ลัลน์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร แขนเสื้อถูกพับอย่างเรียบร้อยอวดแขนแกร่ง เส้นเลือดที่แขนเปล่งชัดอย่างน่าหลงใหลซึ่งในยามปกติแล้วถูกปกปิดอยู่ภายใต้ชุดครุยผู้พิพากษาหรือสูทของเขาที่บดบังมัดกล้ามคงน้อยคนนักที่จะได้เห็นคิณณ์ในลุคนี้
หญิงสาวรู้สึกเปลือกตาหนัก ความง่วงงุนกำลังเข้าจู่โจมลัลน์ วันทั้งวันเธอแทบจะไม่ได้พักส่งผลให้ข้อเท้าเธอระบมอักเสบ ปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก ค่อนข้างติดไปทางขี้โรคด้วยซ้ำ เมื่ออุณหภูมิเย็นกระจายไปทั่วห้อง เสียงมีดกระทบเขียงดังขึ้นแผ่วเบาอย่างเป็นจังหวะ เป็นเหตุให้กล่อมหญิงสาวให้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป คิณณ์เงยหน้าจากการเตรียมอาหารหันไปมองเจ้าของห้องอย่างเป็นห่วง กลับพบว่าร่างบางกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดูอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มล้างมือแล้วจึงเดินไปห่มผ้าให้สาวน้อยที่หลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราว เจ้าของนัยน์ตาสีดำเข้มจดจ้องใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มมีความสุขในห้วงแห่งความฝัน ท้องนิ้วสากลูบไล้ตามกรอบหน้าเล็กก่อนที่จะหยุดลงตรงปากกระจับอวบอิ่มสีแดง ลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างหลงใหล ลมหายใจร้อนกระทบหลังมือของเขาจนรู้สึกได้ คิณณ์ทาบหลังมือกับหน้าผากของลัลน์กลับพบว่าตัวรุมๆค่อนไปทางร้อนเสียแล้ว ตอนที่เดินตลาดด้วยกันเขารับรู้ได้แล้วว่าร่างบางเริ่มตัวรุมๆจะเป็นไข้ ใบหน้าสาวแดงระเรื่อประกอบกับข้อเท้าบวมแดงจนน่ากลัว คงทำให้เธอเป็นไข้อย่างที่เห็น คิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอกย้ายหญิงสาวจากองศาที่แอร์ตกวางไว้บนเตียงนุ่มห่มผ้าคลุมตัวลัลน์ ก่อนจะปล่อยให้เธองีบหลับสักนิด เขาทำกับข้าวต้มเสร็จเธอคงตื่นมากินพอดี ชายหนุ่มคนข้าวต้มกำลังงวดได้ที่กลิ่นหอมกรุ่นกระจายไปทั่วห้องเผื่อแผ่ไปยังห้องข้างๆ คิณณ์ชิมแล้วเห็นว่ารสชาติได้ที่แล้วจึงตักข้าวต้มใส่ชาม พร้อมจัดวางเครื่องไม่ว่าจะเป็นหมูบะช่อ ขิงซอย เต้าหูไข่ กระเทียมเจียวสีเหลืองกรอบ โรยหน้าด้วยต้นหอมผักชีประดับอยู่ด้านบนพอสวยงามดูน่าทาน ตอกไข่ต้มยางมะตูมไว้ด้านข้าง พร้อมโรยพริกไทยเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้แก่ข้าวต้มถ้วยนี้ "ลัลน์ ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนค่อยนอนต่อ" คิณณ์จับไหล่บางพลางเขย่าเล็กน้อยปลุกจอมขี้เซานอนป่วยอยู่บนเตียงตื่นมากินอะไรเสียก่อน "อื้ออ หนูเผลอหลับไปหรือคะ" สาวน้อยลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ปรือตาอย่างลืมตาไม่ขึ้น ตากลมโตหยีหนีแสงไฟจ้าที่ตอนนี้ยังคงไม่อาจปรับสายตาให้คุ้นชินได้ มือบางขยี้ตาอย่างแรงจนชายหนุ่มทนเห็นไม่ได้คว้ามือเธอให้หยุดขยี้ "ขยี้แรงขนาดนั้นจอประสาทตาเสียหมด" เอ่ยดุเธอเสียงเข้ม ตอนนี้เธอรู้สึกปวดหัวตุบๆ เวียนหัวจนรู้สึกอยากจะอ้วก ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะงีบหลับตอนหัวค่ำหรือเป็นเพราะไม่สบายกันแน่ คิณณ์จูงมือคนตัวเล็กพลางประคองไม่ให้เธอล้ม เมื่อเธอเดินเซไปมาเป็นคนเมา ดีที่ห้องไม่กว้างนักเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงโซฟา ชายหนุ่มเลื่อนโต๊ะเลื่อนมาไว้ตรงลัลน์พร้อมหยิบยาและน้ำไว้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี "ทำไมทานข้าวต้มหรือคะ?" เธอเอ่ยปากถามอย่างงุนงง ไปตลาดซื้อผักและเนื้อต่างๆมามากมายพอทำอาหารได้หลายสิบเมนู ไม่คาดว่าเขาเพียงต้มข้าวต้มกินด้วยกันเท่านั้น "ทำไม ไม่ชอบ?" "เปล่าค่ะ กำลังอยากทานอะไรร้อนๆพอดีค่ะ แต่พี่คิณณ์จะอิ่มหรือคะ" เธอเป็นห่วงเขา ร่างกายเขาค่อนข้างกำยำใหญ่โตทานเพียงข้าวต้มในมื้อเย็นไม่น่าเพียงพอให้เขาอยู่ได้ทั้งคืน "กินไปเถอะ กินยาด้วย" ลัลน์ตักข้าวต้มพอดีคำเป่าไล่ความร้อนก่อนละเลียดชิมข้าวต้มฝีมือท่าน นี่เธอได้ชิมอาหารฝีมือผู้พิพากษาแบบนี้แล้วจะได้เป็นผู้พิพากษาเหมือนเขาเขาบ้างไหมนะ เมื่อข้าวต้มสัมผัสต่อมรับรสหญิงสาวเบิกตาโพลงในรสชาติของข้ามต้มชามนี้ "ทำไมเค็มไปรึ พอดีใส่หนักมือไปหน่อย ไม่รู้ว่าเธอกินรสชาติแบบไหน" "เปล่าค่ะ รสชาติที่หนูชอบเลย หนูก็ติดทานเค็มเหมือนกัน แบบนี้แล้วคงได้พากันเป็นโรคไตจูงมือกันไปหาหมอแน่เลยค่ะ" เสียงใสเอ่ยหัวเราะคิกคักกับบทสนทนาของตน "จะอยู่ไปยันแก่ด้วยกันรึไง?" เสียงทุ้มเอ่ยปากเหมือนถาม แต่เมื่อหันไปสบตากับพบแต่เพียงความว่างเปล่าในสายตาที่ราบเรียบอยู่เป็นนิตย์ของเขา "ปะ เปล่าค่ะ" หญิงสาวก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มไม่พูดไม่จา ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นในมื้ออาหารคงมีเพียงเสียงช้อนขูดกับชามที่ต่อเนื่องในมื้ออาหารนี้เท่านั้น สรุปแล้วเขาชอบเธอหรือไม่นั้นเธอไม่อาจคาดเดาได้เลย เธอไม่ได้ประสาทรับรู้ช้าจนไม่รู้ว่าคิณณ์กำลังเข้าหาเธอปฏิบัติกับเธอพิเศษมากกว่าคนปกติทั่วไปที่เขาจะไม่แสดงอารมณ์นอกเสียจากเย็นชา เมื่อเจ้าตัวเขาไม่บอกเธอก็ไม่อยากคิดไปไกลแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังเช่นตอนนี้ที่เธอไม่อาจเข้าไปในโลกส่วนตัวของเขาได้ หากเธอก้าวเท้าเข้าไปสักนิดเขาก็พร้อมที่จะผลักเธอออกห่างจากเขา หรือเขาเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวของเพียงอย่างเดียวกันนะแต่น้องสาวที่ไหนเขาจะจูบแนบเนื้อขนาดนั้นได้! ลัลน์ขมวดคิ้วเป็นปมตักข้ามต้มพร้อมหมูเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับเต็มปาก พลางเขี่ยขิงและรากต้นหอมไว้ขอบจาน "ทำไมไม่กินผัก" สายตาคมจับจ้องเธอตั้งแต่เริ่มกินข้าวต้มกันแล้ว สังเกตุเห็นหญิงสาวเขี่ยขิงออกไป "ไม่ใช่ไม่ทานค่ะ แต่หนูไม่ชอบทานขิง" "กินเข้าไปช่วยต้านหวัดได้ดี" คิณณ์คะยั้นคะยอให้เธอกิน" "หนูทานเข้าไปได้อ้วกออกหมดแน่ค่ะ" "งั้นกินให้หมดถ้วย" เสียงดุเอ่ยบังคับเมื่อเห็นเธอกำลังรวบช้อนจบมื้ออาหาร หญิงสาวเบ้หน้าทำท่าจะร้องไห้เหมือนเด็กถูกขัดใจ สบสายตาคมดุกดดันให้เธอกินข้าวให้หมดชาม เธอได้แต่จำใจตักข้าวกินอย่างจำใจ เมื่อท้องเธอไม่รับไหวลัลน์จึงอมข้าวไว้เต็มสองกระพุ้งแก้มเหมือนดังกระรอกที่กักเก็บอาหารไว้ยามฉุกเฉิน "อย่าอมข้าว อิ่มแล้วก็พอ" คิณณ์เอ่ยเอ็ดสาวน้อยวัยละอ่อนที่ห่างกับตนเป็นสิบปี ลุกขึ้นหยิบชามข้าวของเธอไปล้างคว่ำไว้อย่างดิบดี "ฉันกลับคอนโดแล้ว กินยาแล้วนอนพักผ่อน พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันมารับถ้าเธอไหว" คิณณ์ไม่รอให้เจ้าของห้องลุกขึ้นไปส่ง เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันกลับมามองเธอเลย ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันคลุมเครือเช่นนี้ หรือเป็นเพราะเธอด่วนได้ใจเร็วกับเขาไวไปรู้จักกับเขาได้เพียงไม่กี่วันก็ตกหลุมรักเขาไปเสียแล้ว ลัลน์สะบัดขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอจะต้องขีดเส้นความสัมพันธ์ของเธอกับเขาให้ชัดเจนเป็นแค่ผู้พิพากษากับเด็กฝึกงานในสำนักงานทนายความที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเป็นเวลา 7 โมงแล้วแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าร่างบางที่หลับอุตุจะลุกขึ้นมา จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ารบกวนฝันหวานปลุกเธอให้ตื่นจากความฝัน "ยังไม่ตื่นรึ ไหวรึเปล่า วันนี้ไม่ต้องไปสำนักงาน" เสียงปลายสายเข้มติดเย็นชาอันคุ้นเคยทำให้หญิงสาวตาลุกโพลง "ไหวค่ะ แต่จะลางานก็คงไม่ดี" ลัลน์ตอบเสียงแผ่วระโหยโรยแรงเสียงแหบกับเขาไป "หรือให้ฉันลาให้" เสียงเข้มติดดุเอ่ยตามสาย "ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูทักไปลางาน ท่านก็ขับรถดีๆนะคะ หนูขอนอนต่อก่อนค่ะ" เสียงหวานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่รอให้คิณณ์ตอบรับอะไรตัดสายชายหนุ่มทิ้งก่อนจะลุกขึ้นไปเตรียมตัวไปฝึกงาน ทำไมเธอจะต้องฟังเขาด้วยในเมื่อพ่อก็ไม่ใช่แฟนยิ่งแล้วใหญ่ก็ไม่ได้เป็น ฉะนั้นแล้วชีวิตเธอๆตัดสินใจเองได้ ลัลน์ถึงสำนักงานเป็นเวลา 9 โมงเช้าอันเป็นเวลาเริ่มงานพอดี เมื่อพี่ๆเห็นว่าข้อเท้าเธอเจ็บในช่วงเช้าเธอจึงไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากอ่านทำความเข้าใจกับสำนวนคดีต่อไปคนเดียวพร้อมกับของบำรุงเต็มโต๊ะอย่างมากมายให้เธอได้กิน "บ่ายโมงพี่มีคดีที่บัลลังก์ 10 เราอยากไปด้วยไหมลัลน์" กุลธิดาหันมาถามใบหน้าหวานที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าเขียนเอกสารอยู่ที่โต๊ะ "หนูไปด้วยค่ะพี่กวาง" หญิงสาวรีบเอ่ยตอบรับอย่างเสียงใส "แล้วไปไหวรึเรา ข้อเท้าจะไม่อักเสบไปยิ่งกว่านี้เหรอ" เจษฎาเอ่ยถามสาวน้อยด้วยความเป็นห่วง ลูกชาวบ้านอยู่ในความดูแลของเขาหากลูกเขาเป็นอะไรไปเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้ "ไหวค่ะ ไปศาลก็ไม่ได้เดินมากอยู่แล้วหนูไปได้ค่ะ" หญิงสาวรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยืนกรานจะไปศาลให้ได้พี่ๆจึงยอมให้เธอตามกุลนันท์ไปด้วย แต่เมื่อคิดว่าจะไปศาลแล้วใจเธอกระตุกร่างชะงักงันเล็กน้อย เมื่อเช้าโกหกเขาว่าจะลางานแต่เธอก็ยังแอบหนีมาทำงานโดยไม่ได้บอกเขา แต่เธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันนี่จะไปสนใจทำไมกัน อีกอย่างไปบัลลังก์ 10 อยู่คนละชั้นกับบัลลังก์ 3 ที่เขาประจำตำแหน่งอยู่แล้วฉะนั้นเธอกับเขาไม่ต้องพบเจอกันแน่นอนลัลน์กับกุลธิดามาถึงศาลก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัวแผ่กระจายความร้อนไปทั่วทุกอณูจนแสบร้อนผิวไปตามๆ กัน หญิงสาวถือเอกสารสำนวนเดินตามกุลธิดาเข้าศาลไป"ลัลน์พี่ฝากไปเลื่อนคดีของเจษที่บัลลังก์ 3 ของท่านณรงค์ให้พี่ที เอาสมุดนัดพี่ไปลงวันให้พี่ด้วยนะ" กุลธิดาไหว้วานพร้อมยื่นเอกสารมาให้เธอเสร็จสรรพก่อนจะเดินจากไปไม่ให้ลัลน์ทักท้วงอันใดได้อีก เสียงข้อความโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมา Pkinn: ลุกขึ้นมากินข้าวหรือยัง?หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นคนที่เธอพยายามหลบหน้าอยู่ในตอนนี้ส่งข้อความมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนกีดกันเธอเองรึไงเธอถึงต้องทำตัวแบบนี้กับเขาไม่กี่อึดใจหญิงสาวนั่งทำใจได้แล้ว สูดลมหายใจเข้าหนักๆ ไม่เข้าไปตอบข้อความของเขา เขากับเธอต่างกันเกินไปเขาเป็นถึงผู้พิพากษาจะมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างเธอทำไมกัน สู้คบกับผู้พิพากษาด้วยกันจะไม่สมฐานะกว่ากันหรือเมื่อลัลน์ทำใจได้แล้วจึงนั่งตรวจเช็คเอกสารที่จะต้องยื่นเซ็นเอกสารตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะทำการยื่นเอกสาร"หู้ยย ท่านนันท์วันนี้ไปทานข้าวกับท่านคิณณ์มาหรือคะ อย่าบอกนะคะว่าคบกันแล้ว" เสียงวีดว้ายดังขึ้นทางด้านหลังเธอ บทสนท
เวลายามเย็นท้องฟ้าปรากฏริ้วสีส้มเป็นสัญญาณว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำมืด เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสั่นอย่างต่อเนื่องหลายสาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ลัลน์ตื่นขึ้นมาได้เลยจนเสียงโทรศัพท์เงียบเสียงลงไป ไม่อาจรู้ได้ว่าปลายสายที่โทรเข้าหาหญิงสาวอาจจะถอดใจไปเสียแล้วก็เป็นได้ เวลาผ่านไปได้ไม่นานท้องฟ้ามืดเป็นเวลา 6 โมงกว่าเสียงเคาะประตูระรัวแรงสั่นไหว ทำให้ลัลน์ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ประตูห้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ หัวใจเต้นสั่นระรัว ไม่รู้ว่าบุคคลใดกระทำอุกอาจเช่นนี้ เสียงบานประตูสั่นไหวจนเธอไม่กล้าเปิดประตูให้คนแปลกหน้า "ไม่ทราบว่าใครคะ?" เสียงแหบสั่นเครือตะโกนถามบานประตูออกไปยังคนบุกรุกให้แจ้งชื่อมา "ทำไมรับโทรศัพท์ฉันห่ะลัลน์ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" คิณณ์ตวาดกร้าวอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่เคยรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้มาก่อน เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยทำให้หัวใจสาวน้อยลิงโลดเต้นรัวเมื่อเขามาหาเธอถึงห้อง "ค่ะๆ จะรีบเปิดเดี๋ยวนี้ค่ะ" ด้วยความเกรงใจข้างห้องกลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาตวาดใส่ จึงรีบกุลีกุจอเปิดประตูห้องอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มเมื่อเจ้าของห้องเปิ
"หนู พี่ขอได้ไหมคะ"เสียงกระซิบแหบพร่าก่อนจะงับใบหูหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนหยอกเย้าสาวน้อยที่ตอนนี้ตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนเขา ปลายจมูกโด่งเป็นสันค่อยๆจรดลงบนพวงแก้มใส สูดดมกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของหญิงสาวกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาให้พุ่งทะยาน ริมฝีปากหยักคลอเคลียไล่ตามตามซอกคอ สร้างความกระสันไปทั่วสรรพางค์กายเรียวปากหยักประกบลงบนปากกระจับกดจูบบดเบียดให้เธอเปิดปากกว้าง ลิ้นยาวตวัดลิ้นส่งเข้ามาในโพรงปากหญิงสาว บดขยี้ปากนุ่มหยุ่นอย่างร้อนแรง ดูดลิ้นสาวน้อยไร้ประสบการณ์เข้ามาในปากแล้วดูดดึงลิ้นน้อยอย่างแนบแน่น จูบของเขาเร่าร้อนราวกับเปลวไฟที่เผาผลาญร่างกายเธอให้ลุกโชนหน้าท้องแบนราบถูไถกับลอนหน้าท้องเป็นมัดของเขารู้สึกได้อย่างเด่นชัดถึงแม้จะมีเสื้อขวางกั้นการสัมผัสนี้ ร่างกายบดเบียดแนบชิดแม้แต่อากาศก็ไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ ร่างกายสาวสั่นระริกราวกับลูกนกในอ้อมแขนของเขาคิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก ริมฝีปากยังคงดูดดื่มหาความหวานไม่ผละออก เดินตรงดิ่งไปที่เตียงกว้างเพียงพอสำหรับกิจกรรมอันร้อนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ บัั้นท้ายกลมกลึงสัมผัสเตียงนอนเอนหลังราบไปกับเตียงตามแรงผลักของช
ลัลน์นัยน์ตาเบิกโพลงแทบถลนกับความใหญ่โตของเขา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นมันครั้งแรกแต่ตอนนั้นแสงไฟสลัวภายในห้องน้ำผับ ทำให้เธอไม่อาจเห็นขนาดลำเอ็นของเขาได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นเธอว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าข้อมือเธอ เพียงแค่นั้นเธอก็ตกใจมากพอแล้วแต่ในวันนี้เธอได้เห็นมันอีกครั้ง!!!ลำเอ็นเขื่องใหญ่โตน้ำใสซึมเต็มปลายลำลึงค์สีเข้มในมือเล็กผงกหัวให้ราวกับทักทาย หญิงสาวใบหน้าเหยเกจ้องมองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเกรงว่าเจ้าสิ่งนี้คงไม่อาจเข้ามาในตัวเธอได้เป็นแน่"น้องชายพี่หนาวต้องการความอบอุ่น หนูพอจะช่วยคลายหนาวให้น้องชายพี่ได้ไหมคะ" ชายร่างใหญ่กำยำกลับส่งสายตาอ้อนวอนจนเธอสงสาร แต่ใจเธอหวาดหวั่นท่อนเหล็กที่แข็งชูชันอยู่ในมือเธอตอนนี้ยิ่งนักขณะหญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิด คิณณ์รูดซิปถอดกระโปรงผ่านขาเรียว ร่างกายขาวผ่องเนียนละเอียดสู่แสงไฟพลันปรากฏสู่สายตา เอวบางคอดรับสะโพกผายอวบอิ่ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างกระหายเมื่อเห็นเรือนร่างอันงดงามของเธอร่างกำยำคร่อมร่างสาวน้อยไร้ประสบการณ์ ร่างกายสั่นเทาราวกับลูกกวางพบราชสีห์จ้องเขมือบ มือหนาเลื่อนบีบบั้นท้ายกลมกลึงอย่างอดใจไม่ไหว ก่อนขายาวของคิณณ์แทรกตัวเข
"ใครบอกจะทำรอบเดียว?" ท่อนเอ็นหนาในกายจากที่สิ้นฤทธิ์ บัดนี้พองขยายคับแน่นช่องคลอดหญิงสาวพร้อมออกรบสู้ศึกอีกครั้ง"อ๊ะ หนูไม่ไหวแล้วมันเจ็บ""สัญญาจะทำเบาๆ"คิณณ์จับร่างบางพลิกคว่ำ มือเลื่อนจับสะโพกหญิงสาวตั้งขาชันขึ้น ค่อยๆบดเบียดลำเอ็นเขื่องจนสุดโคนกระทุ้งจูบปากมดลูกเบาๆ แต่ทำเอาเธอสมองโพลนดวงตาพร่ามัว รู้สึกจุกแน่นท้องน้อยยิ่งกว่าท่าก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาร้อนพราวราวกับเป็นไข้ จับดวงหน้าหวานเย้ายวนมาประกบจูบปลุกเร้าอารมณ์เธอให้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง"ลัลน์เธอแน่นมาก" โพรงเนื้อสาวนุ่มตอดรัดแก่นกายชายหนุ่มราวกับไม่ให้ถอดลำลึงค์ออกจากดอกไม้งาม เส้นความอดทนขัดผึงลง คิณณ์ถอดถอนลำกายเกือบสุดปลายก่อนกระแทกสะโพกสอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว สองมือจับสะโพกผายอวบอิ่มตรึงไว้มั่น รองรับแรงเสน่หาที่กำลังซอยดุ้นเนื้อเข้าออกราวกับตอกเสาเข็มพลั่บ พลั่บ พลั่บเสียงการร่วมสังวาสดังลั่นภายในห้องเล็กอีกครั้ง ความเสียวเกินบรรยายแผดเผาหญิงสาวให้จมอยู่กับไฟเสน่หาที่เขาเป็นคนจุดเติมเชื้อเพลิงให้โหมกระหน่ำสะโพกสอบยังคงโหมกระแทกเข้ามาไม่หยุดยั้งเมื่อความต้องการจะขีดสุดลืมสัญญาครั้งก่อนจะเริ่มเพลิงสวาทบทใหม่
ร่างบางลุกขึ้นเดินเชื่องช้าด้วยยังเจ็บระบมกลางกาย เมื่อคว้าผ้าขนหนูได้จึงค่อยๆเดินนวยนาดไปยังห้องน้ำ ตอนนี้เธอรู้สึกเหนียวตัวเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมาจากสำนักงานเธอยังไม่ได้อาบน้ำไหนตกเย็นมาเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาอีกยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าลัลน์ดึงผมยาวที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการโรมรันทำกิจกรรมบนเตียงมือบางเอื้อมหยิบกิ๊บหนีบผมมาหนีบให้อยู่ทรงสะดวกต่อการอาบน้ำ มือเล็กเปิดฝักบัวความเย็นจากน้ำที่ไหลลงมาทำให้หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจับไข้มากกว่าสบายตัวอย่างที่ควรจะเป็น“ว้าย พี่คิณณ์คะรบกวนพี่ออกไปก่อนหนูโป๊อยู่” คิณณ์เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ร่างกายกำยำที่ในปกติแล้วซ่อนอยู่ภายใต้ชุดทำงานตลอดทั้งวัน กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นตึงเป็นลอนใหญ่ชัดเจน นูนขึ้นอย่างสมส่วนราวกับถูกแกะสลักด้วยมือของประติมากร ไหล่กว้างและลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งออร่าของความแข็งแกร่งที่ยากจะละสายตา “ขนาดนี้แล้วยังอายอะไรอีก” ชายหนุ่มหาได้ฟังคำทัดทานไม่ กลับสาวขายาวก้าวเข้ามายิ่งเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันเป็นแผงชัดเจน ไล่ลงมาสู่หน้าท้องทรงตัววีที่เด่นชัด ร่องกล้ามเ
เสียงหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน น้ำมันพริกลอยเต็มหม้อ กลิ่นหอมของน้ำซุปหมาล่าลอยกรุ่นกระตุ้นต่อมน้ำลายหญิงสาวทั้งสอง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน สองสาวเพื่อนซี้ต่างนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ชุดผักสดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อหมู เนื้อวัวและซีฟู้ดที่เรียงรายวางอยู่เต็มโต๊ะ หนูนาคีบหยิบชิ้นเนื้อแผ่นบางจุ่มลงในน้ำซุปจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ ก่อนจะคีบเนื้อสุกฉ่ำกำลังดีขึ้นมาพร้อมกับน้ำจิ้มแล้วหย่อนเข้าปาก ดวงตาวาววับเปล่งประกายอย่างมีความสุข"นี่แหละชีวิต เนื้อนุ่มละลายในปากเลยแก มาๆเชียส์"หนูนาคีบเนื้อกระทบชนกับตะเกียบของลัลน์ประหนึ่งว่ากำลังชนแก้วเบียร์อย่างไรอย่างนั้น"หนูนามีความสุขกับการกินได้เสมอเลยนะ" หญิงสาวกลั้วหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนสาวมีความสุขกับการกินอย่างแท้จริง ทำให้เธอลืมความรู้สึกอัดอั้นภายในใจได้ชั่วขณะ"แน่นอนสิคะเรื่องกินหนูนาคนนี้มีหรือจะพลาด ฝึกงานมาเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องฝากท้องไว้กับของกินค่ะ ชาบูจะเยียวยาทุกสิ่งเอง ลัลน์ก็กินบ้างสิอย่ามัวแต่ครบผักลงหม้ออยู่""ค่าๆๆ" ลัลน์มองหนูนาที่กำลังเพลิดเพลินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข อมยิ้
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน
“พร้อมจะเป็นเมียพี่รึยังครับ?” เสียงทุ้มเสียงแตกพร่าตามความต้องการที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานสูงยิ่งขึ้น สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานหยาดเยิ้มพลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนให้พ้นทาง ท่อนเอ็นลำใหญ่ดีดผึงออกมาชี้หน้าประกาศศักดาตน ลัลน์เบิกตาโพลงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจ้องมองลำเอ็นเขาที่ชี้หน้าเธออย่างหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอแต่เมื่อมองขนาดของมันแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นสู่ปลายประสาททั่วกาย ไม่ว่าจะพบเห็นสักกี่ทีเธอก็ไม่อาจชินกับขนาดใหญ่โตนี้ได้ ชายหนุ่มช้อนตัวอุ้มหญิงสาวไว้แนบอกก่อนจะค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียง เมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสได้ที่นอนความกลัวในจิตใจแล่นปาดเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทาน ถามว่าเธอรักเขาไหม เธอตอบได้ตรงนี้เลยว่าใช่แต่เธอก็กลัวท่อนเอ็นที่ใหญ่ยาวเกินไปเช่นเดียวกัน “หนูยังกลัวมันอยู่อีกเหรอ” คิณณ์ถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ มองหญิงสาวอย่างเอ็นดูในความขี้ขลาดของเธอ เขายอมให้เธอได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ หากเธอร้องขอเขาให้หยุดเขาจะไม่มีวันหยุดทำรักกับเธอเด็ดขาด “มันใหญ่เกินไป” หญิงสาวกลั้นใจตอบเสียงแผ่วเบา เธอไม่ได้เคยเห็นมันครั้งแรกอี
หลังจากงอนอยู่นาน นางเอกก็รู้สึกเหนื่อยเกินจะทนต่อความพยายามของชายหนุ่มที่ยืนโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาอ่อนโยนของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกผิดค่อยๆ คลายปมในใจของเธอทีละน้อย"ถ้าหนูยังงอนพี่ พี่ง้อหนูจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้เลยนะ" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังท้าทายให้เธอลองใจแข็งต่ออีกหน่อย“หนูไม่มีเวลามาฟังพี่ถึงเช้าหรอกนะคะ เพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงาน” หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะกอดอกหลบสายตา ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย“แสดงว่าหนูยอมคืนดีกับพี่แล้วใช่ไหมคนดี” คิณณ์หัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูท่าทีเขินอายของร่างบาง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าทั้งสองใกล้กันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันได้ “หนูไม่ได้บอกสักคำว่าหนูหายโกรธแล้ว ยังต้องดูพฤติกรรมพี่ไปอีกนาน” ลัลน์เบือนหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงจัดกับการถึงเนื้อถึงตัวของชายหนุ่ม"พี่ขอจับมือหนูได้ใช่ไหมคะ?" คิณณ์พูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่รอคำตอบให้เธอปฏิเสธเขา ทันทีที่มือเล็กๆ ของเธอสัมผัสมือใหญ่ของเขา คนตัวโตกว่ากระชับมือแน่นขึ้น ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้จนแทบจะได้ยินเส
"ไม่ ออกไปนะบอกให้ออกไปไง!" ลัลน์ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร้องไห้โฮพร้อมตลอดชายหนุ่มที่พยายามจะเข้าห้องเธอ สุดท้ายเมื่อเธอไม่อาจสู้แรงเขาได้จึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นห้องแสนเย็นเฉียบนี้"ลัลน์ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!" คิณณ์รีบโผตัวเข้ามากอดร่างผอมบางไว้เมื่อเธอทิ้งตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง"ท่านต้องการอะไรจากหนูอีก ท่านได้ไปหมดทุกอย่างแล้วหนูไม่มีอะไรจะให้ท่านแล้ว ช่วยปล่อยหนูไปจะได้ไหม" หญิงสาวร้องไห้โฮสะบัดตัวออกมาจากอ้อมอกกว้างก็ไม่หลุดพ้น กำปั้นเล็กทุบเขายังระบายความเจ็บปวดในจิตใจแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงคิณณ์ปล่อยให้หญิงสาวถูกอกตัวเองจนพอใจ ร่างเล็กยังคงร้องไห้อย่างหนักน้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งเสื้อเชิ้ต เมื่อเห็นว่าแรงทุบอกของตนไม่ทำให้ร่างแกร่งสะทกสะท้านแม้แต่น้อยประกอบกับเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลัลน์จึงปล่อยให้ตัวเองจมลงในอ้อมกอดที่เธอรู้สึกว่าแสนจะอบอุ่น นึกรังเกียจตัวเองที่ยังคงโหยหาอ้อมกอดนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน"หนูเกลียดท่าน เกลียด เกลียดมากด้วย ฮือออ" เสียงของเธอแหบพร่าพูดเบาราวกับกระซิบ แต่ถ้าว่าดังลึกเข้าโสตประสาทของคิณณ์อย่างชัดเจน เสียงของเธอเหมือนลิ่มที่ตอกลงก
ความทรงจำไหลพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อณรงค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องเงียบกริบไม่มีบทสนทนาใดๆ ณรงค์หันหลังแขวนชุดครุยเสร็จสาวเท้าไปนั่งลงบนโซฟาหยิบแก้วน้ำที่วางขึ้นมาจิบก่อนจะหันไปถามคิณณ์นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน"คิณณ์แกมีปัญหาอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำจริงจัง สายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่เหมือนจะพยายามจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าแต่ดูเหมือนว่าความคิดจะลอยไปไกลอยู่ที่อื่น"ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?" คิณณ์หยุดมือที่กำลังเกษียณคำสั่งลงสำนวน ถามกลับเสียงเรียบทว่าแววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ"ทั้งแกและเด็กคนนั้นสภาพเป็นกันอย่างนี้ คิดว่าคนอย่างฉันจะดูไม่ออกหรือไง แกเองตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอฉันเจอกับเด็กคนนั้นวันนี้สภาพก็ย่ำแย่ จะปล่อยให้มันคาราคากระสังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" คำถามนี้เหมือนตอกย้ำในจิตใจของคิณณ์ เขาก้มหน้าลงมองประธานสำนวนมือกำปากกาแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด แต่ก็ไม่ตอบกลับอะไรกับชายหนุ่มรุ่นพี่
หลังจากกลับจากการพิจารณาคดี คิณณ์ก้าวเข้ามายังห้องพักผู้พิพากษา ภาพร่างผอมบางของลัลน์ที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาอยู่มุมหนึ่ง ท่าทางของเธอเรากับคนไร้วิญญาณสายตาที่เคยสดใสกลับมืดมนจนเขารู้สึกหน่วงใจในตอนนั้นเขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รวบรวมความเย็นชาไว้เป็นเกราะกำบัง สายตามองผ่านเธอไปไม่หันไปมองใบหน้าอมทุกข์นั้น คิณณ์ปิดประตูห้องพักเบาๆ แล้วทรุดนั่งลงที่โต๊ะทำงานสองมือค้ำศีรษะอย่างใช้ความคิด'สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?' คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวราวกับเขาถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและอดีตที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน ภาพของหญิงสาวในวันนี้เมื่อเขามองไปกลับสะท้อนภาพเงาของเขาในอดีต วันที่โลกทั้งใบของเขาพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...อดีตเมื่อ 7 ปีที่แล้ว…ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างกายสูงโปร่งคาดว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 185 เซนติเมตร เดินเข้าประตูคฤหาสน์หลังงานอันแสนคุ้นเคย รอยยิ้มบางเบาเปื้อนอยู่บนใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายขณะที่ผิวเข้มสีน้ำผึ้งขับกับผมสีดำที่ถูกเซตมาเป็นอย่างดีทำให้หน้ามองยิ่งขึ้น ชุดสูทสีกรมท่าที่สวมใส่เข้ากับร่างสูงสามารถเสริมให้เขาดูภูมิฐานแ
ดวงตากลมโตแดงช้ำกวาดสายตาไปตามโถงทางเดิน ก่อนจะพบกับบุคคลที่เธอคะนึงหากำลังยืนสนทนากับบุคคลที่เธอไม่รู้จัก ราวกับภาพหลอนใต้จิตสำนึก ร่างกายหยุดชะงักแข็งทื่อหัวใจเหมือนถูกบีบรัดเอกสารในมือเริ่มสั่นเล็กน้อย หญิงสาวพยายามควบคุมสติกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะทะลักออกมา คาดหวังว่าภาพที่เธอเห็นอาจเป็นภาพหลอนของเธอ แต่ภายในใจลึกๆนั้นกลับภาวนาขอให้เป็นเขา"อ้าว นกเป็นไงมาคดีอะไรวันนี้" บุคคลที่กำลังยืนสนทนากับคิณณ์หันมาเอ่ยทักทายกับเนตรนภาอยากสนิทสนม"ท่านคิณณ์สวัสดีค่ะ มาคดีแบงค์เหมือนเดิมค่ะพี่วัลลภ ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ" เนตรนภาเดินตรงเข้ามาทักทายคิณณ์ก่อนจะเอ่ยตอบวัลลภพร้อมรอยยิ้มสดใส"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าทีเป็นปกติยกมือไหว้สวัสดีวัลลภ ก่อนจะหันไปสวัสดีเขาโดยท่าทีเย็นชาชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่สายตาคมกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างบางที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาที่ลัลน์อ่านไม่ออก หลังจากทักทายกันเสร็จหญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินตามเนตรนภาไปโดยไม่หันกลับไปมองผู้พิพากษาหนุ่มอีก ทุกย่างก้าวของเธอที่เดินไปนั้นหนักจนแทบก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกเต็มไปด้วย
ครืด ครืด ครืดเสียงข้อความสั่นรัวบนโต๊ะทำงานภายในห้องพักผู้พิพากษาดึงความสนใจของคิณณ์จากกองเอกสารที่เขาพยายามจดจ่ออยู่ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะทำงานเช่นเดียวกัน ดวงตาคมกริบเหลือบมองโทรศัพท์อย่างลังเลกลัวว่าจะเป็นคนที่เขาคะนึงหาเป็นคนส่งมาแล้วเขาจะตัดใจออกห่างจากเธอไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนหน้าจอปรากฏขึ้น "Jed7" เจษฎาเพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียวของเขา คิณณ์กดเปิดข้อความปรากฏว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินหันหลังเข้าไปในหอพักอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูซูบผอมลงแทบจะพยุงตัวเองไม่ไหว ข้อความถัดมาเป็นวีดีโอสั้นๆเผื่อให้เห็นในช่วงวินาทีที่เธอโดนโซซัดโซเซอย่างน่าสงสาร คิณณ์มองคลิปนั้นด้วยหัวใจสั่นระรัวความรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างบีบัดหัวใจจนหายใจไม่ออกJed7: เด็กมึงดูท่าอาการหนัก รีบจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะสายไปคิณณ์ทำโทรศัพท์จนฝ่ามือหนาขาวซีดไร้สีเลือด คิ้วขมวดเป็นปมดวงตาคมฉายแววสับสนจับจ้องข้อความนั้นอยู่นาน เป็นเวลานานกว่าเขาจะตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ภาพของลัลน์ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวานของเธอยังคงดังกึกก้องอย
คฤหาสน์หรูตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนดอกไม้ที่มีแต่กุหลาบสีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ แสงไฟจากโคมระย้าภายในห้องโถงใหญ่ส่องประกายกระทบกับเครื่องเรือนหรูหราอันไม่อาจประเมินค่าได้ ผู้คนในงานเลี้ยงเล็กๆมาเพื่อฉลองวันเกิดของคุณหญิงไอย์ลดามารดาของคิณณ์ซึ่งต่างพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงคลอเบาๆคิณณ์ยืนอยู่มุมหนึ่งของงานอย่างหลีกเลี่ยงผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับประติมากรรมไร้ชีวิต มือถือแก้วไวน์ไว้จิบไปพลางนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบเจอเมื่อตอนเย็น"คิณณ์ลูก" เสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มจากด้านหลัง เขาหันไปพบกับคุณหญิงไอย์ลดาอยู่ในชุดราตรีสีงาช้างยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยมียักษ์หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับอบเอวภรรยาของตนเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีครับผัวแม่" คิณณ์เดินเข้าไปหยดลงตรงหน้าก่อนยกมือไหว้สวัสดีพร้อมกับเหน็บพ่อของตัวเองที่หวงเมียแม้กระทั่งกับลูก ก่อนจะเข้าสวมกอดร่างบางของแม่"เออ! ปล่อยเมียฉันได้แล้วอย่าลวนลามให้มาก" ไม่น่ามีอายุแต่ทว่ารอเราคมคายตามวัยอายุ 55 ปี แต่ติดเย็นชาดังที่คิณณ์เป็นย่อมสืบทอดมาจากวิ
"พี่คิณณ์! ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยขนลุกซู่เลย" รินทร์ร้องโวยวายกับการกระทำของพี่ชายของเธอ อยู่ๆก็เดินเข้ามาโอบเอวเธอไว้ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นซะงั้น!"ทำไมยัยรินทร์เดี๋ยวนี้ห่วงตัวกับพี่?" ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วมองรินทร์อย่างยียวนกวนประสาท"โถๆๆ พี่ชายจอมเย็นชาคะ ปกติคุณพี่ชายแสดงความอ่อนโยนแบบนี้กับน้องสาวคนสวยที่ไหนล่ะคะ นึกว่าผีเข้าต้องไปวัดเอาน้ำมนต์มาพรมพี่ไล่ผีซะแล้ว" รินทร์ยนต์คิ้วมองหน้าคิณณ์มือพลางลูบขนแขนทำท่าขนลุก"อืม ไม่ทำแล้วก็ได้ส่วนของพวกนี้ก็จ่ายเองนะ พอดีพี่ชายคนนี้มันเย็นชาและไม่อยากทำตัวอ่อนโยนให้ใคร" คิณณ์ยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของรินทร์พร้อมพูดแกล้งน้องสาวตัวแสบ"เดี๋ยวๆนะคะคุณคิณณ์ภัทร นี่น้องสาวนะคะถ้าไม่ดูแลน้องสาวจะให้ไปดูแลสาวที่ไหนถูกไหม ฉะนั้นเชิญคุณพี่ทำตัวผิดเข้าเหมือนเดิมได้เลยค่ะ""รีบๆไปเลือกจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่" เสียงเรียบเอ่ยดุรินทร์เตือนธุรกิจที่ต้องรีบไปกันในวันนี้"ค่าๆๆ แค่นี้ก็ทำเสียงดุไปได้วันเกิดแม่ไอย์ทั้งทีต้องเลือกให้พิถีพิถันหน่อย" รินทร์ต่อล้อต่อเถียงกับคิณณ์ยังไม่ยี่หระก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกเครื่องประดับให้มารดาของตน