ปัง!
เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก “ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “วันเกิดเมียเพื่อนทั้งที ต้องให้ความสำคัญหน่อยสิ” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าติดตลก เล่นทำเอาทั้งห้องหัวเราะกันครืน แต่เมื่อคนตัวเล็กได้ยินเจษฎาเอ่ยถึงบุคคลที่สามที่ทำให้เธอเสียใจเมื่อเช้า พาใจกระตุก แต่ฝืนหยอกเย้าเจษฎากลับไปอย่างไม่มีอะไร “นี่ถ้าหนูไม่ใช่แฟนพี่คิณณ์ พี่เจษก็จะไม่ฉลองให้หนูงั้นเหรอคะ” ใบหน้าหวานยิ้มรับบางๆ พลางตอบกลับไปอย่างแสร้งสนุก ในใจกลับกระตุกเบาๆ เมื่อได้ยินชื่อของเขาบุคคลที่ทำให้เธอเสียใจก่อนที่จะขึ้นมานี้เอง “ลัลน์ เธอไม่ใช่สาวๆในสต็อกของเขา อย่าหวังเลยว่าจะได้” กุลธิดาเอ่ยขัดหนุ่มรุ่นน้องที่ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยชาย “โห พี่กวางก็พูดเกินไปครับ วันเกิดพี่ผมนี่ไม่เคยลืม” เจษฎารีบแก้ตัว ก่อนจะยักคิ้วให้กวางอย่างทะเล้น “แล้วพี่เกิดวันไหนก่อน” เสียงทวงถามว่าจำวันเกิดของตนได้หรือไม่ดังขึ้น พร้อมยกคิ้วสูงใส่ ทำเอาเจษฎาที่เพิ่งพูดอวดเมื่อครู่ถึงกับชะงัก ดวงตาคู่คมเลิ่กลั่กเล็กน้อย “เอ้า! นี่ลัลน์ พี่ซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิด เห็นปุ๊บก็คิดถึงลัลน์เลยนะ ไม่ต้องสนใจพี่กวางแล้ว” เจษฎาพยายามหาคำตอบ แต่เหมือนสมองจะไม่อำนวยนักตอนว่าความมันก็แล่นดีอยู่หรอก แต่พอมาเจอการคาดคั้นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ผู้ชายอย่างเขาจะไปจำได้อย่างไรกัน ก่อนจะก็รีบคว้าตุ๊กตาสุนัขไซบีเรียนตัวใหญ่ข้างตัว ยื่นไปให้ลัลน์พร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อน “โอ๊ย ตลกจริงๆ ลืมวันเกิดฉันแล้วยังกล้าเฉไฉอีก” ทุกคนในห้องระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีเฉไฉของเขา กวางส่ายหัวพลางหัวเราะ “ขอบคุณนะคะพี่เจษ”ลัลน์รับตุ๊กตามากอดแนบอกพร้อมรอยยิ้มที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “อ่ะนี่ของพี่” เนตรนภาและกุลธิดาต่างยิ้มและส่งของขวัญในส่วนของตนให้แก่หญิงสาว “ขอบคุณค่ะพี่นก พี่กวาง” นักศึกษาสาวยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่รับของขวัญจากทั้งสองคน ความอบอุ่นจากพี่ๆ ทำให้เธอรู้สึกดีใจและซาบซึ้งใจไม่น้อยจนเธอฉีกยิ้มกว้างอย่างมีสุข “แล้วคุณเจ้าของสำนักงานคะ กรุณารับผิดชอบเก็บกวาดไอเดียของคุณด้วยค่ะ สกปรกไปทั้งสำนักงานแล้ว” กุลธิดาแกล้งบ่นพลางหันไปมองเจษฎาที่ทำให้สำนักงานยุ่งเหยิงด้วยประทัดและเศษพลาสติกต่างๆ ที่ปลิวไปทั่ว “โห่พี่กวาง” เจษฎาโอดครวญออกมาเสียงเบา พร้อมท่าทางที่แกล้งทำเป็นทุกข์ใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นให้แก่เขาเสียแล้ว “ไม่ต้องมีต่อรองรีบเก็บค่ะ จะได้ทำงานกันต่อ” กุลธิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาดแต่หางเสียงนั้นกับแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ซึ่งทำให้ทั้งห้องหัวเราะกันเกรียว “ค้าบบบ” ชายหนุ่มตอบรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจนัก เดินห่อไหล่หลังตกอย่างห่อเหี่ยวไปหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาด ตัวเขาเป็นเจ้าของสำนักงานแล้วอย่างไร รับผิดชอบคดีหลักแสนหลักล้านแล้วอย่างไรก็ต้องยอมให้กับสาวๆในสำนักงาน “ทำไปเถอะนะ พี่เจษ” เนตรนภาหัวเราะออกมาพร้อมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นเจษฎาเดินห่อไหล่ไปทำความสะอาด เธอรู้ดีว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากทำเท่าไร แต่ก็ยังต้องยอมรับการเล่นสนุกของพวกเธอ บรรยากาศในห้องเริ่มกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง เสียงหัวเราะของสาวๆ ยังคงดังไปทั่วห้อง เมื่อเห็นเจษฎาที่ต้องทำตามคำสั่งอย่างจำใจ หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปทำงานตามปกติ ลัลน์ก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง เสียงเครื่องพิมพ์และการพูดคุยเล็กน้อยดังข้างๆ ทำให้บรรยากาศของการทำงานในสำนักงานกลับมาเป็นปกติดังเช่นเคย “ลัลน์มาเขียนเอกสารให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่เรียงเอกสารก่อน” เจษฎาซึ่งกำลังวุ่นวายกับกองเอกสารของตน เรียกนักศึกษาสาวของเขามาช่วยปั๊มช่วยเขียนเอกสารเช่นเคย ไหนเขาจะต้องดูแลลูกความอีก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะประเดประดังเข้ามาในวันเดียว จนทำให้วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายของเขาเสียเหลือเกิน “ได้ค่ะ” ลัลน์พึ่งเดินเข้ามาในห้องพิจารณาได้ไม่ทันไร ลัลน์ตอบรับเสียงเรียกของเจษฎาทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพิจารณา ร่างเล็กยังไม่ทันได้หายเหนื่อยดี ก็ต้องก้มหน้าก้มตาลงมือจัดการเอกสารช่วยเจษฎา ท่วงท่าของเธอดูคล่องแคล่วกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้เธอแทบไม่ต้องสอบถามหรือรอคำสั่งจากพี่ๆ ทนายอีกต่อไป เพียงแค่ได้รับมอบหมาย เธอก็ลงมือทำในส่วนของตนได้อย่างเป็นระบบ “ลูกความมาแล้วใช่ไหมลัลน์?” เจษฎาเอ่ยถามทั้งที่มือยังพลิกสำนวนเอกสารตรงหน้า ร่างสูงดูรีบเร่งจนแทบไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาว “มาแล้วค่ะ อยู่หน้าห้องค่ะ” ลัลน์หันมาตอบเจษฎาเมื่อเธอเป็นคนไปรับลูกความขึ้นมาเอง เนื่องจากทางขึ้นมาค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เธอมักทำประจำ “ท่านจะลงแล้วนะคะ กรุณาปิดเสียงโทรศัพท์และห้ามใช้โทรศัพท์ในเวลาพิจารณานะคะ” เสียงหน้าบัลลังก์ขานให้ทุกคนเริ่มเตรียมพร้อม บรรยากาศในห้องพิจารณาเริ่มตึงเครียดขึ้น ทนายความต่างเร่งสวมชุดครุยเตรียมเข้าปฏิบัติหน้าที่ เจษฎาเองแม้จะง่วนอยู่กับกองเอกสารตรงหน้าก็ไม่ลืมที่จะจัดตัวเองให้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน “ทุกคนยืนค่ะ” เสียงพี่เก๋เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ 4 เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูจากอีกฟากหนึ่งเปิดออก ลัลน์ที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ต้องรีบวางมือ ลุกขึ้นยืนพร้อมคนอื่นเพื่อทำความเคารพสายตาของเธอพลันหยุดนิ่งเมื่อเห็นบุคคลที่เดินเข้ามา ไม่ใช่ใครอื่นใดท่านคิณณ์ ผู้พิพากษาประจำบัลลังก์ 4 และคนรักของเธอเองนั่นเอง หัวใจของลัลน์สั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเขาก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยท่วงท่ามั่นคงและสง่างามในชุดครุยผู้พิพากษา “เชิญนั่งครับ” เมื่อชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มติดเย็นชา บรรยากาศในห้องพิจารณากลับมาสงบนิ่ง ร่างบางของลัลน์รีบทิ้งตัวนั่งลงพร้อมกับก้มหน้าจัดการเอกสารตรงหน้าต่อไป ราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังความวุ่นวายในใจ โชคดีที่เจ้าของสำนวนวันนี้ไม่ใช่ท่านคิณณ์ ไม่เช่นนั้นคงได้โดนเอ็ดกันถ้วนหน้า ลัลน์ยังคงยุ่งอยู่กับกองเอกสารจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบตัว เสียงฝีเท้าบางเบาที่เดินเข้ามาพร้อมบุคคลใหม่ไม่ได้ดึงความสนใจของเธอไปแม้แต่น้อย เนื่องด้วยปกติแล้วห้องพิจารณามีคนเข้าออกเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว หากแต่ในเวลาเดียวกันหนูนาซึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอัยการหนุ่มหน้าตาคมคายสะดุดตา กลับเป็นจุดที่หลายคนในห้องพิจารณาเริ่มจับตามอง สายตาของคนรอบข้างมองไปยังชายหนุ่มที่ดูโดดเด่นในชุดครุยเช่นเดียวกันกับทนายความ หากมีความแตกต่างเพียงตรงที่สำนวนนั้นหน้าปกเป็นสีน้ำตาล นอกจากนั้นก็ไม่อาจแยกออกได้ถ้าไม่รู้จักกัน หญิงสาวยังคงตั้งหน้าตั้งตาเขียนเอกสาร โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเธอได้กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องไปเสียแล้ว “คดีของพนักงานอัยการกับนายวรวุฒิ พุฒิสารชัย จำเลย” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยอำนาจและความสุขุมดังขึ้นจากบัลลังก์ ร่างบางของลัลน์ที่กำลังก้มหน้าจัดการเอกสารสะดุ้งเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังอัยการที่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับจำเลยซึ่งถูกใส่กุญแจมือแน่นโดยมีตำรวจยืนประกบอยู่ด้านข้าง ภาพจำเลยที่ถูกคุมตัวและมองด้วยสายตาว่างเปล่า ทำให้หัวใจของลัลน์เต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม ความเงียบสงัดในห้องพิจารณาเพิ่มความกดดันในจิตใจของเธอ แม้จะมาศาลเป็นเวลาหลายเดือนแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้ความหวาดหวั่นที่เกาะกุมในจิตใจลดน้อยถอยลงตามไปด้วย เมื่อจัดการเอกสารเสร็จลัลน์ลุกขึ้นเดินไปยื่นสำนวนให้พี่เก๋ที่โต๊ะหน้าบัลลังก์ เมื่อหันตัวจะไปนั่งก็พบกับหนูนาที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องอยู่แล้ว ร่างบางจึงก้าวขาไปนั่งกับเพื่อนเธอเพื่อเฝ้าดูการพิจารณาคดีอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ที่คิณณ์เดินเข้ามาเธอไม่ได้มองเขาเลย เนื่องจากเร่งมือทำเอกสารให้แก่เจษฎาซึ่งขณะนี้กำลังไปซักซ้อมพยานอยู่นอกห้อง “ผู้เสียหายมาไหมครับท่าน” คิณณ์หันไปเอ่ยถามอัยการที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบ “มาครับ คุณพ่อเชิญครับ” อัยการหนุ่มหันไปตอบอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปเรียกชายสูงวัยรูปร่างผ่ายผอมที่นั่งรออยู่ด้านหลังให้เดินมายังคอกพยาน “เล่าให้ศาลฟังสิว่าเหตุเกิดขึ้นอย่างไร” ชายหนุ่มซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษามองชายสูงวัยอย่างพิเคราะห์ ก่อนจะเอ่ยถามชายสูงวัยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “วันนั้นเวลาบ่ายๆ ลุงนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน แล้วลูกลุงก็ขี่รถมาขอตัง 30 บาท บอกว่าจะเอาไปเติมน้ำมัน พอลุงไม่ให้ลูกชายเลยเอาไม้เบสบอลที่อยู่แถวนั้นตีลุง” ชายสูงวัยรูปร่างผ่ายผอมที่อยู่ในคอกพยาน ก้มหน้าลงเล็กน้อย ขณะที่พูดน้ำเสียงของเขาเจือความเศร้าหนักแน่น ชายสูงวัยก้มหน้าลงเล็กน้อย รวบรวมสติ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ชัดเจน “วันนั้นเวลาบ่าย ๆ ครับ ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านตามปกติ...” เขาหยุดพูดครู่หนึ่งราวกับภาพความทรงจำอันเจ็บปวดกำลังย้อนกลับมา “ผมไม่ได้ให้ครับ เพราะวันนั้นผมไม่มีเงินติดตัวเลยจริง ๆ...” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาฉายแววเจ็บปวด “พอผมบอกว่าไม่มีเงินให้ เขาก็เริ่มโวยวายขึ้นมา...” คิณณ์หน้าตึงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ก่อนที่จะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม “ตอนนั้นลุงก็พยายามพูดให้เขาใจเย็นลง แต่ไม่ทันไรลูกชายลุงก็หันไปหยิบไม้เบสบอลที่วางอยู่ใกล้ ๆ แล้วตีลุงจนล้มลงกับพื้น” คำพูดของชายสูงวัยทำให้ทุกคนในห้องพิจารณาคดีนิ่งอึ้ง “แล้วซี่โครงนี่หักได้ยังไงครับ” คิณณ์อัดเสียงเสร็จก่อนจะถามรายละเอียดอีกครั้ง “ลูกลุงโมโหครับ ตอนที่ลุงบอกไม่มีเงินให้ เขาเลยเตะอัดลุงจนล้ม ตัวกระแทกโต๊ะข้าง ๆ จนทำให้ซี่โครงหัก” “ตอนที่เขาทำร้ายลุง มีใครอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่าครับ” อัยการหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงรอบคอบ “ไม่มีใครอยู่เลย บ้านลุงอยู่ลึก ไม่มีเพื่อนบ้านใกล้ ๆ วันนั้นมีแค่ลุงกับเขาสองคน” ชายสูงวัยส่ายหัวเบา ๆ “หลังจากที่ถูกทำร้ายลุงทำอย่างไรต่อ”คิณณ์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้นบ้าง “หลังจากเขาตีลุงจนล้ม เขาก็ขี่รถหนีไปเลยครับ ลุงนอนเจ็บอยู่พักใหญ่ถึงได้พยายามลุกขึ้นมาโทรเรียกตำรวจ พอตำรวจมาเขาก็พาลุงไปโรงพยาบาล” ชายสูงวัยตอบพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “หมอวินิจฉัยว่ายังไงครับ” “หมอบอกว่าหัวโดนตีจนแตก ต้องเย็บไป 20 เข็ม กระดูกซี่โครงหักต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 เดือน” คำพูดนั้นทำให้ผู้คนในห้องพิจารณาคดีบางส่วนสูดลมหายใจลึกด้วยความตกใจไม่เว้นแม้แต่ลัลน์ที่ฟังแล้วยังตกใจ ไม่เข้าใจได้ว่าลูกนั้นจะกระทำต่อบุพการีได้ถึงขนาดนี้ คิณณ์จดรายละเอียดลงในสมุดอีกครั้ง ก่อนจะถามต่อ “อัยการมีคำถามเพิ่มเติมหรือไม่” คิณณ์หันมาเอ่ยถามกับอัยการด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างไม่อาดคาดเดาความคิดได้ “หมดคำถามครับท่าน” อัยการโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนตอบ “จำเลย รับผิดตามฟ้องข้อหาพยายามฆ่าบุพการีหรือไม่” คิณณ์หันไปถามจำเลยซึ่งอยู่ทางเข้าออกของนักโทษซึ่งถูกจำคุก “รับครับ” จำเลยพยักหน้าเอ่ยตอบไป คิณณ์จึงพยักหน้าให้ทุกคนนั่งลงก่อนที่จะไปอัดเสียงเรียบเรียงกระบวนพิจารณาของตนต่อไปชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันภายในคอนโดของคิณณ์มานานถึงสามเดือนเต็ม ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสุขที่ค่อยๆ สานสายใยระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น แต่เมื่อการสอบของลัลน์สิ้นสุดลงทางบ้านก็ตามตัวเธอกลับจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้หญิงสาวต้องจำใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน ร่างบางนั่งพับเสื้อผ้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง ใจห่อเหี่ยวกับความจริงที่ว่าเธอจะไม่ได้เจอคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ความคิดคำนึงถึงระยะห่างที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้เธอกังวลจนเก็บไว้ไม่อยู่ "หนูไปกันค่ะ" เสียงทุ้มนุ่มของคิณณ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าและท่าทีของเขาดูสดใสจนผิดวิสัย เหมือนว่าเรื่องการจากลาครั้งนี้ไม่มีผลกระทบใดๆ ลัลน์ที่นั่งอยู่บนพื้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบะปาก น้ำตารื้นขอบตาอย่างไม่อาจเก็บความน้อยใจไว้ได้อีก "พี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือคะ จะไปส่งหนูท่าเดียว" หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือในลำคอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ คิณณ์ชะงักกึก เขาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพับเสื้อผ้าอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่เคยกระจัดกระจายอยู่ในตู้ของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่าน
รถหรูสีดำเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลเข้ามายังบริเวณบ้านเรือนไทยหลังงาม ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้หลากหลายชนิด เส้นทางที่ทอดยาวผ่านเขตไร่พาณิชยกิจเต็มไปด้วยความร่มรื่น ความสงบของธรรมชาติและกลิ่นหอมอ่อนของดินหลังฝนตก ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าประทับใจ โดยเฉพาะสำหรับคนเมืองกรุงที่ไม่ค่อยได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ โฮ่ง! โฮ่ง! เสียงสุนัขเห่าก้องดังขึ้นทันทีที่รถคันใหญ่ปรากฏตัว บรรดาหมาฝูงเล็กที่อยู่ในลานบ้านวิ่งกรูกันมาที่ประตูรั้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและท่าทีระแวดระวัง ราวกับกำลังปกป้องถิ่นฐานของตนเองจากผู้มาเยือน “บ้านหนูร่มรื่นมากเลยนะ” “สนใจมาอยู่ไหมคะท่านคิณณ์” ลัลน์เอ่ยสัพยอกพลางเหลือบมองสีหน้าคนรักที่ดูเหมือนหลงเสน่ห์ธรรมชาติในชนบทเข้าแล้ว “เลี้ยงพี่ไหมคะ” คิณณ์ยิ้มมุมปาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “เดี๋ยวให้พ่อหนูเลี้ยงด้วยลำแข้งแทนดีไหมคะ” ยกคิ้วทิ้งท้ายคำพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “หยอกเล่นแค่นี้ต้องเอาพ่อมาขู่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ ก่อนใช้นิ้วดีดหน้าผากคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อ “ก็หนูกลัวพี่ไม่กลัวอะไรนี่คะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักย่นจมูกใส่อย่างน่าร
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“ทำไมคอแม่ลัลน์ถึงแดงจังเลยคะ?” สิ้นเสียงคำถามจากลูกสาว มือเล็กรีบยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องดูภาพสะท้อน รอยแดงเป็นจ้ำใหญ่ปรากฏเด่นชัด ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตวัดสายตาไปมองคนตัวโตที่ยืนยิ้มหน้ามึนอยู่ข้าง ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแก้สถานการณ์ให้เลยสักนิด“คือว่าแม่โดนผึ้งกัดค่ะ แม่แพ้เลยเป็นรอยแบบนี้” ลัลน์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ พยายามหาข้ออ้างตอบลูกให้ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด แต่ยังไม่ทันได้โล่งใจ เสียงทุ้มของลูกชายที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงสัย“ผึ้งที่ไหนหรือครับที่คอนโดกับที่ห้องนี้ก็ไม่น่าจะมีผึ้งได้นะครับ” คำถามของคอร์ททำให้ลัลน์ชะงักค้าง ไม่คิดว่าลูกชายจะจับสังเกตและถามกลับมาแบบนี้“เอ่อ คือว่าแม่” เสียงหวานกระอักกระอ่วนไม่อาจหาข้ออ้างยกขึ้นกล่าวกับลูกชายได้ เมื่อเห็นเมียรักกระดากเกินกว่าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาในฐานะสามีที่ดีก็ควรช่วยเหลือบ้าง“ผึ้งในช่อดอกไม้น่ะ ว่าแต่ซักพยานขนาดนี้ไม่อยากกินปิ้งย่างแล้วใช่ไหมนะ” คิณณ์พูดพลางเลิกคิ้วเจ้าเล่ห์ เบี่ยงเบนความสนใจของลูก ๆ ได้อย่างแนบเนียน สองแฝดรีบกอบกุมมือพ่อแม่ไว้อย่างอบอุ่
ภายในห้องทำงานโทนสีดำสุดหรู อุณหภูมิเย็นเฉียบตัดกับความร้อนแรงที่ปกคลุมบรรยากาศ เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างสม่ำเสมอถูกกลบด้วยเสียงหยาบโลนท่ามกลางความเงียบงัน แต่ดูเหมือนว่าไอเย็นเหล่านั้นจะไม่มีผลใด ๆ ต่อชายหญิงที่ตอนนี้กำลังเมามันหลงใหลในกามราคะอยู่บนโซฟาหนังภายในห้อง“อื้อ พะพอได้แล้ว อ๊ะส์ เดี๋ยวลูกมานะคะ” เสียงหวานครางกระเส่า มือเล็กดันหน้าท้องแกร่งออกให้ลดแรงกระแทกเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เจ้าสองแสบเลิกเรียนและกำลังเดินทางมาบริษัท จะว่าสองแสบก็ไม่เชิงในเมื่อคนที่แสบสันที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกสาวตัวดีของเธอ ส่วนลูกชายนั้นเรียบร้อยนุ่มนิ่มเหมือนผ้าพับไว้“คนดีพี่ขอหน่อย พี่ไม่มีโอกาสเลยนะเจ้าตัวแสบกันพี่ตลอดเลย ซี้ดด” คิณณ์ถึงกับซูดปากครางทันทีเมื่อเมียเด็กของเขายกสะโพกสวนแรงกระแทกของเขาทำให้ร่องคับแคบบีบรัดแน่นจนเขาเสียวซ่านไปทั่วกาย ถึงแม้เธอจะคลอดลูกแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลอันใดต่อร่องสวาทนี้เลยพลั่บๆๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังลั่นห้อง เอวสอบโหมกระแทกแรง ขาข้างหนึ่งชันไว้บนโซฟา จับสะโพกอวบอิ่มกลมกลึงไว้แน่นพร้อมจับกระแทกอย่างรัวเร็ว เมื่อหัวลำลึงค์ของเขากระแท
เรื่องราวเหล่านี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ สิบปี?หรืออาจจะสิบห้าปี? ผมเองก็จำไม่ได้แน่ชัด เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยนับว่าเป็นเพื่อนกับคิณณ์มานานเท่าไหร่ พวกเราสนิทกันมากถึงขั้นที่ว่าตายแทนกันได้เลย แต่สุดท้ายแล้ว จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างพังทลายก็คือ "ผู้หญิง"เธอคนนั้นใบหน้าน่ารัก ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกในงานสังคมของผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนั้นทั้งสองครอบครัวเคยพูดคุยกันเล่น ๆ ถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างผมกับเม็ดทราย ผมเองก็ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีความจริงจังแค่ไหน แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเธอก็ค่อย ๆ พัฒนาไปจนถึงขั้นลึกซึ้งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมภาคภูมิใจที่ได้รักเธอคนนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครรับรู้ แต่ในเมื่อเธออยู่กับผมแล้ว การประกาศให้โลกรู้หรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ทว่าผมคิดผิดเมื่อผมขึ้นปีสองผมเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์เช่นเดียวกับคิณณ์ เราสองคนมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง เพียงแต่เส้นทางของเราแตกต่างกัน ผมใฝ่ฝันอยากเป็นอัยการมากกว่าที่จะเป็นผู้พิพากษาเหมือนคิณณ์มัน แต่ใครจะไปคิดว่าความชอบเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสุดท้ายแล้วเราทั้งคู่กลับตกหลุมรักผู
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม หลังจากเรียนพิเศษเสร็จผมจึงมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะที่นัดเจอน้องคนหนึ่งไว้ทุกวัน ถึงแม้จะเหนื่อยสักเพียงใดเขาก็ไม่เคยผิดนัดกับหนูน้อยคนนี้เลยเด็กสาวตัวจ้ำม่ำในชุดประถมพร้อมคอซองค์และถักผมเปียสองข้างน่ารัก กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หน้าผากเธอขมวดมุ่นด้วยความตั้งใจ เมื่อเธอรู้สึกถึงการมาของผมจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาคาดหวัง ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาผม“พี่คิณณ์ขา มาแล้วหรือคะ?”“โทษที พี่มาช้าไปหน่อย” ผมกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดู“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็พึ่งมา” เด็กน้อยยิ้มตาปิดส่งให้เขาอย่างไร้เดียงสา นับถือพี่ชายที่คอยมาสอนหนังสือในทุกๆวัน ตั้งแต่เธออยู่ป.1 แล้ว จนตอนนี้เธอป.3 พี่ชายก็คอยสอนหนังสือเธอมาอย่างสม่ำเสมอจนก่อเกิดความรักขึ้นในหัวใจของเด็กน้อยท่าทางของเด็กน้อยทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอกำลังรู้สึกพิเศษอะไรบางอย่างกับผม รู้สึกมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นระหว่างพี่น้อง แต่ผมก็ไม่ได้ถอยห่างไปไหน คิดว่าเธออาจจะยังแยกไม่ออกระหว่างความรักแบบพี่น้องที่มีความเคารพนับถือ ไม่ใช่ความรู้สึกในทางชู้สาว“อืม วันนี้การบ้านวิชาอะไร
ชายหนุ่มลูกคนโตของบ้านหรูหลังนี้กำลังอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกเดินเข้าบ้านมาอย่างทะนุถนอม ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข แทบไม่ได้นอนเนื่องจากอาเจียนทั้งวันจนเธอเวียนหัวลมแทบจับ“หนูลัลน์เป็นอะไรลูก” ไอย์ลดาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอุ้มลูกสะใภ้มา“พึ่งได้นอนครับผมเลยไม่ได้ปลุก”“พาลูกสาวฉันไปนอนก่อนไป ข้าวค่อยกินทีหลัง”“มันจะดีหรือครับคุณท่าน มันจะเสียมารยาทเอานะครับ” พงษ์ทวีเอ่ยขัดอย่างเกรงใจที่ดูเหมือนบ้านฝั่งลูกเขยจะรอลูกสาวคนเดียว แม้จะเข้าใจว่าอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ก็อดกังวลเรื่องมารยาทไม่ได้“คนท้องก็ยังงี้ล่ะ ทำเหมือนไม่เคยมีลูกไปได้” ไอย์ลดาเสริมทัพสามีของตนทันที“อื้อ” เสียงหวานพึมพำเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุย คนตัวเล็กขยี้ตาตัวเองแรงจนคิณณ์ต้องคว้ามือบางให้หยุด ก่อนจะหญิงสาวหาวเบา ๆ จนตาน้ำตาคลอ ก่อนจะซุกหน้ากับไหล่กว้างของสามีอย่างงัวเงีย คิณณ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา โดยให้เธอนั่งบนตักอย่างทะนุถนอม“ตื่นแล้วรึเด็กขี้เซา” เขากระซิบถามเสียงอ่อนโยน แต่ทันทีที่ลัลน์ลืมตาขึ้นมาเต็มตาเธอกลับพบพ่อแม่ของตัวเองยืนมองอยู่ หญิงสาวสะดุ
“หนูไหวไหมคะ ให้พี่พาไปหาหมอไหม” เสียงทุ้มเจือความกังวลถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงซีดเซียว กินอะไรก็แทบไม่ลง คิณณ์มองร่างบางที่นอนซบอยู่บนเตียงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย มือหนาลูบไปตามเส้นผมนุ่มของเธอเบาๆ ราวกับปลอบโยนหญิงสาว“พี่ไปทำงานเถอะค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก” เสียงแหบแห้งดังขึ้น ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มกลับแตกระแหงจนเขายิ่งสงสารจับใจ คิณณ์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะจับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตที่หลังมืออย่างอ่อนโยน ดวงตาคมฉายแววอ่อนลง แต่ยังเต็มไปด้วยความกังวล“แบบนี้ไม่เป็นอะไรมากที่ไหน มันอาการหนักแล้วนะ” เขาพูดเสียงเข้ม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงไม่ยอมไปไหน “เดี๋ยวพี่ก็ลาออกแล้วนะคะ หยุดบ่อยคงไม่ดี”“แล้วพี่จะปล่อยให้เมียพี่เป็นแบบนี้งั้นเรอะ” “หนูแค่ท้องนะคะ ไม่ได้จะตาย” คนน้องหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือหนาของเขาไว้ พร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดูเมื่อใบหน้าคมยังฉายแววเป็นห่วงไม่คลาย“แต่พี่ว่าหนู... หนูว่าอะไรนะ ท้องงั้นเหรอ?” คิณณ์ชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่นราวกับจับสังเกตบางอย่างได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมเบิกกว้างราวกับยังไม่อยากเชื
“อื้อ” เสียงหวานร้องครางในลำคอรู้สึกเจ็บแปล๊บสลับกับเสียวซ่านราวกับมีใครขบเม้มยอดอก ในความฝันอันมืดมิดนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่สัมผัสยอดอกจนแข็งชูชันให้ชายหนุ่มได้เชยชมสะดวก ท้องนิ้วสากที่กำลังลูบไล้เขี่ยยอดถันแผ่วเบาจนร่างบางสั่นสะท้านอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นี่เธอลามกจนฝันถึงเรื่องแบบนี้กันเชียวหรือแต่เมื่อความเสียวแล่นพล่านทั่วกลางกายอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะอยู่ที่จุดกลางกายของเธอ ทำให้หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง เธอเห็นเพียงกลุ่มผมหนาสีดำขลับซุกอยู่กลางหว่างขาของตน เสียงดูดเลียเข้าโสตประสาทหญิงสาวทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีอย่างเขินอาย“อ๊ะส์ พี่คิณณ์ อื้อ ทำอะไรคะ” คิณณ์หาได้ตอบหญิงสาวไม่เสียงหวานเหมือนเลือนลางหายไปตามสายลม นิ้วเรียวยาวกำลังบดขยี้จุดกระสันภายนอก ทำงานสอดประสานรับกันอย่างดีกับลิ้นสากที่ลากเลียวนรอบปากรู สลับกับแยงลิ้นสอดเข้าไปร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำหวานสีใสอาบเคลือบดอกไม้งามแจ๊ะๆๆๆ“อ๊ายยยส์”เสียงหยาบโลนดังสลับเสียงกรีกร้องครวญคราง ยิ่งคิณณ์เร่งจังหวะมากเพียงใดร่างบางยิ่งดิ้นพล่านหนักกรีดร้องเสียงดัง ท้องน้อยบีบรัดแน่น ก่อนจะกระตุกทั้
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ