ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว
ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้ว ดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่นเข้ามายามจิตใจอ่อนล้า ทว่าเสียงเคาะประตูเบา ๆดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเขาที่ตอนนี้เตลิดไปไกล สายตาจับจ้องไปยังประตูหัวคิ้วขมวดเป็นปมอย่างอย่างแปลกใจว่าเวลานี้ใครจะมาหาเขาได้ "เชิญครับ" เสียงทุ้มเพิ่มเสียงเชื้อเชิญให้บุคคลภายนอกเข้ามา เมื่อประตูค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าหวานที่ถึงแม้จะซีดเซียวก็ยังคงเห็นความงดงามบนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มิได้แต่งแต้มเครื่องสำอางหรือจะแต่งแต่ลบเลือนไปกับหยาดน้ำตาหรือเปล่านั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจ ขอบตาแดงก่ำของเธอทำให้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ก่อนหน้าจะมาพบเขาเธอคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?” เขาถามพลางมองไปยังเธอที่ดูเหมือนกำลังลังเลใจอะไรบางอย่าง เจษฎาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาใส่กระโปรงพลีทยาวกอมเท้าเดินตรงเข้ามาหาเขา ร่างบางที่ผอมเพียวสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเตี้ยกว่าเขามากอยู่ดี ผิวขาวเนียนละเอียดเปล่งประกายล้อแสงไฟราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง พวงแก้มใสถึงแม้จะดูซีดเซียวก็ยังคงเจือระเรื่อสีชมพูทำให้เจษฎาจดจ้องหญิงสาวแปลกหน้าตรงหน้าคนนี้มันเสป็คเขาเลยนี่หน่า! “ขอโทษนะคะ ลัลน์กลับหอไปรึยังคะ?” เสียงหวานนุ่มของเธอดังขึ้นเอ่ยถามอย่างมีมารยาท “กลับไปแล้วครับ หนูมีธุระอะไรกับลัลน์หรือเปล่าครับ?” เจษฎาลุกจากเก้าอี้ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ทว่าภายในใจกลับเต้นรัวราวกับหนุ่มน้อยพบเจอรักครั้งแรก “ไม่มีอะไรค่ะ แค่หนูเป็นเพื่อนกับลัลน์ แล้วเห็นลัลน์ไม่ตอบข้อความในกลุ่มเลยคิดว่ายังทำงานอยู่ค่ะ” เธอเอ่ยตอบหัวหน้าสำนักงานของลัลน์แต่เธอก็รู้สึกแปลกที่เขาจดจ้องเธอราวกับจับผิดเธออย่างไรอย่างนั้น “อืม กลับไปกับท่านคิณณ์แล้ว พี่ก็ไม่รู้ว่ากลับหอพักใครกันแน่” ชายหนุ่มถือวิสาสะแทนตัวเองว่าพี่ไปในตัวเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยืนตาโตตรงหน้าเขานี้เป็นเพื่อนของลัลน์ “ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อยอย่างมีมารยาท เธอไม่อยากสาวความให้มากนักเพราะในตอนนี้เธอเองก็กำลังหมดแรงที่จะต้องปั้นหน้ายิ้มเช่นเดียวกัน เจษฎายืนมองร่างบางหันหลังเดินจากไปอย่างเหม่อลอยใจเขาอยากเอ่ยปากถามเธอเป็นอย่างมากว่าเป็นอะไรไหม แต่เขากับเธอพึ่งจะรู้จักกันเขาจึงไม่อาจถามเธอได้ ท่าทีน่าสงสารของเธอนั้นพาให้ใจเขาสงสารเธอเป็นยิ่งนัก สุดท้ายแล้วหญิงสาวได้เดินจากไปโดยที่คำพูดของเขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยอย่างใจหวังสักคำ แม้แต่ชื่อของเธอเขาไม่อาจรู้ได้ ทิ้งไว้แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางๆในอากาศทำให้เขาตระหนักได้ว่าเรื่องราวเมื่อสักครู่ไม่ใช่ความฝัน เจษฎาเผลอยิ้มกับตัวเองเขาถูกใจเธอก็จริงแต่ในเมื่อเธออายุห่างกับเขาเกือบรอบเขาก็ทำใจกินเด็กน้อยไม่ลงคงได้แต่ตัดใจจากหญิงสาวเพราะเขาไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองเหมือนไอ้คิณณ์! “ฟังจากอาการของคนไข้แล้วหมอคาดว่าน่าจะเป็นข้อต่อกรามอักเสบนะคะ ยังไงคนไข้ทานยาตามที่หมอจัดไว้ให้ ส่วนเรื่องการกินช่วงนี้ขอให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องใช้แรงในการขบเคี้ยวหรือหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ชิ้นใหญ่เกินไปนะคะ” หมอศัลยกรรมวัยใกล้เกษียณเอ่ยอธิบายอาการและข้อควรระวังสำหรับคนไข้สาว “ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ทว่าเสียงที่ตอบรับบกลับเป็นชายหนุ่มที่มาด้วยกันกับหญิงสาวที่ในตอนนี้ไม่พูดจาอะไรนอกเสียจากก้มหน้างุด ถ้าหากสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าแก้มของเธอแดงระเรื่อจากความเขินไปอายไปทั่วทั้งใบหน้านวล “ผู้ชายน่ารักดีนะคะ ประคองแฟนไม่ห่างเลย” พยาบาลสาวเอ่ยกับหมอศัลยกรรมอย่างกระดี๊กระด๊าเมื่อคิณณ์ประคองลัลน์ออกจากห้องตรวจไปเพื่อรับยา “อืมจะน่ารักกว่านี้ถ้าอาการป่วยไม่ได้เกิดจากผู้ชาย” หญิงสูงวัยถึงกับบ่นพึมพึมพำเมื่อรู้ถึงสาเหตุของการเป็นข้อต่อกรามอักเสบของคนไข้สาวราวเมื่อสักครู่ได้ “ยังไงคะคุณหมอ น้องคนนี้มีอาการอะไรคะ” ถึงแม้คุณหมอจะพูดเสียงเบาพึมพำกับตัวเองก็ตามแต่พยาบาลสาวหน้าห้องก็ยังคงได้ยินชัดเจนจึงสอดปากถามถึงอาการของหญิงสาว “ไปทำงานได้แล้วค่ะคุณนพลักษ์ เรื่องของคนไข้เราไม่อาจเผยแพร่ได้ค่ะ” คุณหมอผู้มากประสบการณ์ต้องเอ่ยปรามพยาบาลสาวไม่ให้ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของไข้เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพูดคุยกันเป็นการภายนอกได้ รถสีดำคันงามกำลังเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนอย่างเงียบเชียบ แสงไฟสีเหลืองส่องแสงตลอดทาง ไฟเบรกรถสีแดงที่กำลังจอดเรียงรายไม่อาจขับเคลื่อนได้เพราะเป็นเวลาเลิกงาน บรรยากาศภายในเงียบกริบความรู้สึกระหว่างคนสองคนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ลัลน์นั่งหน้าบึ้งกอดอก หันหน้ามองออกไปนอกกระจกอย่างไม่คิดจะปริปากพูดอะไรกับคนขับรถที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่อีกคนนั้นกำลังยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดีกับท่าทางของเธอ “หนูเงียบทำไมคะคนดีหรือเจ็บกรามจนอ้าปากพูดไม่ไหว” สารถีกิตติมศักดิ์ถามอย่างเป็นห่วงคนตัวเล็กข้างกาย ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาเธอก็ไม่พูดไม่จาทำหน้าบึ้งใส่เขาตลอดทางถึงแม้ว่าเขาจะรู้เถอะว่าหญิงสาวงอนเขาเรื่องใด ลัลน์ตวัดสายตามองคนตัวโตที่ยังไม่สำนึกในการกระทำ ที่เธอต้องมาเจ็บกรามอยู่ก็เพราะใครล่ะนอกเสียจากพ่อตัวดีที่ทำหน้าที่ขับรถอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว คาดว่าคุณหมอน่าจะสามารถคาดการณ์ถึงสาเหตุของเธอได้คุณหมอจึงไม่คาดคั้นคำตอบจากเธอ ก่อนจะกอดอกพ่นลมหายใจไม่ตอบรับคำถามใดๆของเขา เห็นใบหน้าหล่อที่ยังคงยิ้มระรื่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้จนต้องหันหน้าหนีมองข้างทางไป “หนูคุยกับพี่หน่อยสิคะ ถ้าไม่ตอบพี่จับกินบนรถนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังสายตามั่นคงยืนยันว่าหากหญิงสาวไม่ตอบเขาจะทำดังเช่นที่เขาพูดแน่ แต่ก็คงต้องให้ถึงห้องเสียก่อนเขาถึงจะจัดการได้ “นี่พี่ยังจะหื่นได้ลงอีกหรือคะ พี่ทำให้หนูขายหน้านี้แล้วยังมาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนใส่หนูอีก” เสียงประชดประชันดังขึ้นตอบคนหื่นข้างกาย แต่ไม่ยอมหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มแม้แต่นิดเดียว ใบหน้างดงามซึ่งปกติเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานประดับบนใบหน้าแต่ทว่าตอนนี้กลับหงิกงอจนน่าหยิกแก้มนวล “ค่าบบ ขอโทษครับคนดีพี่มันผิดเองให้อภัยให้พี่นะคะ” เสียงทุ้มเอ่ยเหมือนสำนึกผิด แต่เมื่อหางเสียงสั่นเครือราวกับกลั้นขำซึ่งสวนทางกับรูปประโยคของตนเองโดยสิ้นเชิง แววตากลับเต็มไปด้วยความขบขันอย่างเห็นได้ชัด มือหนาโยกศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องมาแตะเนื้อต้องตัวหนูเลยนะคะ อ๊ะ” ลัลน์หันขวับกลับมามองชายหนุ่ม ดวงตากลมโตลุกวาว มือบางอกแรงขืนคนตัวโตไม่ให้แตะเนื้อร่างกายของตนอย่างแง่งอน ก่อนจะอุทานอย่างตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมอะไรบางอย่าง “หืม มีอะไรหรือเปล่าคะ” เมื่อได้ยินคนข้างกายร้องอย่างตกใจจนเขานึกว่าคนตัวเล็กเป็นอะไรไป “หนูลืมตอบข้อความหนูนาไปเลยเวลาผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วด้วย” กล่าวจบรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากดเบอร์โทรหาเพื่อนสาวในทันที “ว่ายังไงจ๊ะลัลน์ พอมีผัวนี่ลืมเพื่อนลืมฝูงไปตอบข้อความกันแล้วนะ” ปลายสายเอ่ยอย่างกระแนะกระแหนเพื่อนสาวที่ตอนนี้กลายเป็นคนติดผู้ชายเสียแล้ว “ใครผัวไม่มีนะ หนูนาก็พูดไปเรื่อย” ใบหน้าหวานที่ในตอนนี้แก้มบวมตุ่ยไปข้างปรากฏรอยแดงระเรื่อสองข้างแก้ม สายตาเหลือบมองบุคคลต้นเรื่องของการสนทนานี้ขับรถพลางส่งสายตาเขียวปั๊ดเมื่อเธอบอกว่าไม่มีผัว “แหมๆ แล้วแม่คุณกลับกับใครล่ะคะ ลุงข้างบ้านอย่างงั้นเหรอ” เสียงหนูนาดังขึ้นมาจนคิณณ์ได้ยินเสียงของเธอแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “พี่เขาก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย” ลัลน์อดแก้ต่างให้ผู้ชายของเธอไม่ได้ ถึงแม้เธอและเขาจะห่างกันเกือบรอบก็ตาม แต่ทว่าเขาก็พึ่งจะอายุ 31 ปีด้วยซ้ำหน้าตาก็หล่อเหลาคมคายดูเหมือนยี่สิบปลายๆด้วยซ้ำ ไม่เหมือนกับเธอที่อายุ 21 ย่าง 22 ที่หน้าดูเหมือนเป็นเพื่อนเขาไปเสียแล้ว “แตะไม่ได้เลยเชียวผู้ชายคนนี้อ่ะ” เสียงค่อนขอดปลายสายดังไม่หยุดราวกับหมั่นไส้เหม็นกลิ่นความรักที่อบอวลลอยตามสายมาถึงเธอ “มัวแต่แซวคนอื่นว่าแต่หนูนาเถอะเป็นอะไรหรือเปล่าถึงส่งข้อความมาแปลกๆ” ลัลน์เอ่ยถาม ขณะวางศอกบนที่พักแขนรถ ดวงตากลมโตยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย “เปล่าไม่มีอะไรหรอกจะชวนลัลน์ไปกินปิ้งย่างเกาหลีสักหน่อย แต่ได้ข่าวว่าท่านคิณณ์มารับไปแล้ว” น้ำเสียงร่าเริงตามไสตล์หนูนาแทบจะเหมือนเดิม ถ้าหากไม่ตั้งใจฟังดีๆแล้วคงไม่อาจจับผิดสังเกตได้ “งั้นเหรอ ลัลน์ขอโทษหนูนาด้วยนะพอดีแวะไปโรงพยาบาลมา” ลัลน์พึมพำเบา ๆ ก่อนจะรีบเสริมด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “อ้าวเป็นไรลัลน์” “ข้อต่อกรามอักเสบน่ะ แต่ไม่เป็นไรมาก” “ทีหลังก็เพลาๆบ้าง อย่ารุนแรงให้มากนะ” หนูนาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ หรี่ตาเล็กน้อยราวกับประมวลผลคำพูดเพื่อนสาวในหัว ก่อนจะเอ่ยเตือนลัลน์ด้วยคำพูดกำกวมอย่างสื่อความหมาย “บ้าพูดอะไรน่ะหนูนา!” หญิงสาวรู้สึกหน้าเห่อร้อนเมื่อเพื่อนพูดเหมือนรู้ทัน “หมายถึงว่าเคี้ยวข้าวให้เบาๆ อย่าไปกินของแข็งของร้อนให้มาก” หนูนาเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงทะเล้นหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ “เราไม่พูดกับหนูนาแล้ว เชอะ!” ลัลน์ทำหน้ามุ่ยทันที ย่นจมูกเล็กน้อยพลางสะบัดเสียงใส่ “งั้นแค่นี้แหละไม่รบกวนเวลาสวีทล่ะ” หนูนายังไม่แคล้วแซวเพื่อนจนนาทีสุดท้าย “หนูนา” ลัลน์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเสียงจริงจังออกมา “หือ?” “มีอะไรโทรมาหาลัลน์ได้เสมอนะ อย่าเก็บไว้คนเดียวลัลน์อยู่เคียงข้างหนูนาเสมอนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนความจริงใจในคำพูดนั้นส่งผ่านมาถึงปลายสายอย่างเป็นห่วงเป็นใย “อื้อ พูดอะไรแปลกๆ แค่นี้แหละไปแล้วนะบาย อย่าไปกินของใหญ่ให้มากนะ” เธอหัวเราะแห้ง ๆ คลายบรรยากาศที่เริ่มหนักอึ้ง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องหยอกเพื่อนสาวทิ้งท้ายแล้วรีบตัดสายไปก่อนทีเธอจะหูชา ลัลน์วางโทรศัพท์ลงบนตัก ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ แต่ทว่าในใจกลับว้าวุ่นกับน้ำเสียงของหนูนาก่อนวางสายแฝงบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ‘หนูนาคงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมหรือเราคิดมากไปเอง?’ เธอถอนหายใจเบา ๆ แต่ความกังวลยังคงติดอยู่ในใจ แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไร แต่คำพูดที่เพื่อนสนิททิ้งท้ายยังคงดังก้องอยู่ในหัวหวังว่าหนูนาคงไม่เป็นอะไร ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเธอก็พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้เสมอดังเช่นที่หนูนาอยู่เป็นเพื่อนเธอชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
ท่ามกลางร่มไม้เขียวขจีข้างริมสระน้ำ ใต้ร่มไม้มีหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาตัวโคร่งใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมข้อเท้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนากำลังสอดส่องเหมือนหาใครอยู่ “ลัลน์จ๋าาา ฉันมาแล้วขอโทษนะที่มาช้าพอดีว่าติดธุระ ขอโทษที่ทำให้แกรอนานนะ” สาวเจ้าร่างบางหน้าตาคมสวย ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งกระหืดกระหอบพลางตะโกนเรียกหาเพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งรออยู่ “หนูนานี่นะตลอดเลย น่าน้อยใจชะมัด” “โอ๋ๆๆๆ ไม่โกรธนะจ๊ะลัลน์จ๋า ทำแก้มป่องๆแบบนี้เดี๋ยวพี่มาร์คจะไม่รักนะ” หนูนากล่าวไปพลางหยิกแก้มลัลน์ไปด้วยความเอ็นดู “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่มาร์คเขาเล่า” ลัลน์ว่าพลางหน้าแดงขวยเขินเมื่อหนูนาเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของตน “แหมๆๆ อิจฉาคนรักกันหวานชื่นเนอะ เมื่อไหร่ฟ้าจะส่งผู้ชายหน้าตาดีแบบพี่มาร์คมาให้ฉันซักคนบ้าง” “ไม่ต้องมาทำแซวเลยมาคุยธุระของเรากันดีกว่า เราไปติดต่อกับทางคณะเรื่องฝึกงานแล้ว เห็นว่าให้ส่งเอกสารฝึกงานภายในอาทิตย์หน้า ว่าแต่หนูนาจะไปฝึกสำนักงานอัยการจังหวัดจริงใช่ไหม แกไม่คิดเปลี่ยนใจไปสำนักงานทนายความกั
เมื่อหญิงสาวมาถึงหน้าห้องแฟนหนุ่มแล้วจึงกดรหัสเข้าห้องไปในห้อง แต่เมื่อลัลน์เปิดประตูห้องเข้าไปกลับเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงวางระเกะระกะ เมื่อไล่สายตาไปตามทางเดินกลับมีเสื้อผ้าชายหญิงที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อปนกับเสียงครางของชายหญิงดังลั่นห้อง หญิงสาวกลั้นใจเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้เห็นถึงความจริง“อ๊าส์ อ๊าส์ อื้อออ มาร์คขาา อ๊ะส์ ญดาเสียวจังเลย อ๊าส์ๆๆ”พลั่บๆๆๆๆๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง“ฮึม ซี๊ดดด ตอดอีกดา อืมม แม่งเอามันชิบ”หญิงสาวผมยาวสีทองกำลังขึ้นขี่ขย่มมาร์คอย่างเมามัน ชายหนุ่มครางในลำคอยึดสะโพกญดาแทงเอ็นตอกสวนร่องฉ่ำ ปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังรับชมหนังสดนี้อยู่“พะ พะ พี่มาร์คคะ” ลัลน์เรียกมาร์คด้วยเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาไหลเต็มนองหน้าสาว ทำให้กิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างมาร์คกับญดาพลันชะงักลง“ว้ายยย นังบ้าแกเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาท!!!” ญดากรีดร้องเสียงดัง มือขาวควานหาผ้ามาคลุมร่างกายขาวผ่องไว้“ละ ลัลน์ ” ชายผู้ก่อเรื่องสร้างปัญหาเรียกแฟนสาวของตนเสียงค่อย พลางอ้ำอึ้งน้ำล
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้วดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่น
เมื่อมาถึงสำนักงาน เจษฎาและลัลน์ช่วยกันหิ้วทลายมะพร้าวที่ได้มาเป็นของฝากจากลูกความซึ่งเต็มท้ายรถเข้าไปในออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ทลายหนึ่งน้ำหนักไม่ใช่น้อยสุดท้ายเจษฎาต้องเป็นคนแบกขึ้นห้องมาแต่เพียงฝ่ายเดียว“วันนี้สำนักงานเราแจกมะพร้าวกันหรือคะพี่เจษ?” เสียงเนตรนภาแซวพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของสำนักงานขนมะพร้าวมาหลายลูก“ของฝากจากลูกความครับ ช่วยนำกลับบ้านไปรับประทานตอบแทนที่ผมคนนี้ต้องไปลำบากแลกด้วยหยาดเหงื่อของผมมา” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าตาเปล่งประกายอย่างคนเจ้าเล่ห์“แหมๆ พูดเหมือนตัวเองไปปลูกไปสอยมางั้นแหละ” กุลธิดาอดถากถางหนุ่มรุ่นน้องที่เสนอขายอย่างเกินหน้าเกินตาราวกับเป็นมะพร้าวในสวนตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้เห็นกะล่อนเสนอขายตัวเองไม่ว่างเว้นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้องชายคนนี้มันจะหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น“โห่พี่กวางว่าไปนั่น ถึงไม่ได้ลงแรงเองก็เหมือนอยู่ผมอุตส่าห์พาลูกรักไปลุยถนนลูกรังมาเชียวนะพี่ ตอนนี้ลูกผมสภาพมอมแมมหมดแล้ว” เจษฎาโอดครวญถึงความยากลำบากในการได้มะพร้าวในครั้งนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพลูกรักที่เปื้อนฝุ่นจนรถสีขาวกลายเป็นสีแดงทั้งคัน!“พี
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง
พลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องสะโพกหนั่นแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระแทกรูสวาทที่ดูดลำเอ็นเขาอย่างไม่ปรานี โหมสะโพกใส่แรงไม่ยั้งอย่างไม่กลัวเลยว่าช่องสวาทที่ตอดรัดให้ความสุขนี้จะบาดเจ็บแม้แต่น้อย จังหวะที่เร่งเร้ารุนแรงของชายหนุ่มทำให้ทรวงอกสาวกระเพื่อมไหวไปตามแรงกระแทกจากด้านบนยอดอกสีหวานแข็งชูชันล่อสายตาก่อนจะก้มหน้าโฉบดูดกลืนยอดถันเข้าปาก ลิ้นร้อนปาดป่ายไปทั่วเต้างามอีกข้างก็ไม่ให้ว่างเว้นบีบเคล้นคลึงนมเด็กสาวที่เด้งสู้มือเขายิ่งนัก ชายหนุ่มที่ถูกล่อลวงจากดอกไม้งามให้เข้ามาเชยชมกลิ่นกายอสนหอมหวานทำให้ภมรตัวนี้ยิ่งมัวเมาในรสรัก แรงขับเคลื่อนจากสะโพกสอบยิ่งเร่งขึ้นทวีคูณ เส้นเลือดรอบลำเอ็นขูดไปตามโพรงมดลูกของเธออย่างเสียวซ่านพลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆๆเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดั่งสนั่นลั่นห้อง เสียงเตียงลั่นสั่นคลอนดังเอี๊ยดอ๊าดไม่รู้ว่าเตียงนี้จะทนรับพายุสวาทของชายหญิงนี้ได้นานสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มโถมแรงควงงัดเอ็นร้อนกระแทกชนปากมดลูกสาวจนจุก มือสากหนาเคล้นคลึงเต้าใหญ่เกินขนาดอย่างแรง ลิ้นร้อนลากวนตวัดรอบบนยอดถันดูดเลียปลายยอดอย่างตระกละตะกลาม“อาห์