เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข
"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์" หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น "หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ "แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่" "ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้มกับความน่าเอ็นดูของหนูนาที่ตั้งหน้าตั้งตากินทุกอย่างที่มี "ฝึกงานมาจะครบเดือนอยู่แล้วฉันยังไม่ชินเลย งานที่สำนักงานอัยการนี่หนักกว่าที่คิด นึกว่าจะแค่เดินถ่ายเอกสารไปมาเหมือนวันแรกแค่นั้น แต่นี่เอกสารก็ต้องดู ไหนจะต้องตามอัยการไปศาลอีกเป็นวันแทบจะไม่ได้พัก" หนูนายังคงบ่นเป็นหมีกินผึ้งคีบเนื้อหมูยัดใส่ปากอย่างระบายอารมณ์ "เอาน่าา ลัลน์เชื่อว่าหนูนาทำได้อยู่แล้ว" เสียงใสเคยปลอบโยนเพื่อนหัวเราะให้กับความหน้างอของหนูนา ก่อนจะหยิบชิ้นเนื้อในจานขึ้นมาทานอย่างเอร็ดอร่อย เสียงหัวเราะของทั้งสองคนช่วยทำให้ความในใจและความเครียดหายไปชั่วขณะ ลัลน์หลับตาถอนลมหายใจเบาๆ รู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับหนูนาช่วยทำให้ความรู้สึกหนักเรื่องในใจลดลงไปได้ หลังจากลัลน์กับหนูนากินชาบูเสร็จก็เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี หนูนาก็ไม่พ้นลากหญิงสาวออกไปเดินเล่นอ้างว่าเดินย่อยอาหาร แต่เมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่งลัลน์ถึงกับชะงัก ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอเงยหน้ามองไปทางด้านหน้าพบกับคิณณ์ยืนอยู่กับผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาจะสวยบรรยากาศรอบตัวเธอราวกับส่องแสงออกมาแม้จะมองจากจุดที่เธอยืนอยู่ซึ่งห่างไกลจากคนทั้งสอง ก็ยังคงเห็นถึงความโดดเด่นของเธอคนนั้นได้อย่างชัดเจน ดูไปแล้วช่างเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างเขามากจริงๆซึ่งคนนั้นย่อมไม่ใช่เธอ หญิงสาวไม่สามารถละสายตาจากภาพบาดใจตรงหน้าได้ สายตาของเธอยังคงจับจ้องที่ทั้งสอง บรรยากาศแสนอบอุ่นคิณณ์ยืนคุยด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็นเมื่อเทียบกับตอนอยู่กับเธอ รอยยิ้มพรายปรากฏบนหน้าคมที่ยิ้มให้เธอคนนั้นช่างบาดใจเธอยิ่งนัก เธอพลันรู้สึกจุกแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก แววตากลมโตฉายแววเจ็บปวด ความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาเป็นหยาดน้ำตาคลอเบ้า แต่เธอก็ไม่อาจดึงสายตาไม่ให้มองภาพบาดตานั้นได้ ไหนบอกกับเธอว่าติดธุระไงล่ะ หรือธุระที่เขาหมายถึงคือหญิงสาวซึ่งยืนเลือกของอย่างกระหนุงกระหนิงอยู่ในตอนนี้ “เธอเป็นอะไรไปลัลน์ แกมองอะไร” หนูนาเห็นเพื่อนเธอยืนร่างแข็งทื่อจึงสอดสายตามองตามลัลน์ “นั่นมันท่านคิณณ์นี่มากับแฟนสาวรึยังไง ทีงี้ทำตัวอบอุ่นพอทีตอนทำงานเย็นชาทำตัวเป็นก้อนน้ำแข็งพันปี ไม่ต้องสนใจเขาหรอกมาช่วยหนูนาเลือกเสื้อผ้าดีกว่า” หนูนาไม่อาจรับรู้ถึงความผิดปกติของเพื่อนเธอได้เลยเมื่อจุดสนใจคือเสื้อผ้า เธอเป็นคนแต่งตัวเก่งซื้อเสื้อผ้าเข้าตู้แทบทุกอาทิตย์แต่บ่นว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้ว คำพูดของหนูนาเสมือนหนามทิ่มแทงอกให้หัวใจของลัลน์เหวอะวะโดยไม่ได้ตั้งใจ สมองของเธอตอนนี้รู้สึกอื้ออึงไม่สามารถสั่งการได้อีก ก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความหาคิณณ์เพื่อหาความจริง เดี๋ยวจะกลายเป็นเธอตีโพยตีพายไปก่อนเหมือนครั้งท่านนันท์ Lanlalit: พี่ทำธุระอยู่ที่ไหนกับใครหรือคะ? หญิงสาวกดส่งข้อความและใจจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ของตนรอคอยให้เขาตอบ เธอหวังว่าอย่างน้อยเขาจะตอบข้อความกลับมาหาหรือกดอ่านข้อความเธอสักนิด แต่เวลาผ่านไปนานนับหลายนาทีไม่มีทีท่าว่าชายหนุ่มจะตอบเธอ ทำไมกันล่ะตอนนี้เขาจับโทรศัพท์อยู่ไม่ใช่เหรอเขาน่าจะเห็นข้อความของเธอสิ นอกเสียแต่ว่าเห็นแต่ทำเมินไม่ตอบข้อความของเธอ เมื่อเริ่มคิดได้ลัลน์เริ่มใจเสียตกไปยังตาตุ่ม สายตาจ้องยังหน้าจอโทรศัพท์ของตนเห็นสถานะข้อความยังคงปรากฏว่ายังไม่ได้อ่านยิ่งทำให้ใจเธอสั่นไหว นี่เธอจะโดนหลอกเป็นครั้งที่ 2 อีกหรือ? ร่างบางตัดสินใจกดโทรศัพท์หาชายหนุ่มซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เสียงรอสายดังขึ้นชั่วขณะก่อนจะได้ยินเสียงตัดสายโทรศัพท์เธอทิ้งอย่างไม่ใยดี หัวใจเต้นแรงกับความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมตรงหัวมุมทางเดินกับหนูนา สายตาสบเข้ากับตาคมที่หันมามามองทางเธอพอดีราวกับพึ่งสังเกตเห็นว้าธออยู่ตรงนี้ คิณณ์สบสายตากับร่างอรชรเพียงชั่วครู่ก่อนจะอบกอดหญิงสาวคนนั้นเบาๆ เธอคนนั้นผลักเขาให้ออกห่างอย่างขวยเขินแล้วพาเธอคนนั้นเดินผ่านร่างบางไปอย่างไม่ลังเล ดวงตาฉายแววเจ็บปวดเหลือจะทานทนเธอรู้สึกเจ็บและเสียใจยิ่งกว่าตอนมาร์คนอกใจเธอเสียอีก ความรู้สึกสับสนน้อยใจที่ไม่อาจเก็บไว้แทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อยากถามเขาเหลือเกินอยากจะรู้คำตอบว่าเขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไร เธออยากทิ้งศักดิ์ศรีของแล้วตรงดิ่งไปอ้อนวอนขอความรักจากเขาขอให้เขาเลือกเธอแทนผู้หญิงคนนั้นจะได้ไหม แต่ใจก็ไม่กล้าพอที่จะเดินไปเรียกร้องกับเขาเพราะว่าเธอกับเขาไม่ได้มีสถานะอะไรต่อกันจะให้เธอหน้าด้านไปยื้อแย่งเข้ามาก็ไม่ใช่ที เธอคงได้แต่ยืนมองเขาเดินผ่านไปกับคนรักของเขาโดยที่ไม่ได้ชายตาหันมามองเธอแม้แต่เพียงนิดเดียว เหมือนกับเขาซึ่งเป็นโลกทั้งใบของเธอกำลังหยุดหมุนรอบตัวเธอ ทุกอย่างพลันดูเลือนรางไม่ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาหรือแม้กระทั่งสายตาที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในเวลานี้เธอทำได้เพียงเม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่เดินขวักไขว่กันไปมา มองเห็นคู่รักมากมายต่างเดินจูงมือกันภาพแผ่นหลังกว้างที่เดินจูงมือเธอนำหน้าหลีกผู้คนให้เธอเข้ามาฉายชัดอีกครั้ง ทุกรอยยิ้มที่พวกเขามีคือเครื่องเตือนใจว่าเธอกับเขาก็เคยมีช่วงเวลาเช่นเดียวกัน แต่ในตอนนี้ผู้ชายคนที่จูงมือเธอในวันนั้นกลับอันตรธานหายไปจากเธอ แต่กลับไปเดินกุมมือกับคนรักที่แท้จริงของเขาแทน “ลัลน์นี่แกเป็นอะไรหรือเปล่า เรากลับดีกว่าไหมลัลน์ดูท่าไม่สู้ดีเลย” หนูนาเห็นเพื่อนเธอยืนนิ่งไปนานไม่ช่วยออกความเห็นซึ่งปกติแล้วลัลน์จะช่วยเลือกช่วยแสดงความเห็นให้เธอบ้าง “ปะ เปล่า ลัลน์โอเค หนูนาเลือกซื้อผ้าต่อไปเถอะ ลัลน์ขอตัวกลับก่อนนะ” หญิงสาวกล่าวกับหนูนาเสีนงสั่นเครือหากแต่ว่ารัวเร็ว ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกไปไม่ให้เพื่อนเธอต้องมาเป็นห่วงกับความอ่อนแอของตนเอง “ลัลน์เดี๋ยวหนูนาไปส่ง แกไม่สบายใจอะไรตอนนี้แกไม่ต้องพูดหรอกนะแต่ขอให้ฉันได้ไปส่งแกที่หอแกจะได้ไหม เราสัญญาเราจะไม่ถามถึงสาเหตุของความไม่สบายใจของลัลน์” หนูนาคว้าข้อมือเพื่อนเธอไว้ เอ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “โฮๆๆ หนูนา” ลัลน์เข้าสวมกอดเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดไหลเป็นทำนบแตกซุกหน้าร้องไห้กับอกหนูนาอย่างไม่อายผู้คนที่เดินผ่านไปมา “โอ๋ๆๆ ไปที่รถกันไหมแม่สาวขี้แย” หนูนาเอ่ยปลอบพลางลูบผมสลวยของลัลน์อย่างปลอบโยน จูงมือเพื่อนเธอขึ้นรถเพื่อส่งกลับหอพัก สาเหตุที่เพื่อนเธอร้องไห้คงไม่พ้นท่านคิณณ์ผู้นั้นเป็นแน่ ในตอนแรกเธอก็หาได้รู้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของทั้งสองไม่เนื่องจากฝึกงานกันคนละที่ อีกทั้งลัลน์ก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดถึงท่านคิณณ์ในเวลาที่พูดคุยกันเธอจึงไม่คิดเอะใจ ในตอนที่ลัลน์จ้องมองไปยังท่านคิณณ์ที่มากับผู้หญิงอื่นในวันนี้แถมเธอยังพูดประโยคตอกย้ำเพื่อนเธออย่างไม่ตั้งใจ เธอหวังว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคงไม่ได้ลึกซึ้งเกินเลยจนเพื่อนเธอกู่ไม่กลับก็เป็นอันพอ"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้วดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่น
เมื่อมาถึงสำนักงาน เจษฎาและลัลน์ช่วยกันหิ้วทลายมะพร้าวที่ได้มาเป็นของฝากจากลูกความซึ่งเต็มท้ายรถเข้าไปในออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ทลายหนึ่งน้ำหนักไม่ใช่น้อยสุดท้ายเจษฎาต้องเป็นคนแบกขึ้นห้องมาแต่เพียงฝ่ายเดียว“วันนี้สำนักงานเราแจกมะพร้าวกันหรือคะพี่เจษ?” เสียงเนตรนภาแซวพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของสำนักงานขนมะพร้าวมาหลายลูก“ของฝากจากลูกความครับ ช่วยนำกลับบ้านไปรับประทานตอบแทนที่ผมคนนี้ต้องไปลำบากแลกด้วยหยาดเหงื่อของผมมา” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าตาเปล่งประกายอย่างคนเจ้าเล่ห์“แหมๆ พูดเหมือนตัวเองไปปลูกไปสอยมางั้นแหละ” กุลธิดาอดถากถางหนุ่มรุ่นน้องที่เสนอขายอย่างเกินหน้าเกินตาราวกับเป็นมะพร้าวในสวนตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้เห็นกะล่อนเสนอขายตัวเองไม่ว่างเว้นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้องชายคนนี้มันจะหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น“โห่พี่กวางว่าไปนั่น ถึงไม่ได้ลงแรงเองก็เหมือนอยู่ผมอุตส่าห์พาลูกรักไปลุยถนนลูกรังมาเชียวนะพี่ ตอนนี้ลูกผมสภาพมอมแมมหมดแล้ว” เจษฎาโอดครวญถึงความยากลำบากในการได้มะพร้าวในครั้งนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพลูกรักที่เปื้อนฝุ่นจนรถสีขาวกลายเป็นสีแดงทั้งคัน!“พี
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง