ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา
"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม
"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส
"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชา
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน
คิณณ์มองตามแผ่นหลังบางของเธอที่ค่อยๆหายลับไปในฝูงชน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน เขาอยากจะพูดกับสาวน้อยคนนั้นแต่ดูเหมือนว่าคำพูดทั้งหมดจะติดอยู่ในลำคอหนาจนไม่สามารถที่จะเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้
"ลัลน์เดี๋ยวช่วยพี่ดูเอกสารหน่อย แล้วนั่งรออยู่ที่บัลลังก์นี้ยื่นเอกสารก่อน เดี๋ยวพี่ไปรออยู่ที่บัลลังก์ 3 เสร็จแล้วค่อยตามพี่มานะ" เสียงของเนตรนภาทลายความคิดของเธอกลับมาโฟกัสเรื่องงาน ก่อนจะต้องหนักใจที่จะต้องไปยังห้องพิจารณา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกไม่อยากเข้าห้องพิจารณาอีกเลย
"เอ่อได้ค่ะพี่นก" ลัลน์ตอบรับเสียงค่อยยังไม่มั่นคง
ในเวลานี้เธอคงได้จัดเตรียมใจพร้อมเผชิญหน้ากับความจริงอันแสนเจ็บปวดที่เธอพยายามหลีกหนีตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์มานี้ แต่ก็ไม่อาจลบความคิดในแง่ลบออกไปจากสมองได้เลย
ลัลน์รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกราวกับถูกอะไรมาทีบอก ความรู้สึกหนักขึ้นยากจะระบายให้ใครฟังได้ น้ำตาพลันคลอเบ้าเมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่มาหลอกแล้วทิ้งเธอไป เธอไม่อาจทำใจยอมรับกับการกระทำของเขาได้ จะไปเรียกร้องกับใครได้ในเมื่อตัวเธอโง่ยินยอมพร้อมใจให้เขาเอง
เมื่อจัดการกับธุระเสร็จ ลัลน์จึงเดินไม่หยุดอยู่หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 3 หญิงสาวสูบลมหายใจเข้าลึกๆยังทำใจก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับเขา ภายในห้องพิจารณายังคงกลิ่นอายความรู้สึกกดดันเช่นเคย เสียงพูดของณรงค์ดังขึ้นอย่างหนักแน่นทว่าเป็นกันเองคล้ายบรรยากาศอึมครึมในห้องไปได้บ้าง
แต่ทว่าสำหรับลัลน์ในตอนนี้ทุกคำพูดของณรงค์เจริญหายไปจากโสดประสาทของเธอ เมื่อเธอก้าวเข้าสู่ห้องพิจารณาและคนใจร้ายนั่งอยู่บนบัลลังก์ข้างๆณรงค์ หัวใจของเธอฉันรักตัวร่างกายแข็งค้างรู้สึกอึดอัดไม่รู้จะต้องทำตัวเช่นไหนกับสถานการณ์นี้ เจษฎาซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดและบ่าเธอเบาๆก่อนจะพาเธอไปนั่งเก้าอี้ทางด้านหลังห้อง
ในจังหวะที่เธอเงยหน้าก็พบกับสายตาของคิณณ์ที่มองลงมายังด้านล่างด้วยท่าทีเย็นชาและเคร่งขรึมไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่เธอเคยเห็น แต่ในคราวนี้ความเงียบขรึมของเขากลับทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความเจ็บปวด
หญิงสาวมิ้มริมฝีปากแน่น พยายามไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาแต่ในใจลึกๆแล้วเธอยังคงไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงถอยห่างไปจากเธอโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเหมือนกับว่าค่ำคืนที่พวกเขาเคยใกล้ชิดกันไม่มีความหมาย เหมือนทุกอย่างเลยคืนนั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเขา ราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าในสายตาของเขา เมื่อสายตาคมไม่ชายตามาทางเธอแม้แต่น้อยทำเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเรา
'ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?' ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวเหมือนกับเงาตามตัวที่เธอไม่อาจหลีกหนีพ้น เขาคงเข้ามาใกล้เพราะความต้องการชั่วคราวและหลังจากนั้นก็ทิ้งเธอไปเหมือนกับที่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นหรือ
ในระหว่างการพิจารณาคดีลัลน์ต้องพยายามเก็บอารมณ์ทุกครั้งที่คิณณ์สงสายตาผ่านเธอไป สายตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เธอต้องพยายามควบคุมความรู้สึกห้ามใจไม่ให้เหลือบตามองไปที่เขาแต่ก็ห้ามไม่ได้ เธอเห็นเพียงใบหน้าที่ไร้อารมณ์ น้ำเสียงเย็นชาที่ในตอนนี้ไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเหมือนหัวใจถูกบีบรัดไว้แน่นโดยโซ่พันธะความรู้สึกของเธอ
ทันทีที่การพิจารณาคดีในส่วนของคิณณ์สิ้นสุดลง ชายหนุ่มลุกขึ้นจากบัลลังก์โดยไม่หันกลับมามองเธอ ขายาวก้าวเดินออกไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้เธอจมอยู่กับความรู้สึกที่ตัดเขาไม่ขาดและคำถามที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบ ลัลน์จ้องมองแผ่นหลังกว้างของเขาที่ค่อยๆลับหายไปเหลือไว้เพียงความรู้สึกเจ็บแปลบที่ยากจะลืม
หลังจากการพิจารณาคดีจบลง หญิงสาวรู้สึกเหมือนทุกอย่างในห้องพิจารณาเริ่มหมุนรอบตัวเธอเร็วเกินกว่าที่จะตามทัน สายตาของคิณณ์พี่ไม่เคยหันกลับมามองเธออีกเลยทำให้หัวใจเจ็บช้ำ เหมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังเดินห่างออกไปจากเธออย่างช้าๆ ในขณะที่เธอทำได้เพียงแค่ยืนมองด้วยความรู้สึกอึดอัดและสูญเสีย
'สุดท้ายเขาคงมองเธอเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งในยามเหงาเท่านั้น' มือเล็กจัดเอกสารสำนวนไว้แน่นพยายามควบคุมสติไม่ให้ตัวเองอ่อนแอ แต่ความเจ็บปวดภายในอกกับท่วมท้นจนทำให้หัวใจของเธอจะขาดรอนๆ ความเย็นชาและไร้อารมณ์ของเขาทำให้เธอไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นแท้จริงแล้วคือความฝันหรือความจริงกันแน่
ในขณะที่ลัลน์เดินออกจากห้องพิจารณาน้ำตาของเธอเริ่มไหลรินลงมาอีกครั้ง แม้จะพยายามข่มมันไว้อย่างสุดความสามารถก็ตามแต่มันก็ไม่อาจหยุดความเจ็บปวดภายในใจของเธอไปได้
"ลัลน์ไหวหรือเปล่าทำไมตาแดงๆล่ะ กลับไปพักผ่อนไหม" เนตรนภาพับชุดกุ๋ยเสร็จหันกลับมาพบกับใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำขอบตาชื้นแฉะแวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา
"หนูปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก" เสียงแหบพร่าเอ่ยตอบเนตรนภาไม่ให้เป็นห่วงกันมากนัก
"ผมว่ารีบกลับออฟฟิศกันก่อนเถอะครับพี่นก อากาศยิ่งร้อนๆอยู่เดี๋ยวลัลน์จะเป็นลมไปเสียก่อน" เจษฎาเอ่ยขัดจังหวะเนตรนภาไม่ให้เซ้าซี้ถามอาการอะไรหญิงสาวอีก
"ไปๆ ลัลน์เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้วไปก่อน" เนตรนภาหันมาดันหลังจ้างมาให้เดินไปด้วยกัน
ในตอนนี้สมองเธอไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว หญิงสาวรู้สึกถึงได้เพียงแต่ความอ้างว้างที่เหมือนตัวเธอถูกทิ้งไว้ในท่ามกลางความมืดแต่เพียงลำพัง ร่างกายเธอเริ่มรู้สึกอ่อนล้าราวกับว่าแรงทั้งหมดที่มีถูกซูบใช้ไปจนหมดสิ้นในห้องพิจารณาคดีแล้ว ความเหนื่อยล้าทางจิตใจเริ่มทวีคูณ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหมือนกับว่าเธอพยายามจะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อเผชิญกับความเจ็บปวดที่เขาเป็นคนหยิบยื่นให้แก่เธอ
หญิงสาวสูบลมราวกับดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวถูกทิ้งอยู่กลางถนนไม่สามารถที่จะฟื้นตัวจากความรู้สึกที่สูญเสียไปได้ เธอรู้สึกเหมือนคนที่เคยมีความหวังความมั่นใจในตัวเองกลับซึมเศร้าและท้อแท้ เธอไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มจึงทำให้เธอรู้สึกเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะต้องมานั่งรับผิดชอบอะไรกับคนอย่างเธอ
เจษฎาเห็นท่าทางของลัลน์สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เธอกำลังเผชิญ เขาไม่อาจพูดอะไรได้มากเพราะรู้ดีว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทางหนึ่งก็เพื่อนอีกทางหนึ่งก็น้องสาว เพื่อนเขาเองก็ยังใจโลเลไม่อาจตัดสินใจอะไรได้ ส่วนทางนี้ดูทรงท่าจะไปต่อไม่ไหว เขาคนกลางคนทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากอยู่เคียงข้างคนทั้งสอง ก่อนจะเดินตามหลังหญิงสาวทั้งสองคนไปยังลานจอดรถเพื่อกลับสำนักงาน
เมื่อมาถึงสำนักงานลัลน์เปิดโน้ตบุ๊คจัดการเอกสารบนโต๊ะทำตัวให้วุ่นวายไม่คิดถึงคนใจร้ายที่ไม่ชายตามองเธอจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่เย็นย่ำ ทุกคนในสำนักงานต่างทยอยกลับบ้านกันหมดแล้วหรือเพียงเธอและเจษฎาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
"นี่ค่ะคำแถลงขอปิดหมายกับสำนวนคำฟ้องหนูวางไว้ตรงนี้นะคะ"
"อืมขอบใจมาก เย็นมากเลยเดี๋ยวพี่ไปส่ง"เจษฎาเงยหน้าจากไอแพดก่อนจะเอ่ยปากชวนหญิงสาว
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้" ลัลน์ปฏิเสธเจษฎาอย่างเกรงใจ
"พี่มีเรื่องจะคุยด้วยรีบเก็บของกลับกันเถอะ" หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจแต่เธอก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะปฏิเสธเขาได้ อีกอย่างเจษฎามีเนื่องจากคุยกับเธออีก
ระหว่างทางในรถบรรยากาศเงียบงัน เจษฎาหันมามองเธอชั่วครู่ก่อนเปิดปากพูดคุย
"ลัลน์ พี่ขอถามอีกครั้งนะว่าเธอกับไอ้คิณณ์เป็นอะไรกัน?" คำถามนั้นเหมือนมีดแทงเข้ากลางใจของเธอ หญิงสาวได้แต่นั่งเงียบคบลืมใส่ปากแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าไว้
"พี่กับไอ้คิณณ์เป็นเพื่อนเรียนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว"
"คะ ว่ายังไงนะคะ" หญิงสาวตาเบิกโพลงกับความจริง ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าทั้งสองคงรู้จักกัน อาจสนิทในฐานะคนทำงานด้วยกัน แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนกันแบบนี้
"พี่รู้นะว่าตอนนี้เธอรู้สึกยังไง แต่พี่อยากให้เธอรู้ถึงสาเหตุที่มันเป็นแบบนี้" เจษฎาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อเห็นเด็กสาวข้างกายไม่คัดทานอะไรจึงเริ่มเล่าถึงอดีตของคิณณ์
"เมื่อก่อนน่ะไอ้คิณณ์มันก็ไม่ได้ยินชาขนาดนี้หรอก ถึงมันจะเป็นคนเงียบๆ พูดน้อย แต่ทุกอย่างมันกลับแย่ลงเมื่อมันถูกหักหลัง แต่ก่อนในแก๊งพี่มีกันอยู่ 3 คน มีพี่ ไอ้คิณณ์และก็แดนพวกพี่สนิทกันมากไปไหนไปกันตัวติดกันตลอด ยิ่งการเป็นเพื่อนสนิทของมันตั้งแต่สมัยประถมก่อนจะรู้จักพี่ด้วยซ้ำ พวกพี่ก็ใช้ชีวิตเป็นรายงานปกติดีจนกระทั่งไอ้คิณณ์มันคบกับเม็ดทรายเด็กดีที่เรียนมาด้วยกันนี่แหละ แต่เพิ่งมาคบกันตอนเรียนจบมหาลัยทั้งสองรักกันมากถึงขนาดที่ว่าวางแผนใช้ชีวิตร่วมกัน พี่ก็ไม่รู้นะว่ามันหลงอะไรของมันแต่เวลาปีหนึ่งที่มันคบกับเม็ดทรายมันจริงจังถึงขั้นวาดวันอนาคตไปพูดคุยกับแม่ตัวเอง เอาแม่มันไม่คัดค้านอะไรหรือคัดค้านไม่ได้หรือเปล่าพี่ก็ไม่รู้ มันก็รีบไปหาเม็ดทรายที่ห้องเพื่อไปพูดคุยว่าจะขอหมั้นไว้ก่อน แต่เมื่อมันเปิดประตูห้องเข้าไปมันกลับเจอเม็ดทรายกับแดดเพื่อนสนิทที่มันไว้ใจมากที่สุดกำลังมีอะไรกันในห้องของมันเอง
หลังจากวันนั้นไอ้คิณณ์มันก็กลายเป็นคนเย็นชาไม่เปิดรับใครเข้ามาทั้งนั้น กีดกันทุกคนออกจากชีวิตในทุกความสัมพันธ์ มันเสียสูญไปหนึ่งปีเต็มๆเลยนะ ตอนนั้นอยู่ในช่วงสอบเนฯ สอบป.โทด้วย ความจริงทุกอย่างแล้วมานั่งกินเหล้าเป็นน้ำทุกวัน กว่ามันจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ 1 ปีเต็มๆ" เจษฎาหยุดพูดก่อนจะหันมาหาหญิงสาวที่ตอนนี้แววตาสั่นไหวไปตามอารมณ์
"ที่พี่จะบอกเราก็คือมันรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก มันไม่ใช่แค่เรื่องโดนหักหลังเท่านั้น แต่มันคือการที่คนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดสองคนรวมหัวกันทำร้ายมัน"
ลัลน์ฟังเงียบๆน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดไหลออกมาเป็นทำนบแตก เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะมีเหตุการณ์ฝังใจแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ควรมาทำกับเธอแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
"ลัลน์เข้าใจนะคะว่าเขาคนนั้นเจ็บปวดฝังลึกกับเหตุการณ์นั้นมากแค่ไหน ภาพที่คนรักตัวเองมีอะไรกับคนอื่นต่อหน้าต่อตามันเป็นอะไรที่เจ็บเกินกว่าจะรับไหวก็จริง แล้วยิ่งคนคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทด้วยแล้วคงทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม แล้วยังไงล่ะคะ ความรู้สึกของใครก็ควรรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองไปสิ ไม่ใช่หน้าที่ใครที่จะต้องมารักษาให้ ถ้าตัวเขาไม่พร้อมเปิดใจจะมีใครก็ไม่ควรดึงหนูเข้ามาในความสัมพันธ์นี้" หญิงสาวร้องไห้หนักอยู่ยิ่งกว่าเดิม การที่ตัวเขาถูกคนอื่นทำร้ายมาย่อมไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำร้ายคนอื่นได้เช่นเดียวกัน
เจษฎาได้แต่อึ้งกับคำพูดของลัลน์ เขารู้ว่าสิ่งที่เพื่อนเขาทำก็ไม่ถูกที่เดิมสาวน้อยคนนี้เข้าไปในความสัมพันธ์ แล้วก็รู้สึกกับเธอมากขึ้นกลับกลายเป็นความกลัวชิ่งหนีไปจากหญิงสาวทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพัง
เมื่อถึงหอพักลัลน์เอยขอตัวลาก่อนจะเปิดประตูรถโดยไม่หันกลับมามอง ฉีดให้เจษฎานั่งอยู่ในรถพร้อมกับคำถามที่วนเวียนในหัวเขาว่าควรทำอะไรต่อไปเพื่อช่วยเพื่อนกับน้องสาวที่น่าสงสารคนนี้ดี
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
พลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องสะโพกหนั่นแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระแทกรูสวาทที่ดูดลำเอ็นเขาอย่างไม่ปรานี โหมสะโพกใส่แรงไม่ยั้งอย่างไม่กลัวเลยว่าช่องสวาทที่ตอดรัดให้ความสุขนี้จะบาดเจ็บแม้แต่น้อย จังหวะที่เร่งเร้ารุนแรงของชายหนุ่มทำให้ทรวงอกสาวกระเพื่อมไหวไปตามแรงกระแทกจากด้านบนยอดอกสีหวานแข็งชูชันล่อสายตาก่อนจะก้มหน้าโฉบดูดกลืนยอดถันเข้าปาก ลิ้นร้อนปาดป่ายไปทั่วเต้างามอีกข้างก็ไม่ให้ว่างเว้นบีบเคล้นคลึงนมเด็กสาวที่เด้งสู้มือเขายิ่งนัก ชายหนุ่มที่ถูกล่อลวงจากดอกไม้งามให้เข้ามาเชยชมกลิ่นกายอสนหอมหวานทำให้ภมรตัวนี้ยิ่งมัวเมาในรสรัก แรงขับเคลื่อนจากสะโพกสอบยิ่งเร่งขึ้นทวีคูณ เส้นเลือดรอบลำเอ็นขูดไปตามโพรงมดลูกของเธออย่างเสียวซ่านพลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆๆเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดั่งสนั่นลั่นห้อง เสียงเตียงลั่นสั่นคลอนดังเอี๊ยดอ๊าดไม่รู้ว่าเตียงนี้จะทนรับพายุสวาทของชายหญิงนี้ได้นานสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มโถมแรงควงงัดเอ็นร้อนกระแทกชนปากมดลูกสาวจนจุก มือสากหนาเคล้นคลึงเต้าใหญ่เกินขนาดอย่างแรง ลิ้นร้อนลากวนตวัดรอบบนยอดถันดูดเลียปลายยอดอย่างตระกละตะกลาม“อาห์
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล