หญิงสาวลงจากรถหรูเดินไปตามทางอย่างงุนงง เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมที่เขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ หญิงสาวยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเสือยิ้มยากอย่างคิณณ์ส่งยิ้มมาให้เธอ
ลัลน์เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตึกสำนักงาน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมาเช้าเกินไปยังคงไม่มีใครมาไขกุญแจเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้รอพี่ๆมาทำงาน คำถามมากมายผุดพรายเข้ามาในหัวสรุปแล้วคิณณ์จีบเธอใช่หรือไม่ เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากเธอจึงไม่กล้าคิดความสัมพันธ์นี้ไปไกล ไม่ว่าจะฐานะทางสังคมหรือหน้าตาเธอนั้นก็ไม่ควรกันกับเขา ก่อนที่เธอจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ลัลน์เอามือตบแก้มสองข้างเบาๆ เรียกสติของตนให้อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน "น้องลัลน์มาเช้าจังเลยคะวันนี้หรือเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับกลุ้มใจอยากเปลี่ยนสำนักงานแล้ว" หญิงสาวรุ่นพี่ในสำนักงานเอ่ยสัพยอกนักศึกษาสาวตรงหน้า "พี่นกก็เย้าหนูไปเมื่อคืนลัลน์นอนหลับสบายดีค่ะเลยตื่นเช้า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยมาสำนักงานเลยค่ะ" ลัลน์เอ่ยตอบเนตรนภาอย่างกลั้วหัวเราะในความช่างหยอกของพี่เขา ทำให้เธอไม่รู้สึกเกร็งและกดดันมากนัก "อ่ะนี่ ลองเอาสำนวนไปอ่านก่อนว่าเขาร่างฟ้องกันยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้างในการฟ้องคดี ถ้ามีข้อสงสัยอะไรถามพี่ได้เลยนะจ้ะลัลน์ เดี๋ยวพี่ขอตัวทำงานค้างของพี่ก่อน ตอนบ่ายพี่มีไกล่เกลี่ยจะไปดูกับพี่ไหม" เนตรนภาวางสำนวนหลายเล่มวางไว้ตรงหน้าลัลน์ เอ่ยชวนหญิงสาวไปศาลกับตน "ขอบคุณค่ะ ส่วนตอนบ่ายหนูขอรบกวนไปกับพี่นกด้วยนะคะ" ร่างบางเอ่ยอย่างดีใจที่จะได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ ลัลน์วิ่งวุ่นตลอดทั้งวันจนแทบไม่ได้จับโทรศัพท์ วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ข้อเท้าที่ยังไม่ทันหายดีก็มีอาการงอแงเมื่อเจ้าของร่างใช้งานมันหนักไป ใครว่าทำเอกสารแล้วจะสบาย เธอคนหนึ่งขอแย้งเลยว่ามันไม่จริง!!! กว่าหญิงสาวจะว่างนั้นก็เป็นเวลา 5 โมงเย็น มือคว้าโทรศัพท์เช็คข้อความเผื่อมีใครมีเรื่องสำคัญติดต่อมากลับพบแต่เพียงข้อความที่คิณณ์ส่งมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น Pkin: เลิกงานยัง? Lanlalit: ใกล้แล้วค่ะ หนูพึ่งว่างจับโทรศัพท์ คุณไม่ต้องไปส่งหนูก็ได้นะคะ เดี๋ยวหนูนั่งรถกลับไปเอง Pkin: รออยู่ที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ Lanlalit: ขับรถดีๆ นะคะ เห็นข้อความชายหนุ่มแล้วทำเอาความเหนื่อยล้าทั้งวันของเธอหายเป็นปลิดทิ้งราวกับมีเวทมนตร์ ลัลน์นั่งอมยิ้มอ่านข้อความเขาเหมือนได้ยินเสียงเขาลอยมา "ลัลน์กลับยังไง ให้พี่ไปส่งไหม" เมื่อเลิกงานทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตนไปคงเหลือแต่เพียงลัลน์กับเจษฎาที่ยังคงไม่กลับไปพักผ่อน "ไม่เป็นไรค่ะพี่เจษพอดีมีนัดพอดีด้วยไม่รบกวนพี่" "อืม กลับดีล่ะๆ ก่อนกลับอย่าลืมล็อกประตูสำนักงานให้หมดด้วยนะ" "รับทราบค่ะ สวัสดีค่ะพี่เจษ" หญิงสาวลุกขึ้นยืนไหว้ลาผู้ใหญ่อย่างมีมารยาท ลัลน์มองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่คิณณ์จะมารับแล้วจึงปิดสำนักงานลงไปหาชายหนุ่มด้วยใบหน้าเบิกบาน กลับพ่อว่าเขาจอดรถรอเธออยู่หน้าสำนักงานแล้ว "รอหนูนานไหมคะ" หญิงสาวพนมมือไหว้คิณณ์ก่อนเอ่ยปากถามอย่างเกรงใจที่ต้องให้เขามารอ ทั้งๆที่เขาเสียเวลาวนรถมารับเธอ "เปล่า พึ่งถึง" พ่อคนปากหนักประหยัดถ้อยคำเอ่ยตอบเธอ "ความจริงแล้วคุณไม่ต้องมารับหนูก็ได้นะคะ รบกวนกันเสียเปล่าๆ ถึงแม้จะกลับทางเดียวกันก็ตาม" ใบหน้าหวานเอ่ยบอกชายหนุ่มข้างๆอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรกันแถมยังมาดูแลกันแบบนี้ยิ่งทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว "เมื่อไหร่จะเรียกพี่?" เสียงเข้มเอ่ยติดดุเธอที่ไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่เสียที "ตะ แต่ว่า" หญิงสาวก้มหน้างุด ตอบเสียงอ้ำอึ้ง นิ้วเรียวยุกยิกไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก "ไม่มีแต่ค่ะ" ดวงตากลมโตของเธอเบิกโพลงหันไปหาคิณณ์เมื่อได้ยินเขาใช้หางเสียงคะขากับเธอ หัวใจเธอโลดแล่นสูบฉีดเลือดอย่างหนัก เกรงกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวนี้ของเธอ “ค่ะพี่คิณณ์” คนตัวเล็กกลั้นใจอ้อมแอ้มเรียกชายหนุ่มเสียงแผ่วเบา ความรู้สึกแปลกๆ จู่โจมในหัวใจสาวน้อย “เย็นนี้กินข้าวที่ไหน ไปกินกับฉันไหม” เขาเลิกคุยชำเลืองมองเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะไปตลาดซื้อของเข้าตู้เย็นทำกับข้าวกินเอง พี่คิณณ์จะอยู่ทานด้วยกันไหมคะ” ลัลน์เอ่ยปากชวนเขาตอบแทนที่เขาไปรับส่งวันนี้ “ชวนฉันเข้าห้อง?” เอ่ยปากหยอกเย้าสาวน้อยวัยละอ่อนที่เอ่ยปากชวนเขาอย่างหวังดีแต่ไม่ได้คิดถึงว่าคำชวนของตนดูเป็นการเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่ใช่ครอบครัวขึ้นห้องนั้นดูไม่งาม “ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่หมายถึงอยากชวนทานข้าวด้วยกันตอบแทนที่พี่มารับมาส่งค่ะ” หญิงสาวกัดปากตัวเองแรงอย่างเขินอายที่ดูเหมือนชวนชายหนุ่มไปทำอะไรด้วย "หรือจะไปคอนโดฉัน เลือกเอา!" ชายหนุ่มเสนอทางเลือกที่ดูเหมือนจะใจดี หญิงสาวอ้าปากค้างกับข้อเสนอของเขา ถ้าเธอไปคอนโดกับเขาไม่เท่ากับว่าเธอเดินเข้าถ้ำเสือให้เสือตนนี้ขย้ำเล่นหรอกหรือ ถึงแม้เขาจะบอกกันว่าอยากได้ลูกเสือให้เข้าถ้ำเสือ แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ลูกเสือตัวน้อยๆแต่เป็นพญาเสือโคร่งเสียมากกว่า "ไปทานที่ห้องหนูเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ แต่อย่าลืมแวะตลาดให้หนูซื้อของด้วยนะคะ ของหนูหมดตู้แล้ว" ลัลน์เอ่ยย้ำเตือนให้คิณณ์ไม่ลืม "ตลาดที่ไหน?" "แถวหอค่ะ หนูว่าเราไม่ต้องแวะแล้วตรงไปที่หอลัลน์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวหนูขี่รถมอไซค์ไปเองค่ะ" เธอต้องตัดสินใจใหม่เมื่อเธอลืมไปว่ารถที่เธอนั่งมาเป็นรถสปอร์ตหรู คงจะแปลกเป็นที่สนใจน่าดูถ้าไปจอดบริเวณตลาดที่คนฐานะแบบเขาคงไม่มีวันย่างกรายมา "อืม" เมื่อถึงหอพักของหญิงสาว คิณณ์ต้องจอดรถไว้ข้างทางหน้าหอพักเนื่องด้วยข้างในไม่มีที่จอดรถสำหรับคนนอก ชายหนุ่มเดินตามลัลน์ขึ้นห้องไปบนชั้น 3 ของตึก ร่างบางตัวหอบโยนหายใจถี่ยิบเห็นแล้วรู้ได้ว่าเธอไม่ชอบออกกำลังกาย หญิงสาวเปิดประตูห้องเข้าไปภายในห้องนอนสีขาวโพลนได้รับการตกแต่งสไตล์มินิมอลอย่างคุมโทนที่เน้นหนักไปทางเทาเสียมากกว่า สายตาคมกวาดมองสำรวจห้องหญิงสาวอย่างสนใจ เตียงนอนขนาด 5 ฟุตผ้าห่มลายสุนัขพันธุ์ชิบะผืนสีเขียวที่บ่งบอกความชอบได้เป็นอย่างดีว่าเธอชอบสุนัขมากถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ภายในไม่ค่อยมีอะไรนอกจากโต๊ะอ่านหนังสือข้างหัวเตียงและชั้นหนังสือที่วางจัดเรียงอย่างแน่นเอี๊ยดไม่มีช่องว่างให้เพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปอีกได้ ห้องนี้นับว่าแคบมากเมื่อเทียบกับห้องเขาแต่สำหรับเธอแล้วคงจะพอดีสำหรับการอยู่คนเดียว คิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาหน้าประตูรอหญิงสาวที่กำลังกุลีกุจอเก็บของอยู่ด้านในก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถเพื่อไปตลาด แต่ไม่ลืมเปิดแอร์ให้ชายหนุ่มไว้ทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่ค่อยเปิดแอร์เนื่องจากเธอเองเป็นคนขี้หนาวนอกจากหน้าร้อนแล้ว เครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้ใช้งานอีกเลย "พี่คิณณ์คะ เดี๋ยวลัลน์ออกไปตลาดสักครู่ก่อน พี่รอหนูอยู่ในห้องนี้นะคะ หนูไปไม่นาน" เธอรีบเอ่ยกับเขาก่อนที่ตลาดจะวายไปเสียก่อน "ฉันไปด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบลุกขึ้นตามหญิงสาวไป "คะ?" เอ่ยถามเสียงใสอย่างงุนงง ตั้งแต่เธอเจอกับเขามาไม่กี่วันเธอตั้งคำถามกับเขาไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว แล้วเธอจะพ่วงเขาไปตลาดได้หรือไม่หรือจะล้มกันคลุกฝุ่นอยู่ข้างทางเสียก่อน "ช่างสงสัยอะไรนักหนา ไม่รีบไปรึไง" ว่าแล้วก็จูงมือหญิงสาวไปยังลานจอดรถข้างล่าง ก่อนที่ร่างหนาจะพยักหน้าพร้อมเลิกคิ้วให้เธออย่างสื่อว่ารถเธอจอดอยู่ที่ไหน หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันสีขาวใกล้กับประตูทางออก เมื่อเธอกำลังสอดขาก้าวค่อมรถติณณ์คว้ากุญแจรถไว้ก่อนที่จะเป็นฝ่ายสตาร์ทรถพ่วงหญิงสาวเสียเอง "เธอคิดว่าฉันจะให้เธอพ่วงไปรึไง ได้ล้มข้างทางกินฝุ่นกันพอดี" ปากคอเราะร้ายนักนะ ลัลน์บ่นค่อนขอดเขาอยู่ในใจก่อนที่จะก้าวขึ้นนั่งตะแคงข้างให้ชายหนุ่มขี่ไปยังตลาดตามทางที่เธอบอก เมื่อจอดรถเสร็จชายหนุ่มพาเธอเดินท่ามกลางแผงขายอาหารริมทางหญิงสาวกวาดสายตามองอย่างตื่นเต้นอย่างไม่รู้ว่าจะเลือกทานอะไรดี ผู้คนเดินเสียดไปมากันตามทางเดินเล็กแคบ ชายหนุ่มดูเหมือนคนอยู่ผิดที่ผิดทางไม่ว่าจะใบหน้าหล่อเหลาคมคร้าม ร่างสูงกำยำที่ใหญ่โตกว่าชาวบ้านนัก ช่างดูโดดเด่นสะดุดตาผู้คนยิ่งนัก ดีที่เขานั้นถอดสูทถอดเน็คไทด์ออกไปแล้วไม่ฉะนั้นแล้วสาวๆตลอดข้างทางที่จ้องตาเขาเป็นมันจะพากันเอ่อล้นตลาดอย่างแน่แท้ กลิ่นหอมของอาหารชวนให้หญิงสาวหิวจนท้องร้องแต่ต้องตัดใจ เป็นฝ่ายเดินนำจูงมือชายหนุ่มไปเลือกซื้อผักด้วยกัน "พี่คิณณ์อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ" ลัลน์หันไปถามคิณณ์เมื่อเห็นเขาเดินกลับมาพร้อมถุงหิ้วในมือหลายใบ "เธอทำอะไรให้ฉันกินหมดนั่นล่ะ" "แล้วซื้ออะไรมาเต็มไม้เต็มมือเลยคะ หรือว่าพี่ซื้อกลับคอนโด" เมื่อเห็นว่าคิณณ์ไม่ตอบรับอะไรเธอจึงเลือกซื้อผักของเธอต่อไปโดยไม่ได้สนใจเขาอีก "ทั้งหมด 334 บาทจ้ะ" เธอกำลังจะยื่นเงินจ่ายตังต้องพลันชะงักเมื่อคิณณ์ยื่นธนบัตรสีเทาตัดหน้าเธอไป "พี่คิณณ์!" คิณณ์รับถุงผักมาถืออย่างไม่หยีระกับเสียงแหวของลัลน์ พาเธอเดินไปซื้อปีกไก่ทอดที่หอมจนโชยกลิ่นให้หญิงสาวน้ำลายสอเมื่อมาถึงตลาดในตอนแรก แสงไฟสว่างจากโคมไฟกระดาษเปิดขึ้นตลอดทางเดินเมื่อเป็นเวลาพลบค่ำ เสียงตะหลิวขูดกะทะไฟลุกโชน เสียงเนื้อกำลังถูกย่างทำให้หญิงสาวต้องซื้อติดไม้ติดมื้อมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย และคนจ่ายเงินให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนพ่อหนุ่มที่เดินถือของตามเธอต้อยๆ อย่างไม่อินังขังขอบ นี่คงเป็นการเดินตลาดเลือกซื้อของที่เธอมีความสุขตลอดอายุ 21 ปี เมื่อมาถึงห้องลัลน์จึงเตรียมตัวไปทำอาหาร แต่ข้อมือเล็กนั้นกลับถูกรั้งโดยคนตัวโต คิณณ์ช้อนตัวหญิงสาวขึ้นแนบอกก่อนจะวางเธอไว้บนโซฟา "อ๊ะ จะ เจ็บค่ะ ปล่อยเท้าหนูนะคะ" คิณณ์หาได้สนใจเสียงห้ามปรามของเธอเลยไม่ จับข้อเท้าแดงช้ำขึ้นพาดขาตนเอง ถอดผ้าพันแผลที่พันตั้งแต่เช้าแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยก่อนจะทายาทำแผลพันข้อเท้าให้เธอใหม่ ลัลน์มองเสี้ยวใบหน้าคมอย่างเผลอไผล อบอุ่นหัวใจไปกับความอ่อนโยนของคิณณ์ในการช่างสังเกตว่าเธอเดินกระเผลก มือหนาใหญ่ที่กำลังพันผ้านั้นทำให้เท้าหญิงสาวดูเล็กไปถนัดตา คิณณ์พันผ้าเสร็จจึงลุกไปล้างมือในห้องน้ำ ลัลน์ยังคงได้แต่นั่งเหม่อลอยมองแผ่นหลังแกร่งชายหนุ่ม เสียงหม้อข้าวดีดตัวเป็นสัญญาณว่าข้าวสุกแล้ว ทำให้หญิงสาวได้สติลุกขึ้นไปทำกับข้าวให้เขาได้ทาน ลัลน์ก้าวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงชายหนุ่มก็ดังไล่หลังมา "อย่าดื้อ! ไปนั่งพักให้ดีๆ เดี๋ยวฉันทำเอง" คิณณ์กดหญิงสาวนั่งบนโซฟาสั่งเสียงเรียบให้หญิงสาวนั่งรอทานข้าวเฉยๆ "คนบ้า ทำแบบนี้จะไม่ให้หนูรักได้ยังไง" ลัลน์รำพึงรำพันกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเป็นประกายเปื้อนรอยยิ้มฉายชัดอย่างมีความสุขลัลน์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร แขนเสื้อถูกพับอย่างเรียบร้อยอวดแขนแกร่ง เส้นเลือดที่แขนเปล่งชัดอย่างน่าหลงใหลซึ่งในยามปกติแล้วถูกปกปิดอยู่ภายใต้ชุดครุยผู้พิพากษาหรือสูทของเขาที่บดบังมัดกล้ามคงน้อยคนนักที่จะได้เห็นคิณณ์ในลุคนี้หญิงสาวรู้สึกเปลือกตาหนัก ความง่วงงุนกำลังเข้าจู่โจมลัลน์ วันทั้งวันเธอแทบจะไม่ได้พักส่งผลให้ข้อเท้าเธอระบมอักเสบ ปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก ค่อนข้างติดไปทางขี้โรคด้วยซ้ำ เมื่ออุณหภูมิเย็นกระจายไปทั่วห้อง เสียงมีดกระทบเขียงดังขึ้นแผ่วเบาอย่างเป็นจังหวะ เป็นเหตุให้กล่อมหญิงสาวให้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่อาจฝืนได้อีกต่อไปคิณณ์เงยหน้าจากการเตรียมอาหารหันไปมองเจ้าของห้องอย่างเป็นห่วง กลับพบว่าร่างบางกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดูอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มล้างมือแล้วจึงเดินไปห่มผ้าให้สาวน้อยที่หลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราวเจ้าของนัยน์ตาสีดำเข้มจดจ้องใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มมีความสุขในห้วงแห่งความฝัน ท้องนิ้วสากลูบไล้ตามกรอบหน้าเล็กก่อนที่จะหยุดลงตรงปากกระจับอวบอิ่มสีแดง ลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างหลงใหล ลมหายใจร้อนกระทบหลังมือของเขาจนรู้สึกได้ คิณณ์ท
ลัลน์กับกุลธิดามาถึงศาลก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัวแผ่กระจายความร้อนไปทั่วทุกอณูจนแสบร้อนผิวไปตามๆ กัน หญิงสาวถือเอกสารสำนวนเดินตามกุลธิดาเข้าศาลไป"ลัลน์พี่ฝากไปเลื่อนคดีของเจษที่บัลลังก์ 3 ของท่านณรงค์ให้พี่ที เอาสมุดนัดพี่ไปลงวันให้พี่ด้วยนะ" กุลธิดาไหว้วานพร้อมยื่นเอกสารมาให้เธอเสร็จสรรพก่อนจะเดินจากไปไม่ให้ลัลน์ทักท้วงอันใดได้อีก เสียงข้อความโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมา Pkinn: ลุกขึ้นมากินข้าวหรือยัง?หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นคนที่เธอพยายามหลบหน้าอยู่ในตอนนี้ส่งข้อความมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนกีดกันเธอเองรึไงเธอถึงต้องทำตัวแบบนี้กับเขาไม่กี่อึดใจหญิงสาวนั่งทำใจได้แล้ว สูดลมหายใจเข้าหนักๆ ไม่เข้าไปตอบข้อความของเขา เขากับเธอต่างกันเกินไปเขาเป็นถึงผู้พิพากษาจะมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างเธอทำไมกัน สู้คบกับผู้พิพากษาด้วยกันจะไม่สมฐานะกว่ากันหรือเมื่อลัลน์ทำใจได้แล้วจึงนั่งตรวจเช็คเอกสารที่จะต้องยื่นเซ็นเอกสารตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะทำการยื่นเอกสาร"หู้ยย ท่านนันท์วันนี้ไปทานข้าวกับท่านคิณณ์มาหรือคะ อย่าบอกนะคะว่าคบกันแล้ว" เสียงวีดว้ายดังขึ้นทางด้านหลังเธอ บทสนท
เวลายามเย็นท้องฟ้าปรากฏริ้วสีส้มเป็นสัญญาณว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำมืด เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสั่นอย่างต่อเนื่องหลายสาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ลัลน์ตื่นขึ้นมาได้เลยจนเสียงโทรศัพท์เงียบเสียงลงไป ไม่อาจรู้ได้ว่าปลายสายที่โทรเข้าหาหญิงสาวอาจจะถอดใจไปเสียแล้วก็เป็นได้ เวลาผ่านไปได้ไม่นานท้องฟ้ามืดเป็นเวลา 6 โมงกว่าเสียงเคาะประตูระรัวแรงสั่นไหว ทำให้ลัลน์ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ประตูห้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ หัวใจเต้นสั่นระรัว ไม่รู้ว่าบุคคลใดกระทำอุกอาจเช่นนี้ เสียงบานประตูสั่นไหวจนเธอไม่กล้าเปิดประตูให้คนแปลกหน้า "ไม่ทราบว่าใครคะ?" เสียงแหบสั่นเครือตะโกนถามบานประตูออกไปยังคนบุกรุกให้แจ้งชื่อมา "ทำไมรับโทรศัพท์ฉันห่ะลัลน์ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" คิณณ์ตวาดกร้าวอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่เคยรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยทำให้หัวใจสาวน้อยลิงโลดเต้นรัวเมื่อเขามาหาเธอถึงห้อง "ค่ะๆ จะรีบเปิดเดี๋ยวนี้ค่ะ" ด้วยความเกรงใจข้างห้องกลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาตวาดใส่ จึงรีบกุลีกุจอเปิดประตูห้องอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มเมื่อเจ้าของห้องเปิ
"หนู พี่ขอได้ไหมคะ"เสียงกระซิบแหบพร่าก่อนจะงับใบหูหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนหยอกเย้าสาวน้อยที่ตอนนี้ตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนเขา ปลายจมูกโด่งเป็นสันค่อยๆจรดลงบนพวงแก้มใส สูดดมกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของหญิงสาวกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาให้พุ่งทะยาน ริมฝีปากหยักคลอเคลียไล่ตามตามซอกคอ สร้างความกระสันไปทั่วสรรพางค์กายเรียวปากหยักประกบลงบนปากกระจับกดจูบบดเบียดให้เธอเปิดปากกว้าง ลิ้นยาวตวัดลิ้นส่งเข้ามาในโพรงปากหญิงสาว บดขยี้ปากนุ่มหยุ่นอย่างร้อนแรง ดูดลิ้นสาวน้อยไร้ประสบการณ์เข้ามาในปากแล้วดูดดึงลิ้นน้อยอย่างแนบแน่น จูบของเขาเร่าร้อนราวกับเปลวไฟที่เผาผลาญร่างกายเธอให้ลุกโชนหน้าท้องแบนราบถูไถกับลอนหน้าท้องเป็นมัดของเขารู้สึกได้อย่างเด่นชัดถึงแม้จะมีเสื้อขวางกั้นการสัมผัสนี้ ร่างกายบดเบียดแนบชิดแม้แต่อากาศก็ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ ร่างกายสาวสั่นระริกราวกับลูกนกในอ้อมแขนของเขาคิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก ริมฝีปากยังคงดูดดื่มหาความหวานไม่ผละออก เดินตรงดิ่งไปที่เตียงกว้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมอันร้อนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ บัั้นท้ายกลมกลึงสัมผัสเตียงนอนเอนหลังราบไปกับเตียงตามแรงผลักของช
ลัลน์นัยน์ตาเบิกโพลงแทบถลนกับความใหญ่โตของเขา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นมันครั้งแรกแต่ตอนนั้นแสงไฟสลัวภายในห้องน้ำผับ ทำให้เธอไม่อาจเห็นขนาดลำเอ็นของเขาได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นเธอว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าข้อมือเธอ เพียงแค่นั้นเธอก็ตกใจมากพอแล้วแต่ในวันนี้เธอได้เห็นมันอีกครั้ง!!!ลำเอ็นเขื่องใหญ่โตน้ำใสซึมเต็มปลายลำลึงค์สีเข้มในมือเล็กผงกหัวให้ราวกับทักทาย หญิงสาวใบหน้าเหยเกจ้องมองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเกรงว่าเจ้าสิ่งนี้คงไม่อาจเข้ามาในตัวเธอได้เป็นแน่"น้องชายพี่หนาวต้องการความอบอุ่น หนูพอจะช่วยคลายหนาวให้น้องชายพี่ได้ไหมคะ" ชายร่างใหญ่กำยำกลับส่งสายตาอ้อนวอนจนเธอสงสาร แต่ใจเธอหวาดหวั่นท่อนเหล็กที่แข็งชูชันอยู่ในมือเธอตอนนี้ยิ่งนักขณะหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิด คิณณ์รูดซิปถอดกระโปรงผ่านขาเรียว ร่างกายขาวผ่องเนียนละเอียดสู่แสงไฟพลันปรากฏสู่สายตา เอวบางคอดรับสะโพกผายอวบอิ่ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างกระหายเมื่อเห็นเรือนร่างอันงดงามของเธอร่างกำยำคร่อมร่างสาวน้อยไร้ประสบการณ์ ร่างกายสั่นเทาราวกับลูกกวางพบราชสีห์จ้องเขมือบ มือหนาเลื่อนบีบบั้นท้ายกลมกลึงอย่างอดใจไม่ไหว ก่อนขายาวของคิณณ์แทรกตัวเข
"ใครบอกจะทำรอบเดียว?" ท่อนเอ็นหนาในกายจากที่สิ้นฤทธิ์ บัดนี้พองขยายคับแน่นช่องคลอดหญิงสาวพร้อมออกรบสู้ศึกอีกครั้ง"อ๊ะ หนูไม่ไหวแล้วมันเจ็บ""สัญญาจะทำเบาๆ"คิณณ์จับร่างบางพลิกคว่ำ มือเลื่อนจับสะโพกหญิงสาวตั้งขาชันขึ้น ค่อยๆบดเบียดลำเอ็นเขื่องจนสุดโคนกระทุ้งจูบปากมดลูกเบาๆ แต่ทำเอาเธอสมองโพลนดวงตาพร่ามัว รู้สึกจุกแน่นท้องน้อยยิ่งกว่าท่าก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาร้อนพราวราวกับเป็นไข้ จับดวงหน้าหวานเย้ายวนมาประกบจูบปลุกเร้าอารมณ์เธอให้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง"ลัลน์เธอแน่นมาก" โพรงเนื้อสาวนุ่มตอดรัดแก่นกายชายหนุ่มราวกับไม่ให้ถอดลำลึงค์ออกจากดอกไม้งาม เส้นความอดทนขัดผึงลง คิณณ์ถอดถอนลำกายเกือบสุดปลายก่อนกระแทกสะโพกสอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว สองมือจับสะโพกผายอวบอิ่มตรึงไว้มั่น รองรับแรงเสน่หาที่กำลังซอยดุ้นเนื้อเข้าออกราวกับตอกเสาเข็มพลั่บ พลั่บ พลั่บเสียงการร่วมสังวาสดังลั่นภายในห้องเล็กอีกครั้ง ความเสียวเกินบรรยายแผดเผาหญิงสาวให้จมอยู่กับไฟเสน่หาที่เขาเป็นคนจุดเติมเชื้อเพลิงให้โหมกระหน่ำสะโพกสอบยังคงโหมกระแทกเข้ามาไม่หยุดยั้งเมื่อความต้องการจะขีดสุดลืมสัญญาครั้งก่อนจะเริ่มเพลิงสวาทบทใหม่
ร่างบางลุกขึ้นเดินเชื่องช้าด้วยยังเจ็บระบมกลางกาย เมื่อคว้าผ้าขนหนูได้จึงค่อยๆเดินนวยนาดไปยังห้องน้ำ ตอนนี้เธอรู้สึกเหนียวตัวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมาจากสำนักงานเธอยังไม่ได้อาบน้ำไหนตกเย็นมาเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาอีกยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าลัลน์ดึงผมยาวที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการโรมรันทำกิจกรรมบนเตียงมือบางเอื้อมหยิบกิ๊บหนีบผมมาหนีบให้อยู่ทรงสะดวกต่อการอาบน้ำ มือเล็กเปิดฝักบัวความเย็นจากน้ำที่ไหลลงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจับไข้มากกว่าสบายตัวอย่างที่ควรจะเป็น“ว้าย พี่คิณณ์คะรบกวนพี่ออกไปก่อนหนูโป๊อยู่” คิณณ์เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายกำยำที่ในปกติแล้วซ่อนอยู่ภายใต้ชุดทำงานตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นตึงเป็นลอนใหญ่ชัดเจน นูนขึ้นอย่างสมส่วนราวกับถูกแกะสลักด้วยมือของประติมากร ไหล่กว้างและลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งออร่าของความแข็งแกร่งที่ยากจะละสายตา “ขนาดนี้แล้วยังอายอะไรอีก” ชายหนุ่มหาได้ฟังคำทัดทานไม่ กลับสาวขายาวก้าวเข้ามายิ่งเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันเป็นแผงชัดเจน ไล่ลงมาสู่หน้าท้องทรงตัววีที่เด่นชัด ร่องกล้ามเ
เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์"หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น"หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ"แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่""ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน