ชิงอินและชิงหลินฝึกฝนเป็นเวลาสิบปี และรอคอยท่านอ๋องกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อจะได้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขา ผลสุดท้ายเมื่อจิ้นอ๋องกลับมา พวกนางพบหน้ากันแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปยังจวนสกุลลู่หากจะบอกว่าในใจพวกนางไม่ผิดหวังเลยนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้แต่พวกนางได้รับการสั่งสอนจากชิ่งหมัวมัว ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำงานให้ดี ดังนั้นเรื่องการดูแลลู่เจาหลิง พวกนางทั้งสองจึงไม่คิดจะลักไก่ชิงหลิงไปเตรียมน้ำร้อนให้ลู่เจาหลิงอาบน้ำส่วนชิงอินเป็นคนยกน้ำแกงบำรุงร่างกายเข้ามา และตอนที่ป้อนน้ำแกงให้ลู่เจาหลิงดื่มก็ระมัดระวังเช่นกันนางเอาแต่คิดอยู่ตลอด ว่าลู่เจาหลิงเข้ากับคนอื่นได้ง่าย หรือจะทรมานคนใช้อย่างพวกนางสองคนหรือไม่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ ลู่เจาหลิงจะถามคำถามเช่นนี้กับนางช่วงนี้เจ้าฆ่าคนหรือ?“อย่ากังวลไป” ลู่เจาหลิงเอ่ยหลังชิงอินวางถ้วยน้ำแกงเรียบร้อย และก็ยืนอยู่หน้าเตียง “คุณหนูลู่คิดจะลงโทษชิงอินหรือเจ้าคะ?”ยอมรับแล้วหรือ?ลู่เจาหลิงเลิกคิ้วขึ้น และดูเหมือนว่าสาวใช้ที่จวนจิ้นอ๋องส่งมา จะยังมีความหยิ่งเล็กน้อย...ไม่คู่ควรแก่การโกหกหรือจะบอกว่า การยอมรับอยู่ตรงหน้านางก็ไม่ใช่
“ใช้น้ำล้างอย่างเดียวล้างไม่ออกหรอก กลับมา”ลู่เจาหลิงเรียกให้ชิงอินหยุดชิงอินจึงทำได้เพียงเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง“ยื่นมือออกมา”ชิงอินยื่นมือขวาไปตรงหน้านาง และมองนางอย่างไม่เข้าใจเห็นมือของลู่เจาหลิงคลุมอยู่บนมือของนางเบา ๆ ทันใดนั้นชิงอินก็รู้สึกว่ามือของตัวเองเย็นเล็กน้อยลู่เจาหลิงเคลื่อนมือออก และสะบัดมันเบา ๆ ชิงอินมองมือของตน รูม่านตาก็หดตัวลง เพราะในเวลานี้ นางเห็นชั้นฝุ่นสีดำเทาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือและนิ้วมือของตนเองอย่างชัดเจนราวกับบนมือที่เปื้อนเถ้าถ่านจากหม้อก็มิปานแต่ก่อนหน้านี้มือของนางล้างสะอาดแล้วชัด ๆ!แถมนางยังเบิกตาโพลงและเห็นชั้นสีเทาดำนี้ซึมออกมาจากผิว!“เอาอ้ายเฉ่ากับใบทับทิมไปแช่น้ำ และล้างสามรอบ” ลู่เจาหลิงเอ่ยชิงอินรีบหมุนกายและวิ่งออกไปในทันทีเป็นเพราะรีบมาก จนตอนที่ออกไปเกือบจะชนเข้ากับชิงหลิงแล้ว“ชิงอิน เหตุใดถึงบุ่มบ่ามเยี่ยงนี้เล่า?” ชิงหลิงตกใจ พวกนางได้รับการสั่งสอนมาจากชิ่งหมัวมัว และไม่เคยบุ่มบ่ามเยี่ยงนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับชิงอิน?นางเห็นมือที่ชิงอินยกขึ้นอีกครั้ง “เหตุใดมือของเข้าถึงสกปรกเยี่ยงนี้?”น้ำเสียงของชิงอินส
ไทเฮาทรงเอ็นดูเขามาแต่ไหนแต่ไร!“จิ้นอ๋องรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว คนชั้นต่ำน้อยนั่นเป็นอนุของข้า และคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแย่งไปแล้ว!”จูหมิงเฮ่ายิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห เป็นถึงท่านอ๋องแท้ ๆ เหตุใดถึงได้แย่งผู้หญิงกับซื่อจื่อจวนโหวอย่างเขากัน?ชิงฝูโหวฮูหยินสงสารจนน้ำตาไหล เมื่อได้ยินก็เอ่ยโดยไม่คิดอะไร “ท่านโหว ดูสิเจ้าคะว่าเฮ่าเอ๋อร์ของพวกเราถูกรังแกจนมีสภาพเป็นเยี่ยงไรแล้ว? ท่านในฐานะที่เป็นพ่อหากไม่หนุนหลังเขา พวกเราแม่ลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”แม้ชิงฝูโหวจะสงสารบุตรชาย แต่ก็ยังคงสับสนอยู่“หมิงเฮ่าไปแย่งผู้หญิงกลางถนนมาเป็นอนุ แบบนี้จะมีหน้ามีตาได้เยี่ยงไร? ยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ แต่คนก็รู้จักกันหมดแล้วว่าเขาเอาอนุเข้ามาในจวน จนชื่อเสียงเสียหายหมดแล้ว!”อีกอย่างยังคงคิดจะไปแย่งกลับบ้านมาอย่างไร้ยางอายเช่นนั้น ได้ยินมาว่าแม่นางนั่นวิ่งหนีแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ยังพาคนไล่ล่าและสกัดกั้นไว้อีกนี่หมายความว่าเยี่ยงไร?หมายความว่าแม่นางนั่นเขาเป็นคนบังคับมา!เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงฝูโหวก็หายใจเข้าลึก ๆ “เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าบอกพ่อมาตามตรง แม่นางนั่นเจ้าไปแย่งมากจากที่ใด? นางเต็มใจที่จะกลับจวนโหวกับเจ
ชิงอินชิงหลิงกำลังคิดจะพยุงลู่เจาหลิง แต่กลับได้ยินนางเอ่ย “กงกง ข้าบาดเจ็บสาหัส วิงเวียนศีรษะ หากคุกเข่าอาจเป็นลมได้ ขอยืนรับพระราชโองการแล้วกัน”“บังอาจ!” ลู่หมิงโมโหขึ้นมาในทันทีลู่เจาหลิงไม่มองเขาด้วยซ้ำ“หากเป็นลมแล้วคงรับพระราชโองการได้ไม่ดีนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างราบเรียบขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการมองดูศีรษะที่พันไว้ของนาง จึงทำได้เพียงตอบตกลงแล้ว“เช่นนั้นคุณหนูรองลู่ก็ยืนรับพระราชโองการเถิด”เขาคลี่พระราชโองการสีทองอร่าม และอ่านออกมา“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ได้ยินมาว่าบุตรสาวสายตรงคนที่สองของลู่หมิง ลู่เจาหลิง มีทั้งความประพฤติดีและรูปร่างหน้าตาที่งดงาม อีกทั้งยังสุภาพอ่อนโยน มีน้ำใจและจริงใจ... จึงอนุญาตให้พระอนุชาของข้า พระราชทานให้เป็นพระชายาจิ้นอ๋อง และเลือกวันมงคลเพื่อทำพิธีอภิเษกสมรส จบพระราชโองการ”เสียงของขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการแหลมสูง น้ำเสียงก็ราบเรียบ และกำลังอ่านเนื้อหาของพระราชโองการต่อหน้าทุกคนในจวนสกุลลู่ทุกคนในจวนสกุลลู่ต่างตะลึงงันยิ่งลู่หมิงเกือบจะกระโดดขึ้นมาแล้วใบหน้าของลู่ฮูหยินบิดเบี้ยว ดวงตาลุกเป็นไฟ จ้องพระราชโองการนั้น
คนตระกูลลู่หน้าตาโดดเด่นกันทุกคน และแต่ละคนล้วนดูดีมากหนึ่งในนั้น ลู่เจาอวิ๋นเป็นคนที่สวยที่สุดนอกจากไม่กี่คนนี้ ยังมีหญิงสาวอีกสองนาง นางหนึ่งสง่างาม อีกนางหนึ่งมีเสน่ห์ ทั้งสองน่าจะเป็นอนุภรรยาของลู่หมิงได้ยินมาว่า ลู่หมิงยังมีบุตรชายอีกสองคน แต่ไปเรียนหนังสือที่สำนักบัณฑิตแล้วตอนที่จู่เลาหลิงมองพวกเขา พวกเขาก็มองลู่เจาหลิงเช่นกัน“นี่ ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ เจ้าหูหนวกหรือไง?” ลู่เจาเยว่เห็นว่าลู่เจาหลิงไม่สนใจนาง จึงโมโหจนหน้าแดงไปหมดลู่หมิงใบหน้าบูดบึ้งไม่พูดอะไร ดูแล้วเหมือนกำลังรอฟังอยู่ว่าลู่เจาหลิงจะตอบกลับเยี่ยงไรเขาตกใจแทบแย่!เดิมทีคิดว่าจิ้นอ๋องจะหาวิธีมาเล่นงานลู่เจาหลิง สุดท้ายกลับเป็นการพระราชทานสมรสเสียนี่!“เจ้าเป็นใคร?”ลู่เจาหลิงเหลือบมองไปทางลู่เจาเยว่“หากเจ้าไม่กลับมา ข้าก็ได้เป็นคุณหนูรองของตระกูลลู่ ข้าชื่อลู่เจาเยว่! พี่สาวข้าคือเมฆ ข้าคือพระจันทร์ พวกเราล้วนเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดบนฟากฟ้า และเจ้านับว่าเป็นอะไร?”เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนลู่เจาเยว่เพิ่งได้รับการแจ้งว่า ต่อไปนางจะเป็นคุณหนูสามแล้ว ทำเอาโมโหแทบระเบิดเด็กบ้าที่มาจากนอกเมืองมีสิทธ์อ
ลู่เจาหลิงจะเป็นอาสะใภ้ของนาง?!พอลู่เจาอวิ๋นได้ยินที่นางเอ่ย ก็แทบจะเป็นลม“น้องรอง เจ้าไม่รู้สึกว่าแบบนี้มันวุ่นวายหรอกหรือ? ราชวงศ์ยิ่งให้ความสำคัญกับกฎระเบียบและสายเลือด จ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน แล้วจะแต่งงานกับลุงหลานได้เยี่ยงไร?”ลู่เจาอวิ๋นทบทวนตนเองอย่างรอบคอบในช่วงบ่ายเดิมทีชื่อเสียงในเมืองหลวงของนางคืออ่อนโยน สง่างาม สุภาพเรียบร้อย แถมยังดีดผีผาได้ไพเราะจับใจ งานเย็บปักถักร้อยก็ทำได้ดีเยี่ยมทว่าตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าลู่เจาหลิงจะกลับมายังเมืองหลวง นางไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกตื่นตระหนก จนหลุดจากขอบเขต และคิดแค่จะขัดขวางไม่ให้ลู่เจาหลิงกลับมายังตระกูลลู่หากไม่ใช่เพราะนางเสียสติ และแสดงพฤติกรรมที่แย่ออกมา ก็คงไม่ถึงกับถูกลู่เจาหลิงตบหน้าลู่เจาหลิงกลับมายังตระกูลลู่ และจะขัดขวางไม่ได้แล้ว เช่นนั้นนางจะต้องใจเย็นลง แล้วค่อยวางแผนให้ดีในภายหลังเมื่อคิดในใจแบบนี้ ลู่เจาอวิ๋นก็ปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมานางเอ่ยกับลู่เจาหลิง “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เคยรู้จักจิ้นอ๋องมาก่อน คิดดูแล้วก็คงไม่มีความรู้สึกต่อกัน ตอนนี้พระราชโองการให้พระราชทานสมรสเพิ่งออกมา ถือโอกาสตอนที่ยังไม่มีใครรู
“พี่สาม ท่านหยุดพูดได้แล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวที่อยู่ข้างกายดึงแขนเสื้อของลู่เจาเยว่เบา ๆ นางมองใบหน้าสง่างามที่มีความกังวลอยู่เล็กน้อย แต่คำพูดของนางกลับทำให้ลู่เจาเยว่ยิ่งโมโหมากขึ้นเดิมทีเมื่อก่อนเรียกนางว่าพี่รอง แต่ตอนนี้กลับปรับตัวได้ไวมาก และเริ่มเรียกนางว่าพี่สามแล้ว! อีกอย่าง ต่อจากนี้ในบ้านจะมีคนที่กดอยู่บนศีรษะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว แถมคนคนนี้ยังมาจากนอกเมืองเสียด้วย!นี่ทำให้ลู่เจาเยว่ที่เดิมทีชอบโจมตีและชอบเอาชนะใจคนอื่นมาโดยตลอดโกรธมาก“เสี่ยวเยว่!” ลู่ฮูหยินจ้องไปที่นาง นายท่านเพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าไม่ควรเอ่ยถึงคุณหนูเสิ่นอีก และเหตุใดยังเอ่ยอีก?“ข้าอยู่ด้านนอกไม่เอ่ยถึงก็ได้แล้ว ตอนนี้ในบ้านไม่มีคนนอกเสียหน่อย นอกจากนาง!”ลุ่เจาเยว่ชี้นิ้วมาที่ลู่เจาหลิงลู่เจาหลิงมองนิ้วมือนั่นของนาง และมองดูกลุ่มควันสีเทาที่ลอยอยู่รอบใบหน้าของนางอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย“เห็นพวกเจ้าเอะอะอะไรก็บอกว่าข้ามาจากบ้านนอก ไม่เคยเรียนรู้มารยาท แต่การใช้นิ้วชี้ใส่พี่สาว ถือเป็นการสั่งสอนแบบใดหรือ?”คำพูดนี้ ทำให้ใบหน้าของลู่หมิงดำทะมึนแล้ว“เจาหลิง เจาอวิ๋นอายุมากกว่าเจ้า นางต่างหา
ความโมโหในอกของลู่หมิงแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้วนี่เขาไปรับตัวมารผจญอะไรกลับมาเนี่ย!ท่าทางแบบนี้จะใช้ใจแลกใจ ใช้เหตุผลแลกเหตุผลได้อย่างไร? เหตุผลก็บ้าแล้ว!ลู่หมิงกระทืบเท้า“ข้าคือพ่อเจ้า และเจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าจะแต่งงานกับจิ้นอ๋องไม่ได้!”ก่อนหน้านี้เขาหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ตอนนี้คิดได้แล้ว ว่าเขาจะต้องยืนหยัดยืนอยู่ข้างองค์ชายรองกับฮ่องเต้ และไม่สามารถเข้าข้างจิ้นอ๋องได้!อีกอย่าง ลู่เจาหลิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเป็นคนที่รับมือได้ยาก และยากจะควบคุม หากได้รับผลประโยชน์อันใดจริง ๆ นางจะต้องไม่คำนึงถึงตระกูลลู่อย่างแน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาก็ไม่สามารถให้ลู่เจาหลิงปีนต้นไม้ใหญ่ และหลีกหนีจากการควบคุมได้เช่นกัน“ลู่เจาอวิ๋นกับองค์ชายรองกำหนดวันแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ?” ทันใดนั้นลู่เจาหลิงก็เอ่ยถามลู่หมิงตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว “ยัง...”“เช่นนั้นพวกท่านสามารถไตร่ตรองให้นางยกเลิกงานแต่งได้เลย เพราะถึงอย่างไรข้าก็รับพระราชโองการมาแล้ว”เมื่อนางเอ่ยคำพูดนี้ก็ทำท่าให้ชิงอินและชิงหลิงมาพยุงนางให้ลูกขึ้นนางอยากจะกลับไปพักผ่อนแล้ว นางปวดหั