ปัง!
เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก “ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “วันเกิดเมียเพื่อนทั้งที ต้องให้ความสำคัญหน่อยสิ” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าติดตลก เล่นทำเอาทั้งห้องหัวเราะกันครืน แต่เมื่อคนตัวเล็กได้ยินเจษฎาเอ่ยถึงบุคคลที่สามที่ทำให้เธอเสียใจเมื่อเช้า พาใจกระตุก แต่ฝืนหยอกเย้าเจษฎากลับไปอย่างไม่มีอะไร “นี่ถ้าหนูไม่ใช่แฟนพี่คิณณ์ พี่เจษก็จะไม่ฉลองให้หนูงั้นเหรอคะ” ใบหน้าหวานยิ้มรับบางๆ พลางตอบกลับไปอย่างแสร้งสนุก ในใจกลับกระตุกเบาๆ เมื่อได้ยินชื่อของเขาบุคคลที่ทำให้เธอเสียใจก่อนที่จะขึ้นมานี้เอง “ลัลน์ เธอไม่ใช่สาวๆในสต็อกของเขา อย่าหวังเลยว่าจะได้” กุลธิดาเอ่ยขัดหนุ่มรุ่นน้องที่ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยชาย “โห พี่กวางก็พูดเกินไปครับ วันเกิดพี่ผมนี่ไม่เคยลืม” เจษฎารีบแก้ตัว ก่อนจะยักคิ้วให้กวางอย่างทะเล้น “แล้วพี่เกิดวันไหนก่อน” เสียงทวงถามว่าจำวันเกิดของตนได้หรือไม่ดังขึ้น พร้อมยกคิ้วสูงใส่ ทำเอาเจษฎาที่เพิ่งพูดอวดเมื่อครู่ถึงกับชะงัก ดวงตาคู่คมเลิ่กลั่กเล็กน้อย “เอ้า! นี่ลัลน์ พี่ซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิด เห็นปุ๊บก็คิดถึงลัลน์เลยนะ ไม่ต้องสนใจพี่กวางแล้ว” เจษฎาพยายามหาคำตอบ แต่เหมือนสมองจะไม่อำนวยนักตอนว่าความมันก็แล่นดีอยู่หรอก แต่พอมาเจอการคาดคั้นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ผู้ชายอย่างเขาจะไปจำได้อย่างไรกัน ก่อนจะก็รีบคว้าตุ๊กตาสุนัขไซบีเรียนตัวใหญ่ข้างตัว ยื่นไปให้ลัลน์พร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อน “โอ๊ย ตลกจริงๆ ลืมวันเกิดฉันแล้วยังกล้าเฉไฉอีก” ทุกคนในห้องระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีเฉไฉของเขา กวางส่ายหัวพลางหัวเราะ “ขอบคุณนะคะพี่เจษ”ลัลน์รับตุ๊กตามากอดแนบอกพร้อมรอยยิ้มที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “อ่ะนี่ของพี่” เนตรนภาและกุลธิดาต่างยิ้มและส่งของขวัญในส่วนของตนให้แก่หญิงสาว “ขอบคุณค่ะพี่นก พี่กวาง” นักศึกษาสาวยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่รับของขวัญจากทั้งสองคน ความอบอุ่นจากพี่ๆ ทำให้เธอรู้สึกดีใจและซาบซึ้งใจไม่น้อยจนเธอฉีกยิ้มกว้างอย่างมีสุข “แล้วคุณเจ้าของสำนักงานคะ กรุณารับผิดชอบเก็บกวาดไอเดียของคุณด้วยค่ะ สกปรกไปทั้งสำนักงานแล้ว” กุลธิดาแกล้งบ่นพลางหันไปมองเจษฎาที่ทำให้สำนักงานยุ่งเหยิงด้วยประทัดและเศษพลาสติกต่างๆ ที่ปลิวไปทั่ว “โห่พี่กวาง” เจษฎาโอดครวญออกมาเสียงเบา พร้อมท่าทางที่แกล้งทำเป็นทุกข์ใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นให้แก่เขาเสียแล้ว “ไม่ต้องมีต่อรองรีบเก็บค่ะ จะได้ทำงานกันต่อ” กุลธิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาดแต่หางเสียงนั้นกับแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน ซึ่งทำให้ทั้งห้องหัวเราะกันเกรียว “ค้าบบบ” ชายหนุ่มตอบรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจนัก เดินห่อไหล่หลังตกอย่างห่อเหี่ยวไปหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาด ตัวเขาเป็นเจ้าของสำนักงานแล้วอย่างไร รับผิดชอบคดีหลักแสนหลักล้านแล้วอย่างไรก็ต้องยอมให้กับสาวๆในสำนักงาน “ทำไปเถอะนะ พี่เจษ” เนตรนภาหัวเราะออกมาพร้อมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นเจษฎาเดินห่อไหล่ไปทำความสะอาด เธอรู้ดีว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากทำเท่าไร แต่ก็ยังต้องยอมรับการเล่นสนุกของพวกเธอ บรรยากาศในห้องเริ่มกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง เสียงหัวเราะของสาวๆ ยังคงดังไปทั่วห้อง เมื่อเห็นเจษฎาที่ต้องทำตามคำสั่งอย่างจำใจ หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปทำงานตามปกติ ลัลน์ก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง เสียงเครื่องพิมพ์และการพูดคุยเล็กน้อยดังข้างๆ ทำให้บรรยากาศของการทำงานในสำนักงานกลับมาเป็นปกติดังเช่นเคย “ลัลน์มาเขียนเอกสารให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่เรียงเอกสารก่อน” เจษฎาซึ่งกำลังวุ่นวายกับกองเอกสารของตน เรียกนักศึกษาสาวของเขามาช่วยปั๊มช่วยเขียนเอกสารเช่นเคย ไหนเขาจะต้องดูแลลูกความอีก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะประเดประดังเข้ามาในวันเดียว จนทำให้วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายของเขาเสียเหลือเกิน “ได้ค่ะ” ลัลน์พึ่งเดินเข้ามาในห้องพิจารณาได้ไม่ทันไร ลัลน์ตอบรับเสียงเรียกของเจษฎาทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพิจารณา ร่างเล็กยังไม่ทันได้หายเหนื่อยดี ก็ต้องก้มหน้าก้มตาลงมือจัดการเอกสารช่วยเจษฎา ท่วงท่าของเธอดูคล่องแคล่วกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้เธอแทบไม่ต้องสอบถามหรือรอคำสั่งจากพี่ๆ ทนายอีกต่อไป เพียงแค่ได้รับมอบหมาย เธอก็ลงมือทำในส่วนของตนได้อย่างเป็นระบบ “ลูกความมาแล้วใช่ไหมลัลน์?” เจษฎาเอ่ยถามทั้งที่มือยังพลิกสำนวนเอกสารตรงหน้า ร่างสูงดูรีบเร่งจนแทบไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาว “มาแล้วค่ะ อยู่หน้าห้องค่ะ” ลัลน์หันมาตอบเจษฎาเมื่อเธอเป็นคนไปรับลูกความขึ้นมาเอง เนื่องจากทางขึ้นมาค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เธอมักทำประจำ “ท่านจะลงแล้วนะคะ กรุณาปิดเสียงโทรศัพท์และห้ามใช้โทรศัพท์ในเวลาพิจารณานะคะ” เสียงหน้าบัลลังก์ขานให้ทุกคนเริ่มเตรียมพร้อม บรรยากาศในห้องพิจารณาเริ่มตึงเครียดขึ้น ทนายความต่างเร่งสวมชุดครุยเตรียมเข้าปฏิบัติหน้าที่ เจษฎาเองแม้จะง่วนอยู่กับกองเอกสารตรงหน้าก็ไม่ลืมที่จะจัดตัวเองให้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน “ทุกคนยืนค่ะ” เสียงพี่เก๋เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ 4 เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูจากอีกฟากหนึ่งเปิดออก ลัลน์ที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ต้องรีบวางมือ ลุกขึ้นยืนพร้อมคนอื่นเพื่อทำความเคารพสายตาของเธอพลันหยุดนิ่งเมื่อเห็นบุคคลที่เดินเข้ามา ไม่ใช่ใครอื่นใดท่านคิณณ์ ผู้พิพากษาประจำบัลลังก์ 4 และคนรักของเธอเองนั่นเอง หัวใจของลัลน์สั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเขาก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยท่วงท่ามั่นคงและสง่างามในชุดครุยผู้พิพากษา “เชิญนั่งครับ” เมื่อชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มติดเย็นชา บรรยากาศในห้องพิจารณากลับมาสงบนิ่ง ร่างบางของลัลน์รีบทิ้งตัวนั่งลงพร้อมกับก้มหน้าจัดการเอกสารตรงหน้าต่อไป ราวกับใช้มันเป็นเกราะกำบังความวุ่นวายในใจ โชคดีที่เจ้าของสำนวนวันนี้ไม่ใช่ท่านคิณณ์ ไม่เช่นนั้นคงได้โดนเอ็ดกันถ้วนหน้า ลัลน์ยังคงยุ่งอยู่กับกองเอกสารจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบตัว เสียงฝีเท้าบางเบาที่เดินเข้ามาพร้อมบุคคลใหม่ไม่ได้ดึงความสนใจของเธอไปแม้แต่น้อย เนื่องด้วยปกติแล้วห้องพิจารณามีคนเข้าออกเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว หากแต่ในเวลาเดียวกันหนูนาซึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอัยการหนุ่มหน้าตาคมคายสะดุดตา กลับเป็นจุดที่หลายคนในห้องพิจารณาเริ่มจับตามอง สายตาของคนรอบข้างมองไปยังชายหนุ่มที่ดูโดดเด่นในชุดครุยเช่นเดียวกันกับทนายความ หากมีความแตกต่างเพียงตรงที่สำนวนนั้นหน้าปกเป็นสีน้ำตาล นอกจากนั้นก็ไม่อาจแยกออกได้ถ้าไม่รู้จักกัน หญิงสาวยังคงตั้งหน้าตั้งตาเขียนเอกสาร โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเธอได้กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องไปเสียแล้ว “คดีของพนักงานอัยการกับนายวรวุฒิ พุฒิสารชัย จำเลย” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยอำนาจและความสุขุมดังขึ้นจากบัลลังก์ ร่างบางของลัลน์ที่กำลังก้มหน้าจัดการเอกสารสะดุ้งเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังอัยการที่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับจำเลยซึ่งถูกใส่กุญแจมือแน่นโดยมีตำรวจยืนประกบอยู่ด้านข้าง ภาพจำเลยที่ถูกคุมตัวและมองด้วยสายตาว่างเปล่า ทำให้หัวใจของลัลน์เต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม ความเงียบสงัดในห้องพิจารณาเพิ่มความกดดันในจิตใจของเธอ แม้จะมาศาลเป็นเวลาหลายเดือนแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้ความหวาดหวั่นที่เกาะกุมในจิตใจลดน้อยถอยลงตามไปด้วย เมื่อจัดการเอกสารเสร็จลัลน์ลุกขึ้นเดินไปยื่นสำนวนให้พี่เก๋ที่โต๊ะหน้าบัลลังก์ เมื่อหันตัวจะไปนั่งก็พบกับหนูนาที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องอยู่แล้ว ร่างบางจึงก้าวขาไปนั่งกับเพื่อนเธอเพื่อเฝ้าดูการพิจารณาคดีอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ที่คิณณ์เดินเข้ามาเธอไม่ได้มองเขาเลย เนื่องจากเร่งมือทำเอกสารให้แก่เจษฎาซึ่งขณะนี้กำลังไปซักซ้อมพยานอยู่นอกห้อง “ผู้เสียหายมาไหมครับท่าน” คิณณ์หันไปเอ่ยถามอัยการที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบ “มาครับ คุณพ่อเชิญครับ” อัยการหนุ่มหันไปตอบอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปเรียกชายสูงวัยรูปร่างผ่ายผอมที่นั่งรออยู่ด้านหลังให้เดินมายังคอกพยาน “เล่าให้ศาลฟังสิว่าเหตุเกิดขึ้นอย่างไร” ชายหนุ่มซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษามองชายสูงวัยอย่างพิเคราะห์ ก่อนจะเอ่ยถามชายสูงวัยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “วันนั้นเวลาบ่ายๆ ลุงนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน แล้วลูกลุงก็ขี่รถมาขอตัง 30 บาท บอกว่าจะเอาไปเติมน้ำมัน พอลุงไม่ให้ลูกชายเลยเอาไม้เบสบอลที่อยู่แถวนั้นตีลุง” ชายสูงวัยรูปร่างผ่ายผอมที่อยู่ในคอกพยาน ก้มหน้าลงเล็กน้อย ขณะที่พูดน้ำเสียงของเขาเจือความเศร้าหนักแน่น ชายสูงวัยก้มหน้าลงเล็กน้อย รวบรวมสติ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ชัดเจน “วันนั้นเวลาบ่าย ๆ ครับ ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านตามปกติ...” เขาหยุดพูดครู่หนึ่งราวกับภาพความทรงจำอันเจ็บปวดกำลังย้อนกลับมา “ผมไม่ได้ให้ครับ เพราะวันนั้นผมไม่มีเงินติดตัวเลยจริง ๆ...” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาฉายแววเจ็บปวด “พอผมบอกว่าไม่มีเงินให้ เขาก็เริ่มโวยวายขึ้นมา...” คิณณ์หน้าตึงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ก่อนที่จะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม “ตอนนั้นลุงก็พยายามพูดให้เขาใจเย็นลง แต่ไม่ทันไรลูกชายลุงก็หันไปหยิบไม้เบสบอลที่วางอยู่ใกล้ ๆ แล้วตีลุงจนล้มลงกับพื้น” คำพูดของชายสูงวัยทำให้ทุกคนในห้องพิจารณาคดีนิ่งอึ้ง “แล้วซี่โครงนี่หักได้ยังไงครับ” คิณณ์อัดเสียงเสร็จก่อนจะถามรายละเอียดอีกครั้ง “ลูกลุงโมโหครับ ตอนที่ลุงบอกไม่มีเงินให้ เขาเลยเตะอัดลุงจนล้ม ตัวกระแทกโต๊ะข้าง ๆ จนทำให้ซี่โครงหัก” “ตอนที่เขาทำร้ายลุง มีใครอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่าครับ” อัยการหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงรอบคอบ “ไม่มีใครอยู่เลย บ้านลุงอยู่ลึก ไม่มีเพื่อนบ้านใกล้ ๆ วันนั้นมีแค่ลุงกับเขาสองคน” ชายสูงวัยส่ายหัวเบา ๆ “หลังจากที่ถูกทำร้ายลุงทำอย่างไรต่อ”คิณณ์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้นบ้าง “หลังจากเขาตีลุงจนล้ม เขาก็ขี่รถหนีไปเลยครับ ลุงนอนเจ็บอยู่พักใหญ่ถึงได้พยายามลุกขึ้นมาโทรเรียกตำรวจ พอตำรวจมาเขาก็พาลุงไปโรงพยาบาล” ชายสูงวัยตอบพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “หมอวินิจฉัยว่ายังไงครับ” “หมอบอกว่าหัวโดนตีจนแตก ต้องเย็บไป 20 เข็ม กระดูกซี่โครงหักต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 เดือน” คำพูดนั้นทำให้ผู้คนในห้องพิจารณาคดีบางส่วนสูดลมหายใจลึกด้วยความตกใจไม่เว้นแม้แต่ลัลน์ที่ฟังแล้วยังตกใจ ไม่เข้าใจได้ว่าลูกนั้นจะกระทำต่อบุพการีได้ถึงขนาดนี้ คิณณ์จดรายละเอียดลงในสมุดอีกครั้ง ก่อนจะถามต่อ “อัยการมีคำถามเพิ่มเติมหรือไม่” คิณณ์หันมาเอ่ยถามกับอัยการด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างไม่อาดคาดเดาความคิดได้ “หมดคำถามครับท่าน” อัยการโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนตอบ “จำเลย รับผิดตามฟ้องข้อหาพยายามฆ่าบุพการีหรือไม่” คิณณ์หันไปถามจำเลยซึ่งอยู่ทางเข้าออกของนักโทษซึ่งถูกจำคุก “รับครับ” จำเลยพยักหน้าเอ่ยตอบไป คิณณ์จึงพยักหน้าให้ทุกคนนั่งลงก่อนที่จะไปอัดเสียงเรียบเรียงกระบวนพิจารณาของตนต่อไปชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
ท่ามกลางร่มไม้เขียวขจีข้างริมสระน้ำ ใต้ร่มไม้มีหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาตัวโคร่งใส่กระโปรงพลีทยาวคลุมข้อเท้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนากำลังสอดส่องเหมือนหาใครอยู่ “ลัลน์จ๋าาา ฉันมาแล้วขอโทษนะที่มาช้าพอดีว่าติดธุระ ขอโทษที่ทำให้แกรอนานนะ” สาวเจ้าร่างบางหน้าตาคมสวย ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งกระหืดกระหอบพลางตะโกนเรียกหาเพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งรออยู่ “หนูนานี่นะตลอดเลย น่าน้อยใจชะมัด” “โอ๋ๆๆๆ ไม่โกรธนะจ๊ะลัลน์จ๋า ทำแก้มป่องๆแบบนี้เดี๋ยวพี่มาร์คจะไม่รักนะ” หนูนากล่าวไปพลางหยิกแก้มลัลน์ไปด้วยความเอ็นดู “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่มาร์คเขาเล่า” ลัลน์ว่าพลางหน้าแดงขวยเขินเมื่อหนูนาเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของตน “แหมๆๆ อิจฉาคนรักกันหวานชื่นเนอะ เมื่อไหร่ฟ้าจะส่งผู้ชายหน้าตาดีแบบพี่มาร์คมาให้ฉันซักคนบ้าง” “ไม่ต้องมาทำแซวเลยมาคุยธุระของเรากันดีกว่า เราไปติดต่อกับทางคณะเรื่องฝึกงานแล้ว เห็นว่าให้ส่งเอกสารฝึกงานภายในอาทิตย์หน้า ว่าแต่หนูนาจะไปฝึกสำนักงานอัยการจังหวัดจริงใช่ไหม แกไม่คิดเปลี่ยนใจไปสำนักงานทนายความกั
เมื่อหญิงสาวมาถึงหน้าห้องแฟนหนุ่มแล้วจึงกดรหัสเข้าห้องไปในห้อง แต่เมื่อลัลน์เปิดประตูห้องเข้าไปกลับเจอรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงวางระเกะระกะ เมื่อไล่สายตาไปตามทางเดินกลับมีเสื้อผ้าชายหญิงที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี เสียงเนื้อกระทบเนื้อปนกับเสียงครางของชายหญิงดังลั่นห้อง หญิงสาวกลั้นใจเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้เห็นถึงความจริง“อ๊าส์ อ๊าส์ อื้อออ มาร์คขาา อ๊ะส์ ญดาเสียวจังเลย อ๊าส์ๆๆ”พลั่บๆๆๆๆๆ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง“ฮึม ซี๊ดดด ตอดอีกดา อืมม แม่งเอามันชิบ”หญิงสาวผมยาวสีทองกำลังขึ้นขี่ขย่มมาร์คอย่างเมามัน ชายหนุ่มครางในลำคอยึดสะโพกญดาแทงเอ็นตอกสวนร่องฉ่ำ ปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มโดยไม่รู้เลยว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังรับชมหนังสดนี้อยู่“พะ พะ พี่มาร์คคะ” ลัลน์เรียกมาร์คด้วยเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาไหลเต็มนองหน้าสาว ทำให้กิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างมาร์คกับญดาพลันชะงักลง“ว้ายยย นังบ้าแกเข้ามาในห้องของคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาท!!!” ญดากรีดร้องเสียงดัง มือขาวควานหาผ้ามาคลุมร่างกายขาวผ่องไว้“ละ ลัลน์ ” ชายผู้ก่อเรื่องสร้างปัญหาเรียกแฟนสาวของตนเสียงค่อย พลางอ้ำอึ้งน้ำล
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายในห้องพักผู้พิพากษามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายหนากำยำภายใต้เชิ้ตสีขาวนั่งอ่านสำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอยู่บนโต๊ะอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อมีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามาชายหนุ่มจึงเงยหน้าจากเอกสาร มองชายอายุอานามประมาณสี่สิบกว่าสวมชุดครุยผู้พิพากษาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตน “พี่บอกหลายครั้งแล้วนะคิณณ์ ไอ้อาการเย็นชาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ยให้ลดๆ ซะบ้าง ทุกวันนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมกับแกแล้วนะ เป็นแบบนี้การทำงานมันจะลำบากเอานะ” ณรงค์ผู้พิพากษาซึ่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้พิพากษาบัลลังก์เดียวกับคิณณ์บ่นกับพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ไม่เคยจะสนใจอะไร แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าห้าปีที่แล้วนักที่เขายอมลดความเย็นชาลงและยอมพูดจากับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มีผู้พิพากษาที่ชื่อคิณณ์ณภัทรมานั่งพิจารณาคดีร่วมกับเขาได้!!!“ผมว่าผมพูดไปมากแล้วนะครับพี่ณรงค์” กล่าวจบก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารของตนปล่อยให้คนพูดโมโหอยู่คนเดียว“เออ!!! ใช่ที่นายพูดมากขึ้นน่ะนายพูดถูก แต่ไอ้อาการเย็นชาทำตัวน่ากลัวเมื่อไหร่จะปรับลดให้เป็
ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มยามพระอาทิตย์อัสดง หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าซูบตอบ ดวงตากลมโตยังคงบวมช้ำถึงแม้เวลาจะผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ยังคงเสียใจกับการโดนทิ้งนั้นอยู่ ลัลน์ซึ่งนอนพักอยู่ในคอนโดของหนูนา สายตาเหม่อยลอยออกไปยังหน้าต่าง จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเห็นเพียงแต่แสงสีส้มด้วยจิตใจเศร้าหมอง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะลืมความรักครั้งนี้ได้คิดแล้วน้ำตาก็เอ่อรื้นที่ขอบตา ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องพลันดึงสติหญิงสาวให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วเปล่งเสียงดังเล็กน้อยบอกเพื่อนเธอให้เปิดประตูเข้ามาได้ “ลัลน์จ๋า คืนนี้ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยไหม เขาว่าอกหักต้องใช้เหล้าย้อมใจนะ” หนูนาวิ่งถลามาที่เตียง แล้วเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเที่ยวอย่างออดอ้อนพร้อมกับเอาหน้าถือแขนลัลน์พลางทำตาปริบๆ ให้เพื่อนเอ็นดู “พาเพื่อนไปย้อมใจหรืออยากไปเที่ยวเองคะ” ลัลน์พูดดักคอหนูนาอย่างรู้ทัน “ก็แหมม อยากไปเที่ยวด้วยแล้วก็อยากพาลัลน์ไปด้วย นะๆลัลน์นะ ไปด้วยกันนะๆๆ” หนูนาทำหน้าตาอ้อนเพื่อนอย่างสุดฤทธิ์หวังว่าเพื่อนจะใจอ่อนยอมไปเที่ยวกับเธอ ที่ชวนลัลน์ไปนั้นเธอก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนเธอเมาหัวราน้ำหรือได้ผู้ชายกลับมาหรอ
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
ชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
ปัง!เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก“ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้ม
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย