หลังจากนั้นไม่นานผู้จัดการเดินเข้ามา ซึ่งผู้จัดการคนนี้เป็นคนที่ชอบกดขี่และไม่เคยฟังเหตุผลของพนักงานคนไหนเลย พอมาถึงก็มองนลินด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร
“นลิน เข้ามาหาฉันที่ห้องเดี๋ยวนี้!!”
“ค่ะ ผู้จัดการ”
นลินตอบรับและเดินตามผู้จัดการไปที่ห้องทำงานของเขา เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็เริ่มด่าว่าเธอทันที
“นลิน ทำไมเธอถึงทำให้ลูกค้าไม่พอใจแบบนี้ เธอรู้ไหมว่าการทำแบบนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของห้างเราเสียหายแค่ไหน”
“แต่ลูกค้าโวยวายมาก่อนค่ะ ทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามอธิบายอย่างสุภาพแล้ว แต่เธอไม่ยอมฟังอะไรเลย ทุกคนก็เห็น” นลินตอบอย่างมีเหตุผล แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีเหตุผลก็ตาม
“ไม่ต้องมาแก้ตัว หน้าที่ของเธอคือบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ราบรื่น เพื่อให้ลูกค้าพอใจมากที่สุด เรื่องสินค้าที่หมดสต๊อก นี่ก็เหมือนกัน ถ้ารู้ว่ามันเหลือน้อยแล้วทำไมถึงไม่สั่งล่วงหน้า ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไปซะ!!” ผู้จัดการตะโกนเสียงดังจนทำให้หญิงสาวรู้สึกท้อแท้
นลินเงียบไปเพราะไม่อยากจะเถียงต่อ เธอรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผู้จัดการคนนี้ไม่เคยฟังเหตุผล ทั้ง ๆ หน้าที่การสั่งสินค้าเข้าร้านเป็นหน้าที่ของหัวหน้าแผนกแท้ ๆ แต่ก็ยังโยนมาให้เธอรับผิดชอบ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าวัน ๆหัวหน้าแผนกนั้นทำอะไรบ้าง
หลังจากถูกตำหนิโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งแล้ว นลินจึงเดินกลับไปที่แผนกอย่างหดหู่
หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า เห็นภาพชีวิตในเมืองหลวงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอนึกถึงบ้านที่ต่างจังหวัดอันเงียบสงบและอบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากที่นี่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความกดดัน เลยเริ่มสงสัยว่าการที่เธอตัดสินใจทำงานอยู่ที่นี่ต่อหลังเรียนจบ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม
ขณะที่กำลังครุ่นคิดและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ ๆ ก็มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินผ่านหน้าเธอ ผีเสื้อตัวนี้แปลกมาก ยามที่ต้องแดดในตอนเช้าดูเหมือนราวกับมันจะจะเปล่งแสงออกมา ทำให้นลินไม่สามารถละสายตาจากมันได้ เธอมองจนกระทั่งมันบินพ้นสายตาไป
ความงดงามของผีเสื้อตัวนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายในเช้าที่วุ่นวายนี้
ไม่นานเมื่อถึงสถานีที่ต้องการ หญิงสาวได้ลงจากรถไฟฟ้าแล้วออกจากสถานี จากนั้นก็ตั้งใจจะข้ามถนนเพื่อไปยังห้างที่ตัวเองทำงานอยู่
นลินยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนตรงทางม้าลาย โดยข้าง ๆ มีนักเรียนหญิงมัธยมต้นคนหนึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อย่างสนุกสนานกับเพื่อน เด็กคนนี้กำลังคุยกับเพื่อนเรื่องที่นัดกันไปเที่ยวในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้
“อาทิตย์นี้เราไปเกาะเกร็ดกันดีไหม ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านขนมไทยโบราณเยอะเลยนะ แล้วก็มีตลาดนัดด้วย เราไปกันแต่เช้าเลยไหม”
“ร้านป้าแดงไง ฉันเห็นในรีวิวบอกว่าขนมไทยร้านนั้นอร่อยมาก แล้วก็มีขนมเบื้องแป้งบางกรอบที่ทุกคนพูดถึงด้วยนะ เราต้องลองให้ได้”
“ตกลง ฉันจะเตรียมกล้องไปด้วย จะได้ถ่ายรูปกันเยอะ ๆ ไว้เป็นที่ระลึกและนำมารีวิวบ้าง”
หลังจากได้ยินการสนทนา ในใจของนลินนึกถึงตัวเองในสมัยอดีตซึ่งเธอเองจำไม่ได้แล้วเช่นกันว่า ครั้งสุดท้ายที่คุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานและคลี่ยิ้มกว้างขนาดนั้น เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันแล้ว ช่วงเวลาที่เคยสดใสกับเพื่อนสนิท และการหัวเราะอย่างไร้กังวล กลายเป็นความทรงจำที่เลือนรางไปตามกาลเวลา
ทว่าในขณะที่ไฟสำหรับคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทั้งเธอและเด็กคนนั้นมองจนแน่ใจว่าน่าจะปลอดภัย จึงก้าวลงไปบนถนนเพื่อรีบข้ามไปยังอีกฝั่ง แต่จังหวะนั้นก็มีรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงตรงมายังพวกเธอ
“ระวัง!!”
ในชั่ววินาทีนั้น ไม่รู้ว่าในใจของนลินกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือไปคว้าเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นไว้ จากนั้นก็ออกแรงเหวี่ยงเด็กนักเรียนไปยังฟุตบาท
แต่เมื่อหันกลับมาอีกที รถคันนั้นก็กำลังพุ่งใส่เธอ อีกทั้งยังบีบแตรเสียงดังลั่น จนเธอต้องหลับตาเพราะความตกใจ
โครม!!
เสียงชนโครมดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนน เสียงแตรรถและเสียงคนตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความชุลมุนที่เกิดขึ้น ทำให้การจราจรทั้งหมดหยุดชะงัก รถยนต์ที่กำลังขับมาด้วยความเร็วต่างต้องหยุดเบรกอย่างกะทันหัน บางคันเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนรถที่ตามมาให้ชะลอความเร็ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ประจำอยู่ใกล้เคียงรีบวิ่งมายังจุดเกิดเหตุ เขายกมือขึ้นสั่งการให้รถหยุดและเป่านกหวีดเพื่อควบคุมสถานการณ์
“หยุดรถ! ทุกคันหยุดรอ!” ตำรวจนายนี้ตะโกนเสียงดัง เพื่อให้ผู้ขับขี่ผ่านถนนเส้นนี้ได้ยินอย่างชัดเจน
ถนนที่เคยเต็มไปด้วยรถยนต์อย่างหนาแน่นและเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน แต่ตอนนี้กลับหยุดนิ่งมีคนขับรถลงมายืนดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัย และมองอย่างเป็นห่วงเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้คนมากมายต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างส่งเสียงโหวกเหวกบอกให้ตำรวจรีบเข้าไปช่วย บางคนก็ตะโกนบอกให้เรียกรถพยาบาล บางคนที่พอจะปฐมพยาบาลได้ก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่รีรอ
แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็รีบวิ่งเข้ามาหานลิน ซึ่งเขามีท่าทางมั่นใจและดูมีประสบการณ์ในการปฐมพยาบาลอย่างมาก
เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงบ ไม่มีแววตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับคุ้นชินเหตุการณ์เหล่านี้อย่างมาก “ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ อย่าขยับตัวนะ รถพยาบาลกำลังจะมาถึงแล้ว”
หญิงสาวอีกคนที่อยู่ไม่ไกลก็เข้ามาช่วยดูแลเด็กสาวที่นลินช่วยไว้ เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อไม่ให้เด็กคนนี้ตื่นตระหนก “ไม่ต้องกลัวนะคะ ตอนนี้น้องปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ารถพยาบาลจะมา”
เวลานี้นลินนอนอยู่บนพื้นเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างและพยายามหายใจเข้าลึก ๆ หูนั้นคอยฟังเสียงคนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสงบลง ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยก็ยังคงพูดเพื่อให้กำลังใจไม่หยุด
“คุณทำได้ดีมากครับ คุณช่วยน้องเขาไว้ ตอนนี้คนที่คุณช่วยนั้นปลอดภัยแล้ว คุณเป็นคนเก่งจริง ๆ อีกแป๊บเดียวรถพยาบาลก็จะมาถึงแล้ว ทำใจดี ๆ ไว้ อย่าขยับตัวไปไหนนะครับ แล้วอย่าหลับนะครับ”
ผู้คนรอบข้างเริ่มรวมตัวกันเป็นวงกว้าง บางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอ บางคนก็พยายามให้กำลังใจนลินและเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ กัน
ขณะเดียวกันก็หญิงสูงวัยคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ลูกเอ๋ย ใจเย็น ๆ นะ แม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลย ลูกทำดีมากที่ช่วยเด็กไว้ คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นะลูกนะ หนูจะต้องไม่เป็นอะไร”
เด็กหญิงที่นลินช่วยไว้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอนั่งอยู่ด้านข้าง และอยู่ในอ้อมกอดของหญิงคนหนึ่งที่พยายามพูดปลอบใจไม่ให้เธอขวัญเสียไปมากกว่านี้ มือสองข้างยกขึ้นมาปิดปาก เธอมองมาทางนลินอย่างขวัญเสีย น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาโดยที่ไม่รู้ตัว ใจสั่นระริกด้วยความกลัวและตกใจ เนื่องจากเธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน และการที่เห็นคนที่ช่วยเหลือตนเองนอนจมกองเลือดตรงหน้านั้น ทำให้รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนลง
เธอพยายามลุกขึ้นยืน แม้ว่าเข่าจะสั่นด้วยความตกใจ แต่ก็เดินพยายามไปหาอีกฝ่าย ใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสารและเจ็บปวด เธอมองคนนี้ที่เพิ่งช่วยชีวิตตัวเองไว้พร้อมกับน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย พยายามพูดกับผู้มีพระคุณ แต่เสียงสั่นจนแทบจะฟังไม่ออก
“พี่คะ พี่ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ เข้มแข็งไว้นะคะ”
เธอประโยคเดิม ๆ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เมื่อมองเห็นเลือดที่ไหลออกมาและความเจ็บปวดที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้ช่วยชีวิต เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นหัวใจเพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
บทที่ 3 หลินเพ่ยหลัน“พี่คะ อย่าหลับนะคะ รถพยาบาลกำลังจะมาแล้ว”เธอพูดพร้อมกับก้มลงใกล้มากขึ้น และเอื้อมไปแตะมือของนลินที่เย็นเฉียบ พยายามส่งความอบอุ่นให้ผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต“พี่คะ ขอบคุณที่ช่วยหนูไว้ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ” เสียงของเด็กหญิงสะอื้นไห้และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นลินพยายามที่จะหันไปมองหน้าเด็กหญิง ทว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้ เธออยากจะคลี่ยิ้มออกมา แต่เพราะความเจ็บปวดทำให้ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งจะกะพริบตาเสียด้วยซ้ำหญิงสาวนอนจมกองเลือด เลือดสีแดงสดไหลซึมออกจากบาดแผลบนร่างกายของเธอ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทรมานเหมือนกับร่างกายถูกแยกเป็นส่วน ๆ หัวใจของเธอเต้นช้าลงทุกขณะ แต่ในใจเธอยังคงสงบและเต็มไปด้วยความสุข ที่สามารถช่วยเด็กหญิงคนนั้นไว้ได้‘อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็ปลอดภัย วันหยุดสุดสัปดาห์นี่เธอก็จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ของเธอตามที่ได้นัดไว้’ นลินคิดในใจความคิดนี้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น แม้ว่าเลือดจะยังคงไหลออกมาและความเจ็บปวดจะไม่ทุเลาลง แต่ความอิ่มเอมใจที่ได้ช่วยเหลือคนนั้นมีอยู่เต็มความรู้สึกนลินไม่นึกเสียดายเลยสักนิดที่ได้ช่วยให้เด็กหญิงรอดพ้นจากความ
บทที่ 4 ชีวิตที่น่าสงสารในขณะที่นลินสลบนั้น ภาพความทรงจำพวกนั้นของหญิงสาวคนหนึ่งยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน คล้ายความฝันและมันเป็นฝันร้าย หญิงสาวในความทรงจำคนนี้มีชื่อว่า หลินเพ่ยหลัน ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ เนื่องจากเธอสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเธอก็แต่งงานใหม่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีนิสัยร้ายกาจแถมยังใจแคบอีกด้วยชีวิตของหลินเพ่ยหลันหลังจากนั้นจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อของเธอเอาแต่ทำงาน ทำให้แทบไม่มีเวลาให้กับลูกสาวคนนี้ สถานะของหลินเพ่ยหลันในบ้านหลินจึงน่าเวทนามากแม่เลี้ยงของเธอมักจะอารมณ์ร้อนและรังแกเธออยู่เสมอ หล่อนมองเห็นลูกสาวกับภรรยาเก่าของสามี เป็นเหมือนหนามยอกอก ความรักและการเอาใจใส่ที่ควรจะได้รับ กลับกลายเป็นความเกลียดชังที่เข้ามาแทนเมื่อพ่อของเธอกับแม่เลี้ยงมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน หลินเพ่ยหลันก็ถูกทิ้งให้กลายเป็นเพียงเงาที่ไร้ค่าในบ้าน จากลูกสาวคนโตตอนนี้มีสถานะไม่แตกต่างไปจากคนรับใช้ในบ้านหลินวันหนึ่งหลินเพ่ยหลันนั่งอยู่มุมห้องครัว เธอพยายามขัดถูพื้นด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซึมผ่านหน้าผากและเสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่ม นางหลิวอี้แ
บทที่ 5 แม่สามีเกลีดชังชายทั้งสองหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นมีคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นพยายามจะผลักซ่งเฟยหลงออกไปให้พ้นทาง “ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าเข้ามายุ่ง” แต่ทว่าซ่งเฟยหลงไม่ฟัง เขาพยายามดึงหลินเพ่ยหลันออกจากมือของชายคนนั้น “พวกนายกำลังทำอะไรกับเธอ เวลานี้เธอไม่ได้สติหรือว่าพวกแกทั้งสองคิดจะลักพาตัวผู้หญิงไปอย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มพยายามช่วยหลินเพ่ยหลันออกมา ในขณะที่ชายทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาจะสู้กับเขาเช่นกัน ต่อให้จะเป็นสองต่อหนึ่งซ่งเฟยหลงก็ไม่คิดกลัว การกระทำของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมแพ้แม้จะต้องเจ็บตัวก็ตาม ถึงยังไงเขาก็ต้องช่วยเธอให้ได้ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด สองคนนั้นเป็นแค่ลูกน้องปลายแถวของพวกอันธพาลไม่ได้มีฝีมือในการต่อสู้เลย เมื่อต้องต่อสู้กับซ่งเฟยหลงที่ร่างกายกำยำแข็งแรงและมีฝีมือที่ดีกว่า จึงพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ ก่อนจะรีบหนีเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเจอมากกว่านี้ แต่เรื่องราวกลับไม่ได้จบเพียงแค่นั้นเมื่อนางหลิวอี้เห็นว่าแผนการไม่สำเร็จและกลัวว่าสามีจะจับได้ว่าเธอคิดจะขายลูกเลี้ยงจึงคิดแผนใหม่เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งออกมาหน้าถนนในหมู่บ้านแล้วป่
บทที่ 6 นี่ฉันทะลุมิติจริงเหรอเนี่ยเหมือนเหตุการณ์ในวันนี้ ที่หลินเพ่ยหลันไปลำธารกับจ้าวจินเยว่พี่สะใภ้และซ่งชุนเป้ยน้องสาวของซ่งเฟยหลง การมาครั้งนี้ของเธอเพื่อมาซักผ้าและตักน้ำ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่หลินเพ่ยหลันพยายามทำอย่างเต็มที่ให้เหมือนคนทั่วไปถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม แต่เพราะมองไม่เห็นและขาดความไม่ระวังรวมถึงความลื่นของหินในลำธาร ทำให้เธอก้าวผิดพลาดพลัดตกลงไปในลำธารทันทีร่างของเธอจมลงไปในกระแสน้ำเนื่องจากหลินเพ่ยหลันว่ายน้ำไม่เป็นจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยที่มาด้วยกันต่างตกใจมาก พวกเธอยืนตะลึงและไม่กล้ากระโดดลงไปช่วย เพราะทั้งคู่เองก็ว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้แต่ยืนกรีดร้องและเรียกให้คนมาช่วยโชคดีที่ตอนนั้นซ่งเฟยหลงเพิ่งกลับจากคอมมูนมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เมื่อรู้ว่าภรรยาตกน้ำจึงรีบกระโดดลงไปช่วยโดยไม่ลังเล ร่างของเขาว่ายผ่านกระแสน้ำจนไปถึงตัวหลินเพ่ยหลันที่กำลังจะจมชายหนุ่มจึงรีบคว้าเธอขึ้นมา แล้วพาว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็วแต่เมื่อขึ้นมาถึงฝั่ง ร่างของหลินเพ่ยหลันกลับขาวซีดและเย็นเฉียบตอนนี้เธอหมดสติไปแล้ว ซ่งเฟยหลงรีบตรวจดูชีพจรแต่ไม่พบ เขาไม่รอช้ารีบอุ้มภรรยาแล้ววิ่งพาไปยังสถ
บทที่ 7 ใช้ชีวิตในร่างของหลินเพ่ยหลันจ้าวจินเยว่พูดต่อด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอีกครั้ง “พี่เสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถช่วยเพ่ยหลันได้ทันที พี่รู้ว่าอาเฟยเป็นห่วงเธอมาก ขอโทษจริง ๆ”“ฉันก็ขอโทษพี่สามด้วยนะ ต่อไปฉันเองจะระวังมากขึ้น จะดูแลพี่สะใภ้สามให้ดี และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก จะรีบไปเรียกคนมาช่วยให้เร็วที่สุด ฉันสัญญา พี่สามอย่าโกรธฉันเลยนะ” ซ่งชุนเป้ยพูดพร้อมพยักหน้าด้วยอีกคน ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนของเธอเลยก็ว่าได้ที่ชะล่าใจเรื่องนี้ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับรู้เบา ๆ เขาไม่คิดว่าทั้งสองคนคิดจะกลั่นแกล้งภรรยา ชายหนุ่มมองไปที่ทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องพี่สะใภ้ เราด้วยนะชุนเป้ย ต่อไปนี้หากว่าไปซักผ้าหรือทำอะไรที่ลำธาร ไม่ต้องให้เพ่ยหลันไปได้ไหม เธอมองไม่เห็นพวกเราทุกคนรู้ดี โอกาสเกิดอุบัติเหตุแบบวันนี้นั้นมีมาก จะให้คอยระวังตลอดไม่ได้หรอก ทางที่ดีให้เธอทำงานบ้านแค่อยู่ในบ้านนี้ก็พอแล้ว”สุดท้ายแล้ว ซ่งเฟยหลงเลือกที่จะพูดแบบนี้ เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อภรรยาตนเอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเธอแบบชู้สาว แต่อย่างน้อยเขาก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง เลยอยากให้ทุก
บทที่ 8 ฉันกลายเป็นคนตาบอดไปแล้วนางหยางเจี่ยยังคงไม่หยุดที่จะบ่นด่าลูกสะใภ้ต่อ“ดูเธอสิ ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไปตายซะ จะให้บ้านซ่งมีลูกสะใภ้ที่ไร้ค่าแบบนี้ทำไมกัน ฉันไม่มีทางยอมให้เธอทำให้ครอบครัวบ้านซ่งของฉันเสื่อมเสียหรอกนะ”ได้ยินที่แม่สามีพูดแบบนี้ หญิงสาวก็ได้แต่กัดฟันอย่างพยายามระงับความโกรธที่กำลังจะลุกลาม เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า ‘นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน! ฉันเป็นคนป่วย!’แต่ก็รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้แม่สามีไม่ฟังเธอแน่นอนคิดได้แบบนั้นเธอค่อย ๆ คลำไปที่ขอบเตียงแล้วหยั่งเท้าลงไป แต่เพียงลุกเดินได้ก้าวแรกก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างแล้วล้มลงไป“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างของเธอล้มลงไปกองกับพื้น ดวงตาที่มองไม่เห็นอะไรเลยทำไม่สามารถรู้ได้ว่า เมื่อครู่นี้เธอนั้นชนเข้ากับอะไร“เห็นไหม บอกแล้วว่าเธอทำตัวไม่เอาไหน แล้วจะนอนอยู่ที่พื้นนี่อีกนานแค่ไหนกัน” นางหยางเจี่ยนอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังบ่นเสียงดังขึ้นอีกครั้ง“พอเถอะ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่ให้เธออยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าเธอไม่ทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น ฉันก็จะให้อาเฟยส่งเธอกลับบ้านพ่อของเธอ”ได้ยิน
บทที่ 9 ซ่งเฟยหลงซ่งเฟยหลงพยายามที่จะไม่ฟังเสียงแม่ของตัวเอง อีกทั้งในใจก็ไม่ยอมรับความคิดนี้ เขารู้ดีว่าหลินเพ่ยหลันเป็นคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตในบ้านซ่ง แม้จะมีอุปสรรคแต่เธอก็ยังคงพยายามทำดี และทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้เพราะไม่อยากเป็นภาระให้ใคร นั่นคือเหตุผลที่ต่อให้แม่จะพูดโน้มน้าวมากเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่ยอมหย่า“ผมว่าแม่เลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับเพียงสั้น ๆ เหมือนทุกครั้งที่แม่เขาบอกแบบนี้“หึ ลูกก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่เคยฟังแม่แก่ ๆ คนนี้บ้างเลย” นางหยางเจี่ยได้ฟังคำตอบก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาซ่งเฟยหลงก็เป็นเช่นนี้ หากยึดมั่นที่จะทำสิ่งใดแล้วก็จะไม่ยอมละทิ้งเด็ดขาดแม้ว่าการแต่งงานของทั้งสองคนจะเป็นการแต่งงานที่ซ่งเฟยหลงไม่ได้คิดไว้ก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนยันที่จะดูแลหลินเพ่ยหลันอย่างดีที่สุด และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อเธอเวลานี้แม้จะอยู่ในร่างของหลินเพ่ยหลัน แต่เก็ยังคงไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขาคือสามีของเธอ เพราะคนที่แต่งงานกับเขาไม่ใช่เธอเสียหน่อย แต่เป็นหลินเพ่ยหลันต่างหากล่ะ“เพ่ยหลันควรจะ
บทที่ 10 ที่นี่คือที่ไหน“นี่เธอลำบากขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นใจกันบ้าง แม่เลี้ยงกับน้องสาวของเธอไม่คิดจะทำอะไรเลยหรืออย่างไร คนอะไรใจดำขนาดนั้น” จ้าวจินเยว่พูดไปก็ถอนหายใจด้วยความสงสาร “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าพูดถึงพวกเขาเลย ตอนนี้ฉันก็ออกจากบ้านหลินมาแล้ว อยู่ที่นี่ก็ดีกว่าที่บ้านหลินเยอะค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบกลับเบา ๆ เธอยิ้มให้ทั้งสองด้วยความจริงใจ“เอาเถอะ อยู่ที่นี่ถึงแม้ว่าแม่จะขี้บ่น ปากร้ายไปบ้าง แต่พวกเราจะช่วยดูแลพี่อีกแรงนะ มีอะไรก็สามารถบอกได้เลย ยังไงพี่ก็เป็นพี่สะใภ้สามของฉัน” ซ่งชุนเป้ยพูดขึ้นอย่างมีน้ำใจ“ใช่ พี่ด้วยนะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้เลย” จ้าวจินเยว่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดเสริมอย่างมีน้ำใจเช่นกัน“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ขอบใจนะชุนเป้ย” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาด้วยความดีใจ ที่อย่างน้อยที่นี่ยังมีคนใจดีที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอพวกเธอใช้เวลาพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่ทำอาหาร ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าสามสาวในบ้านซ่งจะเข้ากันได้ดีไม่มีปัญหา ยิ่งพวกเธอร่วมมือกันงานต่าง ๆ ภายในบ้านก็เสร็จเร็วขึ้นเมื่อได้พูดคุยกับจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยแล้ว หลิน
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร
บทที่ 60 กลับมาเยี่ยมบ้านพวกเขาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันอยู่นาน ดื่มด่ำกับความรู้สึกของความคิดถึงที่รอคอยมานาน ขณะนั้นเสียงลมหายใจของทั้งสองคลอเคลียกันอย่างอบอุ่น“พี่รู้ไหมว่าเวลาไม่กี่เดือนสำหรับฉันแล้ว เหมือนมันนานเป็นหลายปีเชียวล่ะ” หลินเพ่ยหลันกล่าวเบาๆ“พี่เข้าใจ ต่อไปพี่จะพยายามกลับมาหาเพ่ยหลันให้มากขึ้น ถ้าทำภารกิจเสร็จ พี่ก็จะขอลาหยุดแล้วมาหาภรรยาเลยครับ” ซ่งเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหลินเพ่ยหลันยิ้มทั้งน้ำตาและสัมผัสแก้มของซ่งเฟยหลงอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้พี่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานของพี่มากกว่า อยู่ทางนี้ต่อให้คิดถึงพี่มากแค่ไหน ฉันก็ทนได้”“ไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าหน้าที่จะสำคัญ แต่ว่าครอบครัวก็สำคัญเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่จะพยายามทำทั้งสองอย่างให้ดีนะ” ซ่งเฟยหลงยืนยันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พวกเขานั่งลงข้างกันบนเตียง จับมือกันแน่น และแลกเปลี่ยนคำพูดหวาน ๆ ที่สะท้อนความรักและความผูกพันที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคิดถึง หัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน และรู้ว่าความรักที่มีต่อกันนั้น
บทที่ 59 ผู้กองซ่งหลินเพ่ยหลันมาถึงห้างสรรพสินค้าตอนบ่ายกว่า ๆ ก็ตรงขึ้นมาที่ห้องประชุมเลย เธอบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นผู้น้อยไม่ควรจะมาสาย และให้เหล่าผู้บริหารอาวุโสรอนาน มาถึงเธอก็จัดแจงเรื่องสถานที่ประชุมต่าง ๆ อย่างเสร็จสรรพการประชุมครั้งนี้เป็นความคิดของเธอเอง ที่จะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของตระกูลจงไปเปิดสาขาที่เมืองอื่นด้วย ก่อนหน้าที่เธอยื่นเสนอเรื่องนี้ไป ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจงหยวนต้าและเหล่าผู้บริหารอาวุโสต่างก็เห็นด้วยและเชื่อใจเธอ เพราะผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้นสร้างกำไรให้กับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย จึงได้มีการเปิดประชุมเพื่อชี้แจงแผนงานอย่างละเอียดในบ่ายวันนี้“สวัสดีค่ะผู้บริหารทุกท่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันขอเข้าเรื่องเลยนะคะ อย่างที่ได้พูดคุยกันบ้างอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันอยากจะเสนอให้ห้างสรรพสินค้าของเราไปเปิดสาขาที่เมืองอื่น” หลินเพ่ยหลันเปิดการประชุมอย่างตรงไปตรงมา“ว่ามาเถอะเพ่ยหลัน พวกเราตื่นเต้นอยากฟังแล้ว” จงหวง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อหลินเพ่ยหลันบอกให้เลขาแจกจ่ายเอกสารที่เธอทำเป็นชุด ๆ ไว้ให้ผู้บริหารแต
บทที่ 58 เป็นที่ยอมรับของทุกคนหลินเสี่ยวหรงถึงแม้ว่าจะไม่ชอบหลินเพ่ยหลัน แต่ครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของแม่ตัวเอง จึงพูดออกมาว่า“จะบ้าเหรอแม่ ใครเขาจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยกัน อย่าลืมสิว่าพวกเราไม่ได้ดูแลนังเพ่ยหลันดีสักเท่าไร แถมมันก็คงจะคิดว่าที่มันตาบอดเพราะพวกเราไม่สนใจไยดีพามันไปหาหมอ แล้วแบบนี้มีเหรอนังเพ่ยหลันมันจะยอมรับเรา มีเหรอคนตระกูลจงจะยอมให้พวกเราไปอยู่ด้วย”“แต่ตอนนี้มันรักษาตาจนกลับมามองเห็นแล้วนะ และถ้ามันจะอกตัญญูต่อพ่อก็ให้มันรู้ไปสิ ถ้าถึงขั้นจะทิ้งพ่อมันได้ลงคอ ก็คอยดูว่าฉันจะประจานมันยังไง” นางหลิวอี้พูดเสียงดังลั่น ทำให้ทั้งหลินตงและหลินเสี่ยวหรงต่างก็ส่ายศีรษะให้กับความดื้อดึงของนางหลิวอี้แต่ที่สุดแล้วหลินตงก็ทนความกดดันจากภรรยาไม่ไหว จนต้องเดินมาที่บ้านซ่งเพื่อขอที่อยู่ของหลินเพ่ยหลัน“แกจะเอาที่อยู่ของเพ่ยหลันไปทำอะไร” ซ่งตงลี่ถามหลินตงออกไป“ฉันก็แค่คิดถึงลูกสาวไม่ได้หรืออย่างไร เห็นว่าเพ่ยหลันไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง ฉันก็จะเขียนจดหมายไปถามข่าว” หลินตงตอบกลับไปตามที่ได้ซักซ้อมกันมากับนางหลิวอี้“หึ อย่ามาโกหกเลย ฉันรู้หรอกว่าจะเขียนไปขอเงินเพ่ยหลันล่ะส