หญิงสาวลงจากรถหรูเดินไปตามทางอย่างงุนงง เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมที่เขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ หญิงสาวยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเสือยิ้มยากอย่างคิณณ์ส่งยิ้มมาให้เธอ
ลัลน์เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตึกสำนักงาน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมาเช้าเกินไปยังคงไม่มีใครมาไขกุญแจเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้รอพี่ๆมาทำงาน คำถามมากมายผุดพรายเข้ามาในหัวสรุปแล้วคิณณ์จีบเธอใช่หรือไม่ เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากเธอจึงไม่กล้าคิดความสัมพันธ์นี้ไปไกล ไม่ว่าจะฐานะทางสังคมหรือหน้าตาเธอนั้นก็ไม่ควรกันกับเขา ก่อนที่เธอจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ลัลน์เอามือตบแก้มสองข้างเบาๆ เรียกสติของตนให้อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน "น้องลัลน์มาเช้าจังเลยคะวันนี้หรือเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับกลุ้มใจอยากเปลี่ยนสำนักงานแล้ว" หญิงสาวรุ่นพี่ในสำนักงานเอ่ยสัพยอกนักศึกษาสาวตรงหน้า "พี่นกก็เย้าหนูไปเมื่อคืนลัลน์นอนหลับสบายดีค่ะเลยตื่นเช้า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยมาสำนักงานเลยค่ะ" ลัลน์เอ่ยตอบเนตรนภาอย่างกลั้วหัวเราะในความช่างหยอกของพี่เขา ทำให้เธอไม่รู้สึกเกร็งและกดดันมากนัก "อ่ะนี่ ลองเอาสำนวนไปอ่านก่อนว่าเขาร่างฟ้องกันยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้างในการฟ้องคดี ถ้ามีข้อสงสัยอะไรถามพี่ได้เลยนะจ้ะลัลน์ เดี๋ยวพี่ขอตัวทำงานค้างของพี่ก่อน ตอนบ่ายพี่มีไกล่เกลี่ยจะไปดูกับพี่ไหม" เนตรนภาวางสำนวนหลายเล่มวางไว้ตรงหน้าลัลน์ เอ่ยชวนหญิงสาวไปศาลกับตน "ขอบคุณค่ะ ส่วนตอนบ่ายหนูขอรบกวนไปกับพี่นกด้วยนะคะ" ร่างบางเอ่ยอย่างดีใจที่จะได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ ลัลน์วิ่งวุ่นตลอดทั้งวันจนแทบไม่ได้จับโทรศัพท์ วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ข้อเท้าที่ยังไม่ทันหายดีก็มีอาการงอแงเมื่อเจ้าของร่างใช้งานมันหนักไป ใครว่าทำเอกสารแล้วจะสบาย เธอคนหนึ่งขอแย้งเลยว่ามันไม่จริง!!! กว่าหญิงสาวจะว่างนั้นก็เป็นเวลา 5 โมงเย็น มือคว้าโทรศัพท์เช็คข้อความเผื่อมีใครมีเรื่องสำคัญติดต่อมากลับพบแต่เพียงข้อความที่คิณณ์ส่งมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น Pkin: เลิกงานยัง? Lanlalit: ใกล้แล้วค่ะ หนูพึ่งว่างจับโทรศัพท์ คุณไม่ต้องไปส่งหนูก็ได้นะคะ เดี๋ยวหนูนั่งรถกลับไปเอง Pkin: รออยู่ที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ Lanlalit: ขับรถดีๆ นะคะ เห็นข้อความชายหนุ่มแล้วทำเอาความเหนื่อยล้าทั้งวันของเธอหายเป็นปลิดทิ้งราวกับมีเวทมนตร์ ลัลน์นั่งอมยิ้มอ่านข้อความเขาเหมือนได้ยินเสียงเขาลอยมา "ลัลน์กลับยังไง ให้พี่ไปส่งไหม" เมื่อเลิกงานทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตนไปคงเหลือแต่เพียงลัลน์กับเจษฎาที่ยังคงไม่กลับไปพักผ่อน "ไม่เป็นไรค่ะพี่เจษพอดีมีนัดพอดีด้วยไม่รบกวนพี่" "อืม กลับดีล่ะๆ ก่อนกลับอย่าลืมล็อกประตูสำนักงานให้หมดด้วยนะ" "รับทราบค่ะ สวัสดีค่ะพี่เจษ" หญิงสาวลุกขึ้นยืนไหว้ลาผู้ใหญ่อย่างมีมารยาท ลัลน์มองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่คิณณ์จะมารับแล้วจึงปิดสำนักงานลงไปหาชายหนุ่มด้วยใบหน้าเบิกบาน กลับพ่อว่าเขาจอดรถรอเธออยู่หน้าสำนักงานแล้ว "รอหนูนานไหมคะ" หญิงสาวพนมมือไหว้คิณณ์ก่อนเอ่ยปากถามอย่างเกรงใจที่ต้องให้เขามารอ ทั้งๆที่เขาเสียเวลาวนรถมารับเธอ "เปล่า พึ่งถึง" พ่อคนปากหนักประหยัดถ้อยคำเอ่ยตอบเธอ "ความจริงแล้วคุณไม่ต้องมารับหนูก็ได้นะคะ รบกวนกันเสียเปล่าๆ ถึงแม้จะกลับทางเดียวกันก็ตาม" ใบหน้าหวานเอ่ยบอกชายหนุ่มข้างๆอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรกันแถมยังมาดูแลกันแบบนี้ยิ่งทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว "เมื่อไหร่จะเรียกพี่?" เสียงเข้มเอ่ยติดดุเธอที่ไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่เสียที "ตะ แต่ว่า" หญิงสาวก้มหน้างุด ตอบเสียงอ้ำอึ้ง นิ้วเรียวยุกยิกไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก "ไม่มีแต่ค่ะ" ดวงตากลมโตของเธอเบิกโพลงหันไปหาคิณณ์เมื่อได้ยินเขาใช้หางเสียงคะขากับเธอ หัวใจเธอโลดแล่นสูบฉีดเลือดอย่างหนัก เกรงกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวนี้ของเธอ “ค่ะพี่คิณณ์” คนตัวเล็กกลั้นใจอ้อมแอ้มเรียกชายหนุ่มเสียงแผ่วเบา ความรู้สึกแปลกๆ จู่โจมในหัวใจสาวน้อย “เย็นนี้กินข้าวที่ไหน ไปกินกับฉันไหม” เขาเลิกคุยชำเลืองมองเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะไปตลาดซื้อของเข้าตู้เย็นทำกับข้าวกินเอง พี่คิณณ์จะอยู่ทานด้วยกันไหมคะ” ลัลน์เอ่ยปากชวนเขาตอบแทนที่เขาไปรับส่งวันนี้ “ชวนฉันเข้าห้อง?” เอ่ยปากหยอกเย้าสาวน้อยวัยละอ่อนที่เอ่ยปากชวนเขาอย่างหวังดีแต่ไม่ได้คิดถึงว่าคำชวนของตนดูเป็นการเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่ใช่ครอบครัวขึ้นห้องนั้นดูไม่งาม “ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่หมายถึงอยากชวนทานข้าวด้วยกันตอบแทนที่พี่มารับมาส่งค่ะ” หญิงสาวกัดปากตัวเองแรงอย่างเขินอายที่ดูเหมือนชวนชายหนุ่มไปทำอะไรด้วย "หรือจะไปคอนโดฉัน เลือกเอา!" ชายหนุ่มเสนอทางเลือกที่ดูเหมือนจะใจดี หญิงสาวอ้าปากค้างกับข้อเสนอของเขา ถ้าเธอไปคอนโดกับเขาไม่เท่ากับว่าเธอเดินเข้าถ้ำเสือให้เสือตนนี้ขย้ำเล่นหรอกหรือ ถึงแม้เขาจะบอกกันว่าอยากได้ลูกเสือให้เข้าถ้ำเสือ แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ลูกเสือตัวน้อยๆแต่เป็นพญาเสือโคร่งเสียมากกว่า "ไปทานที่ห้องหนูเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ แต่อย่าลืมแวะตลาดให้หนูซื้อของด้วยนะคะ ของหนูหมดตู้แล้ว" ลัลน์เอ่ยย้ำเตือนให้คิณณ์ไม่ลืม "ตลาดที่ไหน?" "แถวหอค่ะ หนูว่าเราไม่ต้องแวะแล้วตรงไปที่หอลัลน์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวหนูขี่รถมอไซค์ไปเองค่ะ" เธอต้องตัดสินใจใหม่เมื่อเธอลืมไปว่ารถที่เธอนั่งมาเป็นรถสปอร์ตหรู คงจะแปลกเป็นที่สนใจน่าดูถ้าไปจอดบริเวณตลาดที่คนฐานะแบบเขาคงไม่มีวันย่างกรายมา "อืม" เมื่อถึงหอพักของหญิงสาว คิณณ์ต้องจอดรถไว้ข้างทางหน้าหอพักเนื่องด้วยข้างในไม่มีที่จอดรถสำหรับคนนอก ชายหนุ่มเดินตามลัลน์ขึ้นห้องไปบนชั้น 3 ของตึก ร่างบางตัวหอบโยนหายใจถี่ยิบเห็นแล้วรู้ได้ว่าเธอไม่ชอบออกกำลังกาย หญิงสาวเปิดประตูห้องเข้าไปภายในห้องนอนสีขาวโพลนได้รับการตกแต่งสไตล์มินิมอลอย่างคุมโทนที่เน้นหนักไปทางเทาเสียมากกว่า สายตาคมกวาดมองสำรวจห้องหญิงสาวอย่างสนใจ เตียงนอนขนาด 5 ฟุตผ้าห่มลายสุนัขพันธุ์ชิบะผืนสีเขียวที่บ่งบอกความชอบได้เป็นอย่างดีว่าเธอชอบสุนัขมากถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ภายในไม่ค่อยมีอะไรนอกจากโต๊ะอ่านหนังสือข้างหัวเตียงและชั้นหนังสือที่วางจัดเรียงอย่างแน่นเอี๊ยดไม่มีช่องว่างให้เพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปอีกได้ ห้องนี้นับว่าแคบมากเมื่อเทียบกับห้องเขาแต่สำหรับเธอแล้วคงจะพอดีสำหรับการอยู่คนเดียว คิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาหน้าประตูรอหญิงสาวที่กำลังกุลีกุจอเก็บของอยู่ด้านในก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถเพื่อไปตลาด แต่ไม่ลืมเปิดแอร์ให้ชายหนุ่มไว้ทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่ค่อยเปิดแอร์เนื่องจากเธอเองเป็นคนขี้หนาวนอกจากหน้าร้อนแล้ว เครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้ใช้งานอีกเลย "พี่คิณณ์คะ เดี๋ยวลัลน์ออกไปตลาดสักครู่ก่อน พี่รอหนูอยู่ในห้องนี้นะคะ หนูไปไม่นาน" เธอรีบเอ่ยกับเขาก่อนที่ตลาดจะวายไปเสียก่อน "ฉันไปด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบลุกขึ้นตามหญิงสาวไป "คะ?" เอ่ยถามเสียงใสอย่างงุนงง ตั้งแต่เธอเจอกับเขามาไม่กี่วันเธอตั้งคำถามกับเขาไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว แล้วเธอจะพ่วงเขาไปตลาดได้หรือไม่หรือจะล้มกันคลุกฝุ่นอยู่ข้างทางเสียก่อน "ช่างสงสัยอะไรนักหนา ไม่รีบไปรึไง" ว่าแล้วก็จูงมือหญิงสาวไปยังลานจอดรถข้างล่าง ก่อนที่ร่างหนาจะพยักหน้าพร้อมเลิกคิ้วให้เธออย่างสื่อว่ารถเธอจอดอยู่ที่ไหน หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันสีขาวใกล้กับประตูทางออก เมื่อเธอกำลังสอดขาก้าวค่อมรถติณณ์คว้ากุญแจรถไว้ก่อนที่จะเป็นฝ่ายสตาร์ทรถพ่วงหญิงสาวเสียเอง "เธอคิดว่าฉันจะให้เธอพ่วงไปรึไง ได้ล้มข้างทางกินฝุ่นกันพอดี" ปากคอเราะร้ายนักนะ ลัลน์บ่นค่อนขอดเขาอยู่ในใจก่อนที่จะก้าวขึ้นนั่งตะแคงข้างให้ชายหนุ่มขี่ไปยังตลาดตามทางที่เธอบอก เมื่อจอดรถเสร็จชายหนุ่มพาเธอเดินท่ามกลางแผงขายอาหารริมทางหญิงสาวกวาดสายตามองอย่างตื่นเต้นอย่างไม่รู้ว่าจะเลือกทานอะไรดี ผู้คนเดินเสียดไปมากันตามทางเดินเล็กแคบ ชายหนุ่มดูเหมือนคนอยู่ผิดที่ผิดทางไม่ว่าจะใบหน้าหล่อเหลาคมคร้าม ร่างสูงกำยำที่ใหญ่โตกว่าชาวบ้านนัก ช่างดูโดดเด่นสะดุดตาผู้คนยิ่งนัก ดีที่เขานั้นถอดสูทถอดเน็คไทด์ออกไปแล้วไม่ฉะนั้นแล้วสาวๆตลอดข้างทางที่จ้องตาเขาเป็นมันจะพากันเอ่อล้นตลาดอย่างแน่แท้ กลิ่นหอมของอาหารชวนให้หญิงสาวหิวจนท้องร้องแต่ต้องตัดใจ เป็นฝ่ายเดินนำจูงมือชายหนุ่มไปเลือกซื้อผักด้วยกัน "พี่คิณณ์อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ" ลัลน์หันไปถามคิณณ์เมื่อเห็นเขาเดินกลับมาพร้อมถุงหิ้วในมือหลายใบ "เธอทำอะไรให้ฉันกินหมดนั่นล่ะ" "แล้วซื้ออะไรมาเต็มไม้เต็มมือเลยคะ หรือว่าพี่ซื้อกลับคอนโด" เมื่อเห็นว่าคิณณ์ไม่ตอบรับอะไรเธอจึงเลือกซื้อผักของเธอต่อไปโดยไม่ได้สนใจเขาอีก "ทั้งหมด 334 บาทจ้ะ" เธอกำลังจะยื่นเงินจ่ายตังต้องพลันชะงักเมื่อคิณณ์ยื่นธนบัตรสีเทาตัดหน้าเธอไป "พี่คิณณ์!" คิณณ์รับถุงผักมาถืออย่างไม่หยีระกับเสียงแหวของลัลน์ พาเธอเดินไปซื้อปีกไก่ทอดที่หอมจนโชยกลิ่นให้หญิงสาวน้ำลายสอเมื่อมาถึงตลาดในตอนแรก แสงไฟสว่างจากโคมไฟกระดาษเปิดขึ้นตลอดทางเดินเมื่อเป็นเวลาพลบค่ำ เสียงตะหลิวขูดกะทะไฟลุกโชน เสียงเนื้อกำลังถูกย่างทำให้หญิงสาวต้องซื้อติดไม้ติดมื้อมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย และคนจ่ายเงินให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนพ่อหนุ่มที่เดินถือของตามเธอต้อยๆ อย่างไม่อินังขังขอบ นี่คงเป็นการเดินตลาดเลือกซื้อของที่เธอมีความสุขตลอดอายุ 21 ปี เมื่อมาถึงห้องลัลน์จึงเตรียมตัวไปทำอาหาร แต่ข้อมือเล็กนั้นกลับถูกรั้งโดยคนตัวโต คิณณ์ช้อนตัวหญิงสาวขึ้นแนบอกก่อนจะวางเธอไว้บนโซฟา "อ๊ะ จะ เจ็บค่ะ ปล่อยเท้าหนูนะคะ" คิณณ์หาได้สนใจเสียงห้ามปรามของเธอเลยไม่ จับข้อเท้าแดงช้ำขึ้นพาดขาตนเอง ถอดผ้าพันแผลที่พันตั้งแต่เช้าแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยก่อนจะทายาทำแผลพันข้อเท้าให้เธอใหม่ ลัลน์มองเสี้ยวใบหน้าคมอย่างเผลอไผล อบอุ่นหัวใจไปกับความอ่อนโยนของคิณณ์ในการช่างสังเกตว่าเธอเดินกระเผลก มือหนาใหญ่ที่กำลังพันผ้านั้นทำให้เท้าหญิงสาวดูเล็กไปถนัดตา คิณณ์พันผ้าเสร็จจึงลุกไปล้างมือในห้องน้ำ ลัลน์ยังคงได้แต่นั่งเหม่อลอยมองแผ่นหลังแกร่งชายหนุ่ม เสียงหม้อข้าวดีดตัวเป็นสัญญาณว่าข้าวสุกแล้ว ทำให้หญิงสาวได้สติลุกขึ้นไปทำกับข้าวให้เขาได้ทาน ลัลน์ก้าวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงชายหนุ่มก็ดังไล่หลังมา "อย่าดื้อ! ไปนั่งพักให้ดีๆ เดี๋ยวฉันทำเอง" คิณณ์กดหญิงสาวนั่งบนโซฟาสั่งเสียงเรียบให้หญิงสาวนั่งรอทานข้าวเฉยๆ "คนบ้า ทำแบบนี้จะไม่ให้หนูรักได้ยังไง" ลัลน์รำพึงรำพันกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเป็นประกายเปื้อนรอยยิ้มฉายชัดอย่างมีความสุขลัลน์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร แขนเสื้อถูกพับอย่างเรียบร้อยอวดแขนแกร่ง เส้นเลือดที่แขนเปล่งชัดอย่างน่าหลงใหลซึ่งในยามปกติแล้วถูกปกปิดอยู่ภายใต้ชุดครุยผู้พิพากษาหรือสูทของเขาที่บดบังมัดกล้ามคงน้อยคนนักที่จะได้เห็นคิณณ์ในลุคนี้หญิงสาวรู้สึกเปลือกตาหนัก ความง่วงงุนกำลังเข้าจู่โจมลัลน์ วันทั้งวันเธอแทบจะไม่ได้พักส่งผลให้ข้อเท้าเธอระบมอักเสบ ปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก ค่อนข้างติดไปทางขี้โรคด้วยซ้ำ เมื่ออุณหภูมิเย็นกระจายไปทั่วห้อง เสียงมีดกระทบเขียงดังขึ้นแผ่วเบาอย่างเป็นจังหวะ เป็นเหตุให้กล่อมหญิงสาวให้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่อาจฝืนได้อีกต่อไปคิณณ์เงยหน้าจากการเตรียมอาหารหันไปมองเจ้าของห้องอย่างเป็นห่วง กลับพบว่าร่างบางกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดูอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มล้างมือแล้วจึงเดินไปห่มผ้าให้สาวน้อยที่หลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราวเจ้าของนัยน์ตาสีดำเข้มจดจ้องใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มมีความสุขในห้วงแห่งความฝัน ท้องนิ้วสากลูบไล้ตามกรอบหน้าเล็กก่อนที่จะหยุดลงตรงปากกระจับอวบอิ่มสีแดง ลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างหลงใหล ลมหายใจร้อนกระทบหลังมือของเขาจนรู้สึกได้ คิณณ์ท
ลัลน์กับกุลธิดามาถึงศาลก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัวแผ่กระจายความร้อนไปทั่วทุกอณูจนแสบร้อนผิวไปตามๆ กัน หญิงสาวถือเอกสารสำนวนเดินตามกุลธิดาเข้าศาลไป"ลัลน์พี่ฝากไปเลื่อนคดีของเจษที่บัลลังก์ 3 ของท่านณรงค์ให้พี่ที เอาสมุดนัดพี่ไปลงวันให้พี่ด้วยนะ" กุลธิดาไหว้วานพร้อมยื่นเอกสารมาให้เธอเสร็จสรรพก่อนจะเดินจากไปไม่ให้ลัลน์ทักท้วงอันใดได้อีก เสียงข้อความโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมา Pkinn: ลุกขึ้นมากินข้าวหรือยัง?หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นคนที่เธอพยายามหลบหน้าอยู่ในตอนนี้ส่งข้อความมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนกีดกันเธอเองรึไงเธอถึงต้องทำตัวแบบนี้กับเขาไม่กี่อึดใจหญิงสาวนั่งทำใจได้แล้ว สูดลมหายใจเข้าหนักๆ ไม่เข้าไปตอบข้อความของเขา เขากับเธอต่างกันเกินไปเขาเป็นถึงผู้พิพากษาจะมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างเธอทำไมกัน สู้คบกับผู้พิพากษาด้วยกันจะไม่สมฐานะกว่ากันหรือเมื่อลัลน์ทำใจได้แล้วจึงนั่งตรวจเช็คเอกสารที่จะต้องยื่นเซ็นเอกสารตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะทำการยื่นเอกสาร"หู้ยย ท่านนันท์วันนี้ไปทานข้าวกับท่านคิณณ์มาหรือคะ อย่าบอกนะคะว่าคบกันแล้ว" เสียงวีดว้ายดังขึ้นทางด้านหลังเธอ บทสนท
เวลายามเย็นท้องฟ้าปรากฏริ้วสีส้มเป็นสัญญาณว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำมืด เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสั่นอย่างต่อเนื่องหลายสาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ลัลน์ตื่นขึ้นมาได้เลยจนเสียงโทรศัพท์เงียบเสียงลงไป ไม่อาจรู้ได้ว่าปลายสายที่โทรเข้าหาหญิงสาวอาจจะถอดใจไปเสียแล้วก็เป็นได้ เวลาผ่านไปได้ไม่นานท้องฟ้ามืดเป็นเวลา 6 โมงกว่าเสียงเคาะประตูระรัวแรงสั่นไหว ทำให้ลัลน์ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ประตูห้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ หัวใจเต้นสั่นระรัว ไม่รู้ว่าบุคคลใดกระทำอุกอาจเช่นนี้ เสียงบานประตูสั่นไหวจนเธอไม่กล้าเปิดประตูให้คนแปลกหน้า "ไม่ทราบว่าใครคะ?" เสียงแหบสั่นเครือตะโกนถามบานประตูออกไปยังคนบุกรุกให้แจ้งชื่อมา "ทำไมรับโทรศัพท์ฉันห่ะลัลน์ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" คิณณ์ตวาดกร้าวอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่เคยรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยทำให้หัวใจสาวน้อยลิงโลดเต้นรัวเมื่อเขามาหาเธอถึงห้อง "ค่ะๆ จะรีบเปิดเดี๋ยวนี้ค่ะ" ด้วยความเกรงใจข้างห้องกลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาตวาดใส่ จึงรีบกุลีกุจอเปิดประตูห้องอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มเมื่อเจ้าของห้องเปิ
"หนู พี่ขอได้ไหมคะ"เสียงกระซิบแหบพร่าก่อนจะงับใบหูหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนหยอกเย้าสาวน้อยที่ตอนนี้ตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนเขา ปลายจมูกโด่งเป็นสันค่อยๆจรดลงบนพวงแก้มใส สูดดมกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของหญิงสาวกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาให้พุ่งทะยาน ริมฝีปากหยักคลอเคลียไล่ตามตามซอกคอ สร้างความกระสันไปทั่วสรรพางค์กายเรียวปากหยักประกบลงบนปากกระจับกดจูบบดเบียดให้เธอเปิดปากกว้าง ลิ้นยาวตวัดลิ้นส่งเข้ามาในโพรงปากหญิงสาว บดขยี้ปากนุ่มหยุ่นอย่างร้อนแรง ดูดลิ้นสาวน้อยไร้ประสบการณ์เข้ามาในปากแล้วดูดดึงลิ้นน้อยอย่างแนบแน่น จูบของเขาเร่าร้อนราวกับเปลวไฟที่เผาผลาญร่างกายเธอให้ลุกโชนหน้าท้องแบนราบถูไถกับลอนหน้าท้องเป็นมัดของเขารู้สึกได้อย่างเด่นชัดถึงแม้จะมีเสื้อขวางกั้นการสัมผัสนี้ ร่างกายบดเบียดแนบชิดแม้แต่อากาศก็ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ ร่างกายสาวสั่นระริกราวกับลูกนกในอ้อมแขนของเขาคิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก ริมฝีปากยังคงดูดดื่มหาความหวานไม่ผละออก เดินตรงดิ่งไปที่เตียงกว้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมอันร้อนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ บัั้นท้ายกลมกลึงสัมผัสเตียงนอนเอนหลังราบไปกับเตียงตามแรงผลักของช
ลัลน์นัยน์ตาเบิกโพลงแทบถลนกับความใหญ่โตของเขา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นมันครั้งแรกแต่ตอนนั้นแสงไฟสลัวภายในห้องน้ำผับ ทำให้เธอไม่อาจเห็นขนาดลำเอ็นของเขาได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นเธอว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าข้อมือเธอ เพียงแค่นั้นเธอก็ตกใจมากพอแล้วแต่ในวันนี้เธอได้เห็นมันอีกครั้ง!!!ลำเอ็นเขื่องใหญ่โตน้ำใสซึมเต็มปลายลำลึงค์สีเข้มในมือเล็กผงกหัวให้ราวกับทักทาย หญิงสาวใบหน้าเหยเกจ้องมองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเกรงว่าเจ้าสิ่งนี้คงไม่อาจเข้ามาในตัวเธอได้เป็นแน่"น้องชายพี่หนาวต้องการความอบอุ่น หนูพอจะช่วยคลายหนาวให้น้องชายพี่ได้ไหมคะ" ชายร่างใหญ่กำยำกลับส่งสายตาอ้อนวอนจนเธอสงสาร แต่ใจเธอหวาดหวั่นท่อนเหล็กที่แข็งชูชันอยู่ในมือเธอตอนนี้ยิ่งนักขณะหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิด คิณณ์รูดซิปถอดกระโปรงผ่านขาเรียว ร่างกายขาวผ่องเนียนละเอียดสู่แสงไฟพลันปรากฏสู่สายตา เอวบางคอดรับสะโพกผายอวบอิ่ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างกระหายเมื่อเห็นเรือนร่างอันงดงามของเธอร่างกำยำคร่อมร่างสาวน้อยไร้ประสบการณ์ ร่างกายสั่นเทาราวกับลูกกวางพบราชสีห์จ้องเขมือบ มือหนาเลื่อนบีบบั้นท้ายกลมกลึงอย่างอดใจไม่ไหว ก่อนขายาวของคิณณ์แทรกตัวเข
"ใครบอกจะทำรอบเดียว?" ท่อนเอ็นหนาในกายจากที่สิ้นฤทธิ์ บัดนี้พองขยายคับแน่นช่องคลอดหญิงสาวพร้อมออกรบสู้ศึกอีกครั้ง"อ๊ะ หนูไม่ไหวแล้วมันเจ็บ""สัญญาจะทำเบาๆ"คิณณ์จับร่างบางพลิกคว่ำ มือเลื่อนจับสะโพกหญิงสาวตั้งขาชันขึ้น ค่อยๆบดเบียดลำเอ็นเขื่องจนสุดโคนกระทุ้งจูบปากมดลูกเบาๆ แต่ทำเอาเธอสมองโพลนดวงตาพร่ามัว รู้สึกจุกแน่นท้องน้อยยิ่งกว่าท่าก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาร้อนพราวราวกับเป็นไข้ จับดวงหน้าหวานเย้ายวนมาประกบจูบปลุกเร้าอารมณ์เธอให้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง"ลัลน์เธอแน่นมาก" โพรงเนื้อสาวนุ่มตอดรัดแก่นกายชายหนุ่มราวกับไม่ให้ถอดลำลึงค์ออกจากดอกไม้งาม เส้นความอดทนขัดผึงลง คิณณ์ถอดถอนลำกายเกือบสุดปลายก่อนกระแทกสะโพกสอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว สองมือจับสะโพกผายอวบอิ่มตรึงไว้มั่น รองรับแรงเสน่หาที่กำลังซอยดุ้นเนื้อเข้าออกราวกับตอกเสาเข็มพลั่บ พลั่บ พลั่บเสียงการร่วมสังวาสดังลั่นภายในห้องเล็กอีกครั้ง ความเสียวเกินบรรยายแผดเผาหญิงสาวให้จมอยู่กับไฟเสน่หาที่เขาเป็นคนจุดเติมเชื้อเพลิงให้โหมกระหน่ำสะโพกสอบยังคงโหมกระแทกเข้ามาไม่หยุดยั้งเมื่อความต้องการจะขีดสุดลืมสัญญาครั้งก่อนจะเริ่มเพลิงสวาทบทใหม่
ร่างบางลุกขึ้นเดินเชื่องช้าด้วยยังเจ็บระบมกลางกาย เมื่อคว้าผ้าขนหนูได้จึงค่อยๆเดินนวยนาดไปยังห้องน้ำ ตอนนี้เธอรู้สึกเหนียวตัวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมาจากสำนักงานเธอยังไม่ได้อาบน้ำไหนตกเย็นมาเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาอีกยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าลัลน์ดึงผมยาวที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการโรมรันทำกิจกรรมบนเตียงมือบางเอื้อมหยิบกิ๊บหนีบผมมาหนีบให้อยู่ทรงสะดวกต่อการอาบน้ำ มือเล็กเปิดฝักบัวความเย็นจากน้ำที่ไหลลงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจับไข้มากกว่าสบายตัวอย่างที่ควรจะเป็น“ว้าย พี่คิณณ์คะรบกวนพี่ออกไปก่อนหนูโป๊อยู่” คิณณ์เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายกำยำที่ในปกติแล้วซ่อนอยู่ภายใต้ชุดทำงานตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นตึงเป็นลอนใหญ่ชัดเจน นูนขึ้นอย่างสมส่วนราวกับถูกแกะสลักด้วยมือของประติมากร ไหล่กว้างและลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งออร่าของความแข็งแกร่งที่ยากจะละสายตา “ขนาดนี้แล้วยังอายอะไรอีก” ชายหนุ่มหาได้ฟังคำทัดทานไม่ กลับสาวขายาวก้าวเข้ามายิ่งเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันเป็นแผงชัดเจน ไล่ลงมาสู่หน้าท้องทรงตัววีที่เด่นชัด ร่องกล้ามเ
เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์"หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น"หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ"แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่""ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล