“พี่สาม ท่านหยุดพูดได้แล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวที่อยู่ข้างกายดึงแขนเสื้อของลู่เจาเยว่เบา ๆ นางมองใบหน้าสง่างามที่มีความกังวลอยู่เล็กน้อย แต่คำพูดของนางกลับทำให้ลู่เจาเยว่ยิ่งโมโหมากขึ้นเดิมทีเมื่อก่อนเรียกนางว่าพี่รอง แต่ตอนนี้กลับปรับตัวได้ไวมาก และเริ่มเรียกนางว่าพี่สามแล้ว! อีกอย่าง ต่อจากนี้ในบ้านจะมีคนที่กดอยู่บนศีรษะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว แถมคนคนนี้ยังมาจากนอกเมืองเสียด้วย!นี่ทำให้ลู่เจาเยว่ที่เดิมทีชอบโจมตีและชอบเอาชนะใจคนอื่นมาโดยตลอดโกรธมาก“เสี่ยวเยว่!” ลู่ฮูหยินจ้องไปที่นาง นายท่านเพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าไม่ควรเอ่ยถึงคุณหนูเสิ่นอีก และเหตุใดยังเอ่ยอีก?“ข้าอยู่ด้านนอกไม่เอ่ยถึงก็ได้แล้ว ตอนนี้ในบ้านไม่มีคนนอกเสียหน่อย นอกจากนาง!”ลุ่เจาเยว่ชี้นิ้วมาที่ลู่เจาหลิงลู่เจาหลิงมองนิ้วมือนั่นของนาง และมองดูกลุ่มควันสีเทาที่ลอยอยู่รอบใบหน้าของนางอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย“เห็นพวกเจ้าเอะอะอะไรก็บอกว่าข้ามาจากบ้านนอก ไม่เคยเรียนรู้มารยาท แต่การใช้นิ้วชี้ใส่พี่สาว ถือเป็นการสั่งสอนแบบใดหรือ?”คำพูดนี้ ทำให้ใบหน้าของลู่หมิงดำทะมึนแล้ว“เจาหลิง เจาอวิ๋นอายุมากกว่าเจ้า นางต่างหา
ความโมโหในอกของลู่หมิงแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้วนี่เขาไปรับตัวมารผจญอะไรกลับมาเนี่ย!ท่าทางแบบนี้จะใช้ใจแลกใจ ใช้เหตุผลแลกเหตุผลได้อย่างไร? เหตุผลก็บ้าแล้ว!ลู่หมิงกระทืบเท้า“ข้าคือพ่อเจ้า และเจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าจะแต่งงานกับจิ้นอ๋องไม่ได้!”ก่อนหน้านี้เขาหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ตอนนี้คิดได้แล้ว ว่าเขาจะต้องยืนหยัดยืนอยู่ข้างองค์ชายรองกับฮ่องเต้ และไม่สามารถเข้าข้างจิ้นอ๋องได้!อีกอย่าง ลู่เจาหลิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเป็นคนที่รับมือได้ยาก และยากจะควบคุม หากได้รับผลประโยชน์อันใดจริง ๆ นางจะต้องไม่คำนึงถึงตระกูลลู่อย่างแน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาก็ไม่สามารถให้ลู่เจาหลิงปีนต้นไม้ใหญ่ และหลีกหนีจากการควบคุมได้เช่นกัน“ลู่เจาอวิ๋นกับองค์ชายรองกำหนดวันแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ?” ทันใดนั้นลู่เจาหลิงก็เอ่ยถามลู่หมิงตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว “ยัง...”“เช่นนั้นพวกท่านสามารถไตร่ตรองให้นางยกเลิกงานแต่งได้เลย เพราะถึงอย่างไรข้าก็รับพระราชโองการมาแล้ว”เมื่อนางเอ่ยคำพูดนี้ก็ทำท่าให้ชิงอินและชิงหลิงมาพยุงนางให้ลูกขึ้นนางอยากจะกลับไปพักผ่อนแล้ว นางปวดหั
ลู่เจาหลิงนอนหลับจนถึงตะวันโด่งฟ้าเมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็มีห่อผ้าชิ้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะแล้วอาจจะรู้สึกว่ามันสกปรก ด้านล่างจึงปูด้วยผ้าผืนหนึ่งไว้ก่อนด้วยนางรู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย และนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงจะคิดขึ้นมาได้ ว่านี้คือห่อผ้าที่ ‘นาง’ พกกลับมาจากบ้านนอกเมื่อตระกูลลู่ส่งคนไปรับที่นอกเมือง ลู่ผู้น่าสงสารจึงเก็บข้าวของได้เพียงห่อผ้าชิ้นเดียว แถมยังต้องปิดบังคนในตระกูลลู่จากนอกเมืองพวกนั้นและซ่อนมันไว้อีกแต่ตอนที่กลับมายังเมืองหลวงและเจอโจรปล้น ห่อผ้านี้ก็หายไปแล้ว“คุณหนู ห่อผ้านี้ท่านอ๋องเป็นคนให้ข้านำกลับมาเจ้าค่ะ” ชิงอินเอ่ยลู่เจาหลิงประหลาดใจ “เขาถึงกับยังมีเวลาว่างไปช่วยข้าเก็บห่อผ้าอย่างนั้นหรือ?”อีกอย่าง หาเจอได้อย่างไรกัน? เพราะแม้แต่นางเองยังคิดไม่ออกเลยว่าห่อผ้านี้หายไปอยู่ที่ใดทว่าเมื่อวานนางคิดไว้แล้ว ว่ารอให้ร่างกายดีขึ้นอีกสักหนึ่งค่อยคำนวณหาตำแหน่งของห่อผ้านั้น แต่ตอนนี้กลับไม่ต้องเสียแรงทำเรื่องนั้นแล้ว“ท่านอ๋องบอกว่า ห่อผ้านี้ถูกนำกลับมาจากเส้นทางในภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนักเจ้าค่ะ” ชิงอินเอ่ยลู่เจาหลิงลุกขึ้นยืนและเดินมาที่โต๊ะ พลางแก
พวกนางไม่วางใจยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่หลังจากนี้ลู่เจาหลิงแต่งงานกับท่านอ๋อง พวกนางก็ยังสามารถติดตามนางไปที่จวนจิ้นอ๋องได้ทั้งสองคนนำสัญญาทาสที่รับกลับมา ส่งมันให้กับมือของลู่เจาหลิงลู่เจาหลิงมองไปที่ใบหน้าที่แตกต่างไปจากเมื่อวานอย่างชัดเจนของพวกนาง พลางยิ้มน้อย ๆ ออกมาแล้วเก็บสัญญาทาสเอาไว้“เช่นนั้นนับจากนี้ พวกเจ้าก็มาติดตามข้าเถิด”นับตั้งแต่ที่พวกนางตัดสินใจจะติดตามนางด้วยความสมัครใจ ไอมรณะที่อยู่บนใบหน้าของพวกนางก็พลันมลายไปจนสิ้นลู่เจาหลิงไม่ได้บอกพวกนาง ว่าหากยังอยู่ที่จวนจิ้นอ๋อง ไม่เกินครึ่งเดือนพวกนางทั้งสองคนจะตายตกตามกันในใจของชิงอินและชิงหลิงรู้สึกโล่งอกที่จริงพวกนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในชั่วขณะที่ส่งสัญญาทาสของตนเองให้ไปนั้น พวกนางรู้สึกโล่งใจไปพร้อมกันราวกับฝุ่นผงได้ถูกสะบัดออกไปอย่างไรอย่างนั้นลู่เจาหลิงสำทับกับชิงหลิงว่า “เจ้าต้องเปลี่ยนชื่อ ตัวอักษรหลิงนี้ ขัดแย้งกับดวงชะตาของเจ้า”ชิงหลิงตกตะลึงไปชั่วครู่เรื่องที่พวกนางเลือกลู่เจาหลิงโดยสมัครใจนั้น นางรู้สึกพึงใจอยู่บางส่วน ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะพูดกับให้นางมากขึ้น“เจ้ามักจะป่วยหนักทุก ๆ ส
ลู่เจาหลิงมองเห็นถุงผ้าไม่กี่ใบนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่คือของขวัญที่ลู่น้อยผู้น่าสงสารเตรียมไว้ให้กับคนตระกูลลู่ที่จริงแล้วลู่น้อยที่น่าสงสารรู้ตัวเองดีว่า เมื่อกลับมาตระกูลลู่ในเมืองหลวงแล้ว ตนเองจะไม่เป็นที่ต้อนรับ และนางก็รู้ด้วยว่าที่ตนเองถูกทิ้งให้อยู่ในชนบทนับสิบปีนั้นมีเบื้องหลัง ทว่าลำพังเพียงแค่นางผู้เดียวนั้นไร้พลัง ทำได้เพียงคบค้ากับพวกเขาไปก่อนชั่วคราวเท่านั้นรอกระทั่งมีจุดยืนที่มั่นคงในเมืองหลวง ค่อยสืบเรื่องในตอนนั้นให้กระจ่างดังนั้นนางจึงเตรียมของขวัญให้กับบรรดาคนของตระกูลลู่แต่ว่าเดิมทีตอนที่นางอยู่ในชนบท ก็ถูกปฏิบัติเหมือนวัวเหมือนม้า ทนทุกข์ทรมาน ย่อมเตรียมของขวัญดี ๆ อันใดไม่ได้อยู่แล้วถุงผ้าใบน้อยเย็บมาจากเศษผ้าที่นางเก็บสะสมไว้เป็นเวลานาน ด้านในใส่ดอกไม้ผ้าที่นางทำเองกับมือ นอกจากนี้ ยังมีอยู่สามใบที่ใส่ก้อนหินสองสามก้อนเอาไว้ด้วยนางเก็บมันมาจากแม่น้ำโฮ่วซาน เป็นก้อนหินที่งดงามยิ่งนัก อยากจะมอบให้กับนายน้อยทั้งสามคนแห่งตระกูลลู่ทว่าตอนนี้สิ่งของมาอยู่ในมือของลู่เจาหลิงแล้ว ย่อมไม่อาจส่งออกไปได้อีก พวกเขาไม่คู่ควรได้รับน้ำใจเหล่านี้ลู่เจาหลิงนำก้อนหิ
ชิงเป่าทำเป็นจริง ๆ ด้วย“บ่าวจะเอาก้อนหินไปเจาะรูเจ้าค่ะ”ถ้าไม่เจาะรูก็ไม่มีทางร้อยเชือกได้สินะ ทว่าก้อนหินทั้งสองก้อนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก ราวกับหยกอย่างไรอย่างนั้นลู่เจาหลิงหยิบปิ่นที่อยู่บนผมของชิงเป่าลงมา จากนั้นก็ใช้ปลายปิ่นแทงไปที่ก้อนหินกึกมือข้างหนึ่งจับข้างหนึ่งแทงเจาะรูทะลุหินชิงเป่ากับชิงอินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจไม่นะ เหมือนว่าคุณหนูจะไม่มีวรยุทธ์มิใช่หรือ? ฝีมือเช่นนี้พวกนางสองคนไม่มีวันทำได้!“บ่าวจะไปถักเชือกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ชิงเป่ารีบไปหาเชือกหลากสีลู่เจาหลิงฝืนล้างหน้าสีฟันแก้ขัดไปก่อน แล้วเหลือบมองไปที่หมั่นโถว“คุณหนู หรือไม่ให้ข้าน้อยไปบอกนายท่านสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ” ชิงอินกล่าว นายท่านจะต้องออกหน้าแทนคุณหนูเป็นแน่ลู่เจาหลิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พยุงข้าเดินที ข้าจะไปเก็บเงิน ”เก็บเงิน?ชิงอินไม่เข้าใจทว่าก็ยังเชื่อฟัง พลางพยุงลู่เจาหลิงออกจากประตูห้องไปลู่ที่น่าสงสารไม่มีแม้แต่เงินสักแดงติดตัว และนางก็ไม่สามารถให้จิ้นอ๋องออกหน้าแทนนางทุกเรื่องได้ ตอนนี้ยังมีบาดแผลอยู่ที่ศีรษะ ร่างกายและจิตใจไม่มั่นคง นางจะไม่สู้กับลู่ฮูหยินเป็นการชั่วค
กล่องขนาดเท่าฝ่ามือใบนี้ใบเดียว สามารถมารถแลกเป็นเงินได้หลายตำลึงตอนนี้ชิงอินเริ่มเข้าใจนิสัยของลู่เจาหลิงขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว จึงได้หยิบมีดเล่มเล็กที่ติดตัวนางออกมาแล้วงัดอยู่ชั่วครู่ กล่องเล็กใบนั่นก็เปิดออกด้านในมีป้ายหยกวางอยู่ “โอ้โห”ลู่เจาหลิงหยิบป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นมาไว้ในมืออย่างอ่อนโยน หยกมีความประณีต แกะสลักด้วยด้วยอักษรคำว่าโชค เป็นหยกชั้นดีชิ้นหนึ่งชิงอินก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ชิ่งหมัวมัวต้องการสั่งสอนพวกนางให้กลายเป็นคนที่อยู่ข้างกายของจิ้นอ๋อง ย่อมต้องเปิดหูเปิดตาของพวกนางให้กว้างไกลเป็นธรรมดานางมองไปที่ป้ายหยก พลางกล่าวกับลู่เจาหลิงว่า “คุณหนู ป้ายหยกชิ้นนี้ก็เป็นสินค้าที่หอหมิงเป่าทำขึ้นมาเช่นกันเจ้าค่ะ หยกขาวที่แกะสลักด้วยตัวอักษรคำว่าโชค เป็นที่นิยมในหมู่ฮูหยินช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักจะซื้อเป็นของขวัญให้กับคนรุ่นหลัง โดยหวังว่าคนรุ่นหลังจะสุขภาพแข็งแรงและมีโชคลาภ”แต่ว่า เหตุใดป้ายหยกชิ้นนี้ถึงมาวางอยู่ในกล่องเงินอันเล็ก แล้วฝังไว้ใต้ต้นไม้นี้ได้เล่า? “นี่คงจะเป็นป้ายหยกของคุณหนูคนใดของตระกูลลู่กระมัง? หรือว่าจะเป็นของลู่ฮูหยิน?” นางคาดเดาอย่างประหลาด
นางไม่ใช่คนประเภทที่เสียเปรียบแล้วจะเก็บเอาไว้ในใจ รอจนหายไปเองอีกอย่าง ตระกูลลู่แห่งนี้ล้วนเป็นของนาง“ไปเถิด พวกเราไปเดินรอบ ๆ แล้วเก็บสิ่งของกันอีกสักหน่อย”ชิงอินรู้สึกเฝ้ารออย่างประหลาด หรือว่าคุณหนูจะสามารถเก็บเครื่องประดับเงินประดับทองได้อีกงั้นหรือ?เพียงแต่ จุดมุ่งหมายแรกของลู่เจาหลิงกลับเป็นโรงครัวความจริงวันนี้นางตื่นสาย ตอนนี้ได้ล่วงเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้วแต่แล้วอย่างไรเล่า?ตอนที่ลู่เจาหลิงถึงโรงครัว บรรดาพ่อครัวและหญิงรับใช้กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ พวกเจ้านายต่างกินกันไปหมดแล้ว พวกเขาถึงได้มีเวลากินข้าวพวกเขากินไปพลางพูดคุยกันไปพลาง โดยหัวข้อการสนทนาคือลู่เจาหลิงพอดิบพอดี“ฮูหยินกำชับให้ทรมานคุณหนูรอง จะเกิดเรื่องอันใดหรือไม่?”เดิมทีคนทั้งจวนสกุลลู่ต่างก็คิดว่าลู่เจาหลิงก็เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของฮูหยินเช่นกัน ทว่าพอเห็นพวกนางอยู่ด้วยกันอย่างตอนนี้แล้ว มีแม่ลูกแบบนี้ที่ใดกันเล่า? “ฮูหยินบอกว่าไม่ต้องกลัว เชนนั้นแล้วจะต้องไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ที่นี่คือจวนสกุลลู่ อีกทั้งฮูหยินยังเป็นคนที่ควบคุมดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในจวน คุณหนูรองถือว่าได้หมั้นหมายกับจิ้นอ๋องแล้