จ้าวจินเยว่พูดต่อด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอีกครั้ง “พี่เสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถช่วยเพ่ยหลันได้ทันที พี่รู้ว่าอาเฟยเป็นห่วงเธอมาก ขอโทษจริง ๆ”
“ฉันก็ขอโทษพี่สามด้วยนะ ต่อไปฉันเองจะระวังมากขึ้น จะดูแลพี่สะใภ้สามให้ดี และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก จะรีบไปเรียกคนมาช่วยให้เร็วที่สุด ฉันสัญญา พี่สามอย่าโกรธฉันเลยนะ” ซ่งชุนเป้ยพูดพร้อมพยักหน้าด้วยอีกคน ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนของเธอเลยก็ว่าได้ที่ชะล่าใจเรื่องนี้
ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับรู้เบา ๆ เขาไม่คิดว่าทั้งสองคนคิดจะกลั่นแกล้งภรรยา ชายหนุ่มมองไปที่ทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องพี่สะใภ้ เราด้วยนะชุนเป้ย ต่อไปนี้หากว่าไปซักผ้าหรือทำอะไรที่ลำธาร ไม่ต้องให้เพ่ยหลันไปได้ไหม เธอมองไม่เห็นพวกเราทุกคนรู้ดี โอกาสเกิดอุบัติเหตุแบบวันนี้นั้นมีมาก จะให้คอยระวังตลอดไม่ได้หรอก ทางที่ดีให้เธอทำงานบ้านแค่อยู่ในบ้านนี้ก็พอแล้ว”
สุดท้ายแล้ว ซ่งเฟยหลงเลือกที่จะพูดแบบนี้ เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อภรรยาตนเอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเธอแบบชู้สาว แต่อย่างน้อยเขาก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง เลยอยากให้ทุกคนในบ้านมองเธอเหมือนคนในครอบครัว อย่ารังเกียจเพียงเพราะเธอพิการตาบอด
จ้าวจินเยว่ได้ยินอย่านั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความหนักใจ “พี่ว่าเรื่องนี้อาเฟยต้องไปคุยกับสะใภ้สามให้เข้าใจแล้วล่ะ พี่บอกเธอหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องไปด้วยมันอันตราย แต่สะใภ้สามก็ยืนยันว่าจะไปช่วยให้ได้”
“จริงค่ะพี่สาม ฉันเองก็ช่วยพูดห้ามแล้ว แต่พี่สะใภ้สามไม่ฟังเราสองคนเลย” ซ่งชุนเป้ยพูดขึ้นมาอีกคน ไม่ใช่ว่าเธอและพี่สะใภ้ใหญ่ไม่พูด หรือว่าห้ามพี่สะใภ้สาม แต่ไม่ว่าจะห้ามหรือพูดเท่าไร พี่สะใภ้สามก็ยังคงยืนยันที่จะไปด้วย จนเธอและพี่สะใภ้ใหญ่จนปัญญาที่จะห้าม
“ครับพี่สะใภ้ อย่างไรเดี๋ยวรอให้เธอตื่นก่อนก็แล้วกัน ผมจะคุยกับเพ่ยหลันในเรื่องนี้เอง ตอนนี้ให้เธอพักผ่อนก่อน ส่วนผมขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะครับ” ซ่งเฟยหลงพูดอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปทำงานตนเองต่อ
ย้อนกลับมาในห้อง
เวลานี้นลินเข้าสู่ในห้วงฝันอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ที่นี่ราวกับทะเลดวงดาวที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด เธอมองไปรอบ ๆ ก็เจอแต่ความเวิ้งว้าง กระทั่งมีเสียงขยับปีกของผีเสื้อดังขึ้นเบา ๆ เรียกความสนใจให้เธอหันไปมองทันที
นลินเห็นผีเสื้อบินมาใกล้ ๆ แต่พอเธอยื่นมือออกไป ผีเสื้อกลับบินไปช้าๆ เธอจึงเดินตามผีเสื้อตัวนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเธอได้หยุดอยู่เบื้องหน้าของผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวคนนี้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างที่สะท้อนเป็นประกายรอบตัว
นลินมองสำรวจหญิงตรงหน้าแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจเพราะใบหน้าของเธอคล้ายกับคนในความทรงจำมาก “เธอเป็นใคร เธอคือหลินเพ่ยหลันเหรอ”
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแค่ส่งยิ้มให้เธอเท่านั้น
ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านลิน จากนั้นก็ค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้ามาจนหน้าผากของหลินเพ่ยหลันแตะลงที่หน้าผากของเธอ นลินเบิกตากว้างก่อนจะมีแสงรัศมีบางอย่างส่องประกายมาออกรอบ ๆ ตัว
“ขอให้โชคดีนะ ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว” หลินเพ่ยหลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและดูคล้ายคนที่กำลังมีความสุข
นลินรู้สึกถึงความอบอุ่นและแสงสว่างที่แผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่าย มันเหมือนกับว่าความรู้สึกของหลินเพ่ยหลันถูกถ่ายทอดมาสู่เธอในวินาทีนั้น นลินรู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่หญิงสาวมีต่อครอบครัวและซ่งเฟยหลง ความตั้งใจที่จะไม่เป็นภาระ และความปรารถนาที่จะเห็นคนที่เธอรักมีความสุข
ในขณะที่แสงสว่างนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป หลินเพ่ยหลันก็ค่อย ๆ จางหายไปด้วย นลินยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของทะเลดวงดาว เธอรู้สึกได้ถึงความมั่นใจและความแข็งแกร่งที่หลินเพ่ยหลันได้ฝากไว้กับเธอ
หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผีเสื้อตัวเดิมได้บินกลับมาอีกครั้ง มันโบยบินไปรอบๆ ตัวเธอด้วยท่วงท่าที่สง่างามราวกับกำลังเต้นรำในอากาศ เธอยืนมองผีเสื้อด้วยความสนใจและค่อย ๆ ยื่นมือออกไปตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว พลันมันก็บินมาเกาะอยู่ที่สร้อยข้อมือของเธอ นลินจับจ้องสร้อยข้อมือที่มีหยกผีเสื้อประดับอยู่ ผีเสื้อตัวนั้นค่อย ๆ ซึมหายเข้าไปในหยกผีเสื้อ ราวกับว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับชิ้นนั้น
“ขอให้โชคดีอย่างนั้นเหรอ” นลินคิดทบทวนคำพูดนี้ของหลินเพ่ยหลันอีกครั้ง ‘คำพูดนี้มีหมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าให้เธอใช้ชีวิตที่เหลือในร่างของหลินเพ่ยหลันอย่างนั้นเหรอ’
นลินรู้สึกถึงความสับสนและความกังวลที่ถาโถมเข้ามาในใจ แต่ก็เริ่มเข้าใจและเธอไม่สามารถปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ว่าตนเองต้องใช้ชีวิตในร่างของหลินเพ่ยหลันคนนี้ให้ดีที่สุด
“หลินเพ่ยหลัน” นลินพูดชื่อของหญิงสาวที่เคยเป็นเจ้าของร่างนี้เบา ๆ คล้ายกับต้องการสื่อสารกับเธอ “ฉันไม่รู้ว่าทำไมเราถึงได้มาเจอกันในลักษณะนี้ แต่ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ชีวิตของเธอและคนที่เธอรักมีความสุข”
การกลับมาในห้วงฝันครั้งนี้ ทำให้นลินเห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นในร่างของใครก็ตาม เธอต้องยืนหยัดและต่อสู้เพื่อความสุขและความสำเร็จของตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่ารู้ว่าเส้นทางข้างหน้าอาจจะไม่ง่ายเลย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้อยู่ดี
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยและพอคิดถึงคำพูดของหลินเพ่ยหลันที่บอกว่า “ขอให้โชคดี” หญิงสาวมองว่าคำพูดนี้เป็นเสมือนคำอวยพรและคำสั่งเสียในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เต็มใจนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เธอก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว คงหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด
“ขอให้เธอโชคดีเช่นกันนะ หลินเพ่ยหลัน” นลินพูดออกมาเบา ๆ ไปกับสายลม และหวังว่าเจ้าของร่างนี้จะไปสู่ภพภูมิที่ดี
หลังจากเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของร่างนี้แล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าดวงตาทั้งสองข้างของเธอนั้นมองไม่เห็นแล้วจริง ๆ จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ความมืดมิดรอบตัวทำให้รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะแต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงดังราวเสียงฟ้าผ่าของนางหยางเจี่ยก็ดังขึ้น จนทำให้หญิงสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ
“หลินเพ่ยหลัน นี่เธอจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ป่านนี้แล้วถึงได้ยังไม่ลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้คนในบ้านกินอีกเหรอ”
นางหยางเจี่ยเดินเข้ามาในห้องก็บ่นอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้แสนชังยังไม่ยอมออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง เสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
นลินในร่างของหลินเพ่ยหลันคิ้วขมวดมุ่นทันที พร้อมกับคิดว่า
‘ต่อให้แม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ของตัวเองแค่ไหน แต่ดีร้ายยังไงเธอก็เป็นคนป่วย ใจคอจะให้คนป่วยลุกไปทำกับข้าวจริงเหรอ’
ถึงแม้ในใจจะคิดอย่างนั้น แต่จากความทรงจำของร่างเดิม คิดว่าคงไม่สามารถต่อต้านแม่สามีได้ จึงได้พยายามปรับตัวกับสถานการณ์นี้ เพราะรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจำใจขยับลุกจากเตียงอย่างช้า ๆ ขณะที่เสียงบ่นของแม่สามียังคงดังแว่วเข้ามาในหูไม่หยุด
“คนอื่นเขาตื่นนอนและไปทำงานกันหมดแล้ว เธอเคยสงสารสามีบ้างไหมว่าเขาทำงานหนักมาก พอกลับมาบ้านยังต้องมาหาของกินให้เธออีก!” ผู้เป็นแม่สามียังพูดไม่หยุด
เมื่อลุกขึ้นนั่งหลินเพ่ยหลันจึงหายใจเข้าปอดอีกครั้ง เพื่อรวบรวมความกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป แม้จะรู้สึกมึนงงอยู่บ้างเพราะต้องอยู่ในโลกมืดมิดแบบนี้ทำให้ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
แต่ต่อให้จะไม่ชินอย่างไรหญิงสาวก็พร้อมสู้ จึงได้ปัดป่ายมือไปสะเปะสะปะในอากาศ คว้าหาที่จับเพื่อพยุงตัวเอง แต่ไม่ว่าจะควานหาเท่าไรก็ไม่เจอสักที
บทที่ 8 ฉันกลายเป็นคนตาบอดไปแล้วนางหยางเจี่ยยังคงไม่หยุดที่จะบ่นด่าลูกสะใภ้ต่อ“ดูเธอสิ ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไปตายซะ จะให้บ้านซ่งมีลูกสะใภ้ที่ไร้ค่าแบบนี้ทำไมกัน ฉันไม่มีทางยอมให้เธอทำให้ครอบครัวบ้านซ่งของฉันเสื่อมเสียหรอกนะ”ได้ยินที่แม่สามีพูดแบบนี้ หญิงสาวก็ได้แต่กัดฟันอย่างพยายามระงับความโกรธที่กำลังจะลุกลาม เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า ‘นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน! ฉันเป็นคนป่วย!’แต่ก็รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้แม่สามีไม่ฟังเธอแน่นอนคิดได้แบบนั้นเธอค่อย ๆ คลำไปที่ขอบเตียงแล้วหยั่งเท้าลงไป แต่เพียงลุกเดินได้ก้าวแรกก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างแล้วล้มลงไป“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างของเธอล้มลงไปกองกับพื้น ดวงตาที่มองไม่เห็นอะไรเลยทำไม่สามารถรู้ได้ว่า เมื่อครู่นี้เธอนั้นชนเข้ากับอะไร“เห็นไหม บอกแล้วว่าเธอทำตัวไม่เอาไหน แล้วจะนอนอยู่ที่พื้นนี่อีกนานแค่ไหนกัน” นางหยางเจี่ยนอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังบ่นเสียงดังขึ้นอีกครั้ง“พอเถอะ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่ให้เธออยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าเธอไม่ทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น ฉันก็จะให้อาเฟยส่งเธอกลับบ้านพ่อของเธอ”ได้ยิน
บทที่ 9 ซ่งเฟยหลงซ่งเฟยหลงพยายามที่จะไม่ฟังเสียงแม่ของตัวเอง อีกทั้งในใจก็ไม่ยอมรับความคิดนี้ เขารู้ดีว่าหลินเพ่ยหลันเป็นคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตในบ้านซ่ง แม้จะมีอุปสรรคแต่เธอก็ยังคงพยายามทำดี และทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้เพราะไม่อยากเป็นภาระให้ใคร นั่นคือเหตุผลที่ต่อให้แม่จะพูดโน้มน้าวมากเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่ยอมหย่า“ผมว่าแม่เลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับเพียงสั้น ๆ เหมือนทุกครั้งที่แม่เขาบอกแบบนี้“หึ ลูกก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่เคยฟังแม่แก่ ๆ คนนี้บ้างเลย” นางหยางเจี่ยได้ฟังคำตอบก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาซ่งเฟยหลงก็เป็นเช่นนี้ หากยึดมั่นที่จะทำสิ่งใดแล้วก็จะไม่ยอมละทิ้งเด็ดขาดแม้ว่าการแต่งงานของทั้งสองคนจะเป็นการแต่งงานที่ซ่งเฟยหลงไม่ได้คิดไว้ก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนยันที่จะดูแลหลินเพ่ยหลันอย่างดีที่สุด และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อเธอเวลานี้แม้จะอยู่ในร่างของหลินเพ่ยหลัน แต่เก็ยังคงไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขาคือสามีของเธอ เพราะคนที่แต่งงานกับเขาไม่ใช่เธอเสียหน่อย แต่เป็นหลินเพ่ยหลันต่างหากล่ะ“เพ่ยหลันควรจะ
บทที่ 10 ที่นี่คือที่ไหน“นี่เธอลำบากขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นใจกันบ้าง แม่เลี้ยงกับน้องสาวของเธอไม่คิดจะทำอะไรเลยหรืออย่างไร คนอะไรใจดำขนาดนั้น” จ้าวจินเยว่พูดไปก็ถอนหายใจด้วยความสงสาร “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าพูดถึงพวกเขาเลย ตอนนี้ฉันก็ออกจากบ้านหลินมาแล้ว อยู่ที่นี่ก็ดีกว่าที่บ้านหลินเยอะค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบกลับเบา ๆ เธอยิ้มให้ทั้งสองด้วยความจริงใจ“เอาเถอะ อยู่ที่นี่ถึงแม้ว่าแม่จะขี้บ่น ปากร้ายไปบ้าง แต่พวกเราจะช่วยดูแลพี่อีกแรงนะ มีอะไรก็สามารถบอกได้เลย ยังไงพี่ก็เป็นพี่สะใภ้สามของฉัน” ซ่งชุนเป้ยพูดขึ้นอย่างมีน้ำใจ“ใช่ พี่ด้วยนะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้เลย” จ้าวจินเยว่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดเสริมอย่างมีน้ำใจเช่นกัน“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ขอบใจนะชุนเป้ย” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาด้วยความดีใจ ที่อย่างน้อยที่นี่ยังมีคนใจดีที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอพวกเธอใช้เวลาพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่ทำอาหาร ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าสามสาวในบ้านซ่งจะเข้ากันได้ดีไม่มีปัญหา ยิ่งพวกเธอร่วมมือกันงานต่าง ๆ ภายในบ้านก็เสร็จเร็วขึ้นเมื่อได้พูดคุยกับจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยแล้ว หลิน
บทที่ 11 ความฝันที่เหมือนจริง“หรือว่าประตูบานนี้จะเป็นทางกลับไปสู่โลกเดิมของเรา” ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลินเพ่ยหลันความดีใจเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในใจเช่นกัน แต่แล้วถูกดับลงด้วยความคิดที่ว่า “ในโลกเดิมนั้นเราได้ตายไปแล้ว แล้วจะกลับไปได้อย่างไร ป่านนี้ไม่ใช่ว่าเขาเผาร่างจนเหลือแต่กระดูกแล้วเหรอ”ตอนนี้เธอเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูและยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดด้วยความอยากรู้ว่าเบื้องหลังของประตูนั้นมีอะไรกันแน่ ทำให้หลินเพ่ยหลันตัดสินใจที่จะเปิดประตู“เอาล่ะ มันคงไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเท่ากับที่เราผ่านมาอีกแล้ว ไม่เปิดก็ไม่รู้ อย่างนั้นเปิดประตูเถอะ”พูดจบก็สูดอากาศเข้าปอดและเปิดประตูนั่นออกดู หลังจากนั้นก็มีแสงสีขาวจ้าส่องออกมาจากช่องประตูทันทีในขณะที่เธอเปิดมัน ทำเอาเธอรู้สึกแสบตาจนต้องหลับตาลงหลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกว่าแสงสีขาวนั้นก็หายไปจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลินเพ่ยหลันยื่นหน้าไปดูในประตูก่อน ยังไม่กล้าก้าวขาเข้าไปเนื่องจากยังไม่มั่นใจนัก ทว่าภาพตรงหน้าที่เห็นนั้น ก็ทำเอาเธอตกใจจนแทบหงายหลัง“เป็นไปไม่ได้” หญิงสาวรีบถอนตัวออกจากประตูแล้วพูดขึ้นเสียงดัง แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ค่อ
บทที่ 12 มันคืออะไรกันแน่หลังจากสามีออกไปแล้วหญิงสาวยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนที่นอนสักพัก พยายามจับต้นชนปลายว่า สรุปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่เมื่อคืนที่เธอได้เข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้นเป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริง ถ้าหากว่าเป็นความฝันแล้วลิปสติกแท่งนี้จะมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร และถ้าเป็นความจริงแล้วมันก็ออกจะแปลกเกินไปหน่อยแล้วหลินเพ่ยหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าคิดเท่าไรก็หาคำตอบไม่ได้จึงได้วางความคิดนั้นลง จากนั้นจึงไปเตรียมเสื้อผ้ามาให้สามีเอาไว้เปลี่ยนเพื่อใส่ไปทำงาน“เสื้อผ้าของพี่ฉันวางเอาไว้ให้ที่โต๊ะหน้าห้องน้ำนะคะ” หลินเพ่ยหลันตะโกนบอกสามีที่ตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่“ครับ เดี๋ยวพี่จัดการต่อเอง” เสียงของซ่งเฟยหลงตะโกนกลับออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่เตรียมข้าวของต่าง ๆ ให้สามีเรียบร้อยแล้วเธอจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อที่จะเตรียมอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ เมื่อเปิดตู้เพื่อหยิบแป้งออกมาจะทำหมั่นโถว สักพักก็มีเสียงของพี่สะใภ้ดังมาจากทางด้านหลัง“เช้านี้ทำอะไรเหรอเพ่ยหลัน” จ้าวจินเยว่ถามขึ้นอย่างใส่ใจ“ทำหมั่นโถวค่ะ กินกับน้ำแกง” หลินเพ่ยหลันตอบกลับไปด้วยน้ำเสีย
บทที่ 13 มิติห้างสรรพสินค้าหลินเพ่ยหลันตื่นจากภวังค์ความทรงจำเมื่อเดินสะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ในห้องครัว“ทำไมถึงได้มีชีวิตที่น่าสงสารแบบนี้นะหลินเพ่ยหลัน” เธอได้แต่พูดกับตัวเองเพื่อส่งไปถึงเจ้าของร่างเดิมหญิงสาวรีบสลัดความทรงจำนั้นให้หลุดออกจากสมองไปจากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องมา เมื่อนั่งลงบนเตียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพัก จะว่าเรื่อยเปื่อยเลยก็ไม่ใช่ เพราะเธอกำลังวางแผนว่าจะใช้ชีวิตในร่างตาบอดของหลินเพ่ยหลันคนนี้ต่อไปอย่างไรดีจะอยู่แต่บ้านแล้วทำงานบ้านไปแต่ละวันอย่างนี้ชีวิตคงน่าเบื่อแย่ อีกอย่างเธอไม่อยากเป็นภาระของสามีด้วย เผื่อวันใดวันหนึ่งต้องแยกทางกันขึ้นมาก็ควรที่จะดูแลตัวเองให้ได้ในโลกที่จากมานั้น คนตาบอดที่สามารถทำงานได้มากมาย พวกเขาใช้ไม้เท้าคลำทางเดินไปตามท้องถนนเพื่อไปทำงานของตนเอง บางคนทำงานเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนถึงขั้นทำงานฝีมือได้ก็มี บางครั้งทำออกมาได้ดีกว่าคนทั่วไปอีกต่างหากคนตาบอดที่ร้องเพลงเล่นดนตรีก็มีเยอะ พวกเขาไปรับจ้างร้องเพลงตามงานต่าง ๆ ก็ทำได้ดีเลยทีเดียว‘แต่ว่าเธอล่ะ ตอนนี้มีความสามารถอะไรบ้าง’หญิงสาวก็ได้แต่ถามตัวเองในใจ เพราะตอนนี้เธอใช้ชีวิตอย่างยา
บทที่ 14 ตอบอย่างไร้พิรุธ“อ้อ...เมื่อครู่นี้ฉันไปห้องน้ำมาค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบออกไป ซึ่งท่าทางของเธอไม่เหมือนคนโกหกเลย“แล้วทำไมพี่ไม่เห็นเลยล่ะ” จ้าวจินเยว่ยังคงงุนงง“ตอนนั้นพี่สะใภ้คงไม่ได้มองฉันมั้งคะ แต่ฉันรู้สึกว่าพี่อยู่ข้างนอกนะ” หญิงสาวทำเป็นตามน้ำโดยบอกว่า เธอรู้สึกเหมือนพี่สะใภ้อยู่ข้างนอก เพื่อให้น่าเชื่อว่าเธอไปเข้าห้องน้ำมาจริง ๆ“แล้วทำไมพี่กลับมาละคะ ลืมอะไรหรือเปล่า” เธอถามเพื่อเปลี่ยนเบี่ยงเบนความสนใจ“อ๋อ ใช่ พอดีพี่ลืมของนิดหน่อยน่ะ เป็นน้ำมันแก้วิงเวียนของพี่เอง แต่หาตั้งนานก็หาไม่เจอ เพ่ยหลันพอจะรู้บ้างไหมว่ามันอยู่ที่ไหน”จ้าวจินเยว่เมื่อถูกถามก็หันมาสนใจเรื่องที่ตัวเองกลับมาบ้านในตอนนี้ ด้วยการถามน้องสะใภ้ถึงแม้ว่าหลินเพ่ยหลันจะมองไม่เห็น แต่ว่าเธอก็สัมผัสทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้จนคุ้นชิน จึงรู้จักบ้านหลังนี้ดีกว่าคนอื่น เวลาที่ทุกคนหาของไม่เจอก็มักจะมาถามกับเธอเสมอ“งั้นเหรอคะ เดี๋ยวฉันขอนึกก่อนนะคะ” หลินเพ่ยหลันพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไป และนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา“เมื่อวานฉันรู้สึกว่ามันน่าจะอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นนะคะ ฉันเช็ดโต๊ะแล้วคลำเจอ คิดว่า
บทที่ 15 เข้าใจกันมากขึ้นซ่งเฟยหลงถือผ้าขนหนูผืนนั้นมาให้หลินเพ่ยหลัน เขาเอาวางใส่มือเธอไว้แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อพ่อซื้อให้เป็นของขวัญ ทำไมเพ่ยหลันไม่เก็บไว้ใช้เองละ เอามาให้พี่ทำไม พี่น่ะใช้อะไรก็ได้ ไม่ต้องใช้ของดีขนาดนี้หรอก”“ได้ยังไงกันคะ พี่เป็นคนที่ทำงานหาเงินมาดูแลครอบครัว ดูแลฉัน ฉันก็ต้องดูแลพี่กลับเหมือนกัน ถ้าพี่อยากให้ฉันสบายใจ พี่ก็รับไว้เถอะ” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาอย่างจริงจังการที่เธอทำแบบนี้ก็เป็นเพราะอยากจะตอบแทนเขาบ้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ ที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ดูแลเธออย่างดีตลอด ทั้งยังปกป้องเธอจากทุกคนแม้กระทั่งแม่ของเขาเอง“ขอบคุณครับ พี่จะรับไว้เพื่อให้เพ่ยหลันสบายใจ”ซ่งเฟยหลงตอบกลับเมื่อรู้เหตุผลของเธอ จากนั้นจึงหยิบคืนมาก่อนจะพาดผ้าขนหนูขึ้นบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปส่วนหลินเพ่ยหลันก็ออกมาจากห้องเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนร่วมกับจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ย เมื่อกินอาหารเช้าแล้วทุกคนก็ไปทำงานที่คอมมูนตามปกติหลินเพ่ยหลันยังคงเข้ามิติทุกครั้งที่มีโอกาส ถ้าเป็นไปได้เธอก็จะหาเวลาเข้าทุกวันและหยิบของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาส่วนมากก็จะเป็นอาหารสดเพราะเป็นท
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร
บทที่ 60 กลับมาเยี่ยมบ้านพวกเขาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอยู่นาน ดื่มด่ำกับความรู้สึกของความคิดถึงที่รอคอยมานาน ขณะนั้นเสียงลมหายใจของทั้งสองคลอเคลียกันอย่างอบอุ่น“พี่รู้ไหมว่าเวลาไม่กี่เดือนสำหรับฉันแล้ว เหมือนมันนานเป็นหลายปีเชียวล่ะ” หลินเพ่ยหลันกล่าวเบาๆ“พี่เข้าใจ ต่อไปพี่จะพยายามกลับมาหาเพ่ยหลันให้มากขึ้น ถ้าทำภารกิจเสร็จ พี่ก็จะขอลาหยุดแล้วมาหาภรรยาเลยครับ” ซ่งเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหลินเพ่ยหลันยิ้มทั้งน้ำตาและสัมผัสแก้มของซ่งเฟยหลงอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้พี่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานของพี่มากกว่า อยู่ทางนี้ต่อให้คิดถึงพี่มากแค่ไหน ฉันก็ทนได้”“ไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าหน้าที่จะสำคัญ แต่ว่าครอบครัวก็สำคัญเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่จะพยายามทำทั้งสองอย่างให้ดีนะ” ซ่งเฟยหลงยืนยันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พวกเขานั่งลงข้างกันบนเตียง จับมือกันแน่น และแลกเปลี่ยนคำพูดหวาน ๆ ที่สะท้อนความรักและความผูกพันที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคิดถึง หัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน และรู้ว่าความรักที่มีต่อกันนั้น
บทที่ 59 ผู้กองซ่งหลินเพ่ยหลันมาถึงห้างสรรพสินค้าตอนบ่ายกว่า ๆ ก็ตรงขึ้นมาที่ห้องประชุมเลย เธอบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นผู้น้อยไม่ควรจะมาสาย และให้เหล่าผู้บริหารอาวุโสรอนาน มาถึงเธอก็จัดแจงเรื่องสถานที่ประชุมต่าง ๆ อย่างเสร็จสรรพการประชุมครั้งนี้เป็นความคิดของเธอเอง ที่จะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของตระกูลจงไปเปิดสาขาที่เมืองอื่นด้วย ก่อนหน้าที่เธอยื่นเสนอเรื่องนี้ไป ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจงหยวนต้าและเหล่าผู้บริหารอาวุโสต่างก็เห็นด้วยและเชื่อใจเธอ เพราะผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้นสร้างกำไรให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย จึงได้มีการเปิดประชุมเพื่อชี้แจงแผนงานอย่างละเอียดในบ่ายวันนี้“สวัสดีค่ะผู้บริหารทุกท่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันขอเข้าเรื่องเลยนะคะ อย่างที่ได้พูดคุยกันบ้างอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันอยากจะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของเราไปเปิดสาขาที่เมืองอื่น” หลินเพ่ยหลันเปิดการประชุมอย่างตรงไปตรงมา“ว่ามาเถอะเพ่ยหลัน พวกเราตื่นเต้นอยากฟังแล้ว” จงหวง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อหลินเพ่ยหลันบอกให้เลขาแจกจ่ายเอกสารที่เธอทำเป็นชุด ๆ ไว้ให้ผู้บริหารแต
บทที่ 58 เป็นที่ยอมรับของทุกคนหลินเสี่ยวหรงถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหลินเพ่ยหลัน แต่ครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของแม่ตัวเอง จึงพูดออกมาว่า“จะบ้าเหรอแม่ ใครเขาจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยกัน อย่าลืมสิว่าพวกเราไม่ได้ดูแลนังเพ่ยหลันดีสักเท่าไร แถมมันก็คงจะคิดว่าที่มันตาบอดเพราะพวกเราไม่สนใจไยดีพามันไปหาหมอ แล้วแบบนี้มีเหรอนังเพ่ยหลันมันจะยอมรับเรา มีเหรอคนตระกูลจงจะยอมให้พวกเราไปอยู่ด้วย”“แต่ตอนนี้มันรักษาตาจนกลับมามองเห็นแล้วนะ และถ้ามันจะอกตัญญูต่อพ่อก็ให้มันรู้ไปสิ ถ้าถึงขั้นจะทิ้งพ่อมันได้ลงคอ ก็คอยดูว่าฉันจะประจานมันยังไง” นางหลิวอี้พูดเสียงดังลั่น ทำให้ทั้งหลินตงและหลินเสี่ยวหรงต่างก็ส่ายศีรษะให้กับความดื้อดึงของนางหลิวอี้แต่ที่สุดแล้วหลินตงก็ทนความกดดันจากภรรยาไม่ไหว จนต้องเดินมาที่บ้านซ่งเพื่อขอที่อยู่ของหลินเพ่ยหลัน“แกจะเอาที่อยู่ของเพ่ยหลันไปทำอะไร” ซ่งตงลี่ถามหลินตงออกไป“ฉันก็แค่คิดถึงลูกสาวไม่ได้หรืออย่างไร เห็นว่าเพ่ยหลันไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง ฉันก็จะเขียนจดหมายไปถามข่าว” หลินตงตอบกลับไปตามที่ได้ซักซ้อมกันมากับนางหลิวอี้“หึ อย่ามาโกหกเลย ฉันรู้หรอกว่าจะเขียนไปขอเงินเพ่ยหลันล่ะส