แนะนำเรื่อง นลิน พนักงานห้างสู้ชีวิต ที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเองเสมอมา วันหนึ่งดันช่วยเด็กหญิงคนหนึ่งไว้จนตัวเองต้องตานย แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แทนที่จะตายแล้วตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่กลับต้องมาอยู่ในร่างหญิงที่ตาบอดที่ชื่อ หลินเพ่ยหลัน อีกทั้งเธอนี้ยังแต่งงานแล้วด้วย แต่ก็ดีหน่อยแม้ว่าสามีจะแต่งงานด้วยความจำยอม แต่เขาก็ไม่เคยทิ้งขว้างภรรยาตาบอดคนนี้ แถมยังดูแลดีเสียด้วยสิ แม้ว่าจะตาบอด แต่ถึงอย่างไรหลินเพ่ยหลันคนใหม่นี้ไม่ยอมที่จะเป็นคนไร้ค่าเด็ดขาด แม่สามีไม่รัก เธอจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม แล้วมาดูกันว่า หลินเพ่ยหลันคนนี้จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้หรือไม่!! มาติดตามและเอกใจช่วยหลินเพ่ยหลันได้ในเรื่องนี้เลยค่ะ
더 보기ยามเช้าเป็นช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากหลายบ้านในขณะที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เสียงนกร้องเบา ๆ ปะปนกับเสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มต้นทำงาน ถนนหนทางเต็มไปด้วยรถราที่เริ่มวิ่งขวักไขว่ ยังมีเสียงแตรรถยนต์ที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว เพิ่มความวุ่นวายให้กับบรรยากาศในเมืองหลวงเป็นอย่างยิ่ง
แสงแดดแรกของวันเริ่มสาดส่องผ่านตึกสูงระฟ้า ส่องลงมายังถนนหนทางที่เต็มไปด้วยผู้คนและรถยนต์ คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเร่งรีบขับผ่านฝูงชน รถแท็กซี่สีสันสดใสรอรับผู้โดยสารอยู่ริมถนน พ่อค้าแม่ค้าขายอาหารเช้าตามทางเดินเท้า กลิ่นหอมของข้าวเหนียวหมูปิ้งและกาแฟร้อน ๆ ลอยมาในอากาศ นี่จึงทำให้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชะงักแล้วหันมามอง และก็มีหลายคนที่แวะซื้ออาหารข้างทางที่อร่อยแต่ราคาไม่แพงนักเพื่อเป็นอาหารเช้าสำหรับตัวเอง
เวลาเร่งด่วนแบบนี้ผู้คนต่างพากันรีบร้อนเดินทางไปยังจุดหมายของตนเอง บางคนสวมสูทและถือกระเป๋าเอกสาร บางคนก็สวมเครื่องแบบนักเรียนถือกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ ทุกคนมีท่าทีเร่งรีบต่างก็มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายรถเมล์แล้วแต่ความถนัดและเงินในกระเป๋าของตนเอง
เสียงประกาศจากสถานีรถไฟฟ้าดังก้องไปทั่วชานชาลา “ขบวนถัดไปกำลังจะเข้าสู่ชานชาลา”
ทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศ ผู้โดยสารต่างเร่งรีบมายืนรอที่จุดบริการเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าที่แออัดไปด้วยผู้คน
“นี่ถ้าไม่คิดว่าใกล้จะสายแล้ว ฉันไม่ขึ้นหรอกนะรถไฟฟ้าเนี่ย แพงก็แพง เงินเดือนก็แค่นี้ ถ้าขึ้นทุกวันเงินไม่เหลือหรอก” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินมากับเพื่อนพูดขึ้น
“เอาเถอะน่าแค่วันเดียวเอง อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย ระหว่างเสียเงินขึ้นรถไฟฟ้ากับโดนหักค่ามาสายอะไรจะเยอะกว่ากันเธอลองคิดสิ ไปกันเถอะรถไฟมาแล้ว” เพื่อนของเธอตอบ ก่อนจะดันหลังเพื่อต่อคิวขึ้นรถไฟฟ้าที่มาถึงชานชาลาเรียบร้อยแล้ว
เสียงสนทนาของทั้งคู่ดังเข้าหูนลินที่ยืนอยู่ไม่ไกล เธอได้ยินก็อดที่จะสงสารไม่ได้ นั่นเพราะว่าคนเมืองหลวงไม่ได้มีแต่เธอเท่านั้น ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบและเต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นเหมือนกัน
จากนั้นจึงก้าวขึ้นรถไฟฟ้าด้วยความเร่งรีบ เพราะเธอจำเป็นต้องไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาแปดโมงเช้า
รถไฟฟ้าในช่วงเช้ามีคนแน่นไปหมด อย่าว่าแต่จะหาที่นั่งเลย แม้แต่ที่ยืนก็ยังหายาก นลินพยายามหาที่ว่างพอที่จะยืนอย่างมั่นคง เธอทอดสายตาออกไปมองเมืองหลวงที่วุ่นวายผ่านหน้าต่างรถไฟฟ้าที่สะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้นึกถึงบ้านที่ต่างจังหวัดที่เธอจากมา
เลยคิดย้อนไปถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับแม่ตอนที่จะมาเรียนที่กรุงเทพ ซึ่งความทรงจำเหล่านั้นยังคงชัดเจนในใจแม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
“แม่ หนูจะไปกรุงเทพฯ แล้วนะ อีกสองสามวันก็จะเปิดเทอมแล้ว ตอนนี้เพื่อนที่สอบได้ที่เดียวกัน เขาก็ย้ายเข้าไปอยู่หอกันหมดแล้วด้วย” นลินบอกกับแม่ขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าและสิ่งของจำเป็นใส่กระเป๋า
แม่ของเธอยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมกับพูดด้วยความดีใจที่ลูกสาวคนนี้กำลังจะมีอนาคตที่ดี “ไปเถอะลูก ไปหาความรู้และอนาคตที่ดี แม่อยู่ทางนี้จะเป็นกำลังใจ ให้ลูกของแม่ฝ่าฟันทุกอย่างจนถึงจุดหมายปลายทาง”
“หนูไปอยู่ที่นู่น กว่าจะกลับมาบ้านก็ช่วงปิดเทอม หนูคงคิดถึงแม่แย่เลย” เธอพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของแม่เพื่อหาความอบอุ่น ที่หลังจากนี้เธอไม่สามารถโอบกอดได้ทุกวันอีกแล้ว
“แม่ก็จะคิดถึงหนูเหมือนกัน แต่แม่เชื่อว่านลินของแม่จะทำได้ แม่ภูมิใจในตัวลูกเสมอนะ ลูกรัก” สมรโอบกอดลูกสาวด้วยความรักและห่วงใย เธอเองพยายามซึมซับอ้อมกอดนี้ไว้ นั่นเพราะคงอีกนานกว่าจะได้กอดลูกแบบนี้อีก
“แล้วแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินนะ เดี๋ยวหนูจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไม่ให้แม่ต้องลำบากทำงานหนักหาเงินส่งหนูเรียน” นลินบอกแม่อย่างมั่นใจ สีหน้าของเธอดูมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก เรื่องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เธอตั้งใจจะทำแบบนั้นจริง ๆ
“เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจะไหวเหรอลูก เดี๋ยวก็เรียนไม่ทันเพื่อนหรอก แม่กับพ่อก็ยังทำงานได้อยู่ แม่กับพ่อส่งลูกเรียนได้ ขอแค่ลูกตั้งใจเรียนให้ดีก็พอ” คนเป็นแม่เองก็ไม่อยากให้ลูกลำบากเช่นกัน นางรู้ว่าการเรียนอย่างเดียวก็เหนื่อยมากแล้ว นี่ลูกสาวยังจะเรียนไปทำงานไปด้วย สมรกลัวว่าลูกสาวจะเหนื่อยเกินไป
“ได้สิจ๊ะแม่ คนอื่นเขาก็ทำแบบนี้กันเยอะแยะ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก หนูจัดการบริหารเวลาได้ จะไม่ทำให้เสียการเรียนแน่นอนค่ะ” เธอกล่าวย้ำอย่างจริงจังอีกครั้ง หญิงสาวไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ต้องลำบากหาเงินส่งเสียเธอเรียน เพราะท่านทั้งสองอายุไม่น้อยแล้ว
นลินคือเด็กต่างจังหวัดที่จากบ้านมาไกลเพื่อเล่าเรียนและทำงานเลี้ยงตัวเองไปด้วย เธอเติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่นแต่ขัดสน และรู้ดีว่าทุกบาททุกสตางค์ที่เธอหามาได้นั้นมีค่าแค่ไหน และทุกหยาดเหงื่อที่หลั่งออกมาเป็นความภาคภูมิใจ ที่เธอสามารถแบ่งเบาภาระครอบครัวได้ นลินพยายามอย่างหนักในทุกวัน เพื่อให้สามารถสร้างอนาคตที่ดีให้กับตัวเองและคนที่เธอรัก
เวลาผ่านไปเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว ด้วยความขยันหมั่นเพียรและความมุ่งมั่นเลยสามารถหางานที่ดีทำได้ หญิงสาวยังคงเลือกที่จะทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะได้เงินเดือนที่ดีเธอตั้งใจทำงานเพื่อส่งเงินกลับบ้านให้พ่อแม่และน้อง ๆ ที่ยังต้องการการสนับสนุน
แม้ว่าการทำงานในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย แต่เธอไม่เคยย่อท้อ ต่อให้จะต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าและความกดดันจากการทำงานแค่ไหนก็ตาม
ในใจของหญิงสาวนั้นมีความฝันที่เรียบง่าย เธอหวังไว้ว่าจะทำงานเพื่อเก็บเงินให้ได้สักก้อน แล้วก็จะลาออกจากงานและกลับไปเปิดกิจการเล็ก ๆ ทำที่บ้านเกิด
นลินฝันถึงการเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ หรือร้านขายขนม หญิงสาวนึกภาพที่ทำงานอยู่ในร้านของตัวเอง แค่นี้ก็มีความสุขกับการได้ทำสิ่งที่รัก และสามารถดูแลพ่อแม่ในบั้นปลายชีวิตของพวกท่านได้
หญิงสาวมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำความฝันให้เป็นจริง แม้ว่าหนทางอาจจะยาวไกล แต่เธอเชื่อว่าด้วยความพยายามและความตั้งใจ จะสามารถสร้างชีวิตที่ดีและมีความสุขได้ เธอจะไม่หยุดฝันและจะไม่หยุดเดินทางในเส้นทางที่เธอเลือก
หญิงสาวนึกย้อนกลับไปถึงเช้าวันหนึ่งที่ทำให้เธออารมณ์เสียไม่หาย ตอนนั้นเธอกำลังทำงานที่แผนกเครื่องสำอางของห้างสรรพสินค้า ลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับทำหน้าตาไม่พอใจและถามถึงผลิตภัณฑ์ที่นลินไม่สามารถหาให้ได้ในตอนนั้นเพราะสินค้าหมดสต๊อก เธอจึงได้พยายามอธิบายอย่างสุภาพ แต่ลูกค้ากลับโวยวายเสียงดัง
“เธอเป็นผู้ช่วยผู้จัดการแผนกประสาอะไร ไม่มีความสามารถเลยหรือยังไง แค่นี้ก็ทำไม่ได้” ลูกค้าตะคอกใส่เธอเสียงดังอย่างไม่พอใจ
นลินรู้สึกหงุดหงิดและกดดันอย่างมาก แต่ก็ยังพยายามอธิบายอย่างใจเย็น นั่นเพราะไม่อยากถูกตำหนิหรือถูกหักเงินเดือน “ขอโทษค่ะ สินค้าตัวนี้หมดสต๊อก แล้ว แต่ถ้าคุณลูกค้าต้องการจริง ๆ ดิฉันสามารถสั่งมาให้ใหม่ได้ค่ะ”
“ไม่ต้องมาอ้างเลย ฉันไม่อยากรอ” ลูกค้าพูดพลางโยนผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในมือใส่นลินด้วยความฉุนเฉียว
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร
บทที่ 60 กลับมาเยี่ยมบ้านพวกเขาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอยู่นาน ดื่มด่ำกับความรู้สึกของความคิดถึงที่รอคอยมานาน ขณะนั้นเสียงลมหายใจของทั้งสองคลอเคลียกันอย่างอบอุ่น“พี่รู้ไหมว่าเวลาไม่กี่เดือนสำหรับฉันแล้ว เหมือนมันนานเป็นหลายปีเชียวล่ะ” หลินเพ่ยหลันกล่าวเบาๆ“พี่เข้าใจ ต่อไปพี่จะพยายามกลับมาหาเพ่ยหลันให้มากขึ้น ถ้าทำภารกิจเสร็จ พี่ก็จะขอลาหยุดแล้วมาหาภรรยาเลยครับ” ซ่งเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหลินเพ่ยหลันยิ้มทั้งน้ำตาและสัมผัสแก้มของซ่งเฟยหลงอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้พี่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานของพี่มากกว่า อยู่ทางนี้ต่อให้คิดถึงพี่มากแค่ไหน ฉันก็ทนได้”“ไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าหน้าที่จะสำคัญ แต่ว่าครอบครัวก็สำคัญเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่จะพยายามทำทั้งสองอย่างให้ดีนะ” ซ่งเฟยหลงยืนยันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พวกเขานั่งลงข้างกันบนเตียง จับมือกันแน่น และแลกเปลี่ยนคำพูดหวาน ๆ ที่สะท้อนความรักและความผูกพันที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคิดถึง หัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน และรู้ว่าความรักที่มีต่อกันนั้น
บทที่ 59 ผู้กองซ่งหลินเพ่ยหลันมาถึงห้างสรรพสินค้าตอนบ่ายกว่า ๆ ก็ตรงขึ้นมาที่ห้องประชุมเลย เธอบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นผู้น้อยไม่ควรจะมาสาย และให้เหล่าผู้บริหารอาวุโสรอนาน มาถึงเธอก็จัดแจงเรื่องสถานที่ประชุมต่าง ๆ อย่างเสร็จสรรพการประชุมครั้งนี้เป็นความคิดของเธอเอง ที่จะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของตระกูลจงไปเปิดสาขาที่เมืองอื่นด้วย ก่อนหน้าที่เธอยื่นเสนอเรื่องนี้ไป ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจงหยวนต้าและเหล่าผู้บริหารอาวุโสต่างก็เห็นด้วยและเชื่อใจเธอ เพราะผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้นสร้างกำไรให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย จึงได้มีการเปิดประชุมเพื่อชี้แจงแผนงานอย่างละเอียดในบ่ายวันนี้“สวัสดีค่ะผู้บริหารทุกท่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันขอเข้าเรื่องเลยนะคะ อย่างที่ได้พูดคุยกันบ้างอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันอยากจะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของเราไปเปิดสาขาที่เมืองอื่น” หลินเพ่ยหลันเปิดการประชุมอย่างตรงไปตรงมา“ว่ามาเถอะเพ่ยหลัน พวกเราตื่นเต้นอยากฟังแล้ว” จงหวง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อหลินเพ่ยหลันบอกให้เลขาแจกจ่ายเอกสารที่เธอทำเป็นชุด ๆ ไว้ให้ผู้บริหารแต
บทที่ 58 เป็นที่ยอมรับของทุกคนหลินเสี่ยวหรงถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหลินเพ่ยหลัน แต่ครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของแม่ตัวเอง จึงพูดออกมาว่า“จะบ้าเหรอแม่ ใครเขาจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยกัน อย่าลืมสิว่าพวกเราไม่ได้ดูแลนังเพ่ยหลันดีสักเท่าไร แถมมันก็คงจะคิดว่าที่มันตาบอดเพราะพวกเราไม่สนใจไยดีพามันไปหาหมอ แล้วแบบนี้มีเหรอนังเพ่ยหลันมันจะยอมรับเรา มีเหรอคนตระกูลจงจะยอมให้พวกเราไปอยู่ด้วย”“แต่ตอนนี้มันรักษาตาจนกลับมามองเห็นแล้วนะ และถ้ามันจะอกตัญญูต่อพ่อก็ให้มันรู้ไปสิ ถ้าถึงขั้นจะทิ้งพ่อมันได้ลงคอ ก็คอยดูว่าฉันจะประจานมันยังไง” นางหลิวอี้พูดเสียงดังลั่น ทำให้ทั้งหลินตงและหลินเสี่ยวหรงต่างก็ส่ายศีรษะให้กับความดื้อดึงของนางหลิวอี้แต่ที่สุดแล้วหลินตงก็ทนความกดดันจากภรรยาไม่ไหว จนต้องเดินมาที่บ้านซ่งเพื่อขอที่อยู่ของหลินเพ่ยหลัน“แกจะเอาที่อยู่ของเพ่ยหลันไปทำอะไร” ซ่งตงลี่ถามหลินตงออกไป“ฉันก็แค่คิดถึงลูกสาวไม่ได้หรืออย่างไร เห็นว่าเพ่ยหลันไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง ฉันก็จะเขียนจดหมายไปถามข่าว” หลินตงตอบกลับไปตามที่ได้ซักซ้อมกันมากับนางหลิวอี้“หึ อย่ามาโกหกเลย ฉันรู้หรอกว่าจะเขียนไปขอเงินเพ่ยหลันล่ะส
댓글