ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสอง
บนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น “สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้ “พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้ “อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้น แต่เธอเจ็บกรามอยู่แบบนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน ระหว่างมื้ออาหาร คิณณ์ยังคอยดูแลเธออย่างดี ไม่ว่าจะแกะเนื้อปลาทอดเฉพาะส่วนนิ่มให้แก่เธอ หรือแม้กระทั่งตักน้ำซุปที่พอจะช่วยให้เธอทานได้ง่ายขึ้น และคอยถามไถ่อยู่เสมอ “พอทานได้ไหมคะคนดี” คิณณ์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้าคมโน้มตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาคู่คมจับจ้องใบหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาใจใส่ “อร่อยมากค่ะ พี่ก็ทานบ้างสิคะอย่ามัวแต่ดูแลหนูจนลืมทานข้าวสิ” ลัลน์ตอบเสียงค่อยพร้อมกับอมยิ้มบางๆ แม้จะยังรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเวลาขยับกราม แต่หัวใจกลับรู้สึกพองโตเมื่อได้ยินคำเรียกขานอ่อนหวานและท่าทีออดอ้อนของเขา “พี่ดูแลดีขนาดนี้มีรางวัลให้พี่ไหมคะ” สายคมแพรวพราวจับจ้องใบหน้าหวานแดงระเรื่อแต่ยังคงซูบเซียว “คนบ้า! ทานข้าวไปเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับทำหน้าบึ้งน้อยๆ แต่แก้มที่ขึ้นสีแดงเรื่อทำให้คำพูดของเธอขาดความน่าเกรงขามไปเสียสิ้น “หึๆ” คิณณ์หัวเราะในลำคอพลางจ้องมองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะก้มหน้าทานอาหารในส่วนตัวเองไป ตอนนี้เขาจะปล่อยเธอไปก่อนแต่คืนนี้เขาขอทบต้นทบดอกรางวัลเขาหน่อยแล้วกัน เมื่อมื้ออาหารอันแสนอบอุ่นจบลง ชายหนุ่มไม่รีรอให้คนตัวเล็กได้ขยับลุกจากโต๊ะไปเก็บจานเสียด้วยซ้ำ เขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอื้อมมือรีบเก็บจานชามทั้งหมด “หนูกินยาแล้วไปอาบน้ำรอพี่นะคะ” คิณณ์พูดเสียงนุ่ม แต่ทว่าแฝงไปด้วยความหนักแน่นที่ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธ “แต่ว่า...” “ไม่มีแต่ค่ะ พี่ล้างเอง” ลัลน์ทำท่าจะค้าน แต่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ชายหนุ่มก็รีบตัดบททันควัน พร้อมเดินตรงไปยังอ่างล้างจาน ไม่หันกลับมาให้เธอได้ทักท้วงอีก “ทำตัวให้หลงเก่งจริงๆ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างอึ้งๆ ก่อนถอนหายใจเบาๆ เสียงน้ำจากก๊อกที่เขากำลังล้างจานดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะประสานกับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นแผ่วๆ ทว่าหนักแน่นอยู่ในอก สุดท้ายแล้วเธอคงหลงรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ หลังจากดื่มยาตามที่ชายหนุ่มจัดเตรียมไว้ให้ ลัลน์ลุกขึ้นกระโจมอกด้วยผ้าขนหนู เดินเข้าห้องน้ำที่ดูสะอาดสะอ้านจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นของผู้ชาย ขณะที่เปิดประตูเข้าไปกลิ่นอ่อนๆ ของกุหลาบและวนิลาก็ลอยมาต้อนรับ ทำให้เธออดยิ้มออกมาไม่ได้ สายตาเหลือบไปเห็นอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอุ่นเต็มอ่าง พร้อมฟองสบู่นุ่มฟูลอยฟ่องและกลิ่นหอมจางๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ นี่เขาถึงขั้นเตรียมอ่างน้ำไว้ให้เธอเลยหรือ ใส่ใจแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ แบบนี้ ใครจะไปใจแข็งไม่รักลงกัน ขาเรียวสลวยค่อยๆ ก้าวลงอ่างน้ำ ความอุ่นของน้ำและกลิ่นกุหลาบผสานวนิลาทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน ความเครียดและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันค่อยๆ คลายออกทีละน้อย แต่แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกได้ว่ากลิ่นสบู่ที่ลอยอบอวลอยู่ในห้องน้ำนี้...มันเป็นกลิ่นกุหลาบและวนิลา "กลิ่นของผู้หญิงนี่" ลัลน์พึมพำกับตัวเองหัวใจกระตุกวูบหนึ่ง นี่มันไม่ใช่กลิ่นที่ผู้ชายปกติทั่วไปจะใช้กันสักหน่อย แล้วทำไมเขาถึงมีกลิ่นแบบนี้ในห้องน้ำได้? ความสงสัยเริ่มเกาะกุมในใจ แต่ในอีกมุมหนึ่งเธอก็พยายามตัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาอาจจะแค่เตรียมไว้เพราะรู้ว่าเธอมา หรือบางทีเขาอาจจะเคยเตรียมไว้สำหรับใครบางคนก่อนหน้าเธอก็เป็นได้ หญิงสาวสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่เริ่มก่อกวนจิตใจ ก่อนจะเอนตัวลงในอ่างน้ำ ปล่อยให้ความอุ่นของน้ำและกลิ่นหอมละมุนช่วยปลอบประโลมร่างกายและจิตใจให้สงบลง มือเรียวลูบไล้ฟองสบู่ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเล่นเบาๆ ขณะปล่อยให้เวลาค่อยๆ เดินไป เสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆในอ่าง ดั่งดนตรีบรรเลงคลอขับกล่อมให้เธอผ่อนคลายจากความตึงเครียดและความเหนื่อยล้าทั้งปวง ลัลน์เคลิบเคลิ้มไปกับความสบายที่โอบล้อม จนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตูห้องน้ำ ชายหนุ่มในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใกล้โดยที่เธอไม่ทันได้รู้ตัว ก่อนที่ร่างกำยำนั้นเอื้อมมือใหญ่แตะไหล่บอบบางแล้วนวดคลึงเบาๆ “อ๊ะ! พี่คิณณ์เข้ามาได้ยังไงคะ” ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเขาอย่างตกใจจนดวงตากลมโตเบิกกว้าง ใบหน้าค่อยๆร้อนผ่าวขึ้นด้วยความเขินอายเมื่อเธอเปลือยร่างอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าจะมีฟองสบู่เต็มอ่างบดบังเรือนร่างขาวผ่องของเธอก็ตาม “ห้องพี่ พี่ก็เข้ามาได้สิคะ” ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากแต่ดวงตาคมกลับแพรวพราวอย่างเจ้าเล่ห์เป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้เธออาจจะถูกราชสีห์หนุ่มตรงหน้านี้ขย้ำเธอเป็นแน่แท้ “งั้นหนูกลับห้องตัวเองก็ได้ค่ะ” คนน้องขู่ฟ่อเมื่อชายหนุ่มยกอภิสิทธิ์ของตนขึ้นอ้างกับเธออย่างหน้าไม่อาย “ไม่เอาค่ะ เราตกลงกันแล้วว่าเราจะอยู่ด้วยกัน” คิณณ์ปฏิเสธเสียงหนักแน่น ยืนกรานอย่างสื่อเป็นนัยว่าจะอาบน้ำกับเธอให้ได้ “ถ้าอย่างนั้นพี่ออกไปก่อนค่ะ หนูขออาบน้ำก่อน” เสียงหวานเอ่ยอย่างเว้าวอนชายหนุ่มตรงหน้า ขอเธออาบน้ำเหมือนคนปกติทั่วไปก่อนได้ไหมค่อยมาหื่นใส่เธอทีหลัง “ขอพี่อาบด้วยไม่ได้หรือคะ มันเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุรู้ไหม” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พลางเอนตัวเข้ามาใกล้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับการกระทำนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา “พี่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม?” ลัลน์เลิกคิ้วเอียงคอมองชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้ย้ายมายืนข้างเธอแล้ว “เปล่า แค่หาเรื่องจะอาบน้ำกับเมีย” ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มถอดชุดคลุมออกอย่างไม่อาย เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้น แผ่นอกกว้างปรากฏขึ้นสู่สายตา ผิวสีน้ำผึ้งที่ดูอบอุ่นนั้นชวนให้สัมผัส มัดกล้ามเนื้อที่เรียงตัวอย่างสมส่วนราวกับคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เธอได้แต่คิดและสงสัยว่าเขาเอาเวลาไหนไปดูแลตัวเองกันแน่ กล้ามอกที่นูนเด่นประกอบกับไหล่กว้างและเส้นเอ็นชัดเจนตรงกระดูกไหปลาร้าทำให้ชายหนุ่มดูทรงพลังและน่าเกรงขามเป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มักจะเผลอสายตามอง แม้พยายามเบือนหน้าไปทางอื่นก็ตาม สายตาไล่ลงมาขนเพชรซึ่งปกคลุมลำบุรุษเพศที่กำลังนิ่งสงบทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงของโลก ที่ในตอนนี้เริ่มทำการผงกหัวทักทายเธออีกครั้งอย่างสนิทชิดเชื้อ ลัลน์ถึงกับกลืนน้ำลายลำบากเมื่อเห็นความใหญ่โตนั้น ถึงแม้ในตอนนี้จะยังขยายตัวไม่เต็มที่ก็ตาม แต่ภาพตรงหน้าก็ทำเอาเธอรู้สึกเจ็บแปล๊บที่กรามของตัวเอง ใบหน้าหวานยิ่งเห่อร้อนเมื่อไม่ชินที่จะต้องเห็นของสงวนของเขา มือบางกอบกุมบริเวณสันกรามตัวเองทันที ชายหนุ่มเห็นแววตาอึกอักและใบหน้าขยาดของร่างบางที่พยายามจะไม่สบตาเขา จึงกระตุกยิ้มบางเบาที่มุมปาก แววตาคมฉายชัดถึงความหื่นกระหายก่อนที่เขาจะก้าวขาแกร่งลงอ่างน้ำอย่างมั่นใจ หญิงสาวเผลอกลั้นลมหายใจ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นโครมครามเสียงดังจนกลบเสียงน้ำกระเพื่อมเห็นทีคราวนี้เธอคงจะไม่รอดเสียแล้วคิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
ปัง!เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาเสียงประทัดดังลั่นไปทั่วสำนักงาน ทำให้ลัลน์ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เศษพลาสติกหลากสีปลิวว่อนเต็มอากาศราวกับฝนทำให้ทั้งสำนักงานเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้! สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะลัลน์!” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างจากพี่ๆทั้งสาม ตรงกลางห้องมีเนตรนภาเดินถือเค้กวันเกิดเดินตรงเข้ามาหาเธอ น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของลัลน์อย่างห้ามไม่อยู่ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจกับความตั้งใจของพี่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งมองเค้กวันเกิดตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีมขนาด 2 ปอนด์ ประดับด้วยเฟอร์เรโร รอชเชอร์เรียงรายอย่างสวยงาม และบนยอดเค้กยังมีสตรอว์เบอร์รีสดสีแดงเพิ่มความหรูหรายืนมองเค้กช็อกโกแลตบัตเตอร์ครีม “เป่าสิลัลน์ ก็อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ” กุลธิดาเมื่อเห็นน้องเล็กยืนนิ่ง เพลงจบแล้วก็ยังไม่เป่าเค้กเสียที เนตรนภาส่งเค้กให้นานแล้วจนกล้ามจะขึ้นจึงเอ่ยเตือนให้หญิงสาวเป่าเค้ก“ขอบพระคุณพี่ๆมากเลยนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากกันเลย” ลัลน์หลุดจากภวังค์ ยิ้มบางๆ ก้มหน้าเป่าเทียนบนเค้กที่พี่ๆเตรียมมาให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้ม
ชายสูงวัยเดินออกมาจากคอกพยาน ใบหน้าของเขาแสดงความอ่อนล้าและเศร้าหมอง สายตาของเขากวาดมองไปที่ลูกชายจะปรี่ไปหาลูกชาย ภาพนั้นสะท้อนสู่สายตาของทุกคนในห้องพิจารณาคดี เสียงสะอื้นของชายสูงวัยดังขึ้นทันทีเมื่อเขาถึงตัวลูกชาย แขนทั้งสองข้างของเขาสวมกอดลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียไปอีกครั้ง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ขณะที่จำเลยยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว“แล้วเขาจะฟ้องลูกชายเขาทำไมกัน” ลัลน์ขมวดคิ้วสีหน้าฉายความสับสนและไม่เข้าใจ บ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนพ่อร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดลูกชาย“อารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ ตอนนั้นคงโมโห ตอนนี้ก็ไม่อยากให้ลูกติดคุกหรอก แต่ทำไงได้ตอนนั้นแจ้งความไปแล้ว เป็นคดีอาญาแผ่นดินอีกเลยต้องปล่อยเลยตามเลย” หนูนากระซิบบอกเพื่อนสาวเมื่อเธอเริ่มงงดังเช่นที่เธอเคยสงสัย“แล้วแค่เงิน 30 บาทนี่นะ ถึงขั้นต้องตีพ่อตัวเองเลยเหรอ” หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพชายสูงวัยที่กอดลูกชายทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมพึมพำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ“คาดเดากันว่าน่าจะเมายาแหละ ไม่งั้นคงไม่มีคนปกติที่ไหนตีพ่อแม่จนบาดเจ็บหนักขนาดนี้” หนูนาหันไปมองเพื่อนสาว ก่อนจะกระซ
“อ้าว พี่คิณณ์มาได้ไงคะ” ลัลน์ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหาคนรัก ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดวันมลายหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าเขา“ทำไมถึงมานั่งกินกับมัน” คิณณ์เอ่ยเสียงต่ำขณะขมวดคิ้วมองหญิงสาว น้ำเสียงที่ลอดไรฟันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ใครคะ พี่เจษงั้นเหรอ” ลัลน์เอ่ยอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร จะว่าหึงที่เธอมานั่งกับผู้ชายคนอื่นก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นั่งด้วยคือเพื่อนสนิทของเขาเองมิใช่หรือ“มึงใจเย็น เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว วันนี้วันเกิดเมียมึงอย่าทำให้เป็นเรื่องเลย” เจษฎากระซิบเสียงเบา พลางดึงแขนคิณณ์ที่ดูเหมือนจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อคิณณ์ยังคงขบฟันแน่น กรามขึ้นเป็นสันชัดเจน แววตาเย็นชาจ้องตรงไปยังคณาภัทรที่นั่งอยู่ตรงข้าม สายตานั้นราวกับจะส่งคำเตือนไปในตัว ลัลน์ที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ถึงความตึงเครียดในทันที เห็นดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าคนรักเธอกับอัยการหนุ่มคนนี้คงไม่ถูกกันเสียแล้ว เธอพยายามฝืนยิ้มและขยับตัวเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา มือหนาของคิณณ์ก็กอบกุมมือเธอไว้แน่นก่อนจะจูงไปนั่งบนโต๊ะทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ไหนว่าเข้าเวรไงคะ” ลัลน์เอ่ยถามด้วยน
“หัวหมอกับหนูแบบนี้ พี่ไปขอคนอื่นหมั้นเลย!” ลัลน์สะบัดหน้าพรืด ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินหนีคนตัวโตให้พ้นสายตา แต่ยังไม่ทันพ้นแขนยาวของคิณณ์เขาก็เอื้อมมาจับข้อมือเธอไว้ ก่อนจะดึงตัวเธอเบาๆ ให้นั่งลงบนตักของเขา“ฮึๆ พี่ล้อเล่นน่ะตัวเล็ก พี่ขอมอบสิ่งนี้ให้หนูนะ ไว้หนูเรียนเนจบทำตามความฝันของหนูได้แล้วเราค่อยมาแต่งงานกัน” เขาจับมือเรียวของเธอแล้วค่อยๆ สวมแหวนเพชรวงงามเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างมั่นใจ แหวนวงนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ทว่าแววตาของชายหนุ่มที่มองเธอกลับส่องประกายอบอุ่นมากกว่า ก่อนจะคิณณ์ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือบางอย่างแสนรักใคร่และนุ่มนวล ทุกสัมผัสส่งผ่านความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจนลัลน์เบะปากเล็กน้อย แม้พยายามจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ความอบอุ่นและความรักที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้เธออดไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่ทันรู้ตัว เธอโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ซบหน้ากับไหล่กว้างของคนรัก“ขอบคุณนะคะพี่คิณณ์ หนูรักพี่ที่สุดเลย” เสียงหวานสั่นเครือออกมาเบาๆ“พี่ก็รักหนูมากเหมือนกัน” คิณณ์กระซิบด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา พร้อมใช้มือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที
ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันภายในคอนโดของคิณณ์มานานถึงสามเดือนเต็ม ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสุขที่ค่อยๆ สานสายใยระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น แต่เมื่อการสอบของลัลน์สิ้นสุดลงทางบ้านก็ตามตัวเธอกลับจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ ทำให้หญิงสาวต้องจำใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน ร่างบางนั่งพับเสื้อผ้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง ใจห่อเหี่ยวกับความจริงที่ว่าเธอจะไม่ได้เจอคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ความคิดคำนึงถึงระยะห่างที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้เธอกังวลจนเก็บไว้ไม่อยู่ "หนูไปกันค่ะ" เสียงทุ้มนุ่มของคิณณ์ดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าและท่าทีของเขาดูสดใสจนผิดวิสัย เหมือนว่าเรื่องการจากลาครั้งนี้ไม่มีผลกระทบใดๆ ลัลน์ที่นั่งอยู่บนพื้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบะปาก น้ำตารื้นขอบตาอย่างไม่อาจเก็บความน้อยใจไว้ได้อีก "พี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือคะ จะไปส่งหนูท่าเดียว" หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือในลำคอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ คิณณ์ชะงักกึก เขาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพับเสื้อผ้าอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่เคยกระจัดกระจายอยู่ในตู้ของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่าน
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล