“อ้อ...เมื่อครู่นี้ฉันไปห้องน้ำมาค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบออกไป ซึ่งท่าทางของเธอไม่เหมือนคนโกหกเลย
“แล้วทำไมพี่ไม่เห็นเลยล่ะ” จ้าวจินเยว่ยังคงงุนงง
“ตอนนั้นพี่สะใภ้คงไม่ได้มองฉันมั้งคะ แต่ฉันรู้สึกว่าพี่อยู่ข้างนอกนะ” หญิงสาวทำเป็นตามน้ำโดยบอกว่า เธอรู้สึกเหมือนพี่สะใภ้อยู่ข้างนอก เพื่อให้น่าเชื่อว่าเธอไปเข้าห้องน้ำมาจริง ๆ
“แล้วทำไมพี่กลับมาละคะ ลืมอะไรหรือเปล่า” เธอถามเพื่อเปลี่ยนเบี่ยงเบนความสนใจ
“อ๋อ ใช่ พอดีพี่ลืมของนิดหน่อยน่ะ เป็นน้ำมันแก้วิงเวียนของพี่เอง แต่หาตั้งนานก็หาไม่เจอ เพ่ยหลันพอจะรู้บ้างไหมว่ามันอยู่ที่ไหน”
จ้าวจินเยว่เมื่อถูกถามก็หันมาสนใจเรื่องที่ตัวเองกลับมาบ้านในตอนนี้ ด้วยการถามน้องสะใภ้ถึงแม้ว่าหลินเพ่ยหลันจะมองไม่เห็น แต่ว่าเธอก็สัมผัสทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้จนคุ้นชิน จึงรู้จักบ้านหลังนี้ดีกว่าคนอื่น เวลาที่ทุกคนหาของไม่เจอก็มักจะมาถามกับเธอเสมอ
“งั้นเหรอคะ เดี๋ยวฉันขอนึกก่อนนะคะ” หลินเพ่ยหลันพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไป และนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา
“เมื่อวานฉันรู้สึกว่ามันน่าจะอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นนะคะ ฉันเช็ดโต๊ะแล้วคลำเจอ คิดว่าน่าจะใช่ พี่สะใภ้ลองหาที่โต๊ะดูนะคะเผื่อมันหล่นอยู่แถวนั้น” เธอตอบกลับไปหลังจากนึกขึ้นมาได้
“ได้จ้ะ ขอบใจนะเพ่ยหลัน” จ้าวจินเยว่พยักหน้ารับ และกำลังจะเดินออกจากห้องไป
ทว่ายังไม่ทันได้เดินออกไปจากห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งที่วางอยู่บนเตียงข้าง ๆ กับหลินเพ่ยหลัน เธอมองรองเท้าผ้าใบคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าสวยและแปลกตาดีจึงเอ่ยถามออกไป “รองเท้าของเพ่ยหลันเหรอ สวยจังเลย”
รองเท้าผ้าใบคู่นี้เป็นยี่ห้อดังในยุคสมัยใหม่ เป็นรองเท้าสีแดงตัดสลับกับสีขาว ตัดเย็บอย่างดี มีสัญลักษณ์ของยี่ห้อติดอยู่ที่ด้านข้างซึ่งดูสวยงามมาก จ้าวจินเยว่เห็นครั้งแรกก็ชอบเลย
“อ๋อ..เป็นรองเท้าเอาไว้ใส่ทั่วไปค่ะ ใส่ไปทำงานก็ได้ ใส่ไปเที่ยวเล่นก็ได้” หลินเพ่ยหลันเมื่อถูกถามก็ตอบออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“สวยมากจริงๆ ว่าแต่ไปเอามาจากไหนกัน”
จ้าวจินเยว่เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย รองเท้าแบบนี้น่าจะมีขายแค่ในเมืองเท่านั้น จึงไม่คิดว่าน้องสะใภ้จะไปหาซื้อรองเท้ามาได้ อย่าว่าแต่ไปซื้อของในเมืองเลย แม้แต่ออกจากหมู่บ้านแห่งนี้หลินเพ่ยหลันก็ไม่ค่อยออกไปเสียด้วยซ้ำ เธอไปไกลสุดก็ลำธารและสหกรณ์ของรัฐที่อยู่หน้าหมู่บ้าน
“อ้อ...ฉันซื้อไว้ตั้งแต่ตอนก่อนจะแต่งงานแล้วค่ะ พอย้ายของมาที่นี่ก็เลยเอามาด้วย ช่วงนี้ฉันอยู่ว่าง ๆ ก็รื้อของที่นำมาด้วยออกมาดูค่ะ ว่าแต่พี่สะใภ้ชอบเหรอคะ”
หลินเพ่ยหลันหาทางออกให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว จากที่อ่านนิยายมา ถ้าหากแต่งงานแล้วผู้หญิงจะมีสินเดิมติดตัวมาด้วย จึงถือว่ารองเท้าคู่นี้คือสินเดิมก็แล้วกัน นอกจากนี้เธอจับน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของพี่สะใภ้ได้ แสดงว่ารองเท้าคู่นี้น่าจะสวยถูกใจพี่สะใภ้จริง ๆ จึงถามออกไปเพื่อหยั่งเชิง
“ชอบสิ มันสวยดีนะ พี่ไม่เคยเห็นรองเท้าที่มีรูปร่างแปลกตาแบบนี้มาก่อนเลย ดูท่าทางแล้วน่าจะใส่สบายด้วย” จ้าวจินเยว่ตอบอย่างที่เธอคิด เพราะรองเท้าสวยจริง ๆ
“ถ้าพี่สะใภ้ชอบ อย่างนั้นฉันยกให้พี่ค่ะ เอาไปเลย” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมกับมือข้างหนึ่งก็คลำไปหยิบรองเท้าแล้วยื่นไปข้างหน้าในทิศทางที่เธอคิดว่าจ้าวจินเยว่ยืนอยู่
ด้วยความที่ทั้งตกใจและดีใจที่น้องสะใภ้มอบรองเท้าให้ จ้าวจินเยว่ก็เบิกตาโตขึ้นมา ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก “เพ่ยหลันให้พี่จริง ๆ เหรอ มันจะดีเหรอ”
“ดีสิคะ เก็บไว้กับฉันก็ไม่ได้ใส่หรอก ให้พี่สะใภ้เอาไปใส่จะเป็นประโยชน์มากกว่า” เธอตอบพร้อมยิ้มให้กับพี่สะใภ้ทีหนึ่ง
หลินเพ่ยหลันยกรองเท้าคู่นั้นให้พี่สะใภ้ไป ก็เพื่อสร้างไมตรีให้แน่นแฟ้นขึ้น อีกอย่างรองเท้าคู่นี้ก็ไม่ได้หามาอย่างยากลำบากอะไร ยังไงเสียถ้าอยากได้ก็แค่กลับเข้าไปเอาในมิติเท่านั้น ตอนนี้ก็รู้วิธีเข้าออกมิติแล้ว จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
“ขอบคุณมากเลยนะเพ่ยหลัน พี่จะดูแลรองเท้าคู่นี้อย่างดีเลยล่ะ” จ้าวจินเยว่ตอบรับและยื่นมือไปรับรองเท้าคู่นั้นมากอดแนบกับแก้มไว้ด้วยความดีใจ
“กลิ่นยังใหม่ๆ อยู่เลย” เธอดมรองเท้าแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คิดว่าถ้าพี่ใหญ่เห็นแล้วคงจะชอบมันเหมือนกันนะคะ รองเท้าแบบนี้ใส่ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง” หลินเพ่ยหลันพูดยิ้ม ๆ
“พี่ก็คิดเช่นนั้น เดี๋ยวพี่ไปหาของก่อนนะ จะต้องรีบกลับไปทำงานแล้ว” จ้าวจินเยว่บอกด้วยความดีใจ เธอดึงประตูเข้ามาเพื่อที่จะปิดกลับให้น้องสะใภ้ตามเดิม
“ค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะทำอาหารไว้รอนะคะ”
หลินเพ่ยหลัน ตะโกนตามไปด้วยน้ำเสียงสดใส
เมื่อจ้าวจินเยว่ออกไปแล้วหญิงสาวก็มานั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยต่ออย่างสบายใจ ในหัวของเธอวางแผนไว้หลายอย่าง แต่ว่าตอนนี้ตีกันวุ่นวายไปหมด
“แย่จัง ถ้าหากเป็นชาติที่แล้วเวลาที่คิดอะไรออกก็จะรีบจดไว้ ทว่าชาตินี้เหมือนกับว่ามีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย เป็นเพราะมองไม่เห็นจึงทำให้การเขียนอะไรเป็นเรื่องยากลำบาก แต่อย่างน้อยก็ยังดี ที่หลินเพ่ยหลันคนเดิมเป็นคนที่มีความจำค่อนข้างใช้ได้ ดังนั้นเราจึงจำเรื่องที่วางแผนไว้ได้พอสมควร คงจะเป็นระบบชดเชยของร่างกายสินะ ได้อย่างก็มักจะเสียอย่าง”
หญิงสาวพูดกับตัวเองเบา ๆ
หลังจากวันนั้นพอรู้วิธีใช้ประตูมิติแล้ว หลินเพ่ยหลันก็แอบเข้าไปในมิติอีกหลายครั้ง ซึ่งมักจะอาศัยจังหวะตอนดึกดื่นค่อนคืนหลังจากรอให้ซ่งเฟยหลงหลับไปแล้วค่อยเข้าไป บางวันก็แอบเข้าไปตอนกลางวันขณะที่แม่สามีกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลพ่อสามี
หญิงสาวลองหยิบนั่นหยิบนี่ติดมือมาบ้างแต่ก็จำนวนน้อยมาก อีกทั้งยังเลือกของที่ไม่แปลกตา ไม่ให้ดูเกินยุคสมัยมากเกินไป ไม่อย่างนั้นหากถูกถามว่านำมาจากที่ไหน ซึ่งก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะอย่างไรเสียเธอก็แค่หญิงพิการตาบอด ที่วัน ๆ อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน แล้วจะไปหาซื้อของพวกนั้นมาได้อย่างไร
เพราะที่นี่ตอนนี้เป็นช่วงยุค70 ยุคก่อนการปฏิรูป พวกสินค้าออนไลน์เดลิเวอรี่อะไรนั่นยังไม่มีหรอก หนำซ้ำที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านชนบทด้วย จึงทำได้แค่เพียงกินให้อิ่มอยู่ในมิติและเดินเล่นให้สบายใจเพราะในนั้นดวงตาของเธอมองเห็นทุกอย่าง จึงทำให้หลินเพ่ยหลันชอบเข้าไปบ่อย ๆ
เช้าวันหนึ่ง...
ซ่งเฟยหลงตื่นมาตอนเช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมที่จะไปทำงานที่คอมมูนตามปกติ ทว่าเมื่อเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดตัวที่หลินเพ่ยหลันเตรียมเอาไว้ให้ก็ถึงกับสะดุด เพราะสัมผัสของผ้าขนหนูนั้นทั้งนุ่มและผืนใหญ่มาก แตกต่างจากผ้าขนหนูที่เขาใช้มาหลายปี จนตอนนี้ขนร่วงแทบจะหมดแล้ว
“เพ่ยหลัน นี่ผ้าขนหนูใหม่เหรอ” ชายหนุ่มหันไปถามภรรยาด้วยความแปลกใจ และสายตาของเขาก็ยังคงมองผ้าขนหนูสีฟ้าที่อยู่ในมืออย่างไม่วางตา
“ใช่ค่ะ ฉันรู้สึกว่าผ้าขนหนูที่พี่ใช้อยู่มันเก่ามากแล้ว ก็เลยหาผืนใหม่มาให้” หลินเพ่ยหลันตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผ้าขนหนูผืนนี้เธอเลือกออกมาจากมิติเพื่อมอบให้เขาโดยเฉพาะ
“ไปเอามาจากไหน ผ้าขนหนูที่ทั้งนุ่มและผืนใหญ่แบบนี้คงราคาแพงน่าดู” ซ่งเฟยหลงยังคงถามด้วยสีหน้างุนงง เพราะไม่คิดว่าภรรยาจะสามารถไปหาผ้าเช็ดตัวที่ดีมากขนาดนี้มาให้เขาได้
“เป็นของที่พ่อฉันซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานค่ะ ฉันยังไม่เคยได้ใช้เลยนะคะ” หลินเพ่ยหลันตอบอย่างไร้พิรุธ เธอพยายามยิ้มให้เขาแม้จะหันไปคนละทาง
บทที่ 15 เข้าใจกันมากขึ้นซ่งเฟยหลงถือผ้าขนหนูผืนนั้นมาให้หลินเพ่ยหลัน เขาเอาวางใส่มือเธอไว้แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อพ่อซื้อให้เป็นของขวัญ ทำไมเพ่ยหลันไม่เก็บไว้ใช้เองละ เอามาให้พี่ทำไม พี่น่ะใช้อะไรก็ได้ ไม่ต้องใช้ของดีขนาดนี้หรอก”“ได้ยังไงกันคะ พี่เป็นคนที่ทำงานหาเงินมาดูแลครอบครัว ดูแลฉัน ฉันก็ต้องดูแลพี่กลับเหมือนกัน ถ้าพี่อยากให้ฉันสบายใจ พี่ก็รับไว้เถอะ” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาอย่างจริงจังการที่เธอทำแบบนี้ก็เป็นเพราะอยากจะตอบแทนเขาบ้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ ที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ดูแลเธออย่างดีตลอด ทั้งยังปกป้องเธอจากทุกคนแม้กระทั่งแม่ของเขาเอง“ขอบคุณครับ พี่จะรับไว้เพื่อให้เพ่ยหลันสบายใจ”ซ่งเฟยหลงตอบกลับเมื่อรู้เหตุผลของเธอ จากนั้นจึงหยิบคืนมาก่อนจะพาดผ้าขนหนูขึ้นบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปส่วนหลินเพ่ยหลันก็ออกมาจากห้องเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนร่วมกับจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ย เมื่อกินอาหารเช้าแล้วทุกคนก็ไปทำงานที่คอมมูนตามปกติหลินเพ่ยหลันยังคงเข้ามิติทุกครั้งที่มีโอกาส ถ้าเป็นไปได้เธอก็จะหาเวลาเข้าทุกวันและหยิบของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาส่วนมากก็จะเป็นอาหารสดเพราะเป็นท
บทที่ 16 ข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น“ขอโทษค่ะแม่ ฉันมองไม่เห็นเลยต้องใช้เวลาหาของนานหน่อย นี่ค่ะกระเป๋าน้ำร้อน” หลินเพ่ยหลันรีบพูดขอโทษก่อนจะยื่นกระเป๋าน้ำร้อนให้นางหยางเจี่ย“ยังใหม่ ๆ อยู่เลยนี่ แถมยังดูดีกว่ากระเป๋าน้ำร้อนที่ฉันเคยเห็นอีก เหมือนจะเป็นของแพง เธอได้มันมายังไง” นางหยางเจี่ยรับกระเป๋าน้ำร้อนมาแล้วก็เลิกคิ้วอย่างสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะถามกลับมา“เจ้านายของพ่อให้มาค่ะ พวกเรายังไม่เคยใช้เลย พ่อให้ฉันเอามาด้วยเพราะเห็นฉันไม่ค่อยแข็งแรง” หลินเพ่ยหลันตอบกลับไปทันที คำตอบเรื่องของที่นำมาจากบ้านเดิมยังคงใช้ได้ผลอยู่“ดี ๆ ขอบใจนะ” นางหยางเจี่ยตอบกลับอย่างดีใจและหันไปเอาน้ำร้อนใส่กระเป๋าเพื่อนำไปให้สามี“ค่ะแม่” ส่วนหลินเพ่ยหลันก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มกว้างเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หลินเพ่ยหลันได้ยินคำว่า ‘ขอบใจ’ จากปากของแม่สามี ตั้งแต่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ แม้แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไม่เคยได้ยินนางหยางเจี่ยพูดคำว่าขอบใจกับเธอเลยสักครั้ง ต่อให้พยายามทำดีกับนางมากเท่าไรก็ตาม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกก็เลยทำให้อึ้งเล็กน้อยแต่ความดีใจนั้นมีอยู่เต็มหัวใจ“จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ อย่ามาเกะกะแถวน
บทที่ 17 ความดีเอาชนะทุกอย่างซ่งเฟยหลงเดินเข้ามาในห้องของพ่อกับแม่พร้อมกับถ้วยข้าวต้มและยาที่อยู่ในมือ เมื่อเห็นอาการของพ่อตัวเองแล้วก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้ เพราะตอนนี้พ่อของเขานั้นไม่สามารถลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ยังมีอาการไออยู่ตลอดเวลา อาการของพ่อแย่มาก อาหารที่หลินเพ่ยหลันทำมาให้ในตอนเที่ยงนั้นเขาก็กินไปได้แค่นิดเดียวซ่งตงลี่เห็นลูกชายเข้ามาก็พยายามยันกายของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ทว่าไม่ไหวจนนางหยางเจี่ยต้องช่วยประคองขึ้นมา เขามองไปที่ลูกชายและพยายามทำสีหน้าให้ยิ้มแย้มแม้ว่าจะฝืนมาก“กลับมากันแล้วเหรอ งานที่คอมมูนเป็นอย่างไรบ้างล่ะ มีใครถามถึงพ่อไหม” ซ่งตงลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“งานที่คอมมูนก็ปกติครับ ลุงหยางกับลุงโจวถามถึงพ่อด้วยนะ พวกเขายังฝากมาบอกอีกว่าให้พ่อหายเร็ว ๆ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง“ดี ๆ พ่อไม่ได้ไปทำงานหลายวันก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ร่างกายนี่ก็มาอ่อนแออีก ไม่ได้ดังใจเลยจริง ๆ แคก ๆ” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับไอเล็กน้อย“ช่วงนี้อาการของพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ ดีขึ้นมาบ้างไหม” ซ่งเฟยหลงหันหน้าไปทางแม่ของตัวเองที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง“สองส
บทที่ 18 เข้าเมืองกับพี่สะใภ้ครั้งแรกเมื่อมั่นใจว่าเจ้าของมือเป็นใคร หญิงสาวก็เอ่ยถามออกมา“แม่มีอะไรให้ฉันช่วยเหรอคะ เดี๋ยวฉันล้างมือก่อนจะไปช่วยทำ” พูดจบเธอก็ดึงมือออกเพื่อจะไปล้างมือ“ไม่ต้องหรอกเพ่ยหลัน แม่แค่มีเรื่องจะพูดคุยด้วยเล็กน้อยเท่านั้น” นางหยางเจี่ยยังดึงมือของลูกสะใภ้ไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ในแบบที่หลินเพ่ยหลันไม่เคยได้ยินมาก่อน“เอ่อ...แม่มีอะไรเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะสิ่งที่แม่สามี กำลังทำอยู่ตอนนี้ผิดแปลกจากที่เธอคิดไว้มาก“แม่อยากจะขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ที่แม่เคยมองเพ่ยหลันว่าไม่มีประโยชน์ เคยดุด่าโดยที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเธอเลย ตอนนี้แม่รู้แล้วว่าเธอดีกับพวกเรามากขนาดนั้น แม่ขอโทษจริง ๆ เพ่ยหลันจะให้อภัยแม่ได้ไหม” นางหยางเจี่ยพูดออกมายาวเหยียด ขณะที่พูดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปด้วยเมื่อได้ฟังคำขอโทษจากแม่สามี หลินเพ่ยหลันก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ เธอไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ทำไมแม่สามีถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ เธอยังหาคำพูดไม่เจอเพราะมัวแต่อึ้งอยู่“แล้วแม่ก็ต้องขอบคุณเพ่ยหลันที่เอายาเม็ดมาให้พ่อกินด้วย ถ้าหากไม่ได้ยาพวกนั้นพ่อก็
บทที่ 19 วางแผนอนาคตในชาติที่แล้วหลินเพ่ยหลันผ่านการเรียนวิชาประวัติศาสตร์จีนรวมถึงเคยอ่านจากนิยายที่ชื่นชอบ ก็พอเข้าใจเรื่องตลาดมืดในช่วงยุคนี้อยู่บ้าง แต่ว่าการเรียนในห้องเรียนหรือการอ่านนิยายก็ได้แต่จินตนาการเอาเอง ทว่าเมื่อได้มาอยู่ในยุคนี้จริง ๆ กลับอยู่ในร่างของหญิงสาวตาบอดที่มองไม่เห็นเสียนี่ ก็เลยไม่รู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร ทำได้เพียงก็แค่ถามเอากับพี่สะใภ้เท่านั้น“ได้สิ แต่เพ่ยหลันอย่าปล่อยมือจากพี่นะ หรือถ้าพี่เลือกของอยู่ก็จับเสื้อพี่ไว้ ในนั้นคนเยอะมาก เดี๋ยวจะพลัดหลงไป” จ้าวจินเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับกำชับให้อีกฝ่ายไม่ให้ห่างจากตนเอง“ค่ะพี่สะใภ้” หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงตลาดมืด หลินเพ่ยหลันตื่นเต้นมาก เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสนใจอย่างชัดเจน“ตลาดมืดที่ว่านี้เป็นอย่างไรเหรอคะ”จ้าวจินเยว่รู้สึกสงสารน้องสะใภ้ไม่น้อยที่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ จึงเล่าเรื่องของตลาดมืดให้หลินเพ่ยหลันฟังอย่างใจเย็น“เป็นเพราะว่ารัฐควบคุมการค้าอย่างเข้มงวด พวกเขาพยายามจำกัดสินค้าต่าง ๆ ที่พวกเราซื้อขายกันไว้แค่ในสหกรณ์ไม่กี่แห่ง จนบางอย่างก็ขาดแคลน บางอย่
บทที่ 20 ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปหลินเพ่ยหลันค่อย ๆ ดึงมือออกมาแล้วจับข้อมือตัวเองก็รู้สึกถึงกำไลที่มีจี้หยกจึงทำให้แปลกใจมาก‘หรือว่านี่จะเป็นมิติที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้นอกจากเรา’ เธอจับข้อมือแล้วคิดในใจอย่างคลายกังวล“น่าสนใจนะคะ” คิดอย่างนั้นก็พูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ส่วนในหัวก็คิดแล้วว่าจะค้าขายอะไรในตลาดมืดดี โดยไม่สนใจเสียงหยอกล้อของพี่สะใภ้ในมิติของเธอนั้นเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้ามากมาย เรียกได้ว่าครบวงจรเลยก็ว่าได้ หากเธอจะเอาของจากในห้างสรรพสินค้าออกไปขายที่ตลาดมืดนั้นเป็นความคิดที่ดีเลย อีกทั้งของที่เอาออกมา ก็สามารถหยิบออกมาได้ไม่จำกัด เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าของจะหมด แต่เธอจะต้องเลือกของที่ไม่ต่างจากยุคนี้จนผิดสังเกตจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยเห็นหลินเพ่ยหลันมีรอยยิ้มก็อดที่จะเอ็นดูไม่ได้ อีกส่วนก็อดสงสารเธอไม่น้อยที่เธอตาบอด ไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นบนโลกใบนี้“เอาเป็นว่าวันหลังพี่จะพาไปเดินเที่ยวอีกนะ แต่ว่าช่วงนี้ต้องพักก่อน พวกเราไม่ค่อยมีเงินเท่าไร” จ้าวจินเยว่พูดขึ้นมาอย่างเอ็นดู“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้” หลินเพ่ยหลันตอบรับอย่างยินดี
บทที่ 21 ทำการค้าครั้งแรกในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่หลินเพ่ยหลันจะเอาสินค้าออกมาขายที่ตลาดมืด เปิดร้านครั้งแรกทั้งที่เธอก็คิดว่าจะขายสินค้าประเภทเครื่องแก้วลายคราม กระถางสามขา หรือพวกของใช้ที่มีรูปแบบโบราณในยุคที่เธอจากมา แต่น่าจะเหมาะสมกับยุคนี้ อีกอย่างเพราะคิดว่าของพวกนี้น่าจะขายได้ราคาแพงและทำเงินได้ไม่น้อยจึงตัดสินใจนำมาขายหลินเพ่ยหลันออกจากบ้านในเวลาประมาณเก้าโมงเช้า หลังจากที่ทุกคนออกไปทำงานกันแล้วที่บ้านก็เหลือเพียงแค่เธอกับนางหยางเจี่ยเท่านั้น ก่อนออกมาเธอบอกกับแม่สามี“แม่คะ ฉันจะเข้าไปทำธุระในเมืองสักหน่อย แล้วก็ซื้ออาหารดี ๆ มาทำกินกันเย็นนี้ด้วย แล้วจะรีบไปรีบมานะคะ” เธอบอกกับแม่สามี ในมือก็มีไม้เท้านำทางด้วย“ไปคนเดียวได้ด้วยเหรอ ไม่รอให้คนพาไปล่ะ” นางหยางเจี่ยพูดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่วันที่สามีหายป่วยเพราะยาที่ลูกสะใภ้คนนี้นำมาให้กิน นางก็มองเธอเปลี่ยนไป“ฉันจะไปหาสหายสักหน่อยค่ะ ได้ข่าวว่าเธอเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวง เลยว่าจะไปหาสักหน่อย” หลินเพ่ยหลันพยายามคิดหาข้ออ้าง เพื่อที่จะไม่ให้แม่สามีห้ามปรามอีก “อย่างนั้นก็ไปเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ ส่วนนี้เงินค่ากับข้าว หา
บทที่ 22 อย่ามาใส่ร้ายสะใภ้ฉันนะ“ก็เธอมองไม่เห็น เธอจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะว่ามันเสียหายหรือเปล่า นี่กะจะเอาของพังเสียหายมาขายในราคาแพงอย่างนั้นเหรอ จะไม่เป็นการเอาเปรียบคนอื่นไปหน่อยหรือไง” ชายคนนั้นทำเป็นพูดเสียงดัง เพื่อให้คนอื่นสนใจและมองหลินเพ่ยหลันไปในทางไม่ดี“อย่างไรฉันก็ต้องตรวจสอบก่อนค่ะ ฉันมั่นใจว่าของของฉันไม่เสียหายแน่นอน” หญิงสาวจะคงยืนกรานว่าสินค้าของเธอไม่มีรอยร้าวใด ๆ ตามที่ชายคนนี้บอก“เธอจะตรวจสอบอย่างไร ก็ในเมื่อเธอตาบอด” ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน โดยมีท่าทียียวนและมั่นใจว่าตนเองสามารถซื้อสินค้าชิ้นนี้ได้ในราคาถูก“เอาแจกันมาให้ฉันอีกครั้งค่ะ ฉันมีวิธีของฉัน” หลินเพ่ยหลันบอกพร้อมกับยื่นมือออกไปรับเอาแจกันที่อยู่ในมือของชายคนนั้นกลับมาอีกครั้งเมื่อได้แจกันมาแล้วหญิงสาวก็ควานหาไม้อันหนึ่งที่ได้เตรียมเอาไว้ในถุง จากนั้นก็เคาะลงไปที่แจกันเบา ๆ หลินเพ่ยหลันทำทีเป็นเงี่ยหูฟังเสียงไม้กระทบกับแจกกันใบนั้น ทุกคนที่มามุงดูอยู่ก็เงี่ยหูฟังเหมือนกันกับเธอหลินเพ่ยหลันเคาะแจกันจนครบทุกมุม ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“ฉันขอยืนยันว่าแจกันใบนี้ไม่มีส่วนไหนที่เสียหายค่ะ ถ้าไม่
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร
บทที่ 60 กลับมาเยี่ยมบ้านพวกเขาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอยู่นาน ดื่มด่ำกับความรู้สึกของความคิดถึงที่รอคอยมานาน ขณะนั้นเสียงลมหายใจของทั้งสองคลอเคลียกันอย่างอบอุ่น“พี่รู้ไหมว่าเวลาไม่กี่เดือนสำหรับฉันแล้ว เหมือนมันนานเป็นหลายปีเชียวล่ะ” หลินเพ่ยหลันกล่าวเบาๆ“พี่เข้าใจ ต่อไปพี่จะพยายามกลับมาหาเพ่ยหลันให้มากขึ้น ถ้าทำภารกิจเสร็จ พี่ก็จะขอลาหยุดแล้วมาหาภรรยาเลยครับ” ซ่งเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหลินเพ่ยหลันยิ้มทั้งน้ำตาและสัมผัสแก้มของซ่งเฟยหลงอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้พี่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานของพี่มากกว่า อยู่ทางนี้ต่อให้คิดถึงพี่มากแค่ไหน ฉันก็ทนได้”“ไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าหน้าที่จะสำคัญ แต่ว่าครอบครัวก็สำคัญเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่จะพยายามทำทั้งสองอย่างให้ดีนะ” ซ่งเฟยหลงยืนยันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พวกเขานั่งลงข้างกันบนเตียง จับมือกันแน่น และแลกเปลี่ยนคำพูดหวาน ๆ ที่สะท้อนความรักและความผูกพันที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคิดถึง หัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน และรู้ว่าความรักที่มีต่อกันนั้น
บทที่ 59 ผู้กองซ่งหลินเพ่ยหลันมาถึงห้างสรรพสินค้าตอนบ่ายกว่า ๆ ก็ตรงขึ้นมาที่ห้องประชุมเลย เธอบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นผู้น้อยไม่ควรจะมาสาย และให้เหล่าผู้บริหารอาวุโสรอนาน มาถึงเธอก็จัดแจงเรื่องสถานที่ประชุมต่าง ๆ อย่างเสร็จสรรพการประชุมครั้งนี้เป็นความคิดของเธอเอง ที่จะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของตระกูลจงไปเปิดสาขาที่เมืองอื่นด้วย ก่อนหน้าที่เธอยื่นเสนอเรื่องนี้ไป ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจงหยวนต้าและเหล่าผู้บริหารอาวุโสต่างก็เห็นด้วยและเชื่อใจเธอ เพราะผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้นสร้างกำไรให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย จึงได้มีการเปิดประชุมเพื่อชี้แจงแผนงานอย่างละเอียดในบ่ายวันนี้“สวัสดีค่ะผู้บริหารทุกท่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันขอเข้าเรื่องเลยนะคะ อย่างที่ได้พูดคุยกันบ้างอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันอยากจะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของเราไปเปิดสาขาที่เมืองอื่น” หลินเพ่ยหลันเปิดการประชุมอย่างตรงไปตรงมา“ว่ามาเถอะเพ่ยหลัน พวกเราตื่นเต้นอยากฟังแล้ว” จงหวง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อหลินเพ่ยหลันบอกให้เลขาแจกจ่ายเอกสารที่เธอทำเป็นชุด ๆ ไว้ให้ผู้บริหารแต
บทที่ 58 เป็นที่ยอมรับของทุกคนหลินเสี่ยวหรงถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหลินเพ่ยหลัน แต่ครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของแม่ตัวเอง จึงพูดออกมาว่า“จะบ้าเหรอแม่ ใครเขาจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยกัน อย่าลืมสิว่าพวกเราไม่ได้ดูแลนังเพ่ยหลันดีสักเท่าไร แถมมันก็คงจะคิดว่าที่มันตาบอดเพราะพวกเราไม่สนใจไยดีพามันไปหาหมอ แล้วแบบนี้มีเหรอนังเพ่ยหลันมันจะยอมรับเรา มีเหรอคนตระกูลจงจะยอมให้พวกเราไปอยู่ด้วย”“แต่ตอนนี้มันรักษาตาจนกลับมามองเห็นแล้วนะ และถ้ามันจะอกตัญญูต่อพ่อก็ให้มันรู้ไปสิ ถ้าถึงขั้นจะทิ้งพ่อมันได้ลงคอ ก็คอยดูว่าฉันจะประจานมันยังไง” นางหลิวอี้พูดเสียงดังลั่น ทำให้ทั้งหลินตงและหลินเสี่ยวหรงต่างก็ส่ายศีรษะให้กับความดื้อดึงของนางหลิวอี้แต่ที่สุดแล้วหลินตงก็ทนความกดดันจากภรรยาไม่ไหว จนต้องเดินมาที่บ้านซ่งเพื่อขอที่อยู่ของหลินเพ่ยหลัน“แกจะเอาที่อยู่ของเพ่ยหลันไปทำอะไร” ซ่งตงลี่ถามหลินตงออกไป“ฉันก็แค่คิดถึงลูกสาวไม่ได้หรืออย่างไร เห็นว่าเพ่ยหลันไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง ฉันก็จะเขียนจดหมายไปถามข่าว” หลินตงตอบกลับไปตามที่ได้ซักซ้อมกันมากับนางหลิวอี้“หึ อย่ามาโกหกเลย ฉันรู้หรอกว่าจะเขียนไปขอเงินเพ่ยหลันล่ะส