็นเวลานาน ด้านในใส่ดอกไม้ผ้าที่นางทำเองกับมือ นอกจากนี้ ยังมีอยู่สามใบที่ใส่ก้อนหินสองสามก้อนเอาไว้ด้วยนางเก็บมันมาจากแม่น้ำโฮ่วซาน เป็นก้อนหินที่งดงามยิ่งนัก อยากจะมอบให้กับนายน้อยทั้งสามคนแห่งตระกูลลู่ทว่าตอนนี้สิ่งของมาอยู่ในมือของลู่เจาหลิงแล้ว ย่อมไม่อาจส่งออกไปได้อีก พวกเขาไม่คู่ควรได้รับน้ำใจเหล่านี้ลู่เจาหลิงนำก้อนหิ
ชิงเป่าทำเป็นจริง ๆ ด้วย“บ่าวจะเอาก้อนหินไปเจาะรูเจ้าค่ะ”ถ้าไม่เจาะรูก็ไม่มีทางร้อยเชือกได้สินะ ทว่าก้อนหินทั้งสองก้อนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก ราวกับหยกอย่างไรอย่างนั้นลู่เจาหลิงหยิบปิ่นที่อยู่บนผมของชิงเป่าลงมา จากนั้นก็ใช้ปลายปิ่นแทงไปที่ก้อนหินกึกมือข้างหนึ่งจับข้างหนึ่งแทงเจาะรูทะลุหินชิงเป่ากับชิงอินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจไม่นะ เหมือนว่าคุณหนูจะไม่มีวรยุทธ์มิใช่หรือ? ฝีมือเช่นนี้พวกนางสองคนไม่มีวันทำได้!“บ่าวจะไปถักเชือกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ชิงเป่ารีบไปหาเชือกหลากสีลู่เจาหลิงฝืนล้างหน้าสีฟันแก้ขัดไปก่อน แล้วเหลือบมองไปที่หมั่นโถว“คุณหนู หรือไม่ให้ข้าน้อยไปบอกนายท่านสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ” ชิงอินกล่าว นายท่านจะต้องออกหน้าแทนคุณหนูเป็นแน่ลู่เจาหลิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พยุงข้าเดินที ข้าจะไปเก็บเงิน ”เก็บเงิน?ชิงอินไม่เข้าใจทว่าก็ยังเชื่อฟัง พลางพยุงลู่เจาหลิงออกจากประตูห้องไปลู่ที่น่าสงสารไม่มีแม้แต่เงินสักแดงติดตัว และนางก็ไม่สามารถให้จิ้นอ๋องออกหน้าแทนนางทุกเรื่องได้ ตอนนี้ยังมีบาดแผลอยู่ที่ศีรษะ ร่างกายและจิตใจไม่มั่นคง นางจะไม่สู้กับลู่ฮูหยินเป็นการชั่วค
กล่องขนาดเท่าฝ่ามือใบนี้ใบเดียว สามารถมารถแลกเป็นเงินได้หลายตำลึงตอนนี้ชิงอินเริ่มเข้าใจนิสัยของลู่เจาหลิงขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว จึงได้หยิบมีดเล่มเล็กที่ติดตัวนางออกมาแล้วงัดอยู่ชั่วครู่ กล่องเล็กใบนั่นก็เปิดออกด้านในมีป้ายหยกวางอยู่ “โอ้โห”ลู่เจาหลิงหยิบป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นมาไว้ในมืออย่างอ่อนโยน หยกมีความประณีต แกะสลักด้วยด้วยอักษรคำว่าโชค เป็นหยกชั้นดีชิ้นหนึ่งชิงอินก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ชิ่งหมัวมัวต้องการสั่งสอนพวกนางให้กลายเป็นคนที่อยู่ข้างกายของจิ้นอ๋อง ย่อมต้องเปิดหูเปิดตาของพวกนางให้กว้างไกลเป็นธรรมดานางมองไปที่ป้ายหยก พลางกล่าวกับลู่เจาหลิงว่า “คุณหนู ป้ายหยกชิ้นนี้ก็เป็นสินค้าที่หอหมิงเป่าทำขึ้นมาเช่นกันเจ้าค่ะ หยกขาวที่แกะสลักด้วยตัวอักษรคำว่าโชค เป็นที่นิยมในหมู่ฮูหยินช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักจะซื้อเป็นของขวัญให้กับคนรุ่นหลัง โดยหวังว่าคนรุ่นหลังจะสุขภาพแข็งแรงและมีโชคลาภ”แต่ว่า เหตุใดป้ายหยกชิ้นนี้ถึงมาวางอยู่ในกล่องเงินอันเล็ก แล้วฝังไว้ใต้ต้นไม้นี้ได้เล่า? “นี่คงจะเป็นป้ายหยกของคุณหนูคนใดของตระกูลลู่กระมัง? หรือว่าจะเป็นของลู่ฮูหยิน?” นางคาดเดาอย่างประหลาด
นางไม่ใช่คนประเภทที่เสียเปรียบแล้วจะเก็บเอาไว้ในใจ รอจนหายไปเองอีกอย่าง ตระกูลลู่แห่งนี้ล้วนเป็นของนาง“ไปเถิด พวกเราไปเดินรอบ ๆ แล้วเก็บสิ่งของกันอีกสักหน่อย”ชิงอินรู้สึกเฝ้ารออย่างประหลาด หรือว่าคุณหนูจะสามารถเก็บเครื่องประดับเงินประดับทองได้อีกงั้นหรือ?เพียงแต่ จุดมุ่งหมายแรกของลู่เจาหลิงกลับเป็นโรงครัวความจริงวันนี้นางตื่นสาย ตอนนี้ได้ล่วงเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้วแต่แล้วอย่างไรเล่า?ตอนที่ลู่เจาหลิงถึงโรงครัว บรรดาพ่อครัวและหญิงรับใช้กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ พวกเจ้านายต่างกินกันไปหมดแล้ว พวกเขาถึงได้มีเวลากินข้าวพวกเขากินไปพลางพูดคุยกันไปพลาง โดยหัวข้อการสนทนาคือลู่เจาหลิงพอดิบพอดี“ฮูหยินกำชับให้ทรมานคุณหนูรอง จะเกิดเรื่องอันใดหรือไม่?”เดิมทีคนทั้งจวนสกุลลู่ต่างก็คิดว่าลู่เจาหลิงก็เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของฮูหยินเช่นกัน ทว่าพอเห็นพวกนางอยู่ด้วยกันอย่างตอนนี้แล้ว มีแม่ลูกแบบนี้ที่ใดกันเล่า? “ฮูหยินบอกว่าไม่ต้องกลัว เชนนั้นแล้วจะต้องไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ที่นี่คือจวนสกุลลู่ อีกทั้งฮูหยินยังเป็นคนที่ควบคุมดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในจวน คุณหนูรองถือว่าได้หมั้นหมายกับจิ้นอ๋องแล้
สาวใช้คนนี้มีชื่อว่าต้าชุนต้าชุนตกใจแทบตายเมื่อถูกชิงอินคว้าตัวออกมา แต่เมื่อเห็นผ้าพันแผลบนหัวของลู่เจาหลิงก็กลับมีความกล้าขึ้นมาอีกครั้งใช่แล้ว คุณหนูรองเป็นเพียงแค่คนที่เติบโตในชนบทเท่านั้น ทั้งยังไม่ได้รับความรัก นางจะกลัวอันใดกัน?นางสลัดหลุดในทันที ยืดตัวตรง พลางจับจ้องชิงอินด้วยความโมโห“ที่นี่คือตระกูลลู่ เด็กสาวที่มาจากภายนอกเช่นท่านอย่าได้อวดดีเกินไปนัก!”แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังพะว้าพะวังว่าชิงอินอาจจะเป็นคนที่จิ้นอ๋องส่งมาจริง ๆ นางจึงไม่กล้าลงมือถ้าไม่มีความกังวลเช่นนั้นอยู่ นางคงลงมือจัดการไปนานแล้วลู่เจาหลิงกล่าวอย่างเย็นชา “ตบปาก”ชิงอินได้ยินก็ตอบรับในทันที “เจ้าค่ะ!”นางยกปลายเท้าขึ้นแล้วเตะทัพพีไม้คันหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ใช้หลังทัพพีตบไปที่ปากของต้าชุนเพียะ!ต้าชุนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นในปากก็มีกลิ่นคาวเลือด และฟันหน้าโยกเล็กน้อยเมื่อใช้ลิ้นสัมผัสนางร้องไห้ออกมาในทันที“คุณหนูรองปล่อยให้สาวใช้ชั่วร้ายตบตีผู้อื่น! ฮือ เจ็บจะตายอยู่แล้ว...”คนอื่นต่างก็ตะลึงงันในตอนแรกที่ลู่เจาหลิงพูดเรื่องถ่มน้ำลายลงไปในผักดอง พวกเขาต
ลู่เจาอวิ๋นถูกพวกนางเยาะเย้ยจนหน้าแดง เบ้าตาก็เริ่มแดงแล้วฐานะของคนเหล่านี้ล้วนสูงกว่านาง และดูถูกนางมาโดยตลอด ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางเอาอกเอาใจท่านหญิงฉางหนิงกับเหอเหลียนซิน พวกนางล้วนไม่พอใจนางทั้งๆ ที่นางงดงามกว่าพวกนาง ความสามารถก็เหนือกว่าพวกนาง ชื่อเสียงก็ดีกว่าพวกนาง พวกนางกลับไม่ยอมดีกับนางล้วนเป็นผู้หญิงขึ้ริษยา!แต่ลู่เจาอวิ๋นก็ตีหน้าเศร้าเก่งต่อหน้าคนนอกนางสูดจมูกดังฟืด การแสดงออกบนใบหน้าทั้งน้อยใจและรู้สึกผิด โค้งคำนับพวกนางทีหนึ่ง“เจาอวิ๋นขออภัยทุกท่าน ณ ที่นี้ เพราะน้องหญิงคนนี้ของข้าเพิ่งกลับจากบ้านนอกจริงๆ ท่านพ่อท่านแม่อยากให้นางได้พบกับคุณหนูทุกท่านด้วยความรักและความตั้งใจ เพื่อที่นางจะได้เรียนรู้เรื่องมารยาทและทางโลกบ้าง ข้าจึงพานางมาด้วย”“แต่ข้าก็กลัวดูแลไม่ทั่วถึง จนปล่อยนางไปล่วงเกินทุกท่าน ดังนั้นจึงพาเจาหัวมาด้วยอีกคน ข้าคิดไม่ถึงว่านิสัยของนางจะเถื่อนเช่นนี้ กลับไปข้าจะรายงานท่านพ่อท่านแม่ ให้ท่านพ่อท่านแม่สั่งสอนให้ดีแน่นอน เจาอวิ๋นขอโทษทุกท่านอีกครั้ง”นางลดตัวเช่นนี้ และยังพูดได้ค่อนข้างจริงใจ ประกอบกับไม่ได้ล่วงเกินพวกนาง ต่อไปยังไม่รู้ว่าเหอเหลี
เหอเหลียนซินเคยเจอสตรีที่ใจกล้าเช่นนี้และยังอวดดีกว่านางเสียเมื่อไร?ในสมองนางเต็มไปด้วยคำพูดเมื่อครู่ของนางนางถูกฮ่องเต้รับแล้วสกุลเหอสูงส่งกว่าราชวงศ์เหอเหลียนซินรู้แล้ว ถ้าหากคำพูดสองประโยคนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นางเสียหน้าไม่ว่า พ่อนางต้องลงโทษนางคุกเข่าในศาลบรรพชนแน่!นางโมโหจนร่างกายสั่น พลันเลือดพลุ่งพล่าน ภาพตรงหน้ามืดดับ เป็นลมไปแล้ว“พี่เหอ!”เดิมทีลู่เจาอวิ๋นก็ควงแขนของนางไว้ จึงรีบพยุงนางขึ้นอย่างตื่นตระหนกเด็กรับใช้ทั้งสองของสกุลเหอเพิ่งหายตาลาย ก็มองเห็นคุณหนูของพวกนางเป็นลม จึงรีบเข้าไปพยุงเหอเหลียนซินโดยไม่มีเวลาสนใจลู่เจาหลิงแล้วกู้ฉิงเบิกตากว้าง ฝ่ามือมีเหงื่อเล็กน้อย นางมองไปทางลู่เจาหลิงมีคนตะโกนสิ่งที่นางคิดในใจออกมา…“นางยั่วคุณหนูเหอโมโหจนเป็นลมไปแล้ว!”ลู่เจาหลิงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนางถอนใจเบาๆ กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “โทษข้าไม่ได้นะ คุณหนูเหอท่านนี้มีไฟในตับ ความชื้นหนัก มีอาการคลุ้มคลั่งเล็กน้อย วู่วามได้ง่าย อีกทั้งวันนี้หน้าผากนางหมองคล้ำ เห็นได้ชัดว่าตอนออกจากบ้านไปติดไออัปมงคลมา เดิมทีวันนี้ก็จะดวงซวยอยู่แล้ว”ปากที่เพิ่งหุบลงของทุกคน อ้ากว้า
เดิมทีพ่อก็เป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหม ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ประกอบกับมีการแต่งงานนี้ เป็นการรวมกันของผู้มีอิทธิพลชัดๆในมุมมองของเหอเหลียนซิน แม้แต่ท่านหญิงฉางหนิงก็ต้องให้เกียรตินางสามส่วน นับประสาอะไรกับกู้ฉิงที่อยู่ตรงหน้า?“คุณหนูเหอ เกิดอะไรขึ้น?” มีคนก้าวออกมาอยากเป็นคนกลาง “เมื่อครู่ท่านหญิงกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแล้ว ถ้าหากนางออกมาพบว่าวุ่นวายเช่นนี้…”เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยกเอาท่านหญิงฉางหนิงมาพูด ในที่สุดเหอเหลียนซินก็ไม่ได้หาเรื่องกู้ฉิงอีกนางถลึงตาใส่ลู่เจาหัวแวบหนึ่ง ปล่อยนางไปก่อนชั่วคราว อย่างไรเสียคนที่นางรังเกียจที่สุดในตอนนี้คือลู่เจาหลิง!นางเรียกเด็กรับใช้ทั้งสองของตัวเอง “พวกเจ้าไป ให้นางมาคุกเข่าขอโทษข้า!”“เจ้าค่ะ!”เด็กรับใช้ทั้งสองของนางพุ่งพรวดเข้าไปหาลู่เจาหลิงทันทีลู่เจาหัวอุทานอย่างขี้ขลาดทีหนึ่ง และกล่าวเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง “พี่หญิงรอง ท่านรีบหนีไป”ลู่เจาอวิ๋นรีบคว้ามือของเหอเหลียนซิน แสร้งห้ามปราม “พี่เหอ ท่านอย่าไปถือสานางเลย…” แต่ก็ไม่เห็นนางไปห้ามเด็กรับใช้สองคนนั้นแม้คนอื่นก็ไม่ชอบพฤติกรรมที่อวดดีของเหอเหลียนซิน แต่พวกนางไม่รู้จักลู่
พวกลู่เจาหลิงไม่ถือว่ามาเร็วตอนนี้ในสวนมีคนไม่น้อยแล้วช่วงนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ร้อน เย็นสบาย สวนของจวนท่านหญิงปลูกดอกไม้มากมาย บานสะพรั่งสีสันงดงามแต่ตอนนี้ บนพุ่มดอกไม้ถูกประดับด้วยดอกผ้าไหมที่ผูกจากผ้าขาว และต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ มีผ้าโปร่งสีขาวห้อยอยู่ ลอยไปตามสายลมเบาๆสีขาวเหล่านี้ บดบังความงามของดอกไม้ที่บานสะพรั่งเหล่านี้ นี่น่าจะเป็นเจตนาของท่านหญิงฉางหนิง อย่างไรเสีย ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ตรงพื้นที่โล่งกลางสวน มีโต๊ะยาวหลายตัวแบ่งตั้งเป็นสองฝั่ง บนโต๊ะมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษวางอยู่ถัดจากต้นกล้วยหลายพุ่ม มีศาลาหนึ่งหลัง บนโต๊ะในศาลามีน้ำชาและผลไม้วางอยู่พื้นที่นี้มีเงาจากภูเขาจำลองและต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าสะท้อนลงมาพอดี แต่ยังพอมีช่องว่างให้แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาอยู่บ้าง แสงสว่างเพียงพอ และไม่เย็นเกินไปข้างภูเขาจำลองมีถนนเล็กๆ หนึ่งเส้น เดินไปมีบ่อน้ำเล็กๆ ตอนนี้บนผิวของบ่อน้ำมีใบบัวที่เพิ่งงอกออกมาอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีกิ่งก้านของดอกยื่นโผล่พ้นผิวน้ำเหล่าคุณหนูที่มาถึงก่อน จับกลุ่มกันตรงนี้สามตรงนั้นสอง มีคนกำลังชมดอกไม้ มีคนกำลังดื่มชา มีคนกำลังอ่านหนังส
ลู่เจาหลิงไม่ทน หันไปพูดกับลู่เจาอวิ๋นอย่างเย็นชา “ลู่เจาอวิ๋น ถ้าไม่เข้าไปข้าจะไปแล้วนะ”“มาแล้ว” เดิมทีลู่เจาอวิ๋นก็ค่อยสังเกตการเคลื่อนไหวที่ประตูอยู่แล้ว เมื่อเห็นพวกนางสองคนถูกเด็กรับใช้ขวางไว้ นางยิ้มในใจ แต่เมื่อได้ยินว่าลู่เจาหลิงจะไปนางก็รีบมาทันที จะปล่อยให้ลู่เจาหลิงไปได้อย่างไร?“พี่เหอ นี่คือเจาหลิงน้องรองของข้า”นางควงแขนของเหอเหลียนซินไว้ พลางหันไปกล่าวกับลู่เจาหลิง “น้องรอง รีบเรียกพี่เหอเร็ว”เหอเหลียนซินมองไปทางลู่เจาหลิง สายตาเย็นชาเล็กน้อย“ข้าไม่กล้าให้ว่าที่พระชายาจิ้นอ๋องเรียกพี่หรอก”จิ้นอ๋องกลับเมืองหลวง ได้รับพระราชทานสมรส อีกฝ่ายเป็นเด็กบ้านนอกที่ถูกรับกลับมาจากชนบทข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วทุกคนต่างตกใจมาก ไม่มีใครอยากเชื่อ ขณะเดียวกันก็อยากรู้มาก คุณหนูรองกู้เป็นคนอย่างไร โชคอะไรหล่นทับกันแน่ จึงได้รับความสนใจจากจิ้นอ๋องเหอเหลียนซินก็อยากรู้มากเช่นกันและตอนนี้นางได้เจอลู่เจาหลิงแล้ว หน้าตาเหมือนนางจิ้งจอกอย่างที่คิด เอาเป็นว่านางเห็นแล้วก็รังเกียจเลยลู่เจาเหลียงย่อมมองเจตนาร้ายที่เหอเหลียนซินมีต่อตัวเองออกนางก็ตอบกลับไปอย่างเร
ชิวจวี๋ประคองลู่เจาอวิ๋นลงรถม้า ไม่ได้สนใจลู่เจาหัวกับลู่เจาหลิงอีกเลยหลังจากลู่เจาหัวลงรถม้า นางคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือไปหาลู่เจาหลิง “พี่หญิงรอง ข้าประคองท่าน”“ไม่ต้อง”ลู่เจาหลิงกลับเลี่ยงผ่านมือของนาง ลงจากรถม้าเองลู่เจาหัวทำท่าเสียใจเล็กน้อย หลุบตาปกปิดสายตา“เจาอวิ๋น”มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างหน้า แค่ฟังจากเสียงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจลู่เจาอวิ๋นประหลาดใจมาก รีบเดินเข้าไปหา“พี่เหอ!”ลู่เจาหัวเห็นผู้มา สีหน้ากลับเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นเล็กน้อย นางลืมไปได้อย่างไร ในโอกาสเช่นนี้ เหอเหลียนซินก็มาเช่นกันลู่เจาหลิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรนางมองไปทางผู้มาเห็นรถม้าของอีกฝ่ายก่อน รถม้าคันนั้นดูหรูหรากว่าของสกุลลู่มาก สตรีที่กำลังทักทายลู่เจาอวิ๋นอย่างอย่างสนิทสนม อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด ใบหน้าทรงไข่ห่าน คางแหลม หน้าตาค่อนข้างงามเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ การแต่งกายของนางก็เรียบๆ เช่นกัน สีขาวทั้งชุด มีเพียงปิ่นหยกกับดอกไม้ผ้าเล็กๆ ที่ประณีตไม่กี่ชิ้น สง่างามดั่งดอกบัวที่บริสุทธิ์นางพาเด็กรับใช้มาด้วยสองคน เสื้อของเด็กรับใช้เป็นสีขาวมีกิ่งดอกไม้สีน้ำตาลเล
นางข่มความโกรธ “น้องหญิงรองหยุดได้แล้ว นี่เป็นถุงหอมที่ผู้อื่นมอบให้ข้า มันมีค่ามาก เครื่องหอมที่อยู่ข้างในก็หาซื้อตามข้างนอกไม่ได้”เครื่องหอมที่อยู่ข้างใน ท่านหญิงฉางหนิงเป็นคนให้นาง เป็นของขวัญที่ทูตต่างแดนนำมาถวายให้ท่านหญิงและองค์หญิงต่างๆ ในวังลู่เจาอวิ๋นได้เครื่องหอมมาแค่นี้ นางก็ภาคภูมิใจมาก ปกติแทบไม่เอาออกมาใช้ ในโอกาสอย่างวันนี้จึงจะยอมนำออกมาใช้ ลู่เจาหลิงกลับให้นางทิ้ง?“กลิ่นเหม็นมาก”ลู่เจาอวิ๋นอดกลั้นความโกรธ และยังคงฝืนยิ้ม คิดใจปลอบนาง “คนทั่วไปอาจจะไม่ชินกับกลิ่นเช่นนี้จริงๆ แต่นี่เป็นเครื่องบรรณาการจากทูตต่างแดน เป็นเครื่องหอมที่มีราคาแพงและหรูหรามาก น้องหญิงรอง ในเมื่อเจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าต้องพยายามปรับรสนิยมให้สูงขึ้น จะชอบแต่พวกเครื่องหอมคุณภาพต่ำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกหัวเราะเยาะ”“ไร้สาระ”พลันลู่เจาหลิงยื่นมือออกไป กระชากถุงหอมบนกายนางลงมาฉับพลัน เลิกม่านรถก็โยนมันไปที่ข้างคนขับ“ไว้ตรงนั้นก่อน อีกเดี๋ยวเจ้าจะห้อยค่อยห้อย”นางทนไม่ไหวแน่ ถ้าต้องทนดมอยู่ในรถม้าที่แคบเล็กเช่นนี้ตลอดอีกทั้งเกรงว่าส่วนผสมของเครื่องหอมเหล่านี้ค่อนข้างแปลก มีผงกระดู
ชิงเป่าร้อนใจแล้ว“พวกเราต้องตามคุณหนูไป คุณหนูของพวกเรายังบาดเจ็บอยู่!”ก่อนหน้านี้พวกนางเคยได้ยินท่านหมอฝู่กล่าว คุณหนูได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ที่จริงนับว่าอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางยังสามารถรอดมาได้ชิงเป่าชิงอินก็เป็นคนฝึกยุทธ์เช่นกัน และเคยเห็นบาดแผลของลู่เจาอิง ย่อมรู้ว่าบาดแผลนั่นสาหัสเพียงใด“ข้าอยากพาเจ้าไปด้วยจริงๆ แต่รถม้าไม่พอนั่งแล้ว” ลู่เจาอวิ๋นก็หมดหนทาง นางกล่าวเหมือนเยาะเย้ยตัวเอง “ไม่ใช่ข้าหาเรื่องพวกเจ้า แต่รถม้าจวนเรามันไม่ใหญ่”ชิงเป่ากล่าวทันที “พวกเราเดินไปก็ได้”พวกนางสามารถใช้วิชาตัวเบา“พวกเจ้ามาจากจวนจิ้นอ๋อง น่าจะรู้จักท่านหญิงฉางหนิง ดังนั้นก็น่าจะรู้ว่าจวนท่านหญิงอยู่ที่ไหน ห่างจากที่นี่ไกลมาก ถ้าหากพวกเจ้าเดิน อย่างน้อยก็ต้องเดินครึ่งชั่วยาม”ลู่เจาอวิ๋นกล่าว “ถึงเวลาพวกเจ้ากับน้องหญิงรองไม่ได้เข้าจวนพร้อมกัน ผู้อื่นก็จะหัวเราะเยาะเช่นกัน”เช่นนั้นไม่เท่ากับทำให้ผู้อื่นรู้ว่า รถม้าของสกุลลู่เล็กมาก แม้แต่สาวใช้ก็ไม่พอเบียดหรือ?ชิงอินใจเย็นกว่า คิดวิธีที่เหมาะสมกว่าออก “พวกเราไปเช่ารถม้าไป”“รอพวกเจ้าหารถม้าได้มันก็ไม่ทันแล้ว แต่ว่าถ
เที่ยวนี้เขาได้เห็นความสามารถของลู่เจาหลิงอีกครั้งชิงอินกอดกล่องในอ้อมแขนไว้ ยังรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องจริงเล็กน้อย ออกจากจวนเที่ยวเดียว คุณหนูก็หาเงินได้อีกห้าพันตำลึงแล้ว ห้าพันตำลึงเลยนะ!สกุลลู่นำเงินออกมาสามร้อยตำลึง ก็ปวดใจเหมือนถูกเฉือนเนื้อ พวกเขาจะคาดคิดได้อย่างไร คุณหนูอาศัยความสามารถของตัวเอง ก็สามารถหาเงินได้ห้าพันตำลึงแล้วนอกจากนี้ยังมีจี้หยกหนึ่งชิ้นกับโสมหนึ่งต้นด้วย แค่ของเหล่านี้ก็มีค่าหลายร้อยตำลึงตกลงสุกุลลู่รู้หรือไม่ว่าคุณหนูเป็นสมบัติลับอย่างไรครั้งนี้ชิงเป่าไม่ได้ตามออกมาด้วย แต่เฝ้าอยู่ที่หอทิงหน่วน นางดูจากเวลา ได้ไปนำอาหารเย็นกลับมาแล้ว ลู่เจาหลิงกลับมาก็ได้กินข้าวเลย“ชิงเป่าคำนวณเวลาได้พอดีเป๊ะ” นางชมไปประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นกล่าว “ให้พวกเจ้าคนละห้าตำลึง กลับไปซื้อของที่ตัวเองชอบกิน”ให้เงินพวกนางอีกแล้ว!ชิงเป่าเบิกตากว้าง มองไปทางชิงอินด้วยสายตาตั้งคำถามชิงอินเงียบ แต่เปิดกล่องเหล่านั้นให้นางดู“คุณหนูเก่งจัง…” แม้แต่เสียงตกใจของชิงเป่าก็ลอยเล็กน้อยลู่เจาหลิงยิ้มแล้วยิ้มอีก “พอแล้ว กินข้าวเถอะ”หลังกินข้าว อาบน้ำเสร็จ นางก็กลับมาท