ร่างบางลุกขึ้นเดินเชื่องช้าด้วยยังเจ็บระบมกลางกาย เมื่อคว้าผ้าขนหนูได้จึงค่อยๆเดินนวยนาดไปยังห้องน้ำ ตอนนี้เธอรู้สึกเหนียวตัวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมาจากสำนักงานเธอยังไม่ได้อาบน้ำไหนตกเย็นมาเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาอีกยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า
ลัลน์ดึงผมยาวที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการโรมรันทำกิจกรรมบนเตียงมือบางเอื้อมหยิบกิ๊บหนีบผมมาหนีบให้อยู่ทรงสะดวกต่อการอาบน้ำ มือเล็กเปิดฝักบัวความเย็นจากน้ำที่ไหลลงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจับไข้มากกว่าสบายตัวอย่างที่ควรจะเป็น “ว้าย พี่คิณณ์คะรบกวนพี่ออกไปก่อนหนูโป๊อยู่” คิณณ์เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายกำยำที่ในปกติแล้วซ่อนอยู่ภายใต้ชุดทำงานตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นตึงเป็นลอนใหญ่ชัดเจน นูนขึ้นอย่างสมส่วนราวกับถูกแกะสลักด้วยมือของประติมากร ไหล่กว้างและลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งออร่าของความแข็งแกร่งที่ยากจะละสายตา “ขนาดนี้แล้วยังอายอะไรอีก” ชายหนุ่มหาได้ฟังคำทัดทานไม่ กลับสาวขายาวก้าวเข้ามายิ่งเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันเป็นแผงชัดเจน ไล่ลงมาสู่หน้าท้องทรงตัววีที่เด่นชัด ร่องกล้ามเนื้อแต่ละจุดดูราวกับมีชีวิต ยิ่งเสริมให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่แฝงความดึงดูดและความลึกลับในเวลาเดียวกัน คิณณ์เข้ามาประชิดซ้อนตัวโอบกอดเธอแนบชิดไปกับร่างกายร้อนผ่าว ลัลน์ถึงกับตาโตเมื่อสัมผัสได้ถึงท่อนลำเอ็นร้อนที่ในตอนนี้แข็งตัวประกาศศักดาพร้อมลงสนามอีกครั้งแนบชิดถูไถกับบ้านท้ายอวบอิ่มของเธอ มือหนาเลื่อนกอบกุมทรวงอกอิ่มเคล้นคลึงเต้างามพลางสะกดยอดถัน “มาต่ออีกรอบ” เสียงทุ้มกระซิบเสียงแหบพร่า ดวงตาคมลุกวาวแสดงถึงความหิวกระหายราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนในแววตา “ไม่น้าาา” หญิงสาวปฏิเสธเสียงหลงน้องสาวเธอระบมช้ำจนไม่อาจที่จะร่วมรักได้อีก แต่ก็ไม่อาจต้านทานไฟเสน่หาร้อนแรงที่แม้แต่สายน้ำเย็นจากฝักบัวยามค่ำคืนก็ไม่อาจบรรเทาไฟสวาทกองนี้ได้เลย เธอได้แต่เคลิบเคลิ้มไปทุกสัมผัสของชายแก่กว่ามากประสบการณ์ ยากจะต้านทานไม่ให้หลงใหลในทุกสัมผัสของเขา ท่ามกลางความเงียบสนิท มีเพียงแสงสลัวจากไฟนอกระเบียงที่สะสมเข้ามา บรรยากาศภายนอกอุณหภูมิลดลงจนเย็นยะเยือก น้ำค้างลงเปียกชื้นไปทั่วสารทิศ แต่ภายในห้องนั้นความร่อร้อนรุนแรงยังคงไม่มอดดับลงถึงแม้จะเป็นเวลาตีห้าแล้วก็ตาม พลั่บ พลั่บ พลั่บๆๆ "อ๊ะส์ พะ พี่คิณณ์ขา อ๊าส์ นะ หนู ไม่ไหวแล้ว อิ๊ส์ๆๆ" ลัลน์กอดคอหนาก้มหน้าร้องครวญครางเสียงแหบ เมื่อไม่อาจระบายความเสียวได้จึงกัดคอชายหนุ่มระบายความสุขสม "พร้อมพี่นะ ซี๊ดด" คิณณ์ยึดสะโพกอัดหญิงสาวเดินกระแทกทั่วห้อง แข็งแกร่งโอบกระชับคอดกิ่วไว้มั่นไม่ให้หญิงสาวด้านบนตกลงมา สะโพกสอบโหมกระหน่ำแทงไม่ยั้ง "อ๊าส์ ๆๆ อ๊ายยยส์/อ๊าส์" คิณณ์ร่างกระตุกกล้ามเนื้อเป็นมัดเกร็งตัวก่อนจะปลดปล่อยสายธารเหนียวข้นเต็มร่องสวาท ที่ในตอนนี้แดงช้ำน้ำไหลย้อนออกมาตามต้นขาแกร่งร่างบางทิ้งตัวลงซุกใบหน้ากับซอกคอของเขาก่อนจะหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราร่างกายอ่อนระทวยจากมรสุมสวาททั้งคืน ร่างหนากำยำเดินทิ้งตัวลงนอน วางหญิงสาวนอนหนุนแข็งแกร่งเป็นมัด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก่อนจะส่งข้อความหารุ่นพี่เพื่อลากิจ PNarong: พรุ่งนี้ผมขอลากิจนะครับพี่ ติดธุระด่วน คิณณ์วางโทรศัพท์ลงบนหัวเตียงก่อนจะดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดเบียดชิดแทบจมอกก่อนจะหลับเข้าสู่ห้วงนิทราตามเธอไป แสงแดดยามสายลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ทั่วห้อง คิณณ์ตื่นมามองออกนอกระเบียงเห็นแสงสว่างจ้า ตวัดตามองเวลาบนผนังบอกเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขนที่ตอนนี้นอนซมด้วยอาการไข้ ใบหน้าอกอิ่มปกติปรากฏสีชมพูบริเวณพวงแก้มอย่างคนสุขภาพดี แต่ตอนนี้ใบหน้ากลับซีดเซียวพวงแก้มแดงก่ำจากพิษไข้ มือขวาคลำหาโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะโทรศัพท์ต่อสายหาใครคนหนึ่ง หลังจากเสียงรอสายดังขึ้นไม่เพียงกี่วินาที "ว่ายังไงครับท่านคิณณ์มีอะไรให้กระผมรับใช้ครับ" เสียงยียวนกวนประสาทหยอกล้อคิณณ์ดังจากปลายสาย "กวนตีน อาทิตย์นี้ลัลน์ลาทั้งอาทิตย์ ไม่สบาย" ติ๋มเข้มเอ่ยปากด่าเจษฎาเสร็จเรียบ จัดการลางานให้คนตัวเล็กเสร็จสรรพ "ว่ายังไงนะ" ปลายสายอุทานออกมาเสียงดังตกใจกับคำพูดของเพื่อนสนิท "ลัลน์ป่วยลางานทั้งอาทิตย์" เสียงเข้มทวนคำพูดตัวเองยังใจเย็น "กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นครับท่านคิณณ์ แต่ที่กูจะสื่อคือมึงรู้จักกับเด็กฝึกงานของกูเป็นการส่วนตัวได้ยังไง" เจษฎาเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าพ่อหนุ่มหวงความโสดกลับมาสนใจเด็กฝึกงานอย่างลัลน์ "อืม แค่นี้แหละ" "เดี๋ยวๆ..." คิณณ์ไม่รอช้าตัดสายวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เขายังไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ในตอนนี้ไม่ว่ากับใคร คิณณ์หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวร่างบางก่อนจะลุกออกไปนอกระเบียง เตรียมตัวทำข้าวต้มให้หญิงสาวที่นอนป่วยอยู่บนเตียง เสียงในครัวดังขึ้นเบาๆ ในขณะที่เธอนอนอยู่รู้สึกเวียนศีรษะปวดเมื่อยจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ไม่นานนักคิณณ์ปรากฏตัวพร้อมกับถาดข้าวต้มร้อนๆที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง "ลืมตากินข้าวต้ม" คิณณ์วางถาดลงบนโต๊ะ ทิ้งตัวนั่งข้างเตียงจากนั้นค่อยๆตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าให้เย็น ก่อนจะยื่นช้อนเข้ามาใกล้ปากเธอ ลัลน์เลิกคิ้วเป็นคำถามอย่างประหลาดใจไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะทำอะไรเช่นนี้ให้กับเธอขนาดนี้ แต่สุดท้ายยอมอ้าปากรับข้าวต้มรสชาติกลมกล่อมที่ตัวเธอนั้นไม่อาจรับรู้รสชาติได้ "ขอบคุณนะคะ" หญิงสาวชายตามองใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วเบา เรื่องเมื่อคืนยังคงทำให้เธอรู้สึกเขินอายกับเขาเป็นอย่างมาก "กินซะ" ชายหนุ่มตักข้าวต้มป้อนเธอทีละคำ ท่าทีทะนุถนอมเอาใจใส่ราวกับคนรักยิ่งทำให้หัวใจของเธออบอุ่น "อาทิตย์นี้ไม่ต้องไปฝึกงาน ฉันลางานให้แล้ว" ลัลน์เงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ อย่างนี้พี่เจษเขาจะคิดอย่างไรเมื่อคนระดับท่านคิณณ์เป็นคนลางานให้กับเด็กฝึกงานใครก็ไม่รู้อย่างเธอ "ตะ แต่ว่า" "กินข้าว!" เสียงทุ้มเอ็ดหญิงสาวเสียงดุ คำทัดทานที่มีจำต้องกลืนลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อตอนข้าวต้มจนเกือบหมดชาม คิณณ์ยื่นยาพร้อมแก้วน้ำให้เธอ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้หญิงสาวที่ร่างกายยังคงร้อนอยู่ "นี่"ชายหนุ่มยื่นซองถุงกระดาษ น้ำเสียงราบเรียบไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ "อะไรหรือคะ" ลัลน์รับมาเปิดดูพบว่าบนซองเขียนคำว่า 'ยาคุมฉุกเฉิน' ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ป้องกันแถมยังแตกในใส่เธอทุกรอบเสียด้วย หญิงสาวรีบแกะยาคุมฉุกเฉินแล้วรีบกระดกน้ำตามทันที "นอนพักซะจะได้หาย" เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหูเธอ ขนอ่อนไปกายพชันลุกซู่ "ค่ะ" ลัลน์พยักหน้ารับทางหลับตาลง แต่ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในวันนี้ทำให้หัวใจจะเต้นแรง แม้เขาจะดูเหมือนปิดกั้นเก็บอารมณ์ไว้ภายใน แต่เธอก็เริ่มสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้ยินฉันที่แสดงให้เห็น คิณณ์คอยดูแลเธอตลอดทั้งอาทิตย์ ถึงแม้ช่วงเช้าชายหนุ่มจะออกไปทำงานเย็นถึงจะกลับเข้ามาดูแลเธอ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นเขาดูแลเธอประดุจดั่งเจ้าหญิงจนตอนนี้เธอแทบจะเป็นง่อยไปแล้ว เวลาผ่านไปอย่ารวดเร็วเป็นเวลา 2 อาทิตย์แล้ว คิณณ์ยังคงทำหน้าที่เป็นสารถีกิตติมศักดิ์คอยรับส่งเธอฝึกงานตลอด และในวันนี้เช่นเดียวกันคิณณ์มาถึงหน้าหอพักตรงเวลาทุกเช้า รถยนต์คันหรูจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มร่างกายกำยำยืนพิงประตูรถไปส่งลัลน์ที่สำนักงานเช่นเคย แต่ท่าทีชายหนุ่มกลับดูเปลี่ยนไปจนเธอสัมผัสได้ ตลอดทั้งวันในห้องทำงานลัลน์ยังคงวุ่นวายกับกองเอกสารที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้าเธออย่างไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยถอยลงไปจวบกระทั่งถึงเวลาที่คิณณ์มารับเธอจึงรีบเก็บของเดินไปยืนรออยู่หน้าสำนักงาน ติ๊ง! เสียงการแจ้งเตือนดังขึ้นมือบางควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดดูข้อความ Pkinn : วันนี้ฉันไม่ว่างไปรับนะ Lanlalit: ไม่เป็นไรค่ะ ลัลน์เดินออกมาจากอาคารสำนักงานยืนรอที่ป้ายรถเมล์ด้วยความรู้สึกน้อยใจ เธอรู้ว่าเขามีธุระจะให้เขาเอาเวลามาดูแลเธอตลอดก็คงจะไม่ได้ ว่าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความแต่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาส่งข้อความหาเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้รออ่านคำตอบของเธออีกว่าเธอจะกลับอย่างไร เธอเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจ ถึงแม้จะพยายามบอกกับตัวเองว่าอาจเป็นเพราะเขาต้องอยู่เวรหรือมีธุระด่วน แต่ในใจของเธอกลับยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ดวงตากลมโตมองไปยังรถที่วิ่งผ่านไปมายังเหม่อลอย อารมณ์ที่คุ้นเคยกับเป็นความหวังที่รอคอย คาดหวังว่าเขาจะพร้อมดูแลเธอในทุกวัน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรออะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตัวเธอเริ่มรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มค่อยๆตีตัวออกห่างจากเธอนับตั้งแต่เธอมีความสัมพันธ์กับเขา ถึงแม้คิณณ์จะคอยรับส่งเธอก็ตามแต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าเขากำลังกีดกันเธอออกจากชีวิต "สาวววว มายืนใจลอยรอใครอยู่ตรงนี้คะ" ในขณะที่ลัลน์ยืนใจลอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ รถหรูคันขาวหยุดรถจอดอยู่ตรงหน้าเธอแล้วลดกระจกกล่าวเสียงสดใส "หนูนาก็ ลัลน์ตกใจหมดเลยนะ" ลัลน์สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจไม่คาดว่าจะมีคนทักเธอในเวลาเช่นนี้ "ก็ลัลน์เล่นหายไปจากสารบบความ กลายเป็นบุคคลสาบสูญที่รอศาลสั่ง" "หนูนาก็พูดเวอร์ ฝึกงานกลับมาเหนื่อยๆ ลัลน์ก็ไม่อยากออกไปที่ไหนอีกนี่" ลัลน์ปิดประตูรถยังแผ่วเบากลัวประตูรถเพื่อนเธอจะสึกหรอจากแรงปิด พลางพูดแก้ตัวทั้งที่แท้จริงแล้วเวลาส่วนใหญ่ของเธอนั้นหมดไปกับการอยู่กับคิณณ์ "นั่นสินะหนูนาก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เราก็ออกไปหาอะไรกินบ่อยอยู่นะ" หนูนาขับรถท่ามกลางรถติดแอร์จนไม่สามารถขยับได้ "แล้วไปกินกับใครมาล่ะ อาร์มหรอ" "แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ" หนูนาทำตามขมุบขมิบหน้าแดงแล้วเลือดยังผิดปกติ หรือช่วงเวลาที่เธอไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ระหว่างหนูนากับอาร์มกำลังแอบปลูกเพาะต้นรักกัน ลัลน์หรี่ตามองเพื่อนสาวยังจับผิด "แกอย่ามามองแบบจับผิดฉันนะ ฉันกับอาร์มไม่ได้มีอะไรกัน ว่าแต่ลัลน์เองเถอะตั้งแต่มาฝึกงานมีคนจีบบ้างหรือยัง" หนูนาหันหน้ามาถาม ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างชอบใจ รอยยิ้มเปื้อนหน้าคาดหวังว่าให้เพื่อนสาวมีแฟนใหม่สักที "มาฝึกงานจะมีใครมาจีบได้ไงเล่า แล้วหนูนามารับเราจะพาไปที่ไหนเนี่ย" ลัลน์ตอบปัดเพื่อน เกรงว่าหากพูดโกหกไปมากกว่านี้จะทำให้เผยพิรุธยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนความสนใจของหนูนาไปที่คำถามอื่น "แน่นอนค่ะว่าต้องไปหาอะไรกินกันสิคะ นานๆทีแม่นางห้องแบบลัลน์จะออกมาสังสรรค์กับเขาบ้าง" "นี่คือมัดมือชกลัลน์เลยใช่ไหมเนี่ย" หญิงสาวเอ่ยเย้าหนูนาเสียงสดใส "แน่นอนค่าาา Let's go ชาบูจ๋าพี่กำลังไปหาาาา"เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์"หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น"หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ"แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่""ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้วดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่น
เมื่อมาถึงสำนักงาน เจษฎาและลัลน์ช่วยกันหิ้วทลายมะพร้าวที่ได้มาเป็นของฝากจากลูกความซึ่งเต็มท้ายรถเข้าไปในออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ทลายหนึ่งน้ำหนักไม่ใช่น้อยสุดท้ายเจษฎาต้องเป็นคนแบกขึ้นห้องมาแต่เพียงฝ่ายเดียว“วันนี้สำนักงานเราแจกมะพร้าวกันหรือคะพี่เจษ?” เสียงเนตรนภาแซวพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของสำนักงานขนมะพร้าวมาหลายลูก“ของฝากจากลูกความครับ ช่วยนำกลับบ้านไปรับประทานตอบแทนที่ผมคนนี้ต้องไปลำบากแลกด้วยหยาดเหงื่อของผมมา” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าตาเปล่งประกายอย่างคนเจ้าเล่ห์“แหมๆ พูดเหมือนตัวเองไปปลูกไปสอยมางั้นแหละ” กุลธิดาอดถากถางหนุ่มรุ่นน้องที่เสนอขายอย่างเกินหน้าเกินตาราวกับเป็นมะพร้าวในสวนตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้เห็นกะล่อนเสนอขายตัวเองไม่ว่างเว้นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้องชายคนนี้มันจะหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น“โห่พี่กวางว่าไปนั่น ถึงไม่ได้ลงแรงเองก็เหมือนอยู่ผมอุตส่าห์พาลูกรักไปลุยถนนลูกรังมาเชียวนะพี่ ตอนนี้ลูกผมสภาพมอมแมมหมดแล้ว” เจษฎาโอดครวญถึงความยากลำบากในการได้มะพร้าวในครั้งนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพลูกรักที่เปื้อนฝุ่นจนรถสีขาวกลายเป็นสีแดงทั้งคัน!“พี
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง