ลัลน์กับกุลธิดามาถึงศาลก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัวแผ่กระจายความร้อนไปทั่วทุกอณูจนแสบร้อนผิวไปตามๆ กัน หญิงสาวถือเอกสารสำนวนเดินตามกุลธิดาเข้าศาลไป
"ลัลน์พี่ฝากไปเลื่อนคดีของเจษที่บัลลังก์ 3 ของท่านณรงค์ให้พี่ที เอาสมุดนัดพี่ไปลงวันให้พี่ด้วยนะ" กุลธิดาไหว้วานพร้อมยื่นเอกสารมาให้เธอเสร็จสรรพก่อนจะเดินจากไปไม่ให้ลัลน์ทักท้วงอันใดได้อีก เสียงข้อความโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมา Pkinn: ลุกขึ้นมากินข้าวหรือยัง? หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นคนที่เธอพยายามหลบหน้าอยู่ในตอนนี้ส่งข้อความมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนกีดกันเธอเองรึไงเธอถึงต้องทำตัวแบบนี้กับเขา ไม่กี่อึดใจหญิงสาวนั่งทำใจได้แล้ว สูดลมหายใจเข้าหนักๆ ไม่เข้าไปตอบข้อความของเขา เขากับเธอต่างกันเกินไปเขาเป็นถึงผู้พิพากษาจะมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างเธอทำไมกัน สู้คบกับผู้พิพากษาด้วยกันจะไม่สมฐานะกว่ากันหรือเมื่อลัลน์ทำใจได้แล้วจึงนั่งตรวจเช็คเอกสารที่จะต้องยื่นเซ็นเอกสารตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะทำการยื่นเอกสาร "หู้ยย ท่านนันท์วันนี้ไปทานข้าวกับท่านคิณณ์มาหรือคะ อย่าบอกนะคะว่าคบกันแล้ว" เสียงวีดว้ายดังขึ้นทางด้านหลังเธอ บทสนทนาที่ทำเอาลัลน์ใจกระตุกเมื่อปรากฏชายหนุ่มที่ชอบพออยู่ในใจนั้นไปทานข้าวกับผู้พิพากษาด้วยกันกุลนันท์ไม่กล่าวตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มอย่างขวยเขินก่อนที่จะเดินลับสายตาเธอไป พลันรู้สึกเจ็บลึกในหัวใจเมื่อพบว่าท่านคิณณ์ผู้นั้นมีคนที่คบหาด้วยเสียแล้ว ยิ่งทำให้เธอน้ำเอ่อรื้นขอบตา ท่านนันท์ทั้งสวย ร่างเล็กตามรสนิยมของชายไทย ฐานะทางสังคมก็เชิดหน้าชูตาเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งตรงข้ามกับเธอทุกอย่างที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาเขาได้ยังไม่พออาจฉุดรั้งทำให้ชื่อเสียงของเขามัวหมองเสียด้วยซ้ำ เมื่อหญิงสาวทำใจได้แล้วจึงเดินเข้าห้องจารณายื่นเอกสารให้แก่เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ก่อนจะนั่งลงคนละฝั่งเพื่อไม่ให้ตรงกับเขา "ท่านกำลังจะลงมาแล้ว กรุณาปิดเสียงโทรศัพท์และไม่เล่นในระหว่างการพิจารณาคดีนะคะ" เสียงพี่เก๋เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เอ่ยเตือนให้ทุกคนเตรียมพร้อม หัวใจเธอเต้นตุ้มๆต่อมๆ เพราะไม่อาจทราบได้ว่าท่านคนใดจะลงมาก่อนกัน ถึงแม้จะเตรียมใจมาแล้วก่อนเข้าห้องมาแต่ก็ไม่อาจทำให้เธอรู้สึกพร้อมที่จะเจอหน้าเขา ผู้พิพากษาร่างสูงใหญ่ค่อนไปทางเจ้าเนื้อเปิดประตูออกมา ลัลน์ลุกขึ้นยืนทำความเคารพถอดถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอแค่มาเลื่อนคดีคงไม่นานมากนัก ถ้าโชคดีก็คงไม่ต้องพบหน้ากันหากโชคร้ายสักหน่อยก็คงพบเจอกันเพียงครู่เดียวเท่านั้น "คดีของนายกุณฑล วิรหเสนา โจทก์ กับนางสาวเพ็ญศรี อ่อนฤทัย จำเลย" "ค่ะท่าน" "เสมียนทนายรึ" เสียงทุ้มอย่างใจดีหันมองหญิงสาวนักศึกษาซึ่งลุกขึ้นเดินมาคุยกับตน "ค่ะท่าน" เสียงหวานตอบท่านอย่างประหม่าที่ต้องมาเจรจากับผู้พิพากษาคนเดียว ถึงแม้ว่าจะมาเพียงเลื่อนคดีก็ตาม "ทนายว่าอย่างไร ให้มาเลื่อนคดีเป็นวันไหน" "ขอเป็นวันที่ 15 ธันวาคม ช่วงเช้าค่ะท่าน" "ทนายจำเลยสะดวกหรือไม่" ณรงค์หันไปถามทนายความฝ่ายตรงข้าม "สะดวกครับท่าน เอาเป็นศาลสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม เวลา 9.00 นาฬิกานะ" "ค่ะ/ครับท่าน" เธอและทนายความของจำเลยต่างขานรับท่านณรงค์ ในขณะที่เธอกำลังจดคดีในสมุดนัดของพี่กวาง ชายหนุ่มตัวต้นเรื่องปัญหาหัวใจของลัลน์ก็เดินออกมานั่งบนบัลลังก์เคียงข้างกับท่านณรงค์ คิ้วหนาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด สายตาคิณณ์จับจ้องเขม็งดุดันไปยังร่างบาง ที่ตั้งแต่เขาเดินเข้าห้องพิจารณาเธอกลับไม่ชายตามองเขาเลยสักนิด หนีมาฝึกงานพอทำเนา แชทไปถามก็ไม่ตอบ มาเจอเขาในห้องนี้ยังทำเมินเขาอีก!!! ลัลน์แสร้งทำตัวปกติไม่หันไปมองสบตาคมที่จ้องมองมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเธอ ตัวเองมีแฟนแล้วอยู่แล้วจะมายุ่งวุ่นวายกับเธอไปอีกทำไม หญิงสาวเซ็นรับทราบในกระบวนรายงานพิจารณาเสร็จจึงค้อมศีรษะทำความเคารพศาลก่อนเดินออกจากห้องพิจารณาไป "จ้องน้องเขาทำไมสนใจรึเจ้าคิณณ์" ณรงค์กระซิบถามอย่างหยอกเย้า ไม่เคยเห็นท่านคิณณ์ผู้นี้ชายตามองหญิงใด "เปล่าครับ" เสียงทุ้มเอ่ยปฏิเสธอย่างเย็นชา หันหน้าเรียกขานคดีของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไว้เขาค่อยไปคิดบัญชีกับหญิงสาวทีหลังแล้วกัน เธอเดินตามโถงทางเดินเพื่อไปยังห้องพิจารณาคดีอย่างใจลอย ในหัวใจเจ็บหนึบกับรักครั้งใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นรักข้างเดียวของเธอฝ่ายเดียวเสียด้วย ลัลน์ทำใจให้มีแรงไล่ความคิดฟุ้งซ่านจะได้เรียนรู้งานอย่างที่ตั้งใจไว้ "ยื่นเลื่อนคดีให้พี่เจษเขาแล้วใช่ไหมลัลน์" กุลธิดาเอ่ยปากถามเมื่อสาวรุ่นน้องเดินเข้าห้องพิจารณามาทรุดตัวลงนั่งข้างตน "เรียบร้อยค่ะพี่กวางลงวันนัดไว้วันที่ 15 ธันวาช่วงเช้าค่ะ" เสียงใสกระซิบตอบกุลนันท์อย่างแผ่วเบา เกรงว่าหากพูดดังกว่านี้ท่านจะเขม่นเธอเอา "คดีพี่ของท่านนันท์ รอท่านเรียกไม่นานเราคงได้กลับกัน" "ค่ะ" เสียงแผ่วรับอยู่ในลำคอจนกุลธิดาแทบไม่ได้ยินแต่เห็นหญิงสาวพยักหน้าอย่างรับรู้จึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไรต่อไป เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของเธอจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอไปบัลลังก์ของท่านคิณณ์แฟนของท่านนันท์บัลลังก์นี้พอดิบพอดี ยิ่งเห็นร่างเล็กทะมัดทะแมงในชุดครุยผู้พิพากษาท่วงท่ามีสง่าราศีน่าเคารพช่างเหมาะสมกับท่านคิณณ์เสียนี่กระไร ถึงแม้ภายในใจเธอจะถูกบีบคั้นด้วยความเจ็บปวดมากสักเพียงใด เธอก็ต้องยอมรับในความแตกต่างนี้ในส่วนที่เธอไม่อาจเป็นให้เขาคนนั้นได้ ถึงว่าเมื่อคิณณ์ถึงผลักไสเธอเช่นนั้นเพราะเขามีคนของใจของเขาอยู่แล้ว เธอคงเป็นเพียงดอกไม้ริมทางที่เขาแวะมาเชยชม ดวงตากลมโตหวานฉายแววเศร้าหมอง ก้มหน้างุดกัดริมฝีปากล่างอย่างแรงพลางกลั้นน้ำตาที่รื้นขังคลอหน่วยตา เสียงของกุลนันท์ดังขึ้นตลอดการพิจารณายิ่งทำให้ตอกย้ำความคิดเกินเลยของเธอหัวใจเจ็บปวดรวดร้าวราบกับมีเข็มนับหมื่นมาทิ่มแทงหัวใจ แต่เธอก็ต้องฝืนทนฟังไปจนเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณา "เป็นไงบ้างลัลน์น่าเบื่อจนหาวตาแดงเลยรึ" กุลธิดาเอ่ยหยอกเย้าหญิงสาวอย่างเอ็นดูเมื่อหันมาพบว่าสาวน้อยดวงตาแดงกร่ำ การพิจารณาคดีในศาลไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหากไม่ได้ซักค้านพยานแล้วก็ล้วนน่าเบื่อทั้งสิ้น คงเป็นเหตุให้ลัลน์นั่งง่วงในห้องพิจารณา "นิดนึงค่ะ" เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ ดีแล้วที่พี่กวางคิดเช่นนั้น เธอจะได้ไม่ต้องนั่งคิดเหตุผลมาโกหกพี่เขา "แล้วเราจะกลับหอพักเลยไหมพี่จะได้เลยไปส่งเราด้วย" "ไม่เป็นไรค่ะพี่กวาง เดี๋ยวลัลน์ต้องเข้าสำนักงานไปเก็บของอีกไม่รบกวนพี่กวางค่ะ" "ขยันฝึกไปไหนจ้ะหนูลูก ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ รีบไปก็เครียดเปล่านะจ้ะ" "คิกๆ พี่กวางก็ว่าไปนั่น" หญิงสาวหัวเราะร่อกับการหยอกล้อของกุลธิดาอย่างขำขัน ถึงแม้ชีวิตรักไม่สมหวังแต่คนรอบข้างเมตตาเอ็นดูเธอก็รู้สึกว่าชีวิตนี้แสนจะโชคดีแล้ว ลัลน์ถึงหอพักเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า เมื่อกลับจากศาลมาถึงสำนักงานพี่ๆต่างบอกให้เธอกลับไปพักผ่อน ไม่มีงานอะไรให้เธอทำแล้ว พี่เจษเองก็คะยั้นคะยอให้เธอกลับไม่งั้นเขาจะไปส่งถึงหอ เมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธได้จึงจำใจที่จะต้องเลิกงานแล้วนั่งรถกลับหอมาก่อนเวลาเลิกงาน หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาแหงนหน้ามองเพดานห้องสีขาวอย่างใช้ความคิดราวกับว่าจะพบคำตอบบนเพดาน ในความเงียบงันของห้องมีเพียงเสียงพัดลมเปิดให้ความเย็นแก่ร่างบางเท่านั้น น้ำตาเอ่อคลอด้วยความรู้สึกไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ Pkinn: เลิกงานกี่โมง เดี๋ยวไปรับ เสียงข้อความจากบุคคลที่เธอไม่อยากติดต่อด้วยในตอนนี้แจ้งเตือนบนหน้าจอ ในเมื่อเขามีคนรักอยู่แล้วทำไมไม่ไปส่งท่านนันท์จะมาวอแวให้เธอหัวใจสั่นไหวทำไม ลัลน์ปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนที่จะหลับตาเอนหลังราบไปกับโซฟา น้ำตาที่พยายามอดกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมา บัดนี้ได้ไหลนองอาบสองแก้มจนหมอนตรงนี้นเป็นวงเล็กๆ ก่อนที่หญิงสาวจะผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเวลายามเย็นท้องฟ้าปรากฏริ้วสีส้มเป็นสัญญาณว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำมืด เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสั่นอย่างต่อเนื่องหลายสาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ลัลน์ตื่นขึ้นมาได้เลยจนเสียงโทรศัพท์เงียบเสียงลงไป ไม่อาจรู้ได้ว่าปลายสายที่โทรเข้าหาหญิงสาวอาจจะถอดใจไปเสียแล้วก็เป็นได้ เวลาผ่านไปได้ไม่นานท้องฟ้ามืดเป็นเวลา 6 โมงกว่าเสียงเคาะประตูระรัวแรงสั่นไหว ทำให้ลัลน์ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ประตูห้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ หัวใจเต้นสั่นระรัว ไม่รู้ว่าบุคคลใดกระทำอุกอาจเช่นนี้ เสียงบานประตูสั่นไหวจนเธอไม่กล้าเปิดประตูให้คนแปลกหน้า "ไม่ทราบว่าใครคะ?" เสียงแหบสั่นเครือตะโกนถามบานประตูออกไปยังคนบุกรุกให้แจ้งชื่อมา "ทำไมรับโทรศัพท์ฉันห่ะลัลน์ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" คิณณ์ตวาดกร้าวอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่เคยรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยทำให้หัวใจสาวน้อยลิงโลดเต้นรัวเมื่อเขามาหาเธอถึงห้อง "ค่ะๆ จะรีบเปิดเดี๋ยวนี้ค่ะ" ด้วยความเกรงใจข้างห้องกลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาตวาดใส่ จึงรีบกุลีกุจอเปิดประตูห้องอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มเมื่อเจ้าของห้องเปิ
"หนู พี่ขอได้ไหมคะ"เสียงกระซิบแหบพร่าก่อนจะงับใบหูหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนหยอกเย้าสาวน้อยที่ตอนนี้ตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนเขา ปลายจมูกโด่งเป็นสันค่อยๆจรดลงบนพวงแก้มใส สูดดมกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของหญิงสาวกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาให้พุ่งทะยาน ริมฝีปากหยักคลอเคลียไล่ตามตามซอกคอ สร้างความกระสันไปทั่วสรรพางค์กายเรียวปากหยักประกบลงบนปากกระจับกดจูบบดเบียดให้เธอเปิดปากกว้าง ลิ้นยาวตวัดลิ้นส่งเข้ามาในโพรงปากหญิงสาว บดขยี้ปากนุ่มหยุ่นอย่างร้อนแรง ดูดลิ้นสาวน้อยไร้ประสบการณ์เข้ามาในปากแล้วดูดดึงลิ้นน้อยอย่างแนบแน่น จูบของเขาเร่าร้อนราวกับเปลวไฟที่เผาผลาญร่างกายเธอให้ลุกโชนหน้าท้องแบนราบถูไถกับลอนหน้าท้องเป็นมัดของเขารู้สึกได้อย่างเด่นชัดถึงแม้จะมีเสื้อขวางกั้นการสัมผัสนี้ ร่างกายบดเบียดแนบชิดแม้แต่อากาศก็ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ ร่างกายสาวสั่นระริกราวกับลูกนกในอ้อมแขนของเขาคิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก ริมฝีปากยังคงดูดดื่มหาความหวานไม่ผละออก เดินตรงดิ่งไปที่เตียงกว้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมอันร้อนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ บัั้นท้ายกลมกลึงสัมผัสเตียงนอนเอนหลังราบไปกับเตียงตามแรงผลักของช
ลัลน์นัยน์ตาเบิกโพลงแทบถลนกับความใหญ่โตของเขา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นมันครั้งแรกแต่ตอนนั้นแสงไฟสลัวภายในห้องน้ำผับ ทำให้เธอไม่อาจเห็นขนาดลำเอ็นของเขาได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นเธอว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าข้อมือเธอ เพียงแค่นั้นเธอก็ตกใจมากพอแล้วแต่ในวันนี้เธอได้เห็นมันอีกครั้ง!!!ลำเอ็นเขื่องใหญ่โตน้ำใสซึมเต็มปลายลำลึงค์สีเข้มในมือเล็กผงกหัวให้ราวกับทักทาย หญิงสาวใบหน้าเหยเกจ้องมองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเกรงว่าเจ้าสิ่งนี้คงไม่อาจเข้ามาในตัวเธอได้เป็นแน่"น้องชายพี่หนาวต้องการความอบอุ่น หนูพอจะช่วยคลายหนาวให้น้องชายพี่ได้ไหมคะ" ชายร่างใหญ่กำยำกลับส่งสายตาอ้อนวอนจนเธอสงสาร แต่ใจเธอหวาดหวั่นท่อนเหล็กที่แข็งชูชันอยู่ในมือเธอตอนนี้ยิ่งนักขณะหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิด คิณณ์รูดซิปถอดกระโปรงผ่านขาเรียว ร่างกายขาวผ่องเนียนละเอียดสู่แสงไฟพลันปรากฏสู่สายตา เอวบางคอดรับสะโพกผายอวบอิ่ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างกระหายเมื่อเห็นเรือนร่างอันงดงามของเธอร่างกำยำคร่อมร่างสาวน้อยไร้ประสบการณ์ ร่างกายสั่นเทาราวกับลูกกวางพบราชสีห์จ้องเขมือบ มือหนาเลื่อนบีบบั้นท้ายกลมกลึงอย่างอดใจไม่ไหว ก่อนขายาวของคิณณ์แทรกตัวเข
"ใครบอกจะทำรอบเดียว?" ท่อนเอ็นหนาในกายจากที่สิ้นฤทธิ์ บัดนี้พองขยายคับแน่นช่องคลอดหญิงสาวพร้อมออกรบสู้ศึกอีกครั้ง"อ๊ะ หนูไม่ไหวแล้วมันเจ็บ""สัญญาจะทำเบาๆ"คิณณ์จับร่างบางพลิกคว่ำ มือเลื่อนจับสะโพกหญิงสาวตั้งขาชันขึ้น ค่อยๆบดเบียดลำเอ็นเขื่องจนสุดโคนกระทุ้งจูบปากมดลูกเบาๆ แต่ทำเอาเธอสมองโพลนดวงตาพร่ามัว รู้สึกจุกแน่นท้องน้อยยิ่งกว่าท่าก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาร้อนพราวราวกับเป็นไข้ จับดวงหน้าหวานเย้ายวนมาประกบจูบปลุกเร้าอารมณ์เธอให้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง"ลัลน์เธอแน่นมาก" โพรงเนื้อสาวนุ่มตอดรัดแก่นกายชายหนุ่มราวกับไม่ให้ถอดลำลึงค์ออกจากดอกไม้งาม เส้นความอดทนขัดผึงลง คิณณ์ถอดถอนลำกายเกือบสุดปลายก่อนกระแทกสะโพกสอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว สองมือจับสะโพกผายอวบอิ่มตรึงไว้มั่น รองรับแรงเสน่หาที่กำลังซอยดุ้นเนื้อเข้าออกราวกับตอกเสาเข็มพลั่บ พลั่บ พลั่บเสียงการร่วมสังวาสดังลั่นภายในห้องเล็กอีกครั้ง ความเสียวเกินบรรยายแผดเผาหญิงสาวให้จมอยู่กับไฟเสน่หาที่เขาเป็นคนจุดเติมเชื้อเพลิงให้โหมกระหน่ำสะโพกสอบยังคงโหมกระแทกเข้ามาไม่หยุดยั้งเมื่อความต้องการจะขีดสุดลืมสัญญาครั้งก่อนจะเริ่มเพลิงสวาทบทใหม่
ร่างบางลุกขึ้นเดินเชื่องช้าด้วยยังเจ็บระบมกลางกาย เมื่อคว้าผ้าขนหนูได้จึงค่อยๆเดินนวยนาดไปยังห้องน้ำ ตอนนี้เธอรู้สึกเหนียวตัวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมาจากสำนักงานเธอยังไม่ได้อาบน้ำไหนตกเย็นมาเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาอีกยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าลัลน์ดึงผมยาวที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการโรมรันทำกิจกรรมบนเตียงมือบางเอื้อมหยิบกิ๊บหนีบผมมาหนีบให้อยู่ทรงสะดวกต่อการอาบน้ำ มือเล็กเปิดฝักบัวความเย็นจากน้ำที่ไหลลงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจับไข้มากกว่าสบายตัวอย่างที่ควรจะเป็น“ว้าย พี่คิณณ์คะรบกวนพี่ออกไปก่อนหนูโป๊อยู่” คิณณ์เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายกำยำที่ในปกติแล้วซ่อนอยู่ภายใต้ชุดทำงานตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นตึงเป็นลอนใหญ่ชัดเจน นูนขึ้นอย่างสมส่วนราวกับถูกแกะสลักด้วยมือของประติมากร ไหล่กว้างและลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งออร่าของความแข็งแกร่งที่ยากจะละสายตา “ขนาดนี้แล้วยังอายอะไรอีก” ชายหนุ่มหาได้ฟังคำทัดทานไม่ กลับสาวขายาวก้าวเข้ามายิ่งเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันเป็นแผงชัดเจน ไล่ลงมาสู่หน้าท้องทรงตัววีที่เด่นชัด ร่องกล้ามเ
เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์"หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น"หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ"แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่""ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขาลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอ
“ถ้าหนูอยาก หนูควบมันเลยค่ะ”สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหู ความนุ่มนวลของคำพูดเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่กลับทิ้งร่องรอยไว้ให้หัวใจเต้นระรัว คำพูดของเขายังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวลัลน์ไม่หยุดราวกับต้องการย้ำเตือนถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ดวงหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นปมอย่างฉงนใจว่าคนรักต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมองเริ่มประมวลผลช้าๆ จนเข้าใจความหมายของคำพูดเขาได้ในที่สุด ใบหน้าสวยหวานที่ปกติขาวใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อร้อนผ่าว แผ่ซ่านไปจนถึงใบหู“หืมม ว่าไงคะไม่อยากลองหรือคะ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหู พร้อมกับลมหายใจร้อนที่ปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลีย สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาวที่ทำให้เขาเหมือนถูกมนตร์สะกดทุกครั้งที่ได้กลิ่น“หนูทำไม่เป็น” ลัลน์ตัวแข็งทื่อ สติที่พยายามรวบรวมเหมือนกำลังละลายหายไปกับความใกล้ชิด เสียงของเธอสั่นไหวและแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์“แค่หนูโยกเอวเหมือนหนูเต้นเอง” ใบหน้าคมคายผละออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจับจ้องใบหน้าหญิงสาวที่บิดเบี้ยวเพราะแรงเสียวซ่าน เมื่อเขาแกล้งขยับสะโพกกระตุ้นความรู้สึกของเธอ“อ๊ะ
คิณณ์เลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอโดยยืดตัวเอนพิงขอบอ่างในท่าทางสบายๆ แต่ทว่าการมาของเขาทำให้อ่างน้ำที่เคยกว้างพอสำหรับเธอเพียงคนเดียวกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดถนัดตา น้ำในอ่างพลันเอ่อล้นออกมาทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวลงไป หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ล่อแหลมนี้ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วค่อยๆ หดขาเรียวของตัวเองเข้าหากันพร้อมกับกอดเข่าไว้แน่น ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆของตัวเองในอ่างน้ำที่ตอนนี้ดูเล็กลงกว่าเดิม เพื่อเปิดทางให้ชายหนุ่มได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับร่างกายใหญ่โตของเขามากขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริง เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการพื้นที่สักเท่าไรก็ตามชายหนุ่มเอนตัวอย่างสบายๆ พิงขอบอ่างน้ำ สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามวางแขนทอดบนขอบอ่างราวกับสัตว์กางอาณาเขตดึงดูดให้ลัลน์เผลอจ้องมองตาไม่กระพริบ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับไม่ใช่ท่วงท่าเหล่านั้น หากแต่เป็นสายตาคมดุที่จับจ้องมายังร่างเล็กตรงหน้าสายตาที่หนักแน่นและเร่าร้อน ราวกับนักล่าที่กำลังจดจ้องเหยื่ออันล้ำค่า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่คิดจะปิดบัง ราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องก
ภายใต้แสงไฟสีวอร์มโทนที่ช่วยเติมเต็มความอบอุ่นให้ห้องอาหารที่ยังคงตกแต่งด้วยโทนสีดำซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความเย็นชาของคิณณ์ ห้องที่ควรให้บรรยากาศอึมครึมแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงถึงมืดมนเลยสักนิด กลับกันแล้วอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายแห่งความรักที่แผ่ซ่านจากคนทั้งสองบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย มีต้มยำทะเลร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ผัดสายบัวที่ดูสดใหม่ ปลาทอดกรอบสีเหลืองทอง แต่อาหารแทบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นยังคงวางอยู่อย่างไม่พร่องไปสักนิด เหตุเพราะหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้าเขานี้ตักเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กที่เขาสั่งเพิ่มมาใหม่เข้าปากเท่านั้น“สั่งมาเยอะแบบนี้พี่จะกินหมดเองหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดจะเย้าแหย่คนตรงหน้ามิได้ เมื่อเห็นอาหารที่ชายหนุ่มตั้งใจสั่งมให้เธอแต่กลับลืมไปเสียว่าเธอนั้นเจ็บกรามจนไม่สามารถทานของต้องใช้กำลังในการขบเคี้ยวได้“พี่ขอโทษค่ะ ตัวเล็กจะอิ่มไหมกินแต่ข้าวต้ม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคนรักไม่อาจทานของชอบได้“อิ่มสิคะข้าวต้มเยอะขนาดนี้ หนูทายไม่หมดหรอกค่ะ” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองชิมอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะอาหารที่เรียงรายตรงหน้าล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งสิ้
ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นปลายสายวางโทรศัพท์คนตัวเล็กของเขากลับนิ่งเงียบทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งสายตากลมโตของเธอเหม่อลอยไปตามท้องถนนฉายชัดถึงความกังวลใจจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือรู้สึกไม่ดีที่ผิดนัดกับเพื่อน” คิณณ์เอ่ยปากถามไถ่หญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เสียงของหนูนาดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร” น้ำเสียงของเธอแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงแม้หนูนาจะพยายามปกปิดอย่างไรคนเป็นเพื่อนแบบเธอก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ“หนูโทรหาเพื่อนไปคุยให้เคลียร์ดีไหมคะ” ตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายพร้อมเอ่ยให้คำแนะนำ ก่อนละสายตากลับมาที่ถนน“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ให้หนูนาอยู่กับตัวเองไปก่อนถ้ายังไม่ดีขึ้นไว้หนูจะไปนอนกับหนูนา” “หนูถามพี่รึยังคะ ว่าพี่จะให้ไปไหม” คนแก่กว่ายกยิ้มมุมปาก ประคองพวงมาลัยขับรถอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ“เราเป็นอะไรกันคะถึงต้องขออนุญาตพี่” คนตัวเล็กเอียงคอมองคนตัวโต ตาเปล่งประกายอย่างหยอกเย้าคนข้างกายถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบของคำถามแล้วก็ตาม“เป็นเมียพี่ไงคะ” ไม่ว่าเปล่าดึงมือเรียวมากุมไว้ก่อนจะจุมพิตหลังมือขาวนวลเนียน แววตาคมส่งสายตาหาเด็กน้อย
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้วดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่น
เมื่อมาถึงสำนักงาน เจษฎาและลัลน์ช่วยกันหิ้วทลายมะพร้าวที่ได้มาเป็นของฝากจากลูกความซึ่งเต็มท้ายรถเข้าไปในออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ทลายหนึ่งน้ำหนักไม่ใช่น้อยสุดท้ายเจษฎาต้องเป็นคนแบกขึ้นห้องมาแต่เพียงฝ่ายเดียว“วันนี้สำนักงานเราแจกมะพร้าวกันหรือคะพี่เจษ?” เสียงเนตรนภาแซวพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของสำนักงานขนมะพร้าวมาหลายลูก“ของฝากจากลูกความครับ ช่วยนำกลับบ้านไปรับประทานตอบแทนที่ผมคนนี้ต้องไปลำบากแลกด้วยหยาดเหงื่อของผมมา” เจษฎาเอ่ยอย่างหยอกเย้าตาเปล่งประกายอย่างคนเจ้าเล่ห์“แหมๆ พูดเหมือนตัวเองไปปลูกไปสอยมางั้นแหละ” กุลธิดาอดถากถางหนุ่มรุ่นน้องที่เสนอขายอย่างเกินหน้าเกินตาราวกับเป็นมะพร้าวในสวนตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้เห็นกะล่อนเสนอขายตัวเองไม่ว่างเว้นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้องชายคนนี้มันจะหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น“โห่พี่กวางว่าไปนั่น ถึงไม่ได้ลงแรงเองก็เหมือนอยู่ผมอุตส่าห์พาลูกรักไปลุยถนนลูกรังมาเชียวนะพี่ ตอนนี้ลูกผมสภาพมอมแมมหมดแล้ว” เจษฎาโอดครวญถึงความยากลำบากในการได้มะพร้าวในครั้งนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพลูกรักที่เปื้อนฝุ่นจนรถสีขาวกลายเป็นสีแดงทั้งคัน!“พี
รถหรูสีดำตัวซีเคร็ทเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลหน้าตึกสำนักงาน เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทแทบไม่ได้ยินบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพสมราคาที่หลักร้อยล้าน ทำให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ดึงดูดสายตาว่าใครจะลงมากจากรถหรูคันดังกล่าว“หนูบอกแล้วไงคะว่าให้จอดแค่หัวมุมพอ ดูสิทีนี้คนมองกันให้ควั่กเลย” หญิงสาวตวัดตามองชายหนุ่มทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างว่าไม่อยากให้เธอเดินไกลกลัวว่าเธอจะเดินไม่ไหวข้ออ้างสารพัด“หนูจะไปอายสายตาคนอื่นทำไม หรือจะไปฝึกงานที่ห้องพักพี่ดีคะ” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าคนตัวเล็กข้างกายที่เขินอายจนไม่กล้าลงจากรถไป“พูดอะไรก็ไม่รู้ ตั้งใจทำงานนะคะขอให้งานวันนี้ราบรื่นเป็นไปได้ด้วย สวัสดีค่ะ” ลัลน์พูดจนลิ้นแทบพันกันเขาช่างทำให้เธอเขินอายได้ทุกทีที่อยู่ด้วยกัน ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดีเอ่ยลาเขาอย่าลุกลี้ลุกลน“หนูคะ!” ไม่ว่าเปล่าแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรั้งเอวคอดก่อนจะฉุดหญิงสาวเข้ามาหาตน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียตามใบหน้าหญิงสาวที่แม้แก้มเธอจะยังตอบอยู่แต่ก็ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาสดใสดังที่เธอเป็น ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหาเบาๆ ปลายจมูกโด่งของเขาแตะแช่ลงที่แก้มเนียนของเธอ
ภายในรถหรูที่เงียบสงัดชายหญิงสองคนในรถต่างไม่พูดไม่จาไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน เสียงดนตรีสากลรักหวานแหววเปิดคลอในรถอย่างแผ่วเบาเพื่อสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แต่ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อลัลน์นั่งเงียบกริบดวงหน้าหวานหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อย กลับกันชายหนุ่มข้างกายกลับสดชื่นกระปรี่กระเป่าราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คิณณ์เหลือบตามองร่างบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดู“หนูจะไม่พูดอะไรกับพี่หน่อยหรือคะ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยสัพยอกหญิงสาวที่ตอนนี้ตวัดค้อนวงโตส่งให้เขา ตอนเช้าเขาอุตส่าห์รีดผ้าเตรียมชุดให้คนตัวเล็กก่อนจะปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำเขาบริการเธอดีขนาดนี้เธอยังคงแง่งอนไม่พูดไม่จากับเขา ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหน้าระรื่นพอใจลัลน์หันหน้ามามองคนหน้าไม่อายที่กำลังขับรถอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สำนึกในการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำใบหน้าอิดโรยราวกับคนอดนอน ร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาก่อนจะเบนหน้าหนีใบหน้าหล่อเหลามองวิวเดิมๆข้างทางเพื่อระงับโทสะนั้นแทนทั้งที่เมื่อคืนสัญญาว่าไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหยุดรังแกเธอ แต่เขาก็ขอต่อเวลายัง