“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”
สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู “หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น “หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ “แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ “อ๊ะส์ หนูเต้นไม่เป็น!” ลัลน์ละล่ำละลักตอบไม่เต็มเสียง เธอรู้สึกเป็นปมในใจมาตลอดที่เธอไม่สนิทกับร่างกายจนเป็นคนแข็งทื่อ ไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนหนูนาที่ขานั้นเต้นพริ้วไหวจนดูน่ามอง “แต่ก่อนก็เห็นชอบเต้นนี่” คิณณ์เลิกคิ้วคล้ายไม่เชื่อมุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือหนาเลื่อนไล้แผ่วเบาบนเอวเล็ก “พี่จำผิดคนแล้วค่ะ หนูไม่เคยชอบเต้นมาก่อน” ลัลน์กล่าวเสียงห้วน แววตาฉายชัดถึงความขุ่นเคือง พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยเมื่อบุคคลที่ชายหนุ่มเอ่ยถึงนั้นไม่ใช่ตน “อ้าว พี่คิดถึงใครอยู่ล่ะเนี่ย” คิณณ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแกล้งพูดกระเซ้าพลางกระตุกยิ้ม เมื่อเห็นคนน้องท่าทีไม่พอใจรีบกระแทกสะโพกสอบใส่โพรงสวาทฉ่ำเฉอะแฉะ ไม่เพียงคนตัวเล็กเท่านั้นที่ทรมานเขาแกล้งเธอก็ทรมานเช่นเดียวกันเหมือนกรรมตามสนอง ภายในอันอบอุ่นบีบรัดเขาถี่ยิบไหนเธอจะขยับตัวทำให้เขาทรมานเป็นยิ่งนัก “อ๊ะส์ ยะ ยังคุยไม่จบ อิ๊ส์ เลยนะคะ” ร่างเล็กผวาโผเข้ากอดลำคอหนาเมื่อแรงกระแทกจากด้านล่างส่งให้เธอกระเด้งตัวตามแรงกระแทก เสียงร้องครวญครางดังก้องห้องน้ำสะท้อนเข้าโสตประสาทของทั้งสองยิ่งปลุกเร้าไฟราคะให้โหมกระหน่ำมากขึ้น ดวงตาหวานหยาดเยิ้มไปตามอารมณ์พิศวาสที่คนช่ำชองสนามจุดขึ้น “ฮึมม พี่มีเราคนเดียวก็หมายถึงเรานั่นแหละ กลิ่นสบู่หนูชอบไหมพี่ตั้งใจเลือกให้เลยนะ” เสียงครางในลำคอดังกระเส่า มือหนาจับสะโพกอวบอิ่มไว้แน่นก่อนจะขยับโยกอย่างเป็นจังหวะนำทางให้หญิงสาวซึ่งอบู่บนกายเขาจับจังหวะในการควบเองได้ “อื๊อ พี่คิณณ์ขาหนูเสียว อ๊าส์ๆ” ลัลน์เริ่มจับจังหวะได้เป็นฝ่ายขึ้นขย่มควบขี่ม้าศึกตัวใหญ่นี้ให้ยอมจำนนศิโรราบแก่เธอ ปากอิ่มเผยอร้องครวญครางอย่างเสียวซ่าน เมื่ออารมณ์สูงขึ้นชายหนุ่มผละมือจากสะโพกผายปล่อยให้ร่างเล็กขย่มบดเอวขยี้แก่นกายใหญ่โตด้วยโพรงน้ำหวานเล่นทำเอาคนใต้ร่างร้องซี้ด หญิงสาวเป็นฝ่ายควบคุมเกมโดยที่คิณณ์อาจมีกระแทกเอ็นสวนขึ้นบางจังหวะอย่างอดกลั้น แจ๊ะ แจ๊ะ แจ๊ะ “ฮึมม แรงอีก” เสียงน้ำหวานเคลือบชโลมท่อนเล็กร้อนขยับเคลื่อนภายในจนก่อให้เกิดเสียงลามกดังขึ้น ลัลน์หลับตาพริ้มเชิดหน้าสะบัดสยายผม ปากร้องครางเสียว ขณะที่เอวเธอนั้นยังคงขย่มควงเอวบนตัวคนตัวโตอย่างเมามัน หน้าอกอวบใหญ่กระเพื่อมไปตามแรงกระแทกที่ร่างบางเป็นฝ่ายคุมเกม คิณณ์ไม่อาจทนต่อภาพยั่วเย้าตรงหน้าได้ริมฝีปากหนาโฉบเข้าดูดเลียยอดปทุมถันอย่างแรงตามอารมณ์พุ่งพล่าน มือขยำเต้าอวบอิ่มจนล้นทะลักมือ มืออีกข้างไม่น้อยหน้าบดขยี้จุดกระสันกระตุ้นอารมณ์คนอ่อนประสบการณ์ให้เผด็จศึกพ่ายแพ้แก่เขา “อ๊ะส์ นะ หนูจะเสร็จ อ๊ายยส์” สิ้นเสียงร่างบางกระตุกเกร็งไปทั้งตัวร่างกายสั่นสะท้านท้องน้อยหดเกร็ง ร่องสาวตอดรัดถี่ยิบน้ำหวานสีใสกระจายทั่วอาบเคลือบเอ็นหนาเป็นมันวาว หญิงสาวทิ้งตัวซุกหน้าบนอกแกร่งของชายหนุ่มอย่างหมดแรง ร่างกายเธอสั่นสะท้านเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า หอบหายใจแรง หัวใจเต้นเร็วจนชายหนุ่มรู้สึกได้ “เสร็จไวจังคะ ผัวยังไม่เสร็จเลย” เสียงกระซิบแหบพร่าตามอารมณ์ที่ยังคงค้าง สาวน้อยบนร่างเสร็จนำเขาไปแล้วทิ้งให้เขาอยู่ปลายทางคนเดียว ไม่รอช้าคิณณ์กระแทกสะโพกสอบรัวเร็วจนหญิงสาวคลอนไปทั้งร่าง ถึงแม้จะกระแทกสวนแรงโน้มถ่วงโลกและมีร่างเล็กกดทับอยู่ด้านบานก็หาได้เป็นอุปสรรคกับคนหื่นอย่างเขาไม่ พลั่บๆ แจ๊ะๆๆ พลั่บๆ หญิงสาวกรีดร้องครางระงมไม่เป็นภาษาเมื่อชายหนุ่มกระหน่ำแทงร่องสวาทอย่างถี่ยิบ กระดกเอวควงสู้เอ็นร้อนที่กำลังมุดเข้าออกโพรงสวาทภายใน เสียงน้ำกระฉอกออกมาจากโพรงสวาทอวบอิ่มอาบไล้ไปทั่วหน้าขาแกร่งคิณณ์ยังคงกำลังขยับเข้าออกอย่างเร่าร้อน เมื่ออารมณ์จะถึงขีดสุดคิณณ์รีบพลิกคนตัวเล็กหันหลังให้เขา มือบางจับขอบอ่างไว้แน่นเมื่อรู้ว่าต้องรอรับแรงกระแทกอันหนักหน่วงจากชายหนุ่ม ต่อมาก่อนที่เอ็นร้อนจะกระโจนจ้วงเข้าร่องคับแคบทีเดียวสุดลำ “อ๊าส์ๆๆ เมียจุก อ๊าส์ๆ” ลัลน์ร้องครางเสียงดังอย่างไม่อาจทานทน สะโพกสอบยังคงโหมกระหน่ำซอยราวกับคลื่นทะเลยามค่ำคืนซัดเข้าหาชายฝั่ง มือหนาปัดเส้นผมนุ่มที่ปิดแผ่นหลังขาวออกก่อนจะโน้มเข้าหาขบเม้มไล่ไปตามกระดูกสันหลังจนเกิดรอยจ้ำทั่วหลังนวลเนียน เพี๊ยะ เพี๊ยะ! “อ๊าส์” ฝ่ามือหนาฟาดเข้าแก้มก้นงามงอนจนขึ้นสีแดงปลุกเร้าอารมณ์ดิบของหญิงสาวให้หลงมัวเมาในเพลิงพิศวาส เอวสอบยังคงกระแทกทั้งเสยทั้งงัดจนตัวหญิงสาวแทบปลิว ดึงรั้งไหล่บางเข้าหาตัวก่อนจะจับหน้าหวานเข้ามาประกบจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม สายตาคมเข้มวาวโรจน์ด้วยแรงเสน่หาในรสแห่งกามารมณ์ “ยั่วผัวจังเลยนะ ฮึมมม” เสียงคำรามต่ำเมื่อหญิงสาวบดเบียดร่องกุหลาบงามเข้าหาสู้แรงของเขา ยิ่งทำให้กระแทกเอวสอบโจนจ้วงท่อนเอ็นยักษ์อย่างน่ามืดตามัวราวกับอาชาวิ่งออกศึก โหมกระหน่ำแทงเข้าออกอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม “อ๊ายส์ พะ พี่คิณณ์ อิ๊ส์ เบาหน่อย อ๊ายยยยส์” เสียงหวานกรีดร้องลั่นอย่างไม่เป็นภาษา แขนแกรงจับยึดดึงแขนเรียวเสลาดึงมาด้านหลัง ท่อนเอ็นร้อนฉ่ายังคงบดทะลวงลึกแรงบีบรัดภายในจนเพิ่มขึ้นดูดตอดปลายหัวของเขาจนเสียวสะท้าน ก่อนจะตะบี้ตะบันตอกเสาเข็มลงรู ริมฝีปากหนาขบเม้มสร้างรอยสีกุหลาบไว้ทั่วแผ่นหลังนวลเนียน พลั่บๆๆๆ แจ๊ะๆๆๆ เสียงท่อนลำใหญ่กระแทกสอดแทรกเข้าไปสำรวจด้านในกุหลาบฉ่ำวาวไปด้วยน้ำรักเคลือบท่อนเอ็นแข็งเป็นเหล็กกล้าทำให้เกิดเสียงหยาบโลนสลับเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังกึกก้องห้องน้ำ ดีที่ห้องของเขานั้นเก็บเสียงไม่เช่นนั้นคงได้ยินกันทั้งคอนโด สะโพกหนั่นแน่นแรงดีไม่มีตกโถมลำรักจ้วงรูคับแน่นของเมียเด็ก ร่างกายสาวบิดเร่าด้วยความเสียวซ่านสะโพกผายอวบอิ่มสวนเด้งรับแรงกระแทกชายหนุ่มอย่างลืมอาย หลงใหลมัวเมาไปกับลีลาอันช่ำชองราวกับคนติดเซ็กซ์สมองยังคงขาวโพลนเสียวจนแทบสิ้นสติ ร่างกำยำกระแทกกายอย่างเมามันจังหวะเร่งเร้ารุนแรงใส่ร่องสาวอวบอิ่ม ทั้งควงทั้งงัดท่อนเอ็นลำหนาให้ทั่วโพรงนุ่มที่บีบรัดท่อนเอ็นร้อนผงาดขยายเต็มร่อง ร่างเล็กสั่นคลอนทรวงอกใหญ่โตเกินขนาดตัวกระเพื่อมไหวตามแรงกระแทกจากด้านหลังขาเรียวสั่นระริกไร้สิ้นเรี่ยวแรงที่จะยันสะโพกได้หากดีที่ชายหนุ่มยึดแขนเธอแล้วโหมกระหน่ำใส่ร่องสวาทไม่ยั้งตะบี้ตะบันใส่แรงเร็วกว่าครั้งก่อน จนเธอจนสติเธอเตลิดท้องน้อยเกร็งบีบรัดตอดดุนเนื้อในกายแน่น สวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อมสะโพกระรัวเร็วใส่รูคับแน่นบวมแดงอย่างลืมเหนื่อย เอ็นเครียดแข็งปวดเสียวปลายหัวเห็ด ร่างกำยำกระเด้าซอยเสียงคำรามดังขึ้นประสานเสียงกรีดร้อง ยัดเอ็นทะลวงจนสุดความยาวจูบปากมดลูกปล่อยน้ำคาวสีขาวข้นคลั่กใส่ร่องสาวจนไหลย้อนอาบหน้าขาอ่อน แฮ่กๆๆๆ เสียงลมหายใจหอบถี่คล้ายคนวิ่งมาราธอนดังสะท้อนในความเงียบของห้อง ร่างเล็กที่แนบชิดกับชายหนุ่มดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเหนื่อยที่สุด ผิวขาวเนียนแต่งแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ ขยับไหวตามจังหวะหอบโยนของเธอ ร่างกายเล็กนั้นสั่นระริกจนชายหนุ่มที่กอดเธอไว้รู้สึกได้ เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเบาๆ เหมือนจะปลอบโยนในขณะที่เขาเองยังคงหายใจหนักไม่ต่างกัน "ไหวไหมคะ?" คิณณ์ถามเสียงนุ่ม ขณะดึงหญิงสาวเข้ามากอดไว้แนบอก ร่างเล็กที่อ่อนปวกเปียกแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแนบซบกับอกแกร่ง ใบหน้าหวานยังคงมีร่องรอยอ่อนล้า แต่เธอไม่ตอบอะไร เพียงพิงตัวกับเขาเหมือนต้องการพักพิง ชายหนุ่มลูบศีรษะเบาๆ ก่อนที่จะจัดการอาบน้ำให้เธออย่างแผ่วเบา แม้หญิงสาวจะเขินอายแต่ก็ไม่มีแรงขัดขืน จากนั้นจึงอาบน้ำตัวเองให้เสร็จ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มอุ้มหญิงสาวที่ตอนนี้ห่มด้วยผ้าขนหนูนุ่มไปวางบนเตียงอย่างเบามือ เขาจัดการห่มผ้าให้เธอจนถึงคอ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ใช้ฝ่ามือหนาลูบแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยน “ทำไมพี่ไม่ป้องกันอีกแล้วคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงเบา สายตากลมโตจับจ้องคนตัวโตตรงหน้า “พี่อยากมีเบบี๋ แต่ถ้าหนูยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร” คิณณ์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หนูยอมให้แค่ครั้งนี้นะคะ” ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ แต่ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองเขาอย่างจริงจัง “ขอบคุณครับตัวเล็ก หนูนอนนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปฝึกงานไม่ไหว” คนแก่กว่ายิ้มอบอุ่นก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากเธอเบาๆ อย่างรักใคร่ พลางดึงผ้าห่มคลุมร่างเล็กที่เปลือยเปล่าในอ้อมแขนตระกองกอดเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างมีความสุขการอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
ปัง!เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก“ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้ม
ชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันภายในคอนโดของคิณณ์มานานถึงสามเดือนเต็ม ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสุขที่ค่อยๆ สานสายใยระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น แต่เมื่อการสอบของลัลน์สิ้นสุดลงทางบ้านก็ตามตัวเธอกลับจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้หญิงสาวต้องจำใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน ร่างบางนั่งพับเสื้อผ้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง ใจห่อเหี่ยวกับความจริงที่ว่าเธอจะไม่ได้เจอคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ความคิดคำนึงถึงระยะห่างที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้เธอกังวลจนเก็บไว้ไม่อยู่ "หนูไปกันค่ะ" เสียงทุ้มนุ่มของคิณณ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าและท่าทีของเขาดูสดใสจนผิดวิสัย เหมือนว่าเรื่องการจากลาครั้งนี้ไม่มีผลกระทบใดๆ ลัลน์ที่นั่งอยู่บนพื้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบะปาก น้ำตารื้นขอบตาอย่างไม่อาจเก็บความน้อยใจไว้ได้อีก "พี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือคะ จะไปส่งหนูท่าเดียว" หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือในลำคอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ คิณณ์ชะงักกึก เขาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพับเสื้อผ้าอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่เคยกระจัดกระจายอยู่ในตู้ของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่าน
รถหรูสีดำเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลเข้ามายังบริเวณบ้านเรือนไทยหลังงาม ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้หลากหลายชนิด เส้นทางที่ทอดยาวผ่านเขตไร่พาณิชยกิจเต็มไปด้วยความร่มรื่น ความสงบของธรรมชาติและกลิ่นหอมอ่อนของดินหลังฝนตก ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าประทับใจ โดยเฉพาะสำหรับคนเมืองกรุงที่ไม่ค่อยได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ โฮ่ง! โฮ่ง! เสียงสุนัขเห่าก้องดังขึ้นทันทีที่รถคันใหญ่ปรากฏตัว บรรดาหมาฝูงเล็กที่อยู่ในลานบ้านวิ่งกรูกันมาที่ประตูรั้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและท่าทีระแวดระวัง ราวกับกำลังปกป้องถิ่นฐานของตนเองจากผู้มาเยือน “บ้านหนูร่มรื่นมากเลยนะ” “สนใจมาอยู่ไหมคะท่านคิณณ์” ลัลน์เอ่ยสัพยอกพลางเหลือบมองสีหน้าคนรักที่ดูเหมือนหลงเสน่ห์ธรรมชาติในชนบทเข้าแล้ว “เลี้ยงพี่ไหมคะ” คิณณ์ยิ้มมุมปาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “เดี๋ยวให้พ่อหนูเลี้ยงด้วยลำแข้งแทนดีไหมคะ” ยกคิ้วทิ้งท้ายคำพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “หยอกเล่นแค่นี้ต้องเอาพ่อมาขู่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ ก่อนใช้นิ้วดีดหน้าผากคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อ “ก็หนูกลัวพี่ไม่กลัวอะไรนี่คะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักย่นจมูกใส่อย่างน่าร
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล