ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ “หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน “ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ “เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม “เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อยอย่างออดอ้อน “ขอรึยังคะ มาโมเมว่าหนูเป็นเมียพี่” หญิงสาวรีบชักมือกลับแต่ก็ไม่อาจทำได้ดั่งใจเมื่อชายหนุ่มกุมมือเธอไว้แน่น ใบหน้าสาวยิ่งแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ “พี่ว่าเมื่อคืนเราตกลงกันโดยปริยายแล้วนะคะ” พร้อมส่งสายตาแวววาวเจ้าเล่ห์พาลทำให้คนตัวเล็กใจสั่นไหวกับสายตาคู่นั้น “เรื่องแบบนี้ต้องตกลงชัดแจ้งหรือเปล่าคะ เดี๋ยวพอวันหน้าหาว่าหนูคิดไปเองคนเดียว หนูจะทำอะไรได้คะ” “งั้นหนูคบกับพี่เลยได้ไหมคะ ถึงพี่จะแก่กว่าหนูไปหน่อยแต่พี่อร่อยรับรองหนูติดใจ” หญิงสาวอ้าปากค้างกับคำพูดไม่คาดคิดของเขา ใบหน้าร้อนผ่าวลัลน์ยกมือซ้ายที่ว่างขึ้นแล้วตีต้นแขนเขาเบาๆ พร้อมส่งค้อนวงใหญ่ให้คนตัวโต “ท่านคิณณ์คนพูดน้อยเย็นชานี่หายไปไหนแล้วค่ะ ตอนนี้หนูอ่อยหนูเสียจนนึกว่าเป็นคนละคน” ลัลน์หันขวับมามองชายหนุ่มข้างกายพร้อมยกคิ้วถามอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนหน้านี้ทำตัวเย็นชาไม่ว่าใครก็เข้าหน้าไม่ติด แต่ตอนนี้เธอนึกว่าเขาเป็นเด็กน้อยช่างออดอ้อนออเซาะเธอยิ่งนัก “มัวแต่เงียบเมียได้ทิ้งกันพอดี” คิณณ์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตาเธอพร้อมยิ้มออกมาจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม รอยยิ้มของเขาทำให้เธอรู้สึกแสบตากับรอยยิ้มที่สว่างจ้าเปล่งประกายแต่ก็แสนอบอุ่นจนไม่อาจละสายตาได้ ลัลน์รู้สึกเหมือนสายลมเย็นพลิ้วไหวพัดผ่านกลางใจ รอยยิ้มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ทำให้เธอเหมือนต้องมนตร์หลงใหลไปกับร้อยยิ้มนั้นอย่างเผลอไผล ภาพที่ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “อย่ายิ้มแบบนี้อีกนะคะ” ดวงตากลมโตจ้องมองเสี้ยวใบหน้าคม ก่อนจะทำหน้าเครียดเอ่ยอย่างจริง “ทำไมหรือคะ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างเป็นเชิงคำถาม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะหยอกหญิงสาวกลับ ถึงแม้เขาจะรู้ถึงสาเหตุแต่ก็อยากได้ยินจากปากหวานๆของเธอ “หนูหวง” ปกติแล้วเธอเป็นคนขี้อาย แต่ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้เธอถึงกล้าที่จะบอกความในใจออกมาตรงๆกับเขาหรืออาจเป็นเพราะเธออยู่กับเขาแล้วรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าเธอเคยรู้จักกับเขาใช้ชีวิตด้วยกันมาก่อน “พี่ยิ้มให้เมียพี่คนเดียวอยู่แล้วพอใจไหมคะ ฟอดดด” ตอบเสียงนุ่มก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วหอมแก้มเธอเต็มแรง คำตอบสั้นๆ แต่ตรงประเด็นทำเอาคิณณ์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ดวงตาคมมองเธออย่างเอ็นดู “คนบ้า! ตั้งใจขับรถไปดีๆเลยนะคะ” ลัลน์แหวเสียงดังด้วยความตกใจ ใบหน้าที่ตอนแรกรู้สึกร้อนผ่าวตอนนี้กลับรู้สึกใบหน้าเธอร้อนราวกับอังหน้าเข้ากับกองไฟทำให้ตอนนี้เนื้อตัวเธอแดงทั้งตัว “ทำแค่นี้ทำเขิน มากกว่านี้ยังไม่เห็นเขินขนาดนี้เลย” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ใบหน้าคมยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆ ขณะหันกลับมามองถนน “พี่คิณณ์! แล้วจะพาหนูไปทีไหนคะไม่คุ้นทางเลย?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจกึ่งสงสัย เมื่อเธอมองออกไปนอกหน้าต่างสองข้างทางไม่คุ้นเคยในสายตาเธอสักนิด ถึงแม้เธอจะเป็นพวกหลงทิศจำทางไม่ได้แต่เธอก็มั่นใจว่าแถวนี้ไม่ใช่ทางกลับหอพักเธออย่างแน่นนอน “ไปคอนโดพี่ไงคะ พี่ยังไม่บอกหนูเหรอ” เสียงของเขาราบเรียบราวกับว่ามิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรพร้อมกับแสดงสีหน้าอย่างตกใจเมื่อลืมบอกเธอ เธอเกือบหลงเชื่อแล้วว่าชายหนุ่มนั้นลืมจริงแต่เมื่อสบตาคมของเขาที่เปล่งประกายพราวระยับพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอจึงได้รู้ว่าเธอถูกหลอกเข้าเต็มเปา! "ไปทำไมคะ? หนูบอกตอนไหนคะว่าจะไปด้วย" ลัลน์เบิกตากว้าง เสียงของเธอเริ่มสูงขึ้นด้วยความตกใจ "พี่ต้องบอกด้วยเหรอคะ?" คิณณ์ตอบกลับหน้าตาย แต่รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังสนุกที่ได้ปั่นหัวของเธอ "พี่ไม่บอกหนูแล้วหนูจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่คะ?" คนบ้าชวนเธอไปอยู่ดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องลากเธอมาแบบนี้แล้วยังไงล่ะเธอไม่มีเสื้อผ้าใส่เลยทีนี้ คิดแล้วก็ตวัดค้อนให้คนแก่กว่าอย่างแง่งอน “พี่เตรียมของทุกอย่างไว้หลังรถแล้วค่ะ หนูไม่ต้องเป็นห่วง” “พี่คิณณ์หมายความว่ายังไงนะคะ” ลัลน์ย่นคิ้วสงสัย ขณะหันมาจ้องเขาเหมือนจะค้นคำตอบให้ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองเหมือนจะประเมินความจริงของคำพูดของชายหนุ่ม “ประโยคพี่ยังไม่ชัดอีกรึไง ของใช้หนูพี่เอามาหมดแล้ว” เสียงทุ้มนั้นฟังดูชวนเชื่อมั่น แต่กลับทำให้ลัลน์รู้สึกเหมือนว่าเขาเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเดิม เหมือนเธอกำลังเข้าถ้ำเสืออย่างไรอย่างนั้น “พี่ไปเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” “เมื่อคืน ตอนที่เด็กน้อยแถวนี้หลับ” เขาหันมามองเธอแวบหนึ่ง พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้เธอเริ่มไม่ไว้ใจ “แต่หนูยังไม่ได้ตกลงอะไรกับพี่เลยนะคะ” พูดพลางยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างไม่รู้จะรับมือกับคนข้างๆอย่างไรดีกับความหน้ามึนของเขา จัดการเสร็จสรรพไม่บอกเธอสักคำแถมยังแก้ตัวหน้าตายจนเธอจนปัญญาที่จะรับมือกับเขาแล้ว “ปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วคนดี คืนนี้นอนห้องพี่นี่แหละพี่จะได้ไม่ต้องวนรถไปมา” คิณณ์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ แววตายังคงระยิบระยับซุกซน รีบเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางไม่ให้คนตัวเล็กข้างกายปฏิเสธได้อีก ภายในห้องกว้างขวางตกแต่งด้วยโทนสีดำและขาว ลัลน์นั่งนิ่งอยู่บนเตียงคิงไซซ์ที่ปูด้วยผ้าคลุมสีดำเนียนเรียบ สายตากวาดมองรอบๆ ห้องที่สะท้อนถึงความเรียบหรูและเป็นระเบียบของเจ้าของ ก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มตัวโตที่กำลังกุลีกุจอขนเสื้อผ้าของเธอออกจากกระเป๋าใส่ไม้แขวนก่อนเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว “พี่คิณณ์คะ วางลงเลยหนูทำเองค่ะ!” ลัลน์ร้องห้ามลั่น ลืมอาการเจ็บบริเวณกรามทันทีก่อนจะวิ่งถลาลงจากเตียงรีบคว้ากระเป๋าเสื้อผ้า แต่ดูเหมือนคำพูดของเธอจะไร้ผลโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มดึงกระเป๋าออกจากมือเธอหน้าตาเฉยแล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาทีละชิ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “หนูไม่สบายอยู่ไปนั่งพักนะคะ พี่โทรสั่งอาหารแล้วคงไม่นานหนูรอหน่อยนะคะ” ไม่ว่าเปล่าคิณณ์ไหล่เธอเบาๆ ให้ไปนั่งบนเตียงดั่งเดิมและหันหลังกลับไปทำงานที่ค้างไว้ จนกระทั่งสายตาเธอสะดุดกับสิ่งที่เขากำลังถืออยู่ ลัลน์เบิกตากว้างก่อนจะหน้าขึ้นสีระเรื่อทันทีนั่นมันชุดชั้นในลูกไม้สีขาวของเธอ! “พี่คิณณ์ วางเลยนะคะ!” เธอร้องลั่น พุ่งไปห้ามแต่ก็ไม่ทันชายหนุ่มกลับมองสิ่งในมืออย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะหันมาสบตาเธอด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติราวกับทำแบบนี้อยู่ทุกวัน “หืมม ทำไมหรือคะ พี่กำลังเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าไงหรือหนูจะเอาไปไว้ไหนคะเดี๋ยวพี่ไปเก็บให้” เสียงราบเรียบตอบกลับอย่างสงสัยว่าคนตัวเล็กมีปัญหาอะไร เขาเพียงแค่พับเก็บชั้นในให้เธอก็เท่านั้นเอง “เอามาให้หนูเลยค่ะ ปล่อยนะพี่คิณณ์” ลัลน์กัดริมฝีปากแน่นจนเกือบจะร้องออกมา มือบางรีบคว้าชุดชั้นในทันทีแต่ก็ไม่อาจสู้แรงคนตัวโตกว่าได้ ยื้อยุดฉุดกระชากเป็นเวลานานลัลน์เริ่มหมดแรงเสียหลักล้มลงตัวเกือบกระแทกพื้น ดีที่ชายหนุ่มปฏิกิริยาตอบรับไวทำให้รับศีรษะเธอไว้ทันท่วงทีหญิงสาวจึงไม่บาดเจ็บอะไร “ดื้อ! พี่บอกว่าให้ไปนั่งดีๆ เกือบเจ็บตัวแล้วเห็นไหม” คิณณ์ดุด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทีอ่อนโยนดังเช่นตอนแรก เด็กมันดื้อต้องปราบผยศเสียบ้างเดี๋ยวเสียระบบ “อย่าดุหนูนะ!” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นประท้วงเสียง ตาโตเบิกกว้างแสดงความไม่พอใจ น้ำเสียงติดสะบัดสะบิ้งเหมือนเด็กน้อยที่โดนผู้ใหญ่ตำหนิ “ครับ ทูนหัวของผัวไม่กล้าแล้วครับ” เมื่อเห็นคนรักเริ่มงอนเขาจึงต้องรีบทำหน้าที่ผัวที่ดี คิณณ์ก็ก้มลงมาประทับจูบที่แก้มเบาๆทันทีโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหยักไปทาบทับเรียวปากอวบอิ่มของเธอ จูบของเขาหนักแน่นและแสนอ่อนโยนในคราวเดียวกันไม่ได้ร้อนแรงดังเช่นปกติ ริมฝีปากหนาค่อยๆขบเม้มไปตามเรียวปากของหญิงสาวก่อนจะส่งลิ้นร้อนเข้าสำรวจโพรงปากหวาน ดูดกลืนลิ้นเล็กของเธอที่นุ่มราวกับเยลลี่รสหวานยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น ฝ่ามือใหญ่โน้มศีรษะหญิงสาวให้แหงนหน้าเงยรับจูบได้ถนัดถนี่ขึ้น ลัลน์พยายามผลักอกเขาเบาๆ แต่เขากลับกอดกระชับแน่นขึ้นอีกพร้อมกับทวีคูณความร้อนแรงราวกับต้องการสูบวิญญาณของเธอ “ยังจะดื้ออีกไหมคะ” เมื่อคิณณ์เห็นว่าร่างบางในอ้อมแขนเริ่มปรับลมหายใจไม่ทันจึงถอนจูบออก เขายิ้มมุมปาก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ “พี่จะทำอะไรก็เชิญเลยค่ะ!” ลัลน์หน้าร้อนวูบไปถึงใบหู เธอหลบตาเขาพร้อมยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองที่ร้อนผ่าวอย่างเขินอายจนหน้าแดงจัด ก่อนจะดันตัวเองออกมาจากอ้อมแขนอุ่นไปนั่งรอบนที่นอนอย่างเรียบร้อย “แค่ชั้นในเมียเอง มากกว่านี้พี่ก็ทำมาแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูไม่วายจะหยอกหญิงสาวให้เขินอายหญิงกว่าเดิม พร้อมหันไปจัดการของชิ้นต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวกรีดร้องอยู่ในใจ ในตอนนี้เธอไม่รู้จะเอาชนะความหน้ามึนของเขายังอย่างไรดี ขอท่านคิณณ์คนเดิมกลับมาได้ไหมตอนนี้เหลือแต่คนหน้ามึนที่คอยหาเศษหาเลยกับเธอตลอด หรือสุดท้ายแล้วเธอคงได้แต่ทำใจยอมรับกับความหน้าหนาของเขาแบบนี้ต่อไปภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
ปัง!เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก“ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้ม
ชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
“ทำไมคอแม่ลัลน์ถึงแดงจังเลยคะ?” สิ้นเสียงคำถามจากลูกสาว มือเล็กรีบยกขึ้นลูบต้นคอตัวเองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องดูภาพสะท้อน รอยแดงเป็นจ้ำใหญ่ปรากฏเด่นชัด ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตวัดสายตาไปมองคนตัวโตที่ยืนยิ้มหน้ามึนอยู่ข้าง ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแก้สถานการณ์ให้เลยสักนิด“คือว่าแม่โดนผึ้งกัดค่ะ แม่แพ้เลยเป็นรอยแบบนี้” ลัลน์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ พยายามหาข้ออ้างตอบลูกให้ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด แต่ยังไม่ทันได้โล่งใจ เสียงทุ้มของลูกชายที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงสัย“ผึ้งที่ไหนหรือครับที่คอนโดกับที่ห้องนี้ก็ไม่น่าจะมีผึ้งได้นะครับ” คำถามของคอร์ททำให้ลัลน์ชะงักค้าง ไม่คิดว่าลูกชายจะจับสังเกตและถามกลับมาแบบนี้“เอ่อ คือว่าแม่” เสียงหวานกระอักกระอ่วนไม่อาจหาข้ออ้างยกขึ้นกล่าวกับลูกชายได้ เมื่อเห็นเมียรักกระดากเกินกว่าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา เขาในฐานะสามีที่ดีก็ควรช่วยเหลือบ้าง“ผึ้งในช่อดอกไม้น่ะ ว่าแต่ซักพยานขนาดนี้ไม่อยากกินปิ้งย่างแล้วใช่ไหมนะ” คิณณ์พูดพลางเลิกคิ้วเจ้าเล่ห์ เบี่ยงเบนความสนใจของลูก ๆ ได้อย่างแนบเนียน สองแฝดรีบกอบกุมมือพ่อแม่ไว้อย่างอบอุ่
ภายในห้องทำงานโทนสีดำสุดหรู อุณหภูมิเย็นเฉียบตัดกับความร้อนแรงที่ปกคลุมบรรยากาศ เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างสม่ำเสมอถูกกลบด้วยเสียงหยาบโลนท่ามกลางความเงียบงัน แต่ดูเหมือนว่าไอเย็นเหล่านั้นจะไม่มีผลใด ๆ ต่อชายหญิงที่ตอนนี้กำลังเมามันหลงใหลในกามราคะอยู่บนโซฟาหนังภายในห้อง“อื้อ พะพอได้แล้ว อ๊ะส์ เดี๋ยวลูกมานะคะ” เสียงหวานครางกระเส่า มือเล็กดันหน้าท้องแกร่งออกให้ลดแรงกระแทกเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เจ้าสองแสบเลิกเรียนและกำลังเดินทางมาบริษัท จะว่าสองแสบก็ไม่เชิงในเมื่อคนที่แสบสันที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกสาวตัวดีของเธอ ส่วนลูกชายนั้นเรียบร้อยนุ่มนิ่มเหมือนผ้าพับไว้“คนดีพี่ขอหน่อย พี่ไม่มีโอกาสเลยนะเจ้าตัวแสบกันพี่ตลอดเลย ซี้ดด” คิณณ์ถึงกับซูดปากครางทันทีเมื่อเมียเด็กของเขายกสะโพกสวนแรงกระแทกของเขาทำให้ร่องคับแคบบีบรัดแน่นจนเขาเสียวซ่านไปทั่วกาย ถึงแม้เธอจะคลอดลูกแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลอันใดต่อร่องสวาทนี้เลยพลั่บๆๆๆเสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังลั่นห้อง เอวสอบโหมกระแทกแรง ขาข้างหนึ่งชันไว้บนโซฟา จับสะโพกอวบอิ่มกลมกลึงไว้แน่นพร้อมจับกระแทกอย่างรัวเร็ว เมื่อหัวลำลึงค์ของเขากระแท
เรื่องราวเหล่านี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ สิบปี?หรืออาจจะสิบห้าปี? ผมเองก็จำไม่ได้แน่ชัด เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยนับว่าเป็นเพื่อนกับคิณณ์มานานเท่าไหร่ พวกเราสนิทกันมากถึงขั้นที่ว่าตายแทนกันได้เลย แต่สุดท้ายแล้ว จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างพังทลายก็คือ "ผู้หญิง"เธอคนนั้นใบหน้าน่ารัก ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ผมได้รู้จักเธอครั้งแรกในงานสังคมของผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนั้นทั้งสองครอบครัวเคยพูดคุยกันเล่น ๆ ถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างผมกับเม็ดทราย ผมเองก็ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีความจริงจังแค่ไหน แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเธอก็ค่อย ๆ พัฒนาไปจนถึงขั้นลึกซึ้งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมภาคภูมิใจที่ได้รักเธอคนนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครรับรู้ แต่ในเมื่อเธออยู่กับผมแล้ว การประกาศให้โลกรู้หรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ทว่าผมคิดผิดเมื่อผมขึ้นปีสองผมเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์เช่นเดียวกับคิณณ์ เราสองคนมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง เพียงแต่เส้นทางของเราแตกต่างกัน ผมใฝ่ฝันอยากเป็นอัยการมากกว่าที่จะเป็นผู้พิพากษาเหมือนคิณณ์มัน แต่ใครจะไปคิดว่าความชอบเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสุดท้ายแล้วเราทั้งคู่กลับตกหลุมรักผู
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม หลังจากเรียนพิเศษเสร็จผมจึงมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะที่นัดเจอน้องคนหนึ่งไว้ทุกวัน ถึงแม้จะเหนื่อยสักเพียงใดเขาก็ไม่เคยผิดนัดกับหนูน้อยคนนี้เลยเด็กสาวตัวจ้ำม่ำในชุดประถมพร้อมคอซองค์และถักผมเปียสองข้างน่ารัก กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน หน้าผากเธอขมวดมุ่นด้วยความตั้งใจ เมื่อเธอรู้สึกถึงการมาของผมจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาคาดหวัง ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาผม“พี่คิณณ์ขา มาแล้วหรือคะ?”“โทษที พี่มาช้าไปหน่อย” ผมกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดู“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็พึ่งมา” เด็กน้อยยิ้มตาปิดส่งให้เขาอย่างไร้เดียงสา นับถือพี่ชายที่คอยมาสอนหนังสือในทุกๆวัน ตั้งแต่เธออยู่ป.1 แล้ว จนตอนนี้เธอป.3 พี่ชายก็คอยสอนหนังสือเธอมาอย่างสม่ำเสมอจนก่อเกิดความรักขึ้นในหัวใจของเด็กน้อยท่าทางของเด็กน้อยทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอกำลังรู้สึกพิเศษอะไรบางอย่างกับผม รู้สึกมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นระหว่างพี่น้อง แต่ผมก็ไม่ได้ถอยห่างไปไหน คิดว่าเธออาจจะยังแยกไม่ออกระหว่างความรักแบบพี่น้องที่มีความเคารพนับถือ ไม่ใช่ความรู้สึกในทางชู้สาว“อืม วันนี้การบ้านวิชาอะไร
ชายหนุ่มลูกคนโตของบ้านหรูหลังนี้กำลังอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกเดินเข้าบ้านมาอย่างทะนุถนอม ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข แทบไม่ได้นอนเนื่องจากอาเจียนทั้งวันจนเธอเวียนหัวลมแทบจับ“หนูลัลน์เป็นอะไรลูก” ไอย์ลดาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอุ้มลูกสะใภ้มา“พึ่งได้นอนครับผมเลยไม่ได้ปลุก”“พาลูกสาวฉันไปนอนก่อนไป ข้าวค่อยกินทีหลัง”“มันจะดีหรือครับคุณท่าน มันจะเสียมารยาทเอานะครับ” พงษ์ทวีเอ่ยขัดอย่างเกรงใจที่ดูเหมือนบ้านฝั่งลูกเขยจะรอลูกสาวคนเดียว แม้จะเข้าใจว่าอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ก็อดกังวลเรื่องมารยาทไม่ได้“คนท้องก็ยังงี้ล่ะ ทำเหมือนไม่เคยมีลูกไปได้” ไอย์ลดาเสริมทัพสามีของตนทันที“อื้อ” เสียงหวานพึมพำเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุย คนตัวเล็กขยี้ตาตัวเองแรงจนคิณณ์ต้องคว้ามือบางให้หยุด ก่อนจะหญิงสาวหาวเบา ๆ จนตาน้ำตาคลอ ก่อนจะซุกหน้ากับไหล่กว้างของสามีอย่างงัวเงีย คิณณ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา โดยให้เธอนั่งบนตักอย่างทะนุถนอม“ตื่นแล้วรึเด็กขี้เซา” เขากระซิบถามเสียงอ่อนโยน แต่ทันทีที่ลัลน์ลืมตาขึ้นมาเต็มตาเธอกลับพบพ่อแม่ของตัวเองยืนมองอยู่ หญิงสาวสะดุ
“หนูไหวไหมคะ ให้พี่พาไปหาหมอไหม” เสียงทุ้มเจือความกังวลถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงซีดเซียว กินอะไรก็แทบไม่ลง คิณณ์มองร่างบางที่นอนซบอยู่บนเตียงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย มือหนาลูบไปตามเส้นผมนุ่มของเธอเบาๆ ราวกับปลอบโยนหญิงสาว“พี่ไปทำงานเถอะค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก” เสียงแหบแห้งดังขึ้น ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มกลับแตกระแหงจนเขายิ่งสงสารจับใจ คิณณ์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะจับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตที่หลังมืออย่างอ่อนโยน ดวงตาคมฉายแววอ่อนลง แต่ยังเต็มไปด้วยความกังวล“แบบนี้ไม่เป็นอะไรมากที่ไหน มันอาการหนักแล้วนะ” เขาพูดเสียงเข้ม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงไม่ยอมไปไหน “เดี๋ยวพี่ก็ลาออกแล้วนะคะ หยุดบ่อยคงไม่ดี”“แล้วพี่จะปล่อยให้เมียพี่เป็นแบบนี้งั้นเรอะ” “หนูแค่ท้องนะคะ ไม่ได้จะตาย” คนน้องหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือหนาของเขาไว้ พร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดูเมื่อใบหน้าคมยังฉายแววเป็นห่วงไม่คลาย“แต่พี่ว่าหนู... หนูว่าอะไรนะ ท้องงั้นเหรอ?” คิณณ์ชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่นราวกับจับสังเกตบางอย่างได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมเบิกกว้างราวกับยังไม่อยากเชื
“อื้อ” เสียงหวานร้องครางในลำคอรู้สึกเจ็บแปล๊บสลับกับเสียวซ่านราวกับมีใครขบเม้มยอดอก ในความฝันอันมืดมิดนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่สัมผัสยอดอกจนแข็งชูชันให้ชายหนุ่มได้เชยชมสะดวก ท้องนิ้วสากที่กำลังลูบไล้เขี่ยยอดถันแผ่วเบาจนร่างบางสั่นสะท้านอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นี่เธอลามกจนฝันถึงเรื่องแบบนี้กันเชียวหรือแต่เมื่อความเสียวแล่นพล่านทั่วกลางกายอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะอยู่ที่จุดกลางกายของเธอ ทำให้หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง เธอเห็นเพียงกลุ่มผมหนาสีดำขลับซุกอยู่กลางหว่างขาของตน เสียงดูดเลียเข้าโสตประสาทหญิงสาวทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีอย่างเขินอาย“อ๊ะส์ พี่คิณณ์ อื้อ ทำอะไรคะ” คิณณ์หาได้ตอบหญิงสาวไม่เสียงหวานเหมือนเลือนลางหายไปตามสายลม นิ้วเรียวยาวกำลังบดขยี้จุดกระสันภายนอก ทำงานสอดประสานรับกันอย่างดีกับลิ้นสากที่ลากเลียวนรอบปากรู สลับกับแยงลิ้นสอดเข้าไปร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำหวานสีใสอาบเคลือบดอกไม้งามแจ๊ะๆๆๆ“อ๊ายยยส์”เสียงหยาบโลนดังสลับเสียงกรีกร้องครวญคราง ยิ่งคิณณ์เร่งจังหวะมากเพียงใดร่างบางยิ่งดิ้นพล่านหนักกรีดร้องเสียงดัง ท้องน้อยบีบรัดแน่น ก่อนจะกระตุกทั้
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ