ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา
"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม
"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส
"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชา
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน
คิณณ์มองตามแผ่นหลังบางของเธอที่ค่อยๆหายลับไปในฝูงชน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน เขาอยากจะพูดกับสาวน้อยคนนั้นแต่ดูเหมือนว่าคำพูดทั้งหมดจะติดอยู่ในลำคอหนาจนไม่สามารถที่จะเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้
"ลัลน์เดี๋ยวช่วยพี่ดูเอกสารหน่อย แล้วนั่งรออยู่ที่บัลลังก์นี้ยื่นเอกสารก่อน เดี๋ยวพี่ไปรออยู่ที่บัลลังก์ 3 เสร็จแล้วค่อยตามพี่มานะ" เสียงของเนตรนภาทลายความคิดของเธอกลับมาโฟกัสเรื่องงาน ก่อนจะต้องหนักใจที่จะต้องไปยังห้องพิจารณา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกไม่อยากเข้าห้องพิจารณาอีกเลย
"เอ่อได้ค่ะพี่นก" ลัลน์ตอบรับเสียงค่อยยังไม่มั่นคง
ในเวลานี้เธอคงได้จัดเตรียมใจพร้อมเผชิญหน้ากับความจริงอันแสนเจ็บปวดที่เธอพยายามหลีกหนีตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์มานี้ แต่ก็ไม่อาจลบความคิดในแง่ลบออกไปจากสมองได้เลย
ลัลน์รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกราวกับถูกอะไรมาทีบอก ความรู้สึกหนักขึ้นยากจะระบายให้ใครฟังได้ น้ำตาพลันคลอเบ้าเมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่มาหลอกแล้วทิ้งเธอไป เธอไม่อาจทำใจยอมรับกับการกระทำของเขาได้ จะไปเรียกร้องกับใครได้ในเมื่อตัวเธอโง่ยินยอมพร้อมใจให้เขาเอง
เมื่อจัดการกับธุระเสร็จ ลัลน์จึงเดินไม่หยุดอยู่หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 3 หญิงสาวสูบลมหายใจเข้าลึกๆยังทำใจก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับเขา ภายในห้องพิจารณายังคงกลิ่นอายความรู้สึกกดดันเช่นเคย เสียงพูดของณรงค์ดังขึ้นอย่างหนักแน่นทว่าเป็นกันเองคล้ายบรรยากาศอึมครึมในห้องไปได้บ้าง
แต่ทว่าสำหรับลัลน์ในตอนนี้ทุกคำพูดของณรงค์เจริญหายไปจากโสดประสาทของเธอ เมื่อเธอก้าวเข้าสู่ห้องพิจารณาและคนใจร้ายนั่งอยู่บนบัลลังก์ข้างๆณรงค์ หัวใจของเธอฉันรักตัวร่างกายแข็งค้างรู้สึกอึดอัดไม่รู้จะต้องทำตัวเช่นไหนกับสถานการณ์นี้ เจษฎาซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดและบ่าเธอเบาๆก่อนจะพาเธอไปนั่งเก้าอี้ทางด้านหลังห้อง
ในจังหวะที่เธอเงยหน้าก็พบกับสายตาของคิณณ์ที่มองลงมายังด้านล่างด้วยท่าทีเย็นชาและเคร่งขรึมไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่เธอเคยเห็น แต่ในคราวนี้ความเงียบขรึมของเขากลับทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความเจ็บปวด
หญิงสาวมิ้มริมฝีปากแน่น พยายามไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาแต่ในใจลึกๆแล้วเธอยังคงไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงถอยห่างไปจากเธอโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเหมือนกับว่าค่ำคืนที่พวกเขาเคยใกล้ชิดกันไม่มีความหมาย เหมือนทุกอย่างเลยคืนนั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขา ราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าในสายตาของเขา เมื่อสายตาคมไม่ชายตามาทางเธอแม้แต่น้อยทำเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเรา
'ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?' ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวเหมือนกับเงาตามตัวที่เธอไม่อาจหลีกหนีพ้น เขาคงเข้ามาใกล้เพราะความต้องการชั่วคราวและหลังจากนั้นก็ทิ้งเธอไปเหมือนกับที่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นหรือ
ในระหว่างการพิจารณาคดีลัลน์ต้องพยายามเก็บอารมณ์ทุกครั้งที่คิณณ์สงสายตาผ่านเธอไป สายตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เธอต้องพยายามควบคุมความรู้สึกห้ามใจไม่ให้เหลือบตามองไปที่เขาแต่ก็ห้ามไม่ได้ เธอเห็นเพียงใบหน้าที่ไร้อารมณ์ น้ำเสียงเย็นชาที่ในตอนนี้ไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเหมือนหัวใจถูกบีบรัดไว้แน่นโดยโซ่พันธะความรู้สึกของเธอ
ทันทีที่การพิจารณาคดีในส่วนของคิณณ์สิ้นสุดลง ชายหนุ่มลุกขึ้นจากบัลลังก์โดยไม่หันกลับมามองเธอ ขายาวก้าวเดินออกไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้เธอจมอยู่กับความรู้สึกที่ตัดเขาไม่ขาดและคำถามที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบ ลัลน์จ้องมองแผ่นหลังกว้างของเขาที่ค่อยๆลับหายไปเหลือไว้เพียงความรู้สึกเจ็บแปลบที่ยากจะลืม
หลังจากการพิจารณาคดีจบลง หญิงสาวรู้สึกเหมือนทุกอย่างในห้องพิจารณาเริ่มหมุนรอบตัวเธอเร็วเกินกว่าที่จะตามทัน สายตาของคิณณ์พี่ไม่เคยหันกลับมามองเธออีกเลยทำให้หัวใจเจ็บช้ำ เหมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังเดินห่างออกไปจากเธออย่างช้าๆ ในขณะที่เธอทำได้เพียงแค่ยืนมองด้วยความรู้สึกอึดอัดและสูญเสีย
'สุดท้ายเขาคงมองเธอเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งในยามเหงาเท่านั้น' มือเล็กจัดเอกสารสำนวนไว้แน่นพยายามควบคุมสติไม่ให้ตัวเองอ่อนแอ แต่ความเจ็บปวดภายในอกกับท่วมท้นจนทำให้หัวใจของเธอจะขาดรอนๆ ความเย็นชาและไร้อารมณ์ของเขาทำให้เธอไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นแท้จริงแล้วคือความฝันหรือความจริงกันแน่
ในขณะที่ลัลน์เดินออกจากห้องพิจารณาน้ำตาของเธอเริ่มไหลรินลงมาอีกครั้ง แม้จะพยายามข่มมันไว้อย่างสุดความสามารถก็ตามแต่มันก็ไม่อาจหยุดความเจ็บปวดภายในใจของเธอไปได้
"ลัลน์ไหวหรือเปล่าทำไมตาแดงๆล่ะ กลับไปพักผ่อนไหม" เนตรนภาพับชุดกุ๋ยเสร็จหันกลับมาพบกับใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำขอบตาชื้นแฉะแวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา
"หนูปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก" เสียงแหบพร่าเอ่ยตอบเนตรนภาไม่ให้เป็นห่วงกันมากนัก
"ผมว่ารีบกลับออฟฟิศกันก่อนเถอะครับพี่นก อากาศยิ่งร้อนๆอยู่เดี๋ยวลัลน์จะเป็นลมไปเสียก่อน" เจษฎาเอ่ยขัดจังหวะเนตรนภาไม่ให้เซ้าซี้ถามอาการอะไรหญิงสาวอีก
"ไปๆ ลัลน์เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้วไปก่อน" เนตรนภาหันมาดันหลังจ้างมาให้เดินไปด้วยกัน
ในตอนนี้สมองเธอไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว หญิงสาวรู้สึกถึงได้เพียงแต่ความอ้างว้างที่เหมือนตัวเธอถูกทิ้งไว้ในท่ามกลางความมืดแต่เพียงลำพัง ร่างกายเธอเริ่มรู้สึกอ่อนล้าราวกับว่าแรงทั้งหมดที่มีถูกซูบใช้ไปจนหมดสิ้นในห้องพิจารณาคดีแล้ว ความเหนื่อยล้าทางจิตใจเริ่มทวีคูณ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหมือนกับว่าเธอพยายามจะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อเผชิญกับความเจ็บปวดที่เขาเป็นคนหยิบยื่นให้แก่เธอ
หญิงสาวสูบลมราวกับดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวถูกทิ้งอยู่กลางถนนไม่สามารถที่จะฟื้นตัวจากความรู้สึกที่สูญเสียไปได้ เธอรู้สึกเหมือนคนที่เคยมีความหวังความมั่นใจในตัวเองกลับซึมเศร้าและท้อแท้ เธอไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มจึงทำให้เธอรู้สึกเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะต้องมานั่งรับผิดชอบอะไรกับคนอย่างเธอ
เจษฎาเห็นท่าทางของลัลน์สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เธอกำลังเผชิญ เขาไม่อาจพูดอะไรได้มากเพราะรู้ดีว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทางหนึ่งก็เพื่อนอีกทางหนึ่งก็น้องสาว เพื่อนเขาเองก็ยังใจโลเลไม่อาจตัดสินใจอะไรได้ ส่วนทางนี้ดูทรงท่าจะไปต่อไม่ไหว เขาคนกลางคนทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากอยู่เคียงข้างคนทั้งสอง ก่อนจะเดินตามหลังหญิงสาวทั้งสองคนไปยังลานจอดรถเพื่อกลับสำนักงาน
เมื่อมาถึงสำนักงานลัลน์เปิดโน้ตบุ๊คจัดการเอกสารบนโต๊ะทำตัวให้วุ่นวายไม่คิดถึงคนใจร้ายที่ไม่ชายตามองเธอจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่เย็นย่ำ ทุกคนในสำนักงานต่างทยอยกลับบ้านกันหมดแล้วหรือเพียงเธอและเจษฎาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
"นี่ค่ะคำแถลงขอปิดหมายกับสำนวนคำฟ้องหนูวางไว้ตรงนี้นะคะ"
"อืมขอบใจมาก เย็นมากเลยเดี๋ยวพี่ไปส่ง"เจษฎาเงยหน้าจากไอแพดก่อนจะเอ่ยปากชวนหญิงสาว
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้" ลัลน์ปฏิเสธเจษฎาอย่างเกรงใจ
"พี่มีเรื่องจะคุยด้วยรีบเก็บของกลับกันเถอะ" หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจแต่เธอก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะปฏิเสธเขาได้ อีกอย่างเจษฎามีเนื่องจากคุยกับเธออีก
ระหว่างทางในรถบรรยากาศเงียบงัน เจษฎาหันมามองเธอชั่วครู่ก่อนเปิดปากพูดคุย
"ลัลน์ พี่ขอถามอีกครั้งนะว่าเธอกับไอ้คิณณ์เป็นอะไรกัน?" คำถามนั้นเหมือนมีดแทงเข้ากลางใจของเธอ หญิงสาวได้แต่นั่งเงียบคบลืมใส่ปากแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าไว้
"พี่กับไอ้คิณณ์เป็นเพื่อนเรียนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว"
"คะ ว่ายังไงนะคะ" หญิงสาวตาเบิกโพลงกับความจริง ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าทั้งสองคงรู้จักกัน อาจสนิทในฐานะคนทำงานด้วยกัน แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนกันแบบนี้
"พี่รู้นะว่าตอนนี้เธอรู้สึกยังไง แต่พี่อยากให้เธอรู้ถึงสาเหตุที่มันเป็นแบบนี้" เจษฎาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อเห็นเด็กสาวข้างกายไม่คัดทานอะไรจึงเริ่มเล่าถึงอดีตของคิณณ์
"เมื่อก่อนน่ะไอ้คิณณ์มันก็ไม่ได้ยินชาขนาดนี้หรอก ถึงมันจะเป็นคนเงียบๆ พูดน้อย แต่ทุกอย่างมันกลับแย่ลงเมื่อมันถูกหักหลัง แต่ก่อนในแก๊งพี่มีกันอยู่ 3 คน มีพี่ ไอ้คิณณ์และก็แดนพวกพี่สนิทกันมากไปไหนไปกันตัวติดกันตลอด ยิ่งการเป็นเพื่อนสนิทของมันตั้งแต่สมัยประถมก่อนจะรู้จักพี่ด้วยซ้ำ พวกพี่ก็ใช้ชีวิตเป็นรายงานปกติดีจนกระทั่งไอ้คิณณ์มันคบกับเม็ดทรายเด็กดีที่เรียนมาด้วยกันนี่แหละ แต่เพิ่งมาคบกันตอนเรียนจบมหาลัยทั้งสองรักกันมากถึงขนาดที่ว่าวางแผนใช้ชีวิตร่วมกัน พี่ก็ไม่รู้นะว่ามันหลงอะไรของมันแต่เวลาปีหนึ่งที่มันคบกับเม็ดทรายมันจริงจังถึงขั้นวาดวันอนาคตไปพูดคุยกับแม่ตัวเอง เอาแม่มันไม่คัดค้านอะไรหรือคัดค้านไม่ได้หรือเปล่าพี่ก็ไม่รู้ มันก็รีบไปหาเม็ดทรายที่ห้องเพื่อไปพูดคุยว่าจะขอหมั้นไว้ก่อน แต่เมื่อมันเปิดประตูห้องเข้าไปมันกลับเจอเม็ดทรายกับแดดเพื่อนสนิทที่มันไว้ใจมากที่สุดกำลังมีอะไรกันในห้องของมันเอง
หลังจากวันนั้นไอ้คิณณ์มันก็กลายเป็นคนเย็นชาไม่เปิดรับใครเข้ามาทั้งนั้น กีดกันทุกคนออกจากชีวิตในทุกความสัมพันธ์ มันเสียสูญไปหนึ่งปีเต็มๆเลยนะ ตอนนั้นอยู่ในช่วงสอบเนฯ สอบป.โทด้วย ความจริงทุกอย่างแล้วมานั่งกินเหล้าเป็นน้ำทุกวัน กว่ามันจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ 1 ปีเต็มๆ" เจษฎาหยุดพูดก่อนจะหันมาหาหญิงสาวที่ตอนนี้แววตาสั่นไหวไปตามอารมณ์
"ที่พี่จะบอกเราก็คือมันรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก มันไม่ใช่แค่เรื่องโดนหักหลังเท่านั้น แต่มันคือการที่คนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดสองคนรวมหัวกันทำร้ายมัน"
ลัลน์ฟังเงียบๆน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดไหลออกมาเป็นทำนบแตก เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะมีเหตุการณ์ฝังใจแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ควรมาทำกับเธอแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
"ลัลน์เข้าใจนะคะว่าเขาคนนั้นเจ็บปวดฝังลึกกับเหตุการณ์นั้นมากแค่ไหน ภาพที่คนรักตัวเองมีอะไรกับคนอื่นต่อหน้าต่อตามันเป็นอะไรที่เจ็บเกินกว่าจะรับไหวก็จริง แล้วยิ่งคนคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทด้วยแล้วคงทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม แล้วยังไงล่ะคะ ความรู้สึกของใครก็ควรรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองไปสิ ไม่ใช่หน้าที่ใครที่จะต้องมารักษาให้ ถ้าตัวเขาไม่พร้อมเปิดใจจะมีใครก็ไม่ควรดึงหนูเข้ามาในความสัมพันธ์นี้" หญิงสาวร้องไห้หนักอยู่ยิ่งกว่าเดิม การที่ตัวเขาถูกคนอื่นทำร้ายมาย่อมไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำร้ายคนอื่นได้เช่นเดียวกัน
เจษฎาได้แต่อึ้งกับคำพูดของลัลน์ เขารู้ว่าสิ่งที่เพื่อนเขาทำก็ไม่ถูกที่เดิมสาวน้อยคนนี้เข้าไปในความสัมพันธ์ แล้วก็รู้สึกกับเธอมากขึ้นกลับกลายเป็นความกลัวชิ่งหนีไปจากหญิงสาวทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพัง
เมื่อถึงหอพักลัลน์เอยขอตัวลาก่อนจะเปิดประตูรถโดยไม่หันกลับมามอง ฉีดให้เจษฎานั่งอยู่ในรถพร้อมกับคำถามที่วนเวียนในหัวเขาว่าควรทำอะไรต่อไปเพื่อช่วยเพื่อนกับน้องสาวที่น่าสงสารคนนี้ดี
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
พลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องสะโพกหนั่นแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระแทกรูสวาทที่ดูดลำเอ็นเขาอย่างไม่ปรานี โหมสะโพกใส่แรงไม่ยั้งอย่างไม่กลัวเลยว่าช่องสวาทที่ตอดรัดให้ความสุขนี้จะบาดเจ็บแม้แต่น้อย จังหวะที่เร่งเร้ารุนแรงของชายหนุ่มทำให้ทรวงอกสาวกระเพื่อมไหวไปตามแรงกระแทกจากด้านบนยอดอกสีหวานแข็งชูชันล่อสายตาก่อนจะก้มหน้าโฉบดูดกลืนยอดถันเข้าปาก ลิ้นร้อนปาดป่ายไปทั่วเต้างามอีกข้างก็ไม่ให้ว่างเว้นบีบเคล้นคลึงนมเด็กสาวที่เด้งสู้มือเขายิ่งนัก ชายหนุ่มที่ถูกล่อลวงจากดอกไม้งามให้เข้ามาเชยชมกลิ่นกายอสนหอมหวานทำให้ภมรตัวนี้ยิ่งมัวเมาในรสรัก แรงขับเคลื่อนจากสะโพกสอบยิ่งเร่งขึ้นทวีคูณ เส้นเลือดรอบลำเอ็นขูดไปตามโพรงมดลูกของเธออย่างเสียวซ่านพลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆๆเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดั่งสนั่นลั่นห้อง เสียงเตียงลั่นสั่นคลอนดังเอี๊ยดอ๊าดไม่รู้ว่าเตียงนี้จะทนรับพายุสวาทของชายหญิงนี้ได้นานสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มโถมแรงควงงัดเอ็นร้อนกระแทกชนปากมดลูกสาวจนจุก มือสากหนาเคล้นคลึงเต้าใหญ่เกินขนาดอย่างแรง ลิ้นร้อนลากวนตวัดรอบบนยอดถันดูดเลียปลายยอดอย่างตระกละตะกลาม“อาห์
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
“ทำไมคอแม่ลัลน์ถึงแดงจังเลยคะ?” สิ้นเสียงคำถามจากลูกสาว มือเล็กรีบยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องดูภาพสะท้อน รอยแดงเป็นจ้ำใหญ่ปรากฏเด่นชัด ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตวัดสายตาไปมองคนตัวโตที่ยืนยิ้มหน้ามึนอยู่ข้าง ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแก้สถานการณ์ให้เลยสักนิด“คือว่าแม่โดนผึ้งกัดค่ะ แม่แพ้เลยเป็นรอยแบบนี้” ลัลน์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ พยายามหาข้ออ้างตอบลูกให้ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด แต่ยังไม่ทันได้โล่งใจ เสียงทุ้มของลูกชายที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงสัย“ผึ้งที่ไหนหรือครับที่คอนโดกับที่ห้องนี้ก็ไม่น่าจะมีผึ้งได้นะครับ” คำถามของคอร์ททำให้ลัลน์ชะงักค้าง ไม่คิดว่าลูกชายจะจับสังเกตและถามกลับมาแบบนี้“เอ่อ คือว่าแม่” เสียงหวานกระอักกระอ่วนไม่อาจหาข้ออ้างยกขึ้นกล่าวกับลูกชายได้ เมื่อเห็นเมียรักกระดากเกินกว่าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาในฐานะสามีที่ดีก็ควรช่วยเหลือบ้าง“ผึ้งในช่อดอกไม้น่ะ ว่าแต่ซักพยานขนาดนี้ไม่อยากกินปิ้งย่างแล้วใช่ไหมนะ” คิณณ์พูดพลางเลิกคิ้วเจ้าเล่ห์ เบี่ยงเบนความสนใจของลูก ๆ ได้อย่างแนบเนียน สองแฝดรีบกอบกุมมือพ่อแม่ไว้อย่างอบอุ่
ภายในห้องทำงานโทนสีดำสุดหรู อุณหภูมิเย็นเฉียบตัดกับความร้อนแรงที่ปกคลุมบรรยากาศ เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างสม่ำเสมอถูกกลบด้วยเสียงหยาบโลนท่ามกลางความเงียบงัน แต่ดูเหมือนว่าไอเย็นเหล่านั้นจะไม่มีผลใด ๆ ต่อชายหญิงที่ตอนนี้กำลังเมามันหลงใหลในกามราคะอยู่บนโซฟาหนังภายในห้อง“อื้อ พะพอได้แล้ว อ๊ะส์ เดี๋ยวลูกมานะคะ” เสียงหวานครางกระเส่า มือเล็กดันหน้าท้องแกร่งออกให้ลดแรงกระแทกเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เจ้าสองแสบเลิกเรียนและกำลังเดินทางมาบริษัท จะว่าสองแสบก็ไม่เชิงในเมื่อคนที่แสบสันที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกสาวตัวดีของเธอ ส่วนลูกชายนั้นเรียบร้อยนุ่มนิ่มเหมือนผ้าพับไว้“คนดีพี่ขอหน่อย พี่ไม่มีโอกาสเลยนะเจ้าตัวแสบกันพี่ตลอดเลย ซี้ดด” คิณณ์ถึงกับซูดปากครางทันทีเมื่อเมียเด็กของเขายกสะโพกสวนแรงกระแทกของเขาทำให้ร่องคับแคบบีบรัดแน่นจนเขาเสียวซ่านไปทั่วกาย ถึงแม้เธอจะคลอดลูกแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลอันใดต่อร่องสวาทนี้เลยพลั่บๆๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังลั่นห้อง เอวสอบโหมกระแทกแรง ขาข้างหนึ่งชันไว้บนโซฟา จับสะโพกอวบอิ่มกลมกลึงไว้แน่นพร้อมจับกระแทกอย่างรัวเร็ว เมื่อหัวลำลึงค์ของเขากระแท
เรื่องราวเหล่านี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ สิบปี?หรืออาจจะสิบห้าปี? ผมเองก็จำไม่ได้แน่ชัด เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยนับว่าเป็นเพื่อนกับคิณณ์มานานเท่าไหร่ พวกเราสนิทกันมากถึงขั้นที่ว่าตายแทนกันได้เลย แต่สุดท้ายแล้ว จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างพังทลายก็คือ "ผู้หญิง"เธอคนนั้นใบหน้าน่ารัก ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกในงานสังคมของผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนั้นทั้งสองครอบครัวเคยพูดคุยกันเล่น ๆ ถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างผมกับเม็ดทราย ผมเองก็ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีความจริงจังแค่ไหน แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเธอก็ค่อย ๆ พัฒนาไปจนถึงขั้นลึกซึ้งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมภาคภูมิใจที่ได้รักเธอคนนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครรับรู้ แต่ในเมื่อเธออยู่กับผมแล้ว การประกาศให้โลกรู้หรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ทว่าผมคิดผิดเมื่อผมขึ้นปีสองผมเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์เช่นเดียวกับคิณณ์ เราสองคนมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง เพียงแต่เส้นทางของเราแตกต่างกัน ผมใฝ่ฝันอยากเป็นอัยการมากกว่าที่จะเป็นผู้พิพากษาเหมือนคิณณ์มัน แต่ใครจะไปคิดว่าความชอบเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสุดท้ายแล้วเราทั้งคู่กลับตกหลุมรักผู
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม หลังจากเรียนพิเศษเสร็จผมจึงมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะที่นัดเจอน้องคนหนึ่งไว้ทุกวัน ถึงแม้จะเหนื่อยสักเพียงใดเขาก็ไม่เคยผิดนัดกับหนูน้อยคนนี้เลยเด็กสาวตัวจ้ำม่ำในชุดประถมพร้อมคอซองค์และถักผมเปียสองข้างน่ารัก กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หน้าผากเธอขมวดมุ่นด้วยความตั้งใจ เมื่อเธอรู้สึกถึงการมาของผมจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาคาดหวัง ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาผม“พี่คิณณ์ขา มาแล้วหรือคะ?”“โทษที พี่มาช้าไปหน่อย” ผมกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดู“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็พึ่งมา” เด็กน้อยยิ้มตาปิดส่งให้เขาอย่างไร้เดียงสา นับถือพี่ชายที่คอยมาสอนหนังสือในทุกๆวัน ตั้งแต่เธออยู่ป.1 แล้ว จนตอนนี้เธอป.3 พี่ชายก็คอยสอนหนังสือเธอมาอย่างสม่ำเสมอจนก่อเกิดความรักขึ้นในหัวใจของเด็กน้อยท่าทางของเด็กน้อยทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอกำลังรู้สึกพิเศษอะไรบางอย่างกับผม รู้สึกมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นระหว่างพี่น้อง แต่ผมก็ไม่ได้ถอยห่างไปไหน คิดว่าเธออาจจะยังแยกไม่ออกระหว่างความรักแบบพี่น้องที่มีความเคารพนับถือ ไม่ใช่ความรู้สึกในทางชู้สาว“อืม วันนี้การบ้านวิชาอะไร
ชายหนุ่มลูกคนโตของบ้านหรูหลังนี้กำลังอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกเดินเข้าบ้านมาอย่างทะนุถนอม ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข แทบไม่ได้นอนเนื่องจากอาเจียนทั้งวันจนเธอเวียนหัวลมแทบจับ“หนูลัลน์เป็นอะไรลูก” ไอย์ลดาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอุ้มลูกสะใภ้มา“พึ่งได้นอนครับผมเลยไม่ได้ปลุก”“พาลูกสาวฉันไปนอนก่อนไป ข้าวค่อยกินทีหลัง”“มันจะดีหรือครับคุณท่าน มันจะเสียมารยาทเอานะครับ” พงษ์ทวีเอ่ยขัดอย่างเกรงใจที่ดูเหมือนบ้านฝั่งลูกเขยจะรอลูกสาวคนเดียว แม้จะเข้าใจว่าอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ก็อดกังวลเรื่องมารยาทไม่ได้“คนท้องก็ยังงี้ล่ะ ทำเหมือนไม่เคยมีลูกไปได้” ไอย์ลดาเสริมทัพสามีของตนทันที“อื้อ” เสียงหวานพึมพำเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุย คนตัวเล็กขยี้ตาตัวเองแรงจนคิณณ์ต้องคว้ามือบางให้หยุด ก่อนจะหญิงสาวหาวเบา ๆ จนตาน้ำตาคลอ ก่อนจะซุกหน้ากับไหล่กว้างของสามีอย่างงัวเงีย คิณณ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา โดยให้เธอนั่งบนตักอย่างทะนุถนอม“ตื่นแล้วรึเด็กขี้เซา” เขากระซิบถามเสียงอ่อนโยน แต่ทันทีที่ลัลน์ลืมตาขึ้นมาเต็มตาเธอกลับพบพ่อแม่ของตัวเองยืนมองอยู่ หญิงสาวสะดุ
“หนูไหวไหมคะ ให้พี่พาไปหาหมอไหม” เสียงทุ้มเจือความกังวลถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงซีดเซียว กินอะไรก็แทบไม่ลง คิณณ์มองร่างบางที่นอนซบอยู่บนเตียงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย มือหนาลูบไปตามเส้นผมนุ่มของเธอเบาๆ ราวกับปลอบโยนหญิงสาว“พี่ไปทำงานเถอะค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก” เสียงแหบแห้งดังขึ้น ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มกลับแตกระแหงจนเขายิ่งสงสารจับใจ คิณณ์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะจับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตที่หลังมืออย่างอ่อนโยน ดวงตาคมฉายแววอ่อนลง แต่ยังเต็มไปด้วยความกังวล“แบบนี้ไม่เป็นอะไรมากที่ไหน มันอาการหนักแล้วนะ” เขาพูดเสียงเข้ม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงไม่ยอมไปไหน “เดี๋ยวพี่ก็ลาออกแล้วนะคะ หยุดบ่อยคงไม่ดี”“แล้วพี่จะปล่อยให้เมียพี่เป็นแบบนี้งั้นเรอะ” “หนูแค่ท้องนะคะ ไม่ได้จะตาย” คนน้องหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือหนาของเขาไว้ พร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดูเมื่อใบหน้าคมยังฉายแววเป็นห่วงไม่คลาย“แต่พี่ว่าหนู... หนูว่าอะไรนะ ท้องงั้นเหรอ?” คิณณ์ชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่นราวกับจับสังเกตบางอย่างได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมเบิกกว้างราวกับยังไม่อยากเชื
“อื้อ” เสียงหวานร้องครางในลำคอรู้สึกเจ็บแปล๊บสลับกับเสียวซ่านราวกับมีใครขบเม้มยอดอก ในความฝันอันมืดมิดนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่สัมผัสยอดอกจนแข็งชูชันให้ชายหนุ่มได้เชยชมสะดวก ท้องนิ้วสากที่กำลังลูบไล้เขี่ยยอดถันแผ่วเบาจนร่างบางสั่นสะท้านอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นี่เธอลามกจนฝันถึงเรื่องแบบนี้กันเชียวหรือแต่เมื่อความเสียวแล่นพล่านทั่วกลางกายอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะอยู่ที่จุดกลางกายของเธอ ทำให้หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง เธอเห็นเพียงกลุ่มผมหนาสีดำขลับซุกอยู่กลางหว่างขาของตน เสียงดูดเลียเข้าโสตประสาทหญิงสาวทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีอย่างเขินอาย“อ๊ะส์ พี่คิณณ์ อื้อ ทำอะไรคะ” คิณณ์หาได้ตอบหญิงสาวไม่เสียงหวานเหมือนเลือนลางหายไปตามสายลม นิ้วเรียวยาวกำลังบดขยี้จุดกระสันภายนอก ทำงานสอดประสานรับกันอย่างดีกับลิ้นสากที่ลากเลียวนรอบปากรู สลับกับแยงลิ้นสอดเข้าไปร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำหวานสีใสอาบเคลือบดอกไม้งามแจ๊ะๆๆๆ“อ๊ายยยส์”เสียงหยาบโลนดังสลับเสียงกรีกร้องครวญคราง ยิ่งคิณณ์เร่งจังหวะมากเพียงใดร่างบางยิ่งดิ้นพล่านหนักกรีดร้องเสียงดัง ท้องน้อยบีบรัดแน่น ก่อนจะกระตุกทั้
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ