ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน
"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น "ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ "ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่ "เห้ออ แกจะไม่เล่าก็ไม่เป็นไรแต่ฟังไว้หน่อย คนเราจะพังกันได้ง่ายๆก็เพราะความรักที่มันไม่ชัดเจนแบบนี้แหละ ถ้าแกยังลังเลไม่แน่ใจอยู่แบบนี้ระหว่างแกจะเสียเธอไป ถ้าความรักครั้งนี้มันสำคัญมากพออย่าปล่อยให้เธอต้องหลุดมือไปเพราะฉันแค่เสียบางสิ่งที่สำคัญไปเพราะคำว่าไม่แน่ใจ และเชื่อเถอะเมื่อแก่ยังคิดกลับมาแกจะรู้สึกเจ็บไปจนวันตาย" "แต่ผมยังไม่มั่นใจ" ดวงตาคมปั่นป่วนในแววตาชัดเจน คำพูดของณรงค์พุ่งตรงเข้ากลางใจจนทำให้เขาเริ่มทบทวนในสิ่งที่เขาทำ "ถ้าแกยังคงเอาเธอไปเปรียบเทียบกับเม็ดทรายแบบนี้ ฉันว่าแกก็เลิกยุ่งกับเด็กคนนั้นเถอะ" คำพูดตรงไปตรงมาของคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาทำให้เขาถึงกับชะงัก คิณณ์เงยหน้าขึ้นสบตากับณรงค์อย่างช้าๆสายตาคมที่ปกติมีแต่ความเรียบเฉยเย็นชามันนิสัยแววความเจ็บปวดให้เห็นแทน "ตอนนี้ผมสับสนระหว่างความรู้สึกกับความกล้าของผม" คิณณ์เอยเสียงต่ำน้ำเสียงดูสับสน "เด็กคนนั้นไม่ใช่เม็ดทรายเธอไม่ควรต้องมาแบกรับความกลัวและความเจ็บปวดของแกในอดีต ถ้าแกยังคงติดอยู่กับภาพเก่าๆยังไม่พร้อมจะเปิดใจก็อย่าไปทำร้ายเธออีก กลับกันถ้าแกอยากมีเธอคนนั้นลองคิดสิว่าทำไมตอนเจ้าเจษแกถึงเปิดใจรับมันเข้ามาเป็นเพื่อนของแกอีกครั้ง ลองใช้ความรู้สึกนั้นมานำทางดู" คิณณ์เงียบไปมือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่นขึ้นยังไม่รู้ตัว "อดีตมันผ่านไปแล้วนะคิณณ์อย่าให้อดีตมาฉุดรั้งเราไว้ ต่อให้แกจะเจ็บปวดกับมันแค่ไหนก็ตามมันก็ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่ถ้าแกเลือกจะรักอีกครั้งมันก็ยังมีโอกาสที่อนาคตจะไม่ซ้ำรอยเดิม" "แต่ถ้ามันกลับไปจุดเดิมล่ะพี่" คิณณ์ก้มหน้านิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง "ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แกไม่มีทางรู้อนาคตได้เลยว่าจะเป็นยังไงแต่วันนี้แกต้องทำให้ดีที่สุดท้ายแกมองกลับไปแกจะไม่เสียใจเลยคิณณ์" ณรงค์เดินมาตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ ภายในห้องพักเงียบสนิทคงมีแต่เสียงลมหายใจหนักหน่วงของชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน สายตาจับจ้องไปที่เอกสารตรงหน้าแต่ความคิดนั้นไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานสักนิด คำเตือนของณรงค์ยังคงดังกึกก้องยังเตือนเขาอยู่ในหัว ภาพหญิงสาวสูบผอมใช้ชีวิตชีวาสายซ้ำไปซ้ำมาตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายเสียงแจ้งเตือนข้อความโทรศัพท์ของคิณณ์ดังขึ้น แขนยาวเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปรากฏว่าเป็นเจษฎาเพื่อนสนิทส่งรูปภาพมา Jed7: คุ้นๆไหมว่าใคร คิณณ์ตะลึงกับรูปภาพที่เจษฎาส่งมา จากสายตาใช้แววสับสนวันนี้กลับกลายเป็นนิ่งสงบดั่งที่เคยเป็น ราคาน้ำแข็งภายในใจของเขาค่อยๆทลายลง ความรู้สึกผิดที่กำลังถาโถมเข้ามามากยิ่งขึ้นเมื่อเขารู้ใจตัวเอง ชายหนุ่มต้องการเธอเข้ามาในชีวิตของเขา! ชายหนุ่มร่างโตรีบลุกขึ้นเก็บของ มือหนาสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ หัวใจลิงโลดอบอุ่นรถ lamborghini สีดำพุ่งทะยานออกจากสารไปตามท้องถนน มุ่งหน้าสู่หอพักของลัลน์ยังไม่ลังเล 'พี่จะไม่ปล่อยมือไปจากเธออีกแล้วลัลน์!' คิณณ์เร่งเหยียบคันเร่งจนมาถึงหน้าหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างทรงกำยำราวกับนายแบบก้าวขาลงจากรถ มองห้องหญิงสาวที่ไม่มีแสงไฟสาดส่องออกมาหรือว่าเธอจะไม่อยู่ที่ห้อง? แม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินขึ้นไปหาหญิงสาวยังหนักแน่น เขาจะรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไปและเขาเริ่มต้นใหม่อย่างชัดเจนกับเธออีกครั้ง เมื่อคิณณ์เดินขึ้นมาถึงหน้าห้องลัลน์ แต่กลับพบเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มดูแก่นแก้วยังอยู่หน้าห้องของหญิงสาว เมื่อเด็กที่กำลังยืนเคาะประตูนั้นชะงักค้างเมื่อเธอหันหันหน้ามามองเขาแล้วตัวแข็งทื่อ ก่อนจะส่งสายตาที่มองเข้ามาด้วยไม่ค่อยจะเป็นมิตรค่อนหนักไปทางอาฆาตเขาเสียมากกว่า "ท่านมาที่นี่ทำไมกันคะ?" หนูนากระแทกเสียงถามแขกที่ไม่ได้รับเชิญ "รู้จักฉัน?" ชายหนุ่มเลือกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าที่แม้จะดูคุ้นตาแต่เขาก็ไม่อาจจะรู้จักเธอได้ "รู้จักหรือไม่มันสำคัญนักหรือไงคะ คนอย่างท่านคิณณ์คงไม่สนใจชายตามามองคนแบบพวกฉันใช่ไหมล่ะคะ ถึงจำแม้แต่กระทั่งเพื่อนสนิทของผู้หญิงที่คุณมาทำร้ายจิตใจก็ไม่ได้" น้ำเสียงครวญเต็มไปด้วยความไม่พอใจพูดตอกหน้าชายหนุ่ม เป็นถึงระดับผู้พิพากษาแล้วยังไงสามารถทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยกับใครโดยไม่คิดถึงจิตใจแบบนี้ก็ได้งั้นเหรอ! "ฉันมาหาลัลน์" เสียงเรียกติดอินชาตามปกติถึงแม้จะไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้าก็พยายามควบคุมสติไว้ "เหอะ ท่านคิณณ์นี่ช่างไร้จิตสำนึกจังเลยนะคะ คุณทำให้เพื่อนฉันเป็นถึงขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาเจอเธออีกนะคะ" หนูนาแค่นเสียงดูถูกชายหนุ่มตรงหน้า อายุมากกว่าแล้วไง เป็นผู้พิพากษาแล้วไง เธอถือคติใส่เดี่ยวได้หมด ใครมาทำร้ายเพื่อนเธอเธอก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน "ฉันมาเพื่อขอโอกาสกับลัลน์" คำยอกย้อนของเธอทำให้เขาจุกกลางอก เขาไม่สามารถที่จะพูดโต้แย้งอะไรกับเธอได้เลย เมื่อสิ่งที่เธอพูดออกมาเป็นความจริงทำให้เขาทำได้เพียงอ้อนวอนให้เธอไม่ได้เจอกันลัลน์เท่านั้น "คุณคิดว่าคุณจะได้รับโอกาสนั้นง่ายๆงั้นหรอ" หนูนาสบสายตาคมยังไม่ลดละตอนนี้เธอรู้สึกใจกล้าราวกับกินดีมีมา "ฉันอยากขอโอกาสจากลัลน์จริงๆ เธอช่วยเปิดทางให้ฉันหน่อยได้ไหม ถ้าพ้นวันนี้ไปลัลน์ไม่อยากติดต่อกับฉันอีก ฉันก็จะเดินออกจากชีวิตของเธอไป" คิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาคมจริงจังและมั่นคงในความรู้สึกตนเอง หนูนาฟังคำร้องขอของเขายังอึ้ง แต่สายตาของเธอยังคงมองด้วยความระแวดระวัง ภายในใจเริ่มลังเลเล็กน้อย "ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำให้เพื่อนเธอเสียใจเป็นครั้งที่ 2 อีก" น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเว้าวอนยังเห็นได้ชัด "คุณพูดง่ายเกินไปไหมคะ ฉันไม่อยากให้ลัลน์ต้องมานั่งเสียใจกับคนอย่างคุณอีก" "ฉันรู้ว่าแค่คำสัญญาเพียงลมปากไม่อาจลบล้างสิ่งที่ฉันทำได้ แต่ครั้งนี้ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อชดใช้ความผิดของฉันเอง" คิณณ์ยืนอยู่ตรงหน้าหนูนาด้วยท่าทีสงบ แม้ภายในใจจะว้าวุ่นเต็มไปด้วยความกังวลสักเพียงใดเขาก็ต้องยืดอกเผชิญหน้ารับในสิ่งที่เขาก่อ ดวงตาคมกลิ่นส้มสายตาของหนูนาอย่างแน่วแน่ สายตาของเขามันคงเสียจนเธอชะงักจากที่ลังเลในตอนแรก ตอนนี้เธอเริ่มจะใจอ่อนให้กับสายตาที่พบแต่ความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง "เชิญคุณวันนี้ฉันจะเปิดทางให้ แต่วันหน้าถ้าคุณทำให้เพื่อนฉันเสียใจคุณไม่มีได้รับโอกาสเป็นครั้งที่สองแน่" ในที่สุดหนูนาต้องถอดถอนหายใจออกมายังจำนน ก่อนจะหันหลังเดินจากไปถ้าตัดสินใจจะเปิดทางให้ทั้งสองเคลียร์ใจกัน ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไรอย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่มีสิ่งใดติดค้างอยู่ในใจ ต่างฝ่ายต่างได้คำตอบที่ตนเองต้องการ ชายหนุ่มมองหนูนาที่หันหลังเดินจากไป ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเรียกความกล้าออกมา มือหนาเคาะประตูห้องหญิงสาวดังเป็นจังหวะแผ่วเบา แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องแต่อย่างใด ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นหญิงสาวที่กำลังร้องไห้เหม่อลอยอยู่ในห้องสะดุ้งเล็กน้อย คาดว่าคงเป็นหนูนาเห็นส่งข้อความมาบอกว่าวันนี้ตอนเย็นจะมาหาเธอ ลัลน์เหวี่ยงขาลุกขึ้นจากที่นอนได้วิ่งไปเปิดประตูให้เพื่อนเธอจะได้ไม่ต้องรอนาน "มาแล้วๆ ทำไมมะ..." ลัลน์เปิดประตูห้องเสียงที่พูดออกมากลับกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่หนูนาแต่กลับเป็นคนใจร้ายที่ทิ้งเธอไปตลอดเวลาอาทิตย์หนึ่งมานี้ ใบหน้าหล่อๆที่เธอเคยลุ่มหลงทำให้ใจของเธอทั้งโกรธและเจ็บปวด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจเธอก็สั่นไหวเช่นเดียวกัน เมื่อหญิงสาวได้สติขืนตัวรีบปิดประตูทันที แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของคิณณ์ที่ร่างกำยำใหญ่โตได้เพียงแค่แขนเดียวของเขากลับดันประตูยั้งไว้ไม่ให้เป็นลง "หนูมาคุยกับพี่ก่อน" สิ่งทุ้มเอยยังเว้าวอน ใบหน้าหล่อเหลาฉายความเจ็บปวดอย่างรวดร้าวจนน่าสงสาร "หนูไม่มีอะไรต้องคุยกับท่าน" เสียงของเธอเย็นชา ถ้าว่าหากฟังดีๆแล้วอ่านเสียงของเธอติดสั่นปลายเสียงเล็กน้อย "ลัลน์ได้โปรดคนดี เปิดประตูให้พี่หน่อย" เสียงทุ้มอ้อนวอนขอหญิงสาวอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร ความกลัวที่จะสูญเสียเธอไปทำให้เขาต้องแสดงอารมณ์มากกว่าที่เคยเป็น "ไม่ออกไปนะ บอกให้ออกไปไง!""ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
พลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องสะโพกหนั่นแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระแทกรูสวาทที่ดูดลำเอ็นเขาอย่างไม่ปรานี โหมสะโพกใส่แรงไม่ยั้งอย่างไม่กลัวเลยว่าช่องสวาทที่ตอดรัดให้ความสุขนี้จะบาดเจ็บแม้แต่น้อย จังหวะที่เร่งเร้ารุนแรงของชายหนุ่มทำให้ทรวงอกสาวกระเพื่อมไหวไปตามแรงกระแทกจากด้านบนยอดอกสีหวานแข็งชูชันล่อสายตาก่อนจะก้มหน้าโฉบดูดกลืนยอดถันเข้าปาก ลิ้นร้อนปาดป่ายไปทั่วเต้างามอีกข้างก็ไม่ให้ว่างเว้นบีบเคล้นคลึงนมเด็กสาวที่เด้งสู้มือเขายิ่งนัก ชายหนุ่มที่ถูกล่อลวงจากดอกไม้งามให้เข้ามาเชยชมกลิ่นกายอสนหอมหวานทำให้ภมรตัวนี้ยิ่งมัวเมาในรสรัก แรงขับเคลื่อนจากสะโพกสอบยิ่งเร่งขึ้นทวีคูณ เส้นเลือดรอบลำเอ็นขูดไปตามโพรงมดลูกของเธออย่างเสียวซ่านพลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆๆเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดั่งสนั่นลั่นห้อง เสียงเตียงลั่นสั่นคลอนดังเอี๊ยดอ๊าดไม่รู้ว่าเตียงนี้จะทนรับพายุสวาทของชายหญิงนี้ได้นานสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มโถมแรงควงงัดเอ็นร้อนกระแทกชนปากมดลูกสาวจนจุก มือสากหนาเคล้นคลึงเต้าใหญ่เกินขนาดอย่างแรง ลิ้นร้อนลากวนตวัดรอบบนยอดถันดูดเลียปลายยอดอย่างตระกละตะกลาม“อาห์
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
เมื่อมาถึงสำนักงาน เจษฎาและลัลน์ช่วยกันหิ้วทลายมะพร้าวที่ได้มาเป็นของฝากจากลูกความซึ่งเต็มท้ายรถเข้าไปในออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ทลายหนึ่งน้ำหนักไม่ใช่น้อยสุดท้ายเจษฎาต้องเป็นคนแบกขึ้นห้องมาแต่เพียงฝ่ายเดียว“วันนี้สำนักงานเราแจกมะพร้าวกันหรือคะพี่เจษ?” เสียงเนตรนภาแซวพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของสำนักงานขนมะพร้าวมาหลายลูก“ของฝากจากลูกความครับ ช่วยนำกลับบ้านไปรับประทานตอบแทนที่ผมคนนี้ต้องไปลำบากแลกด้วยหยาดเหงื่อของผมมา” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าตาเปล่งประกายอย่างคนเจ้าเล่ห์“แหมๆ พูดเหมือนตัวเองไปปลูกไปสอยมางั้นแหละ” กุลธิดาอดถากถางหนุ่มรุ่นน้องที่เสนอขายอย่างเกินหน้าเกินตาราวกับเป็นมะพร้าวในสวนตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้เห็นกะล่อนเสนอขายตัวเองไม่ว่างเว้นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้องชายคนนี้มันจะหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น“โห่พี่กวางว่าไปนั่น ถึงไม่ได้ลงแรงเองก็เหมือนอยู่ผมอุตส่าห์พาลูกรักไปลุยถนนลูกรังมาเชียวนะพี่ ตอนนี้ลูกผมสภาพมอมแมมหมดแล้ว” เจษฎาโอดครวญถึงความยากลำบากในการได้มะพร้าวในครั้งนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพลูกรักที่เปื้อนฝุ่นจนรถสีขาวกลายเป็นสีแดงทั้งคัน!“พี
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้วดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่น
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้วดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่น
เมื่อมาถึงสำนักงาน เจษฎาและลัลน์ช่วยกันหิ้วทลายมะพร้าวที่ได้มาเป็นของฝากจากลูกความซึ่งเต็มท้ายรถเข้าไปในออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ทลายหนึ่งน้ำหนักไม่ใช่น้อยสุดท้ายเจษฎาต้องเป็นคนแบกขึ้นห้องมาแต่เพียงฝ่ายเดียว“วันนี้สำนักงานเราแจกมะพร้าวกันหรือคะพี่เจษ?” เสียงเนตรนภาแซวพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของสำนักงานขนมะพร้าวมาหลายลูก“ของฝากจากลูกความครับ ช่วยนำกลับบ้านไปรับประทานตอบแทนที่ผมคนนี้ต้องไปลำบากแลกด้วยหยาดเหงื่อของผมมา” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าตาเปล่งประกายอย่างคนเจ้าเล่ห์“แหมๆ พูดเหมือนตัวเองไปปลูกไปสอยมางั้นแหละ” กุลธิดาอดถากถางหนุ่มรุ่นน้องที่เสนอขายอย่างเกินหน้าเกินตาราวกับเป็นมะพร้าวในสวนตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้เห็นกะล่อนเสนอขายตัวเองไม่ว่างเว้นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้องชายคนนี้มันจะหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น“โห่พี่กวางว่าไปนั่น ถึงไม่ได้ลงแรงเองก็เหมือนอยู่ผมอุตส่าห์พาลูกรักไปลุยถนนลูกรังมาเชียวนะพี่ ตอนนี้ลูกผมสภาพมอมแมมหมดแล้ว” เจษฎาโอดครวญถึงความยากลำบากในการได้มะพร้าวในครั้งนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพลูกรักที่เปื้อนฝุ่นจนรถสีขาวกลายเป็นสีแดงทั้งคัน!“พี
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง