ร่างบางลุกขึ้นเดินเชื่องช้าด้วยยังเจ็บระบมกลางกาย เมื่อคว้าผ้าขนหนูได้จึงค่อยๆเดินนวยนาดไปยังห้องน้ำ ตอนนี้เธอรู้สึกเหนียวตัวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมาจากสำนักงานเธอยังไม่ได้อาบน้ำไหนตกเย็นมาเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาอีกยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า
ลัลน์ดึงผมยาวที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการโรมรันทำกิจกรรมบนเตียงมือบางเอื้อมหยิบกิ๊บหนีบผมมาหนีบให้อยู่ทรงสะดวกต่อการอาบน้ำ มือเล็กเปิดฝักบัวความเย็นจากน้ำที่ไหลลงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจับไข้มากกว่าสบายตัวอย่างที่ควรจะเป็น “ว้าย พี่คิณณ์คะรบกวนพี่ออกไปก่อนหนูโป๊อยู่” คิณณ์เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายกำยำที่ในปกติแล้วซ่อนอยู่ภายใต้ชุดทำงานตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นตึงเป็นลอนใหญ่ชัดเจน นูนขึ้นอย่างสมส่วนราวกับถูกแกะสลักด้วยมือของประติมากร ไหล่กว้างและลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งออร่าของความแข็งแกร่งที่ยากจะละสายตา “ขนาดนี้แล้วยังอายอะไรอีก” ชายหนุ่มหาได้ฟังคำทัดทานไม่ กลับสาวขายาวก้าวเข้ามายิ่งเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันเป็นแผงชัดเจน ไล่ลงมาสู่หน้าท้องทรงตัววีที่เด่นชัด ร่องกล้ามเนื้อแต่ละจุดดูราวกับมีชีวิต ยิ่งเสริมให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่แฝงความดึงดูดและความลึกลับในเวลาเดียวกัน คิณณ์เข้ามาประชิดซ้อนตัวโอบกอดเธอแนบชิดไปกับร่างกายร้อนผ่าว ลัลน์ถึงกับตาโตเมื่อสัมผัสได้ถึงท่อนลำเอ็นร้อนที่ในตอนนี้แข็งตัวประกาศศักดาพร้อมลงสนามอีกครั้งแนบชิดถูไถกับบ้านท้ายอวบอิ่มของเธอ มือหนาเลื่อนกอบกุมทรวงอกอิ่มเคล้นคลึงเต้างามพลางสะกดยอดถัน “มาต่ออีกรอบ” เสียงทุ้มกระซิบเสียงแหบพร่า ดวงตาคมลุกวาวแสดงถึงความหิวกระหายราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนในแววตา “ไม่น้าาา” หญิงสาวปฏิเสธเสียงหลงน้องสาวเธอระบมช้ำจนไม่อาจที่จะร่วมรักได้อีก แต่ก็ไม่อาจต้านทานไฟเสน่หาร้อนแรงที่แม้แต่สายน้ำเย็นจากฝักบัวยามค่ำคืนก็ไม่อาจบรรเทาไฟสวาทกองนี้ได้เลย เธอได้แต่เคลิบเคลิ้มไปทุกสัมผัสของชายแก่กว่ามากประสบการณ์ ยากจะต้านทานไม่ให้หลงใหลในทุกสัมผัสของเขา ท่ามกลางความเงียบสนิท มีเพียงแสงสลัวจากไฟนอกระเบียงที่สะสมเข้ามา บรรยากาศภายนอกอุณหภูมิลดลงจนเย็นยะเยือก น้ำค้างลงเปียกชื้นไปทั่วสารทิศ แต่ภายในห้องนั้นความร่อร้อนรุนแรงยังคงไม่มอดดับลงถึงแม้จะเป็นเวลาตีห้าแล้วก็ตาม พลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆ "อ๊ะส์ พะ พี่คิณณ์ขา อ๊าส์ นะ หนู ไม่ไหวแล้ว อิ๊ส์ๆๆ" ลัลน์กอดคอหนาก้มหน้าร้องครวญครางเสียงแหบ เมื่อไม่อาจระบายความเสียวได้จึงกัดคอชายหนุ่มระบายความสุขสม "พร้อมพี่นะ ซี๊ดด" คิณณ์ยึดสะโพกอัดหญิงสาวเดินกระแทกทั่วห้อง แข็งแกร่งโอบกระชับคอดกิ่วไว้มั่นไม่ให้หญิงสาวด้านบนตกลงมา สะโพกสอบโหมกระหน่ำแทงไม่ยั้ง "อ๊าส์ ๆๆ อ๊ายยยส์/อ๊าส์" คิณณ์ร่างกระตุกกล้ามเนื้อเป็นมัดเกร็งตัวก่อนจะปลดปล่อยสายธารเหนียวข้นเต็มร่องสวาท ที่ในตอนนี้แดงช้ำน้ำไหลย้อนออกมาตามต้นขาแกร่งร่างบางทิ้งตัวลงซุกใบหน้ากับซอกคอของเขาก่อนจะหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราร่างกายอ่อนระทวยจากมรสุมสวาททั้งคืน ร่างหนากำยำเดินทิ้งตัวลงนอน วางหญิงสาวนอนหนุนแข็งแกร่งเป็นมัด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก่อนจะส่งข้อความหารุ่นพี่เพื่อลากิจ PNarong: พรุ่งนี้ผมขอลากิจนะครับพี่ ติดธุระด่วน คิณณ์วางโทรศัพท์ลงบนหัวเตียงก่อนจะดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดเบียดชิดแทบจมอกก่อนจะหลับเข้าสู่ห้วงนิทราตามเธอไป แสงแดดยามสายลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ทั่วห้อง คิณณ์ตื่นมามองออกนอกระเบียงเห็นแสงสว่างจ้า ตวัดตามองเวลาบนผนังบอกเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขนที่ตอนนี้นอนซมด้วยอาการไข้ ใบหน้าอกอิ่มปกติปรากฏสีชมพูบริเวณพวงแก้มอย่างคนสุขภาพดี แต่ตอนนี้ใบหน้ากลับซีดเซียวพวงแก้มแดงก่ำจากพิษไข้ มือขวาคลำหาโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะโทรศัพท์ต่อสายหาใครคนหนึ่ง หลังจากเสียงรอสายดังขึ้นไม่เพียงกี่วินาที "ว่ายังไงครับท่านคิณณ์มีอะไรให้กระผมรับใช้ครับ" เสียงยียวนกวนประสาทหยอกล้อคิณณ์ดังจากปลายสาย "กวนตีน อาทิตย์นี้ลัลน์ลาทั้งอาทิตย์ ไม่สบาย" ติ๋มเข้มเอ่ยปากด่าเจษฎาเสร็จเรียบ จัดการลางานให้คนตัวเล็กเสร็จสรรพ "ว่ายังไงนะ" ปลายสายอุทานออกมาเสียงดังตกใจกับคำพูดของเพื่อนสนิท "ลัลน์ป่วยลางานทั้งอาทิตย์" เสียงเข้มทวนคำพูดตัวเองยังใจเย็น "กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นครับท่านคิณณ์ แต่ที่กูจะสื่อคือมึงรู้จักกับเด็กฝึกงานของกูเป็นการส่วนตัวได้ยังไง" เจษฎาเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าพ่อหนุ่มหวงความโสดกลับมาสนใจเด็กฝึกงานอย่างลัลน์ "อืม แค่นี้แหละ" "เดี๋ยวๆ..." คิณณ์ไม่รอช้าตัดสายวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เขายังไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ในตอนนี้ไม่ว่ากับใคร คิณณ์หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวร่างบางก่อนจะลุกออกไปนอกระเบียง เตรียมตัวทำข้าวต้มให้หญิงสาวที่นอนป่วยอยู่บนเตียง เสียงในครัวดังขึ้นเบาๆ ในขณะที่เธอนอนอยู่รู้สึกเวียนศีรษะปวดเมื่อยจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ไม่นานนักคิณณ์ปรากฏตัวพร้อมกับถาดข้าวต้มร้อนๆที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง "ลืมตากินข้าวต้ม" คิณณ์วางถาดลงบนโต๊ะ ทิ้งตัวนั่งข้างเตียงจากนั้นค่อยๆตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าให้เย็น ก่อนจะยื่นช้อนเข้ามาใกล้ปากเธอ ลัลน์เลิกคิ้วเป็นคำถามอย่างประหลาดใจไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะทำอะไรเช่นนี้ให้กับเธอขนาดนี้ แต่สุดท้ายยอมอ้าปากรับข้าวต้มรสชาติกลมกล่อมที่ตัวเธอนั้นไม่อาจรับรู้รสชาติได้ "ขอบคุณนะคะ" หญิงสาวชายตามองใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วเบา เรื่องเมื่อคืนยังคงทำให้เธอรู้สึกเขินอายกับเขาเป็นอย่างมาก "กินซะ" ชายหนุ่มตักข้าวต้มป้อนเธอทีละคำ ท่าทีทะนุถนอมเอาใจใส่ราวกับคนรักยิ่งทำให้หัวใจของเธออบอุ่น "อาทิตย์นี้ไม่ต้องไปฝึกงาน ฉันลางานให้แล้ว" ลัลน์เงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ อย่างนี้พี่เจษเขาจะคิดอย่างไรเมื่อคนระดับท่านคิณณ์เป็นคนลางานให้กับเด็กฝึกงานใครก็ไม่รู้อย่างเธอ "ตะ แต่ว่า" "กินข้าว!" เสียงทุ้มเอ็ดหญิงสาวเสียงดุ คำทัดทานที่มีจำต้องกลืนลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อตอนข้าวต้มจนเกือบหมดชาม คิณณ์ยื่นยาพร้อมแก้วน้ำให้เธอ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้หญิงสาวที่ร่างกายยังคงร้อนอยู่ "นี่"ชายหนุ่มยื่นซองถุงกระดาษ น้ำเสียงราบเรียบไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ "อะไรหรือคะ" ลัลน์รับมาเปิดดูพบว่าบนซองเขียนคำว่า 'ยาคุมฉุกเฉิน' ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ป้องกันแถมยังแตกในใส่เธอทุกรอบเสียด้วย หญิงสาวรีบแกะยาคุมฉุกเฉินแล้วรีบกระดกน้ำตามทันที "นอนพักซะจะได้หาย" เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหูเธอ ขนอ่อนไปกายพชันลุกซู่ "ค่ะ" ลัลน์พยักหน้ารับทางหลับตาลง แต่ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในวันนี้ทำให้หัวใจจะเต้นแรง แม้เขาจะดูเหมือนปิดกั้นเก็บอารมณ์ไว้ภายใน แต่เธอก็เริ่มสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้ยินฉันที่แสดงให้เห็น คิณณ์คอยดูแลเธอตลอดทั้งอาทิตย์ ถึงแม้ช่วงเช้าชายหนุ่มจะออกไปทำงานเย็นถึงจะกลับเข้ามาดูแลเธอ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นเขาดูแลเธอประดุจดั่งเจ้าหญิงจนตอนนี้เธอแทบจะเป็นง่อยไปแล้ว เวลาผ่านไปอย่ารวดเร็วเป็นเวลา 2 อาทิตย์แล้ว คิณณ์ยังคงทำหน้าที่เป็นสารถีกิตติมศักดิ์คอยรับส่งเธอฝึกงานตลอด และในวันนี้เช่นเดียวกันคิณณ์มาถึงหน้าหอพักตรงเวลาทุกเช้า รถยนต์คันหรูจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มร่างกายกำยำยืนพิงประตูรถไปส่งลัลน์ที่สำนักงานเช่นเคย แต่ท่าทีชายหนุ่มกลับดูเปลี่ยนไปจนเธอสัมผัสได้ ตลอดทั้งวันในห้องทำงานลัลน์ยังคงวุ่นวายกับกองเอกสารที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้าเธออย่างไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยถอยลงไปจวบกระทั่งถึงเวลาที่คิณณ์มารับเธอจึงรีบเก็บของเดินไปยืนรออยู่หน้าสำนักงาน ติ๊ง! เสียงการแจ้งเตือนดังขึ้นมือบางควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดดูข้อความ Pkinn : วันนี้ฉันไม่ว่างไปรับนะ Lanlalit: ไม่เป็นไรค่ะ ลัลน์เดินออกมาจากอาคารสำนักงานยืนรอที่ป้ายรถเมล์ด้วยความรู้สึกน้อยใจ เธอรู้ว่าเขามีธุระจะให้เขาเอาเวลามาดูแลเธอตลอดก็คงจะไม่ได้ ว่าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความแต่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาส่งข้อความหาเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้รออ่านคำตอบของเธออีกว่าเธอจะกลับอย่างไร เธอเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจ ถึงแม้จะพยายามบอกกับตัวเองว่าอาจเป็นเพราะเขาต้องอยู่เวรหรือมีธุระด่วน แต่ในใจของเธอกลับยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ดวงตากลมโตมองไปยังรถที่วิ่งผ่านไปมายังเหม่อลอย อารมณ์ที่คุ้นเคยกับเป็นความหวังที่รอคอย คาดหวังว่าเขาจะพร้อมดูแลเธอในทุกวัน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรออะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตัวเธอเริ่มรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มค่อยๆตีตัวออกห่างจากเธอนับตั้งแต่เธอมีความสัมพันธ์กับเขา ถึงแม้คิณณ์จะคอยรับส่งเธอก็ตามแต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าเขากำลังกีดกันเธอออกจากชีวิต "สาวววว มายืนใจลอยรอใครอยู่ตรงนี้คะ" ในขณะที่ลัลน์ยืนใจลอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ รถหรูคันขาวหยุดรถจอดอยู่ตรงหน้าเธอแล้วลดกระจกกล่าวเสียงสดใส "หนูนาก็ ลัลน์ตกใจหมดเลยนะ" ลัลน์สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจไม่คาดว่าจะมีคนทักเธอในเวลาเช่นนี้ "ก็ลัลน์เล่นหายไปจากสารบบความ กลายเป็นบุคคลสาบสูญที่รอศาลสั่ง" "หนูนาก็พูดเวอร์ ฝึกงานกลับมาเหนื่อยๆ ลัลน์ก็ไม่อยากออกไปที่ไหนอีกนี่" ลัลน์ปิดประตูรถยังแผ่วเบากลัวประตูรถเพื่อนเธอจะสึกหรอจากแรงปิด พลางพูดแก้ตัวทั้งที่แท้จริงแล้วเวลาส่วนใหญ่ของเธอนั้นหมดไปกับการอยู่กับคิณณ์ "นั่นสินะหนูนาก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เราก็ออกไปหาอะไรกินบ่อยอยู่นะ" หนูนาขับรถท่ามกลางรถติดแอร์จนไม่สามารถขยับได้ "แล้วไปกินกับใครมาล่ะ อาร์มหรอ" "แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ" หนูนาทำตามขมุบขมิบหน้าแดงแล้วเลือดยังผิดปกติ หรือช่วงเวลาที่เธอไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ระหว่างหนูนากับอาร์มกำลังแอบปลูกเพาะต้นรักกัน ลัลน์หรี่ตามองเพื่อนสาวยังจับผิด "แกอย่ามามองแบบจับผิดฉันนะ ฉันกับอาร์มไม่ได้มีอะไรกัน ว่าแต่ลัลน์เองเถอะตั้งแต่มาฝึกงานมีคนจีบบ้างหรือยัง" หนูนาหันหน้ามาถาม ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างชอบใจ รอยยิ้มเปื้อนหน้าคาดหวังว่าให้เพื่อนสาวมีแฟนใหม่สักที "มาฝึกงานจะมีใครมาจีบได้ไงเล่า แล้วหนูนามารับเราจะพาไปที่ไหนเนี่ย" ลัลน์ตอบปัดเพื่อน เกรงว่าหากพูดโกหกไปมากกว่านี้จะทำให้เผยพิรุธยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนความสนใจของหนูนาไปที่คำถามอื่น "แน่นอนค่ะว่าต้องไปหาอะไรกินกันสิคะ นานๆทีแม่นางห้องแบบลัลน์จะออกมาสังสรรค์กับเขาบ้าง" "นี่คือมัดมือชกลัลน์เลยใช่ไหมเนี่ย" หญิงสาวเอ่ยเย้าหนูนาเสียงสดใส "แน่นอนค่าาา Let's go ชาบูจ๋าพี่กำลังไปหาาาา"เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์"หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น"หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ"แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่""ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
ภายใต้แสงแดดยามเช้าอ่อน ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนลอยล่องไปตามสายลม อากาศแจ่มใสเป็นใจให้กับฤกษ์งามยามดี คิณณ์ในชุดสูทสีครีมเข้าชุดกับกางเกงขายาว ผมถูกเซตขึ้นอย่างประณีต ยิ่งขับให้บุคลิกดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มแห่งความสุข มือหนากอบกุมพานธูปเทียนแพไว้แน่นขณะก้าวเดินนำขบวนขันหมากไปยังบ้านเรือนไทยของเจ้าสาวเสียงดนตรีบรรเลงแห่ขันหมากดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและรอยยิ้มแห่งความยินดี ไอย์ลดาและวินตรัยก้าวตามลูกชายมาอย่างสง่างามเตรียมพร้อมสำหรับค่าผ่านทางของประตูเงินประตูทอง ซึ่งมีหนูนาและรินทร์ในชุดไทยห่มสไบสีชมพูกลีบบัว ยืนรอเป็นด่านแรก“จะผ่านด่านนี้ได้เจ้าบ่าวต้องตะโกนบอกรักเจ้าสาวนะคะ ยิ่งดังมากแสดงว่ารักมาก” รินทร์เอ่ยเสียงทะเล้น ดวงตาพราวระยับ ในเมื่อนี่คือโอกาสเธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสแกล้งพี่ชายในวันสำคัญของเขาอย่างเต็มที่!“ยัยรินทร์ให้มันน้อยๆหน่อย” เสียงลอดไรฟันเอ่ยกระซิบน้องสาวที่แกล้งเขาไม่เข้าเรื่อง“ทำสิคะเจ้าบ่าวหรือไม่รักเจ้าสาว” รินทร์หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจยั่วโมโห“แกรับเงินไปแล้วปล่อยพี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”“ไม
“หนูคะเดี๋ยววันนี้ไปบ้านพี่กันนะ” คิณณ์ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังสาละวนกับการเก็บเสื้อผ้าอยู่ “ตอนไหนหรือคะ” ร่างบางถึงชะงักมือ หันไปถามอย่างแปลกใจ“เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วไปเลยค่ะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านพี่เลย”“มัดมือชกเหลือเกินนะคะ”“ฮึๆ ไม่ทำแบบนี้หนูก็บ่ายเบี่ยงอีก”“พี่ไปแต่งตัวเลยค่ะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” หญิงสาวรีบไล่คนพี่ที่ยังคงเปลือยอก สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดมัดกล้ามแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจฟิตมาเป็นอย่างดี ลัลน์เผลอมองเพียงครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนี ภาพล่อตาล่อใจแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจเธอเลย“หนูเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่รีบอาบแล้วเราไปบ้านกัน” คำว่าบ้านทำให้คนน้องหัวใจพองโต ทั้งหวั่นเกรงเมื่อต้องไปบ้านคนรักพบเจอพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เธอจะเจอพ่อแม่ของเขาแล้วก็ตามแต่นั่นก็เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวัน อีกทั้งวันนี้เธอต้องไปบ้านของเขาอีกต่างหากหญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่พักนี้มักจะก่อตัวขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นด้วยใจสั่นไหว พลางเงยหน้ามองนาฬิการอคอยเวลาที่จะได้พบพ่อแม่ของคิณณ์อีกครั้งเมื่อรถหรูเคลื่อ
1 ปีผ่านไปลัลน์เรียนจบเนติบัณฑิตและได้ใบอนุญาตว่าความมาภายในหนึ่งปีสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครอบครัวของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนคอยติวคอยดูแลตลอดมาภาคภูมิใจในเมียเด็กของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทุกความสำเร็จของตัวเล็กมีเขาอยู่เคียงข้างเธอเสมอแต่ความสงบไม่อาจคงอยู่ได้นานปัญหาเข้ามาแทรกแซง คิณณ์นั้นถึงเวลาย้ายเวียนศาลไปจังหวัดอื่นซึ่งความกังวลของเขานั้น คือเขาคงไปมาระหว่างที่ทำงานกับคอนโดได้ยากเป็นเหตุให้เขาต้องห่างจากคนรัก ความกังวลที่ก่อตัวทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของเธอมากขึ้น และสุดท้ายจึงตัดสินใจถามออกไป“หนูว่าหนูจะไปทำอะไรต่อหลังเรียนจบนะคะ”“หนูจะไปเก็บคดี แล้วเตรียมสอบผู้ช่วยต่อค่ะ”“อ้องั้นเหรอ” คิณณ์ตอบรับเสียงเรียบ แต่แววตากลับดูเคร่งเครียดจนลัลน์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พี่ต้องย้ายศาลน่ะ คราวนี้พี่ต้องไปประจำที่ศาลพิจิตร”“ย้ายศาลงั้นหรือคะ” เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ“อืม พี่คงต้องไปอยู่ที่นั่นสักระยะอาจมาหาเราได้น้อยลง”ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทันที ลัลน์เม้มริมฝีปากแน่น เธอเข้าใจดีว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ที่เขาต้องทำตลอดและสิ่งนี้คือความฝันของเข
คืนวันผันผ่าน ลัลน์เริ่มต้นเข้าเรียนที่เน พร้อมเตรียมสอบตั๋วทนายควบคู่ไปด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงพักอยู่กับคิณณ์เช่นเดิม กิจวัตรประจำวันของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเช้า ชายหนุ่มจะเป็นผู้ไปส่งเธอ ส่วนยามเย็น เขาก็ไปรับเธอกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาราวกับเป็นความเคยชินที่อบอุ่นเช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันก่อน ๆ คิณณ์ขับรถมาส่งลัลน์ที่เนตามปกติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวลงจากรถ เธอหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มซุกซน ก่อนยกนิ้วเรียวยาวแตะที่แก้มสากของเขาเป็นเชิงบอกใบ้“ที่รัก ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขณะที่ลัลน์โน้มตัวเข้าไปใกล้ จรดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา สูดดมกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคย“ขับรถดี ๆ ตั้งใจทำงานนะคะ” เธอกระซิบเบา ๆ ราวกับจะส่งมอบพลังใจให้เขาตลอดทั้งวัน“ตั้งใจเรียนนะคะ เรียนไม่ไหวก็นอนเลย” คิณณ์หัวเราะในลำคอ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนรักเบา ๆ“นี่คือคำแนะนำของผู้พิพากษางั้นหรือคะ” หญิงสาวเบ้ปาก ขยับถอยเล็กน้อยก่อนเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ“ถ้าไม่มีสมาธิจะเรียนสู้ไปหลับให้สมองปลอดโปร่งไม่ดีกว่าเหรอ”“จะเก็บคำแนะนำนี
เมื่อมาถึงคอนโดของชายหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม การจราจรที่ติดขัดทำให้ทั้งสองทำได้เพียงสั่งอาหารมากินแทนการออกไปทานข้างนอก หญิงสาวใช้ปลายนิ้วบรรจงแกะเนื้อปลานิลทอดออกจากก้างอย่างประณีต ก่อนวางลงบนจานของชายหนุ่มพลางเอ่ยเสียงใส“ปลานิลทอดอร่อยดีนะคะพี่คิณณ์” “หนูชอบก็กินเยอะๆสิคะ” คิณณ์ละสายตาจากจานอาหาร มองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน“ของดีต้องแบ่งกันชิมสิคะ” รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความสุข“ถ้าอย่างนั้นเราต้องผลัดกันชิมแล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมพราวระยับอย่างสื่อความหมาย“เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงหื่นอีกหรือคะ”“พี่อดมาสามเดือนแล้วนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน พลางส่งสายตาเว้าวอน คนน้องหน้าแดงซ่าน รีบตักข้าวใส่ปากเหมือนตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เขายิ่งจ้องเธอไม่วางตา“ทานข้าวค่ะ พูดเรื่องนั้นเวลาทานข้าวได้ยังไงคะ”“พี่พูดได้ทุกตอนเลยนะ ไม่กินข้าวแล้วทำตอนนี้ยังได้เลย” เขากระซิบหยอกเสียงพร่า แต่ยังไม่ทันจะขยับเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ส่งสายตาดุมาให้ราวกับเตือนว่าอย่าคิดลองดี ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่คิณณ์เทียวไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านของลัลน์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมาบ้านลัลน์และกลับไปในเช้าวันจันทร์ เขายังคงรับหน้าที่ช่วยงานในสวนตามปกติ เพราะครอบครัวของลัลน์ทำสวนหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือพืชไร่ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานใหม่ๆ พลอยสนุกไปด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลานี้คือ คิณณ์ไม่ได้พักที่กระท่อมท้ายสวนอีกต่อไป เขาได้ย้ายขึ้นมานอนในบ้านของครอบครัวลัลน์แล้ว วันนี้เขาเข้าสวนมะพร้าวเพื่อทำการเก็บเกี่ยวมะพร้าวน้ำหอม คิณณ์ทำการใช้ตะขอสอยทะลายมะพร้าวให้ลงกับร่องคูน้ำที่ขุดไว้เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกอีกทั้งยังทุ่นแรงในการขนย้ายด้วย “เดี๋ยวนี้ทำคล่องเชียวนะครับ” ลุงสมชัยซึ่งคอยสอนงานเขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยนายของตนขยันขันแข็งหัวไวเช่นนี้ “คนเราต้องมีพัฒนาบ้างครับ” คิณณ์ยกยิ้มรับคำชมของลุงสมชัย ขณะวางตะขอลงแล้วใช้ผ้าขนหนูที่พาดไหล่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า "ดีครับดี อย่างนี้สิถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกเขยนายหัว" ลุงสมชัยหัวเราะเสียงดัง พลางตบไหล่คิณณ์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “น้ำเย็นๆมาแล้วค่า” เสียง
กว่าคิณณ์จะเลื่อยไผ่เสร็จและช่วยคนงานขนขึ้นรถก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีหญิงสาวคนรักของเขายืนส่งยิ้มหวานให้กำลังใจไม่ห่าง ชายหนุ่มที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นไม้รีบปรี่ตรงไปหาคนน้องทันทีเมื่อเสร็จงาน “ทานน้ำหวานสักหน่อยนะคะ” ลัลน์ส่งแก้วน้ำแดงเย็นชื่นใจให้เขาทันที แต่คิณณ์กลับยกมือหนากุมมือนุ่มนิ่มของเธอไว้ พร้อมป้อนเข้าปากตัวเองอย่างอารมณ์ดี “น้ำหวานเหมือนเมียพี่เลย” เขายิ้มกริ่มหยอกล้อ ทำให้คนตรงหน้าเขินจนต้องหลบสายตา ใบหน้าเนียนขึ้นสีระเรื่อก่อนจะก้มหน้างุดไปกับคำหวานของคนรัก “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ พี่คงเหนียวตัวแย่” ลัลน์พูดรัวเร็วราวกับจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง ก่อนรีบชวนเขากลับบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ คิณณ์ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เดินหนีเขาไปยืนรออยู่ที่รถ ดวงตาคมทอดมองด้วยสายตาเอ็นดูและอบอุ่น ก่อนจะก้าวขาตามเธอไปเงียบๆ วันนี้ทั้งเหนื่อยล้าและร่างกายเมื่อยล้ามาทั้งวัน เขาก็หวังเพียงให้มีเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจเขาสักหน่อย เมื่อถึงบ้านหนุ่มสาวสองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา เสียงหมาในบ้านเห่าเตือนใน
“แค่นี้ก็ลุกมากินเองไม่เป็นรึไง” พงษ์ทวีอดกระแนะกระแหนชายหนุ่มกำยำตรงหน้าไม่ได้ “ขอโทษด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไรไปนอกเสียจากขอโทษผู้ใหญ่ที่ทำให้ต้องรอเสียมากกว่า คำขอโทษของเขามีความจริงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท แต่เพราะเขารู้สึกผิดจริงที่ทำให้พ่อของลัลน์ต้องรอ ตามปกติทุกวันเขาเป็นคนตื่นเช้าเสมอ ทว่าค่ำคืนที่ผ่านมากว่าที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบย่ำรุ่ง จึงไม่แปลกที่วันนี้เขาจะตื่นสายจนผิดวิสัย “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็พึ่งทำกับข้าวเสร็จเองไม่ช้าไปหรอก” มุกลดาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเอ็นดูช่วยปลอบใจว่าที่ลูกเขยคนนี้ “มาค่ะพี่คิณณ์ ข้าวต้มฝีมือคุณแม่อร่อยไม่แพ้เมื่อวานเลยนะคะ” หญิงสาวอวดสรรพคุณโชว์ฝีมือแม่เสร็จสรรพพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารักให้คนข้างกาย “อวดเหมือนตัวเองทำเลยนะ” “พี่คิณณ์อ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” คนน้องสะบัดหน้าหนีอย่างน่าเอ็นดู ตักข้าวต้มปลาร้อนๆ เข้าปากอย่างแง่งอน พลางทำเป็นไม่สนใจคนตัวโตข้างกาย คิณณ์มองหญิงสาวตักข้าวเข้าปากด้วยสายตาเอ็นดู อดยิ้มบางๆ กับท่าทางน่ารักของเธอไม่ได้ ก่อนจะจับช้อนคนข้าวในชามของตัวเองให้เย็นลง แล้
“ไม่ต้องพิสูจน์ ฉันไม่อนุญาต!” พงษ์ทวีเอ่ยปฏิเสธเสียงเข้ม น้ำเสียงแข็งกร้าวของเขาทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันทันที ไม่มีช่องว่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เอ่ยคำใดโต้กลับ “คุณน้าครับ ผมจริงจังกับลัลน์นะครับ ผมไม่ได้อยากทิ้งขว้างอะไรลูกคุณน้าเลย ผมแค่อยากดูแลเธอตลอดไปเท่านั้น” คิณณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงความอ่อนน้อม ทำให้พงษ์ทวีเงียบไปดวงตาคมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งงัน ราวกับพยายามอ่านความนัยในคำพูดเหล่านั้น แต่ท่าทีของเขายังคงตึงเครียด “พ่อคะ หนูรักพี่คิณณ์จริงๆนะคะพ่อ” ลัลน์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือปนความเว้าวอน จ้องมองพ่อด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทั้งหวังให้เขาเข้าใจและยอมเปิดใจสักครั้ง “ลูกน่ะรักเขาพ่อรู้ แต่เขาน่ะรักลูกเหมือนที่ลูกรักเขาไหม” “รักสิคะ ที่ผ่านมาพี่เขาดูแลหนูมาตลอด ทั้งเรื่องฝึกงานและการสอบ พี่เขาช่วยเหลือหนูทุกอย่างเลยนะคะ” “แกจะบอกสิ่งที่เขาทำแค่นั้นคือเขารักแกแล้วงั้นเหรอ” พงษ์ทวีขมวดคิ้วเข้ม จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “ยามเจ็บป่วยพี่เขาก็ดูแลหนูนะคะพ่อ” หญิงสาวเขยิบตัวไปนั่งใกล้ๆพ่อของตน พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนมาให้ “งั้นเขาเคยพาล