เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข
"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์" หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น "หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ "แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่" "ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้มกับความน่าเอ็นดูของหนูนาที่ตั้งหน้าตั้งตากินทุกอย่างที่มี "ฝึกงานมาจะครบเดือนอยู่แล้วฉันยังไม่ชินเลย งานที่สำนักงานอัยการนี่หนักกว่าที่คิด นึกว่าจะแค่เดินถ่ายเอกสารไปมาเหมือนวันแรกแค่นั้น แต่นี่เอกสารก็ต้องดู ไหนจะต้องตามอัยการไปศาลอีกเป็นวันแทบจะไม่ได้พัก" หนูนายังคงบ่นเป็นหมีกินผึ้งคีบเนื้อหมูยัดใส่ปากอย่างระบายอารมณ์ "เอาน่าา ลัลน์เชื่อว่าหนูนาทำได้อยู่แล้ว" เสียงใสเคยปลอบโยนเพื่อนหัวเราะให้กับความหน้างอของหนูนา ก่อนจะหยิบชิ้นเนื้อในจานขึ้นมาทานอย่างเอร็ดอร่อย เสียงหัวเราะของทั้งสองคนช่วยทำให้ความในใจและความเครียดหายไปชั่วขณะ ลัลน์หลับตาถอนลมหายใจเบาๆ รู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับหนูนาช่วยทำให้ความรู้สึกหนักเรื่องในใจลดลงไปได้ หลังจากลัลน์กับหนูนากินชาบูเสร็จก็เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี หนูนาก็ไม่พ้นลากหญิงสาวออกไปเดินเล่นอ้างว่าเดินย่อยอาหาร แต่เมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่งลัลน์ถึงกับชะงัก ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอเงยหน้ามองไปทางด้านหน้าพบกับคิณณ์ยืนอยู่กับผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาจะสวยบรรยากาศรอบตัวเธอราวกับส่องแสงออกมาแม้จะมองจากจุดที่เธอยืนอยู่ซึ่งห่างไกลจากคนทั้งสอง ก็ยังคงเห็นถึงความโดดเด่นของเธอคนนั้นได้อย่างชัดเจน ดูไปแล้วช่างเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างเขามากจริงๆซึ่งคนนั้นย่อมไม่ใช่เธอ หญิงสาวไม่สามารถละสายตาจากภาพบาดใจตรงหน้าได้ สายตาของเธอยังคงจับจ้องที่ทั้งสอง บรรยากาศแสนอบอุ่นคิณณ์ยืนคุยด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็นเมื่อเทียบกับตอนอยู่กับเธอ รอยยิ้มพรายปรากฏบนหน้าคมที่ยิ้มให้เธอคนนั้นช่างบาดใจเธอยิ่งนัก เธอพลันรู้สึกจุกแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก แววตากลมโตฉายแววเจ็บปวด ความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาเป็นหยาดน้ำตาคลอเบ้า แต่เธอก็ไม่อาจดึงสายตาไม่ให้มองภาพบาดตานั้นได้ ไหนบอกกับเธอว่าติดธุระไงล่ะ หรือธุระที่เขาหมายถึงคือหญิงสาวซึ่งยืนเลือกของอย่างกระหนุงกระหนิงอยู่ในตอนนี้ “เธอเป็นอะไรไปลัลน์ แกมองอะไร” หนูนาเห็นเพื่อนเธอยืนร่างแข็งทื่อจึงสอดสายตามองตามลัลน์ “นั่นมันท่านคิณณ์นี่มากับแฟนสาวรึยังไง ทีงี้ทำตัวอบอุ่นพอทีตอนทำงานเย็นชาทำตัวเป็นก้อนน้ำแข็งพันปี ไม่ต้องสนใจเขาหรอกมาช่วยหนูนาเลือกเสื้อผ้าดีกว่า” หนูนาไม่อาจรับรู้ถึงความผิดปกติของเพื่อนเธอได้เลยเมื่อจุดสนใจคือเสื้อผ้า เธอเป็นคนแต่งตัวเก่งซื้อเสื้อผ้าเข้าตู้แทบทุกอาทิตย์แต่บ่นว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้ว คำพูดของหนูนาเสมือนหนามทิ่มแทงอกให้หัวใจของลัลน์เหวอะวะโดยไม่ได้ตั้งใจ สมองของเธอตอนนี้รู้สึกอื้ออึงไม่สามารถสั่งการได้อีก ก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความหาคิณณ์เพื่อหาความจริง เดี๋ยวจะกลายเป็นเธอตีโพยตีพายไปก่อนเหมือนครั้งท่านนันท์ Lanlalit: พี่ทำธุระอยู่ที่ไหนกับใครหรือคะ? หญิงสาวกดส่งข้อความและใจจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ของตนรอคอยให้เขาตอบ เธอหวังว่าอย่างน้อยเขาจะตอบข้อความกลับมาหาหรือกดอ่านข้อความเธอสักนิด แต่เวลาผ่านไปนานนับหลายนาทีไม่มีทีท่าว่าชายหนุ่มจะตอบเธอ ทำไมกันล่ะตอนนี้เขาจับโทรศัพท์อยู่ไม่ใช่เหรอเขาน่าจะเห็นข้อความของเธอสิ นอกเสียแต่ว่าเห็นแต่ทำเมินไม่ตอบข้อความของเธอ เมื่อเริ่มคิดได้ลัลน์เริ่มใจเสียตกไปยังตาตุ่ม สายตาจ้องยังหน้าจอโทรศัพท์ของตนเห็นสถานะข้อความยังคงปรากฏว่ายังไม่ได้อ่านยิ่งทำให้ใจเธอสั่นไหว นี่เธอจะโดนหลอกเป็นครั้งที่ 2 อีกหรือ? ร่างบางตัดสินใจกดโทรศัพท์หาชายหนุ่มซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เสียงรอสายดังขึ้นชั่วขณะก่อนจะได้ยินเสียงตัดสายโทรศัพท์เธอทิ้งอย่างไม่ใยดี หัวใจเต้นแรงกับความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมตรงหัวมุมทางเดินกับหนูนา สายตาสบเข้ากับตาคมที่หันมามามองทางเธอพอดีราวกับพึ่งสังเกตเห็นว้าธออยู่ตรงนี้ คิณณ์สบสายตากับร่างอรชรเพียงชั่วครู่ก่อนจะอบกอดหญิงสาวคนนั้นเบาๆ เธอคนนั้นผลักเขาให้ออกห่างอย่างขวยเขินแล้วพาเธอคนนั้นเดินผ่านร่างบางไปอย่างไม่ลังเล ดวงตาฉายแววเจ็บปวดเหลือจะทานทนเธอรู้สึกเจ็บและเสียใจยิ่งกว่าตอนมาร์คนอกใจเธอเสียอีก ความรู้สึกสับสนน้อยใจที่ไม่อาจเก็บไว้แทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อยากถามเขาเหลือเกินอยากจะรู้คำตอบว่าเขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไร เธออยากทิ้งศักดิ์ศรีของแล้วตรงดิ่งไปอ้อนวอนขอความรักจากเขาขอให้เขาเลือกเธอแทนผู้หญิงคนนั้นจะได้ไหม แต่ใจก็ไม่กล้าพอที่จะเดินไปเรียกร้องกับเขาเพราะว่าเธอกับเขาไม่ได้มีสถานะอะไรต่อกันจะให้เธอหน้าด้านไปยื้อแย่งเข้ามาก็ไม่ใช่ที เธอคงได้แต่ยืนมองเขาเดินผ่านไปกับคนรักของเขาโดยที่ไม่ได้ชายตาหันมามองเธอแม้แต่เพียงนิดเดียว เหมือนกับเขาซึ่งเป็นโลกทั้งใบของเธอกำลังหยุดหมุนรอบตัวเธอ ทุกอย่างพลันดูเลือนรางไม่ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาหรือแม้กระทั่งสายตาที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในเวลานี้เธอทำได้เพียงเม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่เดินขวักไขว่กันไปมา มองเห็นคู่รักมากมายต่างเดินจูงมือกันภาพแผ่นหลังกว้างที่เดินจูงมือเธอนำหน้าหลีกผู้คนให้เธอเข้ามาฉายชัดอีกครั้ง ทุกรอยยิ้มที่พวกเขามีคือเครื่องเตือนใจว่าเธอกับเขาก็เคยมีช่วงเวลาเช่นเดียวกัน แต่ในตอนนี้ผู้ชายคนที่จูงมือเธอในวันนั้นกลับอันตรธานหายไปจากเธอ แต่กลับไปเดินกุมมือกับคนรักที่แท้จริงของเขาแทน “ลัลน์นี่แกเป็นอะไรหรือเปล่า เรากลับดีกว่าไหมลัลน์ดูท่าไม่สู้ดีเลย” หนูนาเห็นเพื่อนเธอยืนนิ่งไปนานไม่ช่วยออกความเห็นซึ่งปกติแล้วลัลน์จะช่วยเลือกช่วยแสดงความเห็นให้เธอบ้าง “ปะ เปล่า ลัลน์โอเค หนูนาเลือกซื้อผ้าต่อไปเถอะ ลัลน์ขอตัวกลับก่อนนะ” หญิงสาวกล่าวกับหนูนาเสีนงสั่นเครือหากแต่ว่ารัวเร็ว ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกไปไม่ให้เพื่อนเธอต้องมาเป็นห่วงกับความอ่อนแอของตนเอง “ลัลน์เดี๋ยวหนูนาไปส่ง แกไม่สบายใจอะไรตอนนี้แกไม่ต้องพูดหรอกนะแต่ขอให้ฉันได้ไปส่งแกที่หอแกจะได้ไหม เราสัญญาเราจะไม่ถามถึงสาเหตุของความไม่สบายใจของลัลน์” หนูนาคว้าข้อมือเพื่อนเธอไว้ เอ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “โฮๆๆ หนูนา” ลัลน์เข้าสวมกอดเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดไหลเป็นทำนบแตกซุกหน้าร้องไห้กับอกหนูนาอย่างไม่อายผู้คนที่เดินผ่านไปมา “โอ๋ๆๆ ไปที่รถกันไหมแม่สาวขี้แย” หนูนาเอ่ยปลอบพลางลูบผมสลวยของลัลน์อย่างปลอบโยน จูงมือเพื่อนเธอขึ้นรถเพื่อส่งกลับหอพัก สาเหตุที่เพื่อนเธอร้องไห้คงไม่พ้นท่านคิณณ์ผู้นั้นเป็นแน่ ในตอนแรกเธอก็หาได้รู้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของทั้งสองไม่เนื่องจากฝึกงานกันคนละที่ อีกทั้งลัลน์ก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดถึงท่านคิณณ์ในเวลาที่พูดคุยกันเธอจึงไม่คิดเอะใจ ในตอนที่ลัลน์จ้องมองไปยังท่านคิณณ์ที่มากับผู้หญิงอื่นในวันนี้แถมเธอยังพูดประโยคตอกย้ำเพื่อนเธออย่างไม่ตั้งใจ เธอหวังว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคงไม่ได้ลึกซึ้งเกินเลยจนเพื่อนเธอกู่ไม่กลับก็เป็นอันพอ"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
“ทำไมคอแม่ลัลน์ถึงแดงจังเลยคะ?” สิ้นเสียงคำถามจากลูกสาว มือเล็กรีบยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องดูภาพสะท้อน รอยแดงเป็นจ้ำใหญ่ปรากฏเด่นชัด ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตวัดสายตาไปมองคนตัวโตที่ยืนยิ้มหน้ามึนอยู่ข้าง ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแก้สถานการณ์ให้เลยสักนิด“คือว่าแม่โดนผึ้งกัดค่ะ แม่แพ้เลยเป็นรอยแบบนี้” ลัลน์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ พยายามหาข้ออ้างตอบลูกให้ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด แต่ยังไม่ทันได้โล่งใจ เสียงทุ้มของลูกชายที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงสัย“ผึ้งที่ไหนหรือครับที่คอนโดกับที่ห้องนี้ก็ไม่น่าจะมีผึ้งได้นะครับ” คำถามของคอร์ททำให้ลัลน์ชะงักค้าง ไม่คิดว่าลูกชายจะจับสังเกตและถามกลับมาแบบนี้“เอ่อ คือว่าแม่” เสียงหวานกระอักกระอ่วนไม่อาจหาข้ออ้างยกขึ้นกล่าวกับลูกชายได้ เมื่อเห็นเมียรักกระดากเกินกว่าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาในฐานะสามีที่ดีก็ควรช่วยเหลือบ้าง“ผึ้งในช่อดอกไม้น่ะ ว่าแต่ซักพยานขนาดนี้ไม่อยากกินปิ้งย่างแล้วใช่ไหมนะ” คิณณ์พูดพลางเลิกคิ้วเจ้าเล่ห์ เบี่ยงเบนความสนใจของลูก ๆ ได้อย่างแนบเนียน สองแฝดรีบกอบกุมมือพ่อแม่ไว้อย่างอบอุ่
ภายในห้องทำงานโทนสีดำสุดหรู อุณหภูมิเย็นเฉียบตัดกับความร้อนแรงที่ปกคลุมบรรยากาศ เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างสม่ำเสมอถูกกลบด้วยเสียงหยาบโลนท่ามกลางความเงียบงัน แต่ดูเหมือนว่าไอเย็นเหล่านั้นจะไม่มีผลใด ๆ ต่อชายหญิงที่ตอนนี้กำลังเมามันหลงใหลในกามราคะอยู่บนโซฟาหนังภายในห้อง“อื้อ พะพอได้แล้ว อ๊ะส์ เดี๋ยวลูกมานะคะ” เสียงหวานครางกระเส่า มือเล็กดันหน้าท้องแกร่งออกให้ลดแรงกระแทกเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เจ้าสองแสบเลิกเรียนและกำลังเดินทางมาบริษัท จะว่าสองแสบก็ไม่เชิงในเมื่อคนที่แสบสันที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกสาวตัวดีของเธอ ส่วนลูกชายนั้นเรียบร้อยนุ่มนิ่มเหมือนผ้าพับไว้“คนดีพี่ขอหน่อย พี่ไม่มีโอกาสเลยนะเจ้าตัวแสบกันพี่ตลอดเลย ซี้ดด” คิณณ์ถึงกับซูดปากครางทันทีเมื่อเมียเด็กของเขายกสะโพกสวนแรงกระแทกของเขาทำให้ร่องคับแคบบีบรัดแน่นจนเขาเสียวซ่านไปทั่วกาย ถึงแม้เธอจะคลอดลูกแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลอันใดต่อร่องสวาทนี้เลยพลั่บๆๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังลั่นห้อง เอวสอบโหมกระแทกแรง ขาข้างหนึ่งชันไว้บนโซฟา จับสะโพกอวบอิ่มกลมกลึงไว้แน่นพร้อมจับกระแทกอย่างรัวเร็ว เมื่อหัวลำลึงค์ของเขากระแท
เรื่องราวเหล่านี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ สิบปี?หรืออาจจะสิบห้าปี? ผมเองก็จำไม่ได้แน่ชัด เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยนับว่าเป็นเพื่อนกับคิณณ์มานานเท่าไหร่ พวกเราสนิทกันมากถึงขั้นที่ว่าตายแทนกันได้เลย แต่สุดท้ายแล้ว จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างพังทลายก็คือ "ผู้หญิง"เธอคนนั้นใบหน้าน่ารัก ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกในงานสังคมของผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนั้นทั้งสองครอบครัวเคยพูดคุยกันเล่น ๆ ถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างผมกับเม็ดทราย ผมเองก็ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีความจริงจังแค่ไหน แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเธอก็ค่อย ๆ พัฒนาไปจนถึงขั้นลึกซึ้งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมภาคภูมิใจที่ได้รักเธอคนนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครรับรู้ แต่ในเมื่อเธออยู่กับผมแล้ว การประกาศให้โลกรู้หรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ทว่าผมคิดผิดเมื่อผมขึ้นปีสองผมเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์เช่นเดียวกับคิณณ์ เราสองคนมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง เพียงแต่เส้นทางของเราแตกต่างกัน ผมใฝ่ฝันอยากเป็นอัยการมากกว่าที่จะเป็นผู้พิพากษาเหมือนคิณณ์มัน แต่ใครจะไปคิดว่าความชอบเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสุดท้ายแล้วเราทั้งคู่กลับตกหลุมรักผู
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม หลังจากเรียนพิเศษเสร็จผมจึงมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะที่นัดเจอน้องคนหนึ่งไว้ทุกวัน ถึงแม้จะเหนื่อยสักเพียงใดเขาก็ไม่เคยผิดนัดกับหนูน้อยคนนี้เลยเด็กสาวตัวจ้ำม่ำในชุดประถมพร้อมคอซองค์และถักผมเปียสองข้างน่ารัก กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หน้าผากเธอขมวดมุ่นด้วยความตั้งใจ เมื่อเธอรู้สึกถึงการมาของผมจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาคาดหวัง ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาผม“พี่คิณณ์ขา มาแล้วหรือคะ?”“โทษที พี่มาช้าไปหน่อย” ผมกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดู“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็พึ่งมา” เด็กน้อยยิ้มตาปิดส่งให้เขาอย่างไร้เดียงสา นับถือพี่ชายที่คอยมาสอนหนังสือในทุกๆวัน ตั้งแต่เธออยู่ป.1 แล้ว จนตอนนี้เธอป.3 พี่ชายก็คอยสอนหนังสือเธอมาอย่างสม่ำเสมอจนก่อเกิดความรักขึ้นในหัวใจของเด็กน้อยท่าทางของเด็กน้อยทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอกำลังรู้สึกพิเศษอะไรบางอย่างกับผม รู้สึกมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นระหว่างพี่น้อง แต่ผมก็ไม่ได้ถอยห่างไปไหน คิดว่าเธออาจจะยังแยกไม่ออกระหว่างความรักแบบพี่น้องที่มีความเคารพนับถือ ไม่ใช่ความรู้สึกในทางชู้สาว“อืม วันนี้การบ้านวิชาอะไร
ชายหนุ่มลูกคนโตของบ้านหรูหลังนี้กำลังอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกเดินเข้าบ้านมาอย่างทะนุถนอม ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข แทบไม่ได้นอนเนื่องจากอาเจียนทั้งวันจนเธอเวียนหัวลมแทบจับ“หนูลัลน์เป็นอะไรลูก” ไอย์ลดาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอุ้มลูกสะใภ้มา“พึ่งได้นอนครับผมเลยไม่ได้ปลุก”“พาลูกสาวฉันไปนอนก่อนไป ข้าวค่อยกินทีหลัง”“มันจะดีหรือครับคุณท่าน มันจะเสียมารยาทเอานะครับ” พงษ์ทวีเอ่ยขัดอย่างเกรงใจที่ดูเหมือนบ้านฝั่งลูกเขยจะรอลูกสาวคนเดียว แม้จะเข้าใจว่าอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ก็อดกังวลเรื่องมารยาทไม่ได้“คนท้องก็ยังงี้ล่ะ ทำเหมือนไม่เคยมีลูกไปได้” ไอย์ลดาเสริมทัพสามีของตนทันที“อื้อ” เสียงหวานพึมพำเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุย คนตัวเล็กขยี้ตาตัวเองแรงจนคิณณ์ต้องคว้ามือบางให้หยุด ก่อนจะหญิงสาวหาวเบา ๆ จนตาน้ำตาคลอ ก่อนจะซุกหน้ากับไหล่กว้างของสามีอย่างงัวเงีย คิณณ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา โดยให้เธอนั่งบนตักอย่างทะนุถนอม“ตื่นแล้วรึเด็กขี้เซา” เขากระซิบถามเสียงอ่อนโยน แต่ทันทีที่ลัลน์ลืมตาขึ้นมาเต็มตาเธอกลับพบพ่อแม่ของตัวเองยืนมองอยู่ หญิงสาวสะดุ
“หนูไหวไหมคะ ให้พี่พาไปหาหมอไหม” เสียงทุ้มเจือความกังวลถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงซีดเซียว กินอะไรก็แทบไม่ลง คิณณ์มองร่างบางที่นอนซบอยู่บนเตียงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย มือหนาลูบไปตามเส้นผมนุ่มของเธอเบาๆ ราวกับปลอบโยนหญิงสาว“พี่ไปทำงานเถอะค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก” เสียงแหบแห้งดังขึ้น ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มกลับแตกระแหงจนเขายิ่งสงสารจับใจ คิณณ์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะจับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตที่หลังมืออย่างอ่อนโยน ดวงตาคมฉายแววอ่อนลง แต่ยังเต็มไปด้วยความกังวล“แบบนี้ไม่เป็นอะไรมากที่ไหน มันอาการหนักแล้วนะ” เขาพูดเสียงเข้ม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงไม่ยอมไปไหน “เดี๋ยวพี่ก็ลาออกแล้วนะคะ หยุดบ่อยคงไม่ดี”“แล้วพี่จะปล่อยให้เมียพี่เป็นแบบนี้งั้นเรอะ” “หนูแค่ท้องนะคะ ไม่ได้จะตาย” คนน้องหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือหนาของเขาไว้ พร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดูเมื่อใบหน้าคมยังฉายแววเป็นห่วงไม่คลาย“แต่พี่ว่าหนู... หนูว่าอะไรนะ ท้องงั้นเหรอ?” คิณณ์ชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่นราวกับจับสังเกตบางอย่างได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมเบิกกว้างราวกับยังไม่อยากเชื
“อื้อ” เสียงหวานร้องครางในลำคอรู้สึกเจ็บแปล๊บสลับกับเสียวซ่านราวกับมีใครขบเม้มยอดอก ในความฝันอันมืดมิดนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่สัมผัสยอดอกจนแข็งชูชันให้ชายหนุ่มได้เชยชมสะดวก ท้องนิ้วสากที่กำลังลูบไล้เขี่ยยอดถันแผ่วเบาจนร่างบางสั่นสะท้านอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นี่เธอลามกจนฝันถึงเรื่องแบบนี้กันเชียวหรือแต่เมื่อความเสียวแล่นพล่านทั่วกลางกายอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะอยู่ที่จุดกลางกายของเธอ ทำให้หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง เธอเห็นเพียงกลุ่มผมหนาสีดำขลับซุกอยู่กลางหว่างขาของตน เสียงดูดเลียเข้าโสตประสาทหญิงสาวทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีอย่างเขินอาย“อ๊ะส์ พี่คิณณ์ อื้อ ทำอะไรคะ” คิณณ์หาได้ตอบหญิงสาวไม่เสียงหวานเหมือนเลือนลางหายไปตามสายลม นิ้วเรียวยาวกำลังบดขยี้จุดกระสันภายนอก ทำงานสอดประสานรับกันอย่างดีกับลิ้นสากที่ลากเลียวนรอบปากรู สลับกับแยงลิ้นสอดเข้าไปร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำหวานสีใสอาบเคลือบดอกไม้งามแจ๊ะๆๆๆ“อ๊ายยยส์”เสียงหยาบโลนดังสลับเสียงกรีกร้องครวญคราง ยิ่งคิณณ์เร่งจังหวะมากเพียงใดร่างบางยิ่งดิ้นพล่านหนักกรีดร้องเสียงดัง ท้องน้อยบีบรัดแน่น ก่อนจะกระตุกทั้
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ