เสียงสบถของคิณณ์ทำให้หญิงสาวได้สติออกจากภวังค์อันแสนวาบหวาม ผลักชายหนุ่มออกห่างให้พ้นตัว อีกนิดเดียวเธอเกือบมีความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าสะแล้ว ดวงตากลมโตเบิกถลนเมื่อเห็นลำเอ็นเขื่องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าข้อมือเสียอีก เขาเป็นลูกครึ่งรึยังไงตรงนั้นถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้!!!
หญิงสาวพลันเห่อร้อนใบหน้าเมื่อเห็นของสงวนของเขาเต็มตา รีบหันหลังจัดการตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เมื่อลัลน์หันไปแล้วพบว่าชายหนุ่มได้ยัดเก็บเจ้านั่นแล้ว แต่ทว่าตรงเป้ากางเกงแสล็คนั้นยังคงนูนเด่นชัดอยู่ "เอ่อ ขะ ขอโทษด้วยนะคะ จบเรื่องกันเพียงเท่านี้แล้วต่างคนต่างแยกย้ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ" ก้มหน้าหงุดอย่างสำนึกผิดต่อชายหนุ่มตรงหน้าที่เธอไปลวนลามเขาก่อน รีบจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องน้ำหลีกหนีให้พ้นสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ "เดี๋ยว" เสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มต่างจากเสียงตอนเขากระเซ้าเย้าแหย่เธอที่ดูจะร้อนแรงอบอุ่นราวกับเปลี่ยนไปคนละคน คิณณ์คว้าข้อมือลัลน์ไว้ คิ้วหนาขมวดเป็นปม สายตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าหวานซึ้งอย่างจับผิด "ถะ ถือว่าให้มันจบตรงนี้จะดีกว่านะคะ ถ้าคุณไม่ยินยอมหนูคงได้แต่แจ้งความเอาผิดกับคุณ" เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอเสียที จากความกลัวตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความกล้าข่มขู่ชายตรงหน้า หวังให้เขาปล่อยเธอไปดีๆ "แต่เธอสมยอม?" คิณณ์เลิกคิ้วมองหญิงสาวที่กำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ พร้อมสู้หากเขาไม่ยอมปล่อยเธอไป แววตาประกายแสงอย่างนึกสนุกวูบหนึ่งก่อนที่สายตาจะกลับมาเย็นชาเหมือนเดิม "ใช่ค่ะ ความยินยอมของหนูในขณะที่คุณกระทำย่อมเป็นเหตุยกเว้นความผิด แต่ความยินยอมนั้นต้องมีอยู่ในขณะกระทำนั้นด้วย ในเมื่อหนูปฏิเสธไม่ยินยอมถ้าคุณจะขืนใจหนูอีก คุณได้ติดคุกแน่" เสียงหวานพูดเจื้อยแจ้วสอนหลักกฎหมายกับชายตรงหน้าโดยหารู้ไม่ว่าคนที่ตัวเองสอนอยู่ในขณะนี้คือผู้พิพากษาที่เชี่ยวชาญกฎหมายเสียยิ่งกว่าเธอ “เธอเรียนกฎหมาย?” คิณณ์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความฉงนที่มีคนมาสอนกฎหมายเขาในผับเช่นนี้ “ชะ ใช่ค่ะ ถ้ารู้แล้วก็ปล่อยมือหนูได้แล้วค่ะ” หญิงสาวสะบัดมือให้หลุดพ้นการจับกุมของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเธอจะไม่เป็นผล คิณณ์ดันหญิงสาวเข้ากำแพง ยันแขนแกร่งกักขังหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน แล้วก้มหน้าถามคนตัวเล็กที่แม้จะสูงเกินมาตรฐานหญิงไทย แต่ก็ยังคงเตี้ยกว่าเขาช่วงหนึ่งศีรษะพอดี “แต่เธอทำอนาจารฉันก่อน ความยินยอมที่เธอว่าต้องมีอยู่ก่อนหรือขณะกระทำความผิด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะโน้มคอฉันไปจูบโดยที่ฉันไม่ได้ยินยอมนะ” เขากระตุกยิ้มมุมปากสอนเธอ “นั่นก็ไม่ใช่เหตุที่คุณจะมาลวนลามหนูต่อนะคะ ว่าแต่คุณเป็นนักกฎหมายงั้นเหรอคะ” นัยน์ตาโตเหมือนลูกกวางที่ปกติกลมโตอยู่แล้วเบิกโพลงกว้างขึ้นไปอีก เธอเพียงจะขู่เขาให้กลัวแล้วยอมปล่อยเธอไปเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเธอจะคนรู้วิชาของจริงสวนเธอสะอยู่หมัด “ชื่ออะไร?” คิณณ์ไม่ตอบคำถามหญิงสาว เพียงแต่เลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ มีเพียงความรู้สึกประหลาดใจกับหญิงสาวตรงหน้า “หนูว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันนะคะ” ลัลน์เงยหน้าเถียงเขาอย่างใจกล้า จมูกเชิดรั้นชนกับปลายจมูกโด่งของเขาอย่างแผ่วเบาพาใจสาวน้อยอย่างเธอสั่นไหว “ไม่บอกก็ไปต่อข้างนอก” เสียงเย็นกล่าวจับมือเธอแล้วพาออกจากห้องน้ำ “ละ ลัลน์ค่ะ ทีนี้ปล่อยหนูได้รึยังคะ” “อยู่แถวนี้?” ชายหนุ่มหันมาหาหญิงสาว จมูกโด่งคลอเคลียเล่นที่ปลายจมูกหญิงสาวอย่างหยอกเย้า “ใช่ค่ะ” ลัลน์โกหกทันควัน ก้มหน้าหงุดหลีกหนีจมูกของเขา จะมีใครบ้าไปบอกที่อยู่ให้กับคนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะหล่อเหลามากก็ตาม “หวังว่าคงได้พบกันเร็วๆนี้” คิณณ์กล่าวจบ ยิ้มมุมปากให้เธอก่อนเดินออกจากห้องไป หญิงสาวตกตะลึงกับรอยยิ้มกระชากวิญญาณของชายหนุ่มที่แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังคงไม่รู้จักชื่อของเขาอยู่ดี ภายในอกสั่นระรัว หวามไหวเผลอใจไปกับความหล่อของเขา แต่พอถึงเหตุการณ์นัวเนียระหว่างเขากับเธอแล้วทำให้แก้มร้านผ่าว อับอาย สาวน้อยอย่างเธอที่ปกติอยู่ภายในกรอบศีลธรรม ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายง่ายๆ กลับต้องมาเสียท่าให้กับการประชดแฟนเก่าด้วยก่อนยั่วยวนผู้ชายก่อน และเป็นคนในวงการกฎหมายเสียด้วย ลัลน์เดินกลับมาที่โต๊ะกลับพบว่าทั้งสองคนกลับมานั่งจิบแอลกอฮอล์รอเธออยู่ที่โต๊ะแล้ว "แกหายไปไหนมายัยลัลน์ หายไปนานจริงเชียว ฉันกับอาร์มจะหนีกลับอยู่แล้วนะ" หนูนาพูดเสียงติดยานเล็กน้อย แต่คงยังมีสติเป็นห่วงเพื่อนสาวเธออยู่ "ขอโทษที่ให้รอนะหนูนา พอดีลัลน์ไปเข้าห้องน้ำมาน่ะ เหมือนจะเมาแสงไฟด้วยเลยไม่อยู่นานสักหน่อย" หญิงสาวโกหกเพื่อนคำโต ไม่อยากให้เพื่อนเธอต้องคอยมาเป็นห่วง "แล้วทำไมสภาพยุ่งเหยิงขนาดนั้นล่ะ อย่างกับโดนใครปล้ำมางั้นแหละ" หนูนาพูดหยอกเพื่อนสาวไปอย่างนั้น เพียงแค่เห็นว่าของหญิงสาวดูยุ่งเล็กน้อยเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นคือความจริงที่เกิดขึ้นกับลัลน์ "บะ บ้าน่า หนูนานี่พูดอะไรไม่เข้าเรื่องเลย" คำพูดของหนูนาทำให้คนมีชนักติดหลังสะดุ้ง ตอบเพื่อนตะกุกตะกักอย่างมีพิรุธ "แซวไปอย่างนั้นแหละน่าลัลน์จ๋าา เรามาดื่มต่ออีกหน่อยดีไหม วันนี้มีคนหิ้วพวกเราแล้วจะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ เอ้าา ชนนน" คำโกหกของลัลน์อาจทำให้หนูนาเชื่อและปล่อยผ่านไปได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่อาจหลุดรอดสายตาของอาร์มไปได้ ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มไม่พูดอะไรกลับกระดกน้ำเปล่าชนแก้วกับหนูนา "ลัลน์ว่านี่ก็ตี 1 กว่าพวกเรากลับกันเถอะ วันจันทร์พวกเราต้องไปฝึกงานกันอีกนะ" หญิงสาวทักท้วงเพื่อนเมื่อเห็นสมควรแก่เวลาที่ต้องกลับกันแล้ว อีกอย่างเธอเกรงใจอาร์มด้วยที่ต้องมาลำบากดูแลรับส่งพวกเธอ "โห่ ลัลน์อ่าาา กลับก็ได้ เชอะ" หนูนาเดินเซไปมาจนอาร์มต้องลุกขึ้นมาเดินประคองหนูนาไปที่รถแล้วทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปส่งที่คอนโดหนูนา หญิงสาวส่ายหัวให้กับความน่ารักของเพื่อนเธอแล้วเดินตามไป และยิ้มอย่างเอ็นดูที่หนูนามีชายหนุ่มคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี หญิงสาวหันมองกระจกมองวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืน แสงไฟสว่างตลอดทาง แม้เวลานี้จะเป็นเวลาตี 2 แล้วก็ไม่ทำให้รถที่วิ่งสัญจรไปมาในเมืองแห่งแสงสีนี้น้อยลงตามไปด้วย ใจของสาวน้อยเหม่อลอยคิดถึงชายหนุ่มคนนั้น แต่ใจหนึ่งก็อับอายที่เธอทำตัวไม่ดี ไม่เป็นกุลสตรีอย่างที่พ่อแม่สั่งสอนมา ทางที่ดีเธอหวังว่าหลัง ลัลน์หลับตาลงอย่างใช้ความคิด หลังจากนี้เธอกับเขาคงจะไม่มีเหตุให้พบเจอกันอีก เพราะเธอต้องเจอหน้ากันเธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงอยู่ดี สู้เก็บความรู้สึกนี้ไว้เพียงในใจเป็นประสบการณ์ชีวิตก็พอ โลกคงไม่แคบพอที่จะเหวี่ยงเธอกับเขามาเจอกันเร็วๆ นี้เป็นแน่แท้ 'โลกไม่แคบกับผีล่ะสิ!' หญิงสาวสบถคร่ำครวญอยู่ในใจอย่างโอดครวญ อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้ วันแรกของการฝึกงานของเธอ เธอต้องกลับมาเจอเขาคนนั้นด้วย!!!วันนี้เป็นวันเริ่มฝึกงานวันแรกของลัลน์ ประจวบเหมาะที่พี่ทนายมีคดีที่ศาลในวันนี้ จึงให้เธอติดตามเข้าไปดูการพิจารณาคดีในศาลได้ หญิงสาวตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อจะได้เข้าห้องพิจารณาคดี ไปดูการว่าความของทนายว่าแต่ละคนมีชั้นเชิงอย่างไร ฝึกงานตลอด 3 เดือนนี้เธอจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ไปต่อยอดในการสอบใบอนุญาตทนายความในวันข้างหน้า"ลัลน์ เดี๋ยวหนูเข้าไปบัลลังก์ 3 ขอสำนวนมาจากหน้าบัลลังก์แล้วรอพี่ข้างในก่อน พี่ไปยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีก่อน เดี๋ยวพี่มา" เจษฎาหันมาชี้แจ้งงานหญิงสาวพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่เขานั้นจะเดินไปอีกบัลลังก์ 5 ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของชั้นหญิงสาวรับคำแล้วจึงเดินเข้าไปไหว้สวัสดีเจ้าหน้าที่สาวหน้าบัลลังก์ขอสำนวนคดีของพี่ทนายมาไว้ที่ตน ก่อนที่จะไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางด้านหลัง ซึ่งจัดไว้สำหรับคู่ความที่มาศาล ก่อนขึ้นมาพี่เจษชี้ให้เธอดูตารางนัดความที่แสดงรายการคดีของวันนี้ทั้งหมด ห้องพิจารณา รวมทั้งผู้พิพากษาเจ้าของคดี เห็นว่าคดีในวันนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะเป็นของท่านคิณณ์ณภัทร ที่เธอเคยได้ยินจากพี่ทนายในสำนักงานช่วงที่เธอขอไปติดต่อฝึกงานถึงสมญานามความเฮี้ยบและน่ากลัว
"ลัลน์ให้เราไปส่งที่หอดีกว่าไหม นี่ก็ดึกมากแล้วหนูนาเป็นห่วงไม่อยากให้ลัลน์นั่งแท็กซี่กลับคนเดียว" หนูนาเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด กินข้าวเสร็จแล้วแทนที่ลัลน์จะกลับไปด้วยกันกับเธอ แต่เธอกลับเกรงใจเลือกที่จะนั่งรถไปเอง"ไม่เป็นไรหรอกหนูนา หอเราอยู่คนละเส้นกับคอนโดหนูนาเลยนะ ลัลน์ไม่อยากให้หนูนาวนไปมา มันดึกมากแล้วด้วย""แค่ไม่กี่กิโลเอง ลัลน์ไปกับเรานะ""ลัลน์กลับเองได้จริงๆ หนูนาไม่ต้องเป็นห่วง ถึงหอแล้วเดี๋ยวลัลน์ส่งข้อความบอกนะ" เมื่อหนูนาเห็นท่าทีเพื่อนเธอไม่ยอมกลับกับตนเป็นแน่ จึงยอมแพ้ทิ้งเพื่อนไว้ที่สถานีให้โบกรถกลับหอพักเอง"ถึงแล้ว อย่าลืมส่งข้อความมานะ" "ค่าาา คุณหนูนาจะไม่ลืมเป็นอันขาด ขับรถกลับดีๆนะ"หนูนาได้ยินเพื่อนตกปากรับคำจึงขับรถกลับคอนโดตัวเอง ลัลน์มักเป็นอย่างนี้ขี้เกรงใจเสมอกับคนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กับเธอซึ่งเป็นเพื่อนกันมาจะ 4 ปีแล้วยังต้องมาเกรงอกเกรงใจกันอีกหญิงสาวนั่งรอรถแท็กซี่เป็นเวลานานก็ไม่มีรถคันไหนจอดให้เธอ จนกระทั่งลมเริ่มพัดแรงพาไอฝนมาจนเธอรู้สึกได้'รู้อย่างนี้ไปกับหนูนาดีกว่า ดูท่าวันนี้จะเปียกฝนก่อนกลับถึงหอแน่เลย' ลัลน์พึมพำในใจ มองท้องฟ้าท
ท่ามกลางท้องฟ้าดำมืดอึมครึมไร้แสงจันทรา สายฝนที่โหมกระหน่ำ ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นทาง มีเพียงแสงไฟตลอดสองข้างทางที่พอให้ความสว่างในยามราตรีนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจทำให้รถหรูของชายหนุ่มขับเคลื่อนไปได้ไวมากนัก ภายในมีเสียงเพลงเปิดคลอเบาระหว่างทางพอให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป"หออยู่แถวไหน" ชายหนุ่มปรายตาหันมาถามหญิงสาวข้างกายที่ตอนนี้จะหนาวจนตัวสั่นงันงก ริมฝีปากอวบอิ่มขบเม้มเข้าหากันจนไม่ปรากฏสีเลือด สองแขนโอบกอดให้ความอบอุ่นตัวเอง คิณณ์จึงเลื่อนมือไปเปิดฮีตเตอร์ให้สาวน้อยคลายความหนาว"อยู่แถวมหาลัย VRB ค่ะ""อืม อยู่ไกลที่ฝึกงานพอควร""ยังไม่อยากคืนห้องค่ะ เดี๋ยวต้องไปสอบก่อนทำเรื่องจบด้วย เลยต้องทนนั่งรถไกลสักหน่อยค่ะ" เสียงใสเอ่ยบอกเขา"อืม" เขาครางรับในลำคอ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามหญิงสาวต่อไป"แล้วคุณอยู่แถวไหนหรือคะ" "อยู่แถวนี้นั่นล่ะ" คิณณ์ตอบเธออย่างคลุมเครือ จ้องมองทางข้างหน้าอย่างไม่สนใจหญิงสาว เธอคิดว่าเขาคงอยากมีความเป็นส่วนตัวไม่อยากบอกที่พักให้คนอื่นรู้จึงไม่ได้ถามอะไรชายหนุ่มอีกต่อไปภายในรถหรูเงียบไร้บทสนทนา หญิงสาวเหลือบมองคิณณ์อย่างอดเสียไม่ได้ ใบหน้าหล่อค
หญิงสาวลงจากรถหรูเดินไปตามทางอย่างงุนงง เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมที่เขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ หญิงสาวยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเสือยิ้มยากอย่างคิณณ์ส่งยิ้มมาให้เธอลัลน์เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตึกสำนักงาน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมาเช้าเกินไปยังคงไม่มีใครมาไขกุญแจเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้รอพี่ๆมาทำงาน คำถามมากมายผุดพรายเข้ามาในหัวสรุปแล้วคิณณ์จีบเธอใช่หรือไม่ เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากเธอจึงไม่กล้าคิดความสัมพันธ์นี้ไปไกล ไม่ว่าจะฐานะทางสังคมหรือหน้าตาเธอนั้นก็ไม่ควรกันกับเขา ก่อนที่เธอจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ลัลน์เอามือตบแก้มสองข้างเบาๆ เรียกสติของตนให้อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน"น้องลัลน์มาเช้าจังเลยคะวันนี้หรือเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับกลุ้มใจอยากเปลี่ยนสำนักงานแล้ว" หญิงสาวรุ่นพี่ในสำนักงานเอ่ยสัพยอกนักศึกษาสาวตรงหน้า"พี่นกก็เย้าหนูไปเมื่อคืนลัลน์นอนหลับสบายดีค่ะเลยตื่นเช้า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยมาสำนักงานเลยค่ะ" ลัลน์เอ่ยตอบเนตรนภาอย่างกลั้วหัวเราะในความช่างหยอกของพี่เขา ทำให้เธอไม่รู้สึกเกร็งและกดดันมากนัก"อ่ะนี่ ลองเอาสำนวนไปอ่านก่อนว่าเขาร่างฟ้องกันยังไง ใช
ลัลน์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร แขนเสื้อถูกพับอย่างเรียบร้อยอวดแขนแกร่ง เส้นเลือดที่แขนเปล่งชัดอย่างน่าหลงใหลซึ่งในยามปกติแล้วถูกปกปิดอยู่ภายใต้ชุดครุยผู้พิพากษาหรือสูทของเขาที่บดบังมัดกล้ามคงน้อยคนนักที่จะได้เห็นคิณณ์ในลุคนี้หญิงสาวรู้สึกเปลือกตาหนัก ความง่วงงุนกำลังเข้าจู่โจมลัลน์ วันทั้งวันเธอแทบจะไม่ได้พักส่งผลให้ข้อเท้าเธอระบมอักเสบ ปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก ค่อนข้างติดไปทางขี้โรคด้วยซ้ำ เมื่ออุณหภูมิเย็นกระจายไปทั่วห้อง เสียงมีดกระทบเขียงดังขึ้นแผ่วเบาอย่างเป็นจังหวะ เป็นเหตุให้กล่อมหญิงสาวให้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่อาจฝืนได้อีกต่อไปคิณณ์เงยหน้าจากการเตรียมอาหารหันไปมองเจ้าของห้องอย่างเป็นห่วง กลับพบว่าร่างบางกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดูอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มล้างมือแล้วจึงเดินไปห่มผ้าให้สาวน้อยที่หลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราวเจ้าของนัยน์ตาสีดำเข้มจดจ้องใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มมีความสุขในห้วงแห่งความฝัน ท้องนิ้วสากลูบไล้ตามกรอบหน้าเล็กก่อนที่จะหยุดลงตรงปากกระจับอวบอิ่มสีแดง ลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างหลงใหล ลมหายใจร้อนกระทบหลังมือของเขาจนรู้สึกได้ คิณณ์ท
ลัลน์กับกุลธิดามาถึงศาลก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัวแผ่กระจายความร้อนไปทั่วทุกอณูจนแสบร้อนผิวไปตามๆ กัน หญิงสาวถือเอกสารสำนวนเดินตามกุลธิดาเข้าศาลไป"ลัลน์พี่ฝากไปเลื่อนคดีของเจษที่บัลลังก์ 3 ของท่านณรงค์ให้พี่ที เอาสมุดนัดพี่ไปลงวันให้พี่ด้วยนะ" กุลธิดาไหว้วานพร้อมยื่นเอกสารมาให้เธอเสร็จสรรพก่อนจะเดินจากไปไม่ให้ลัลน์ทักท้วงอันใดได้อีก เสียงข้อความโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมา Pkinn: ลุกขึ้นมากินข้าวหรือยัง?หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นคนที่เธอพยายามหลบหน้าอยู่ในตอนนี้ส่งข้อความมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนกีดกันเธอเองรึไงเธอถึงต้องทำตัวแบบนี้กับเขาไม่กี่อึดใจหญิงสาวนั่งทำใจได้แล้ว สูดลมหายใจเข้าหนักๆ ไม่เข้าไปตอบข้อความของเขา เขากับเธอต่างกันเกินไปเขาเป็นถึงผู้พิพากษาจะมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างเธอทำไมกัน สู้คบกับผู้พิพากษาด้วยกันจะไม่สมฐานะกว่ากันหรือเมื่อลัลน์ทำใจได้แล้วจึงนั่งตรวจเช็คเอกสารที่จะต้องยื่นเซ็นเอกสารตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะทำการยื่นเอกสาร"หู้ยย ท่านนันท์วันนี้ไปทานข้าวกับท่านคิณณ์มาหรือคะ อย่าบอกนะคะว่าคบกันแล้ว" เสียงวีดว้ายดังขึ้นทางด้านหลังเธอ บทสนท
เวลายามเย็นท้องฟ้าปรากฏริ้วสีส้มเป็นสัญญาณว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำมืด เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสั่นอย่างต่อเนื่องหลายสาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ลัลน์ตื่นขึ้นมาได้เลยจนเสียงโทรศัพท์เงียบเสียงลงไป ไม่อาจรู้ได้ว่าปลายสายที่โทรเข้าหาหญิงสาวอาจจะถอดใจไปเสียแล้วก็เป็นได้ เวลาผ่านไปได้ไม่นานท้องฟ้ามืดเป็นเวลา 6 โมงกว่าเสียงเคาะประตูระรัวแรงสั่นไหว ทำให้ลัลน์ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ประตูห้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ หัวใจเต้นสั่นระรัว ไม่รู้ว่าบุคคลใดกระทำอุกอาจเช่นนี้ เสียงบานประตูสั่นไหวจนเธอไม่กล้าเปิดประตูให้คนแปลกหน้า "ไม่ทราบว่าใครคะ?" เสียงแหบสั่นเครือตะโกนถามบานประตูออกไปยังคนบุกรุกให้แจ้งชื่อมา "ทำไมรับโทรศัพท์ฉันห่ะลัลน์ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" คิณณ์ตวาดกร้าวอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่เคยรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยทำให้หัวใจสาวน้อยลิงโลดเต้นรัวเมื่อเขามาหาเธอถึงห้อง "ค่ะๆ จะรีบเปิดเดี๋ยวนี้ค่ะ" ด้วยความเกรงใจข้างห้องกลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาตวาดใส่ จึงรีบกุลีกุจอเปิดประตูห้องอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มเมื่อเจ้าของห้องเปิ
"หนู พี่ขอได้ไหมคะ"เสียงกระซิบแหบพร่าก่อนจะงับใบหูหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนหยอกเย้าสาวน้อยที่ตอนนี้ตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนเขา ปลายจมูกโด่งเป็นสันค่อยๆจรดลงบนพวงแก้มใส สูดดมกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของหญิงสาวกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาให้พุ่งทะยาน ริมฝีปากหยักคลอเคลียไล่ตามตามซอกคอ สร้างความกระสันไปทั่วสรรพางค์กายเรียวปากหยักประกบลงบนปากกระจับกดจูบบดเบียดให้เธอเปิดปากกว้าง ลิ้นยาวตวัดลิ้นส่งเข้ามาในโพรงปากหญิงสาว บดขยี้ปากนุ่มหยุ่นอย่างร้อนแรง ดูดลิ้นสาวน้อยไร้ประสบการณ์เข้ามาในปากแล้วดูดดึงลิ้นน้อยอย่างแนบแน่น จูบของเขาเร่าร้อนราวกับเปลวไฟที่เผาผลาญร่างกายเธอให้ลุกโชนหน้าท้องแบนราบถูไถกับลอนหน้าท้องเป็นมัดของเขารู้สึกได้อย่างเด่นชัดถึงแม้จะมีเสื้อขวางกั้นการสัมผัสนี้ ร่างกายบดเบียดแนบชิดแม้แต่อากาศก็ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ ร่างกายสาวสั่นระริกราวกับลูกนกในอ้อมแขนของเขาคิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก ริมฝีปากยังคงดูดดื่มหาความหวานไม่ผละออก เดินตรงดิ่งไปที่เตียงกว้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมอันร้อนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ บัั้นท้ายกลมกลึงสัมผัสเตียงนอนเอนหลังราบไปกับเตียงตามแรงผลักของช
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน