บ่าวไพร่พากันก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม มองผู้เป็นนายเดินออกไปแล้วจึงลงมือทำอาหารต่อจากที่คุณหนูทำเตรียมไว้รับแขกคนสำคัญ เพราะมัวแต่เสียเวลาลงมือตระเตรียมอาหารไว้ต้อนรับด้วยตนเอง กว่าอู๋หมิ่นลี่จะเดินออกมา แขกคนสำคัญก็มาถึงห้องรับรองแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม นางย่อตัวคารวะบุรุษหนุ่มในชุดสีฟ้ากระจ่างแม้เรียบง่ายแต่กลับทำให้เขาดูงามสง่า “คุณชายเซียวเหริน ไม่ได้พบกันเสียนาน” “แม่นางอู๋สบายดีหรือ?” เซียวเหรินเอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความอ่อนโยนอยู่บ้าง “ข้าสบายดี” นางยิ้มกว้างดีใจที่ได้เห็นบุรุษที่ตนชื่นชอบกลับมาเยือนอีกครั้ง ทว่าสายตาของนางมองเลยร่างสูงโปร่งไปยังร่างบอบบางที่ยืนหมุนตัวไปมา สายตากวาดมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้น สตรี! ไม่พบกันครึ่งปี เซียวเหรินมีสตรีข้างกายแล้วหรือ? จูเต๋ออี้กระแอมไอเบาๆ ทำให้หลันหลันเพิ่งรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง นางจึงหยุดกวาดสายตา แต่เมื่อดวงตาคู่สวยมองเห็นหญิงงามในชุดสีชมพูกลีบบัว นางอดกวาดตามองขึ้นลงไม่ได้แล้วยิ้มกว้างออกมา “สวย! สวยยิ่งนัก!” อู๋หมิ่นลี่ถึงกับสะดุ้งที
ตั้งแต่แขนขวาได้รับบาดเจ็บเพราะพิษร้ายของฝ่ายอธรรมเมื่อครึ่งปีก่อน โชคดีที่คราวนั้นเขาอยู่ใกล้ที่พักของเซียวเหริน คนสนิทพาเขาไปรักษา แม้จะรักษาชีวิตไว้ได้แต่เส้นประสาทแขนขวาถูกทำลายทำให้ไม่อาจขยับหรือใช้งานแขนข้างนี้ได้อีก หากว่าเขาเป็นคนพิการ แต่นางเป็นคนสติเลอะเลือน ไม่รู้ว่าคนเช่นไรน่าสงสารมากกว่ากัน “อาหารแต่ละจานอร่อยมาก” หลันหลันพูดออกมาจากใจ “เกิดมาข้าไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน” “แม่นางหลันกล่าวเกินไปแล้ว” อู๋หมิ่นลี่แม้ไม่ชอบที่เห็นนางใกล้ชิดเซียวเหริน แต่ท่าทางไร้เดียงสาของนางนั้นทำให้คนโกรธไม่ลงจริงๆ “ข้าพูดจริงๆนะ” นางพยักหน้าขึ้นลง “ชีวิตนี้โชคดีนัก ได้กินของอร่อยเช่นนี้” แค่ได้กินของอร่อยก็ทำหน้ามีความสุขเช่นนี้ ไม่รู้ชีวิตนางผ่านอะไรมาบ้าง อู๋ซิงว่านลอบมองนางเห็นใจพลางมองดูเนื้อปลาที่นางมีน้ำใจคีบมาวางไว้ให้เขา หลายเดือนมานี้แม้ปากจะพูดว่าทำใจยอมรับสภาพที่ไม่อาจใช้แขนขวาได้อีกแล้ว แต่ลึกๆ แล้วเขายังคาดหวังว่ามันจะกลับมาขยับได้อีก เขาไม่ชอบสายตาเห็นอกเห็นใจหรือมองเขาอย่างเวทนาสงสาร ตั้งแต่หัวไหล่
“คนเลวชั่วช้าเช่นนั้นย่อมมีคนต้องการชีวิต” อู๋ซิงว่านขบฟันด้วยความโมโห เขารับรู้เรื่องราวโฉดชั่วของเสนาบดีหลี่ดี “ชาวบ้านที่ทนทุกข์จากการถูกคนของทางการกดขี่ข่มเหงต่างลุกฮือขึ้นต่อต้านทางการกันบ้างแล้ว” “แต่ชาวบ้านไร้ฝีมือไม่ต่างจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มีแต่พบความตายเท่านั้น” อู๋ซั่วไต้ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ถึงขั้นที่ชาวบ้านต่างอดทนไม่ไหว ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเหล่าขุนนางฉ้อฉลเช่นนี้ พวกเรา...” อู๋ซิงว่านได้แต่กัดฟันข่มโทสะในอก หากแขนขวายังใช้งานได้ เขาจะจับกระบี่ยืนเคียงข้างชาวบ้านที่เดือดร้อนเป็นแน่ “ใจเย็นก่อนว่านเอ๋อร์” ผู้เป็นบิดาได้แต่ปรามเบาๆ แล้วเหลือบตามองยังเซียวเหรินอย่างมีความหมาย “คนของท่านส่งข่าวมาบ้างหรือไม่” เซียวเหรินยกน้ำชาขึ้นจิบ “ในวังนั้นไร้ข่าวคราวขององค์หญิงกงเสวี่ยหลิง คุณชายเซียวแน่ใจหรือว่านาง...” “น่าแปลกนัก คนหายไปทั้งคน เหตุใดยังปิดข่าวได้เงียบเช่นนี้” อู๋ซิงว่านโคลงศีรษะไปมา “ถ้ากระโตกกระตากเกินไปก็จะเป็นชนวนให้เกิดความบาดหมางยิ่งขึ้น” เซียวเหรินวางถ้วยชาลง หางตารับรู้การเคลื่อน
เพียงได้ยินคำว่า ‘รางวัล’ หลันหลันก็ยืดเอวแล้วอ้าปากน้อยๆ อย่างรอคอย นางสบตากับเซียวเหรินด้วยหัวใจเปี่ยมความหวัง กลอกตาดำมองไปทางขนมสีขาวราวหิมะก้อนนุ่มเบื้องหน้า เซียวเหรินมองตามสายตาของนางแล้วเอื้อมมือไปหยิบขนมขึ้นมา แต่เกรงว่าชิ้นจะใหญ่เกินไปจึงบิออกครึ่งหนึ่งแล้วยื่นไปจ่อปากของนาง ประหนึ่งป้อนอาหารให้นกตัวหนึ่ง ด้วยความดีใจและรีบร้อน หญิงสาวงับขนมเข้าปากโดนปลายนิ้วของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ แต่นางก็ไม่รู้สึกว่าตนทำอะไรผิดไป รสหวานของขนมนั้นทำให้นางยิ้มแก้มแทบปริ สีหน้าปลื้มปริ่มกับรสหอมหวานในปากทั้งสองไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นทำให้ผู้อื่นมองอย่างกระอักกระอ่วนใจมากเพียงใด อู๋หมิ่นลี่เม้มริมฝีปากแน่นสะกดกลั้นความไม่พอใจ นางอุตส่าห์ทำขนมเพื่อให้เซียวเหรินได้ชิม เขายังไม่ได้กัดกินแม้แต่คำเดียวแต่กลับป้อนผู้หญิงคนนั้น อู๋ซิงว่านแม้เป็นบุรุษแต่ยังเขินอายแทนจนแก้มขึ้นสีแดง อู๋ซั่วไต้กระแอมไอเบาๆ “แม่นางหลัน...ไม่ทราบว่าเจ้าแซ่ใดรึ” อู๋ซั่วไต้รู้ว่าลูกสาวของตนไม่พอใจไม่น้อยที่ต้องเห็นภาพเมื่อครู่ แต่อย่างไรเซียวเหรินก็เป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้เช่นกัน“หลันหลัน” นางรีบตอบทั้งที่ขนมยังเ
ปกติไม่ค่อยมี หรือจะว่าไปก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาต่อปากต่อคำกับเขานัก พอได้ยินที่หญิงสาวถามกลับ กลายเป็นเขาที่พูดอะไรไม่ออกเสียเอง หญิงสาวเห็นเขายังไม่พูดอะไรต่อจึงรีบนั่งลง รินน้ำชาให้เขาอีกถ้วยแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน “ข้าโกหกไม่เก่งและจะไม่โกหกท่าน ที่ข้าตอบไม่ได้เพราะไม่ต้องการโกหกท่าน ท่านเข้าใจใช่ไหม” เซียวเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่เขาเสียนี่ “หลันหลัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบรับน้ำชาจากนางมาจิบเล็กน้อย“ข้าไม่เคยถามเจ้าเรื่องเสนาบดีหลี่ ถึงเวลานี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในวันนั้น” นางเผยอปากขึ้นแล้วหุบ อ้าปากใหม่แล้วก็กัดริมฝีปาก คิ้วงามขมวดกันยุ่งเหยิง แต่อีกฝ่ายก็ยังรอคอยนางอย่างใจเย็น สุดท้ายแล้วหลันหลันเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้ตัวเอง ใช้สองมือประคองถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วเอ่ยออกมา “เพราะ ‘ซือจื่อสำคัญที่สุด’ ข้าจึงเล่าเรื่องวันนั้นไม่ได้” นางพูดน้ำเสียงหนักแน่น “คุณหนูพูดเสมอว่า ไม่ว่าอย่างไรนางอดทนเพื่อท่านได้เสมอ ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูหมายถึงเรื่องใด แต่ข้
หญิงสาวสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า นางทำตามที่จูเต๋ออี้แนะนำทุกอย่าง แต่ผ้าโปร่งนี้ทำให้นางเกะกะรำคาญตาจนนางตลบมันขึ้น ไม่ใส่ใจว่าจะมีสายตาของใครจ้องมองใบหน้าของนาง ร่างเล็กวิ่งบ้างเดินบ้าง บางครั้งนางก็กระโดดราวกับตัวเองเป็นกระต่ายตัวน้อย ด้วยท่าทางร่าเริงราวกับค้นพบเรื่องสนุกแปลกใหม่ ไม่สนใจความเป็นกุลสตรี นางคุ้นเส้นทางอยู่บ้างเพราะติดตามกงเสวี่ยหลิง ไม่ว่าไปที่ใด นกน้อยอย่างนางย่อมเกาะบ่าไปด้วยเสมอ แต่ก่อนนั้นนางไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่กงเสวี่ยหลิงทำ แต่เวลานี้นางมั่นใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร ทำสิ่งที่ค้างคาของคุณหนูให้สำเร็จ เพื่อถึงวันที่หมดเวลาของนาง นางจะได้พบคุณหนูด้วยรอยยิ้ม ชายผู้นั้นเล่า? เขาจะเป็นอย่างไร? เขาจะเป็นอย่างไรได้ ก็ย่อมต้องสบายดีมีความสุขไม่ต้องถูกนางขโมยกินลมหายใจนี่นะ หญิงสาวยกมือแตะริมฝีปากตนเอง แต่นางต้องคิดถึงเขามากแน่นอน อารามร้างเบื้องหน้าเงียบสงัด แม้เป็นเวลากลางวันที่แดดจัดจ้า อาจเพราะเงาไม้รกครึ้มนั้น ทำให้ดูลึกลับและน่าหวาดหวั่น แต่ใบหน้างดงามกลับปรากฏรอยยิ้มออกมา
หลันหลันยังคงยิ้มกลบเกลื่อนความกังวล ไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวใด แม้กระทั่งสายของนางยังไม่มีผู้รู้เรื่องเหตุการณ์ในวันนั้น อาจเป็นได้ว่าทางวังหลวงเองก็ต้องการปิดข่าวเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองแคว้น เดิมทีกงเสวี่ยหลิงอยู่ในวังก็ไร้ตัวตน หากจะทำเป็นว่านางยังมีชีวิตอยู่เพื่อประวิงเวลาจนกว่าจะถึงเวลาถวายเครื่องบรรณาการประจำปีก็คงไม่ผิดนัก แต่นางคงไม่สามารถกลับเข้าไปในวังได้อีก กลับไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องโทษทัณฑ์ใดอีก เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เห็นทีว่านางหลบอยู่หลังแผ่นหลังของเซียวเหรินไปสักระยะ แล้วลอบออกไปหอชมบุหลันจะดีที่สุด อ่า...นางคิดถึงเซียวเหรินอีกแล้ว นางได้กินลมหายใจของเขาแล้ว เหตุใดนางยังถวิลหาเขาอีกหนอ เป็นมนุษย์นี่ช่างลำบากแท้ ชายชราพยักหน้ารับคำสั่ง “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนส่งข่าวให้แม่ทัพจางเองขอรับ” “ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “ข้าขอเป็นตัวแทนองค์หญิง ขอบคุณทุกท่านจากใจจริง โปรดแจ้งกับทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่นาน ...อีกไม่นานแล้วจริงๆ” เสียงสูดลมหายใจลึกเคล้ากับความรู้สึกฮึกเหิม
หลันหลันดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ หันขวับไปมองทางจูเต๋ออี้พร้อมฉีกยิ้มกว้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่จูเต๋ออี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างหันมามองอย่างตกใจ เขามีหน้าที่อารักขาท่านเซียวเหริน จะให้ลดตัวไปเดินตามเจ้านกหงส์หยกนี่นะ เสียชื่อองครักษ์เงาอย่างเขาหมดนะซิ เอ่อ... แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่องครักษ์เงาแล้วนี่นะ “ขอบคุณท่านเซียว” หญิงสาวยิ้มระรื่นแล้วหันไปทางจูเต๋ออี้ที่หน้าบึ้งตึง “พี่เต๋ออี้!” “ข้าไม่มีน้องสาว...” ‘ปัญญาอ่อน’ เขาเกือบหลุดปากพูดไปตามที่ใจคิด จะว่านางปัญญาอ่อนก็ดูเหมือนเขาจะรังแกหญิงสาวมากไป นางแค่เจ็บป่วยและคิดว่าตนเองเป็นนกเท่านั้น หลันหลันกลับพยักหน้าขึ้นลง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ข้าก็ไม่มีพี่ชาย ไม่มีญาติพี่น้องที่ใด เป็นเช่นนี้แล้วข้ายอมอุทิศตนเองเป็นน้องสาวให้ก็ได้ พี่เต๋ออี้” “อย่ามาเรียกข้าว่าพี่” จูเต๋ออี้ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาต่อปากต่อคำกับหญิงสาวแบบนี้เลยสักนิด “วันที่ไปซื้อเสื้อผ้า ท่านเรียกข้าว่าน้องสาวเองนี่ ข้ามิได้ยกย่องตัวเองเป็นน้องสาวท่านเสียหน่อ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม
หลังผ่านศึกรักเร่าร้อน หยางเฟยหลิงสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้หลิวเจียวเหมยเสมอ นอกจากชำระล้างร่างกายแล้วยังช่วยนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อและด้วยนิสัยรักสะอาดของหญิงสาว การใส่ใจเรื่องเหล่านี้ทำให้หลิวเจียวเหมยรู้สึกดีกับชายผู้นี้ไม่น้อย ฐานะของนางเป็นเพียงสาวใช้ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องดูแลใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางเดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งประเดี๋ยวนี้เขาอนุญาตให้นางนอนรวมเตียงเดียวกับเขา ใบหน้างามแดงเรื่อที่เห็นเขาเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “ท่านแม่ทัพ” “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ” เขาถามไม่จริงจังนักแล้วยื่นมือจับข้อมือนางให้ขึ้นเตียง “อากาศเย็นรีบเข้ามาในผ้าห่มสิ” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ปีนขึ้นเตียงเข้าไปด้านใน “ข้าก็บอกแล้วว่าให้อาบน้ำพร้อมข้า เจ้าก็ไม่ยอม” หยางเฟยหลิงหัวเราะในลำคอแล้วหยิบกำไลหยกที่ซ่อนไว้ออกมาสวมใส่ข้อมือเรียวเล็กของนาง “นี่คือ...” “ข้าให้” เขาเองก็เก้อเขินไม่น้อย อายุก็ล่วงเลยมาถึงวัยนี้ไม่เคยเกี้ยวพาสตรีและไม่เคยซ
หลิวเจียวเหมยส่งเสียงได้แค่นั้นก็ถูกขบเม้มกลีบปากจนรู้สึกเจ็บ เสื้อผ้าของนางหลุดรุยและฝ่ามือร้อนนวดคลึงทรวงอกอวบอิ่ม ภายใต้แสงสลัวยามบ่ายที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนที่ไม่มีผู้ใดเพราะเจ้าของจวนไล่ผู้อื่นไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณนี้ หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดเช่นนี้มาก่อน คิดแล้วก็น่าขบขันนัก เขาเหมือนนักพรตกินผักมาหลายปี ทว่าเมื่อพลั้งเผลอได้ชิมเนื้อเข้าไปก็ติดใจจนยอมสละได้ทุกสิ่ง แรกทีเดียวเขาคิดว่าตนเองแค่เผลอใจ เพราะตนเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีมานาน แต่เมื่อลองไปหอนางโลมเขากลับไม่ปรารถนาหญิงใด ในหัวของเขามีหลิวเจียวเหมยเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด เขาไม่ต้องการให้ใครแตะต้องนางและนางต้องเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นมือหยาบกร้านนวดเคล้นทรวงอกจนหญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ลมหายใจร้อนระอุและหัวใจเต้นแรงยิ่งทำให้หญิงสาวอ่อนระทวย เขาถอนจูบแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย เสื้อบังทรงถูกปลดออก หญิงสาวยกมือขึ้นปัดป้องแต่ไม่สำเร็จ ริมฝีร้อนอ้าปากดูดดึงปลายถันจนหญิงสาวได้แต่ส่งเสียงครางอย่างไม่อาจกลั้นได้ ช่องท้องวาบหวิวปั่นป่วน ฝ่ามือข้างหนึ่งจัดการกับกระโปรงท่อนล่างและลูบไล้เร
มือเรียวงามกำลังหยิบหนังสือที่ตากแดดไล่ความชื้นกลับมาวางบนชั้นตามเดิม วันนี้หลิวเจียวเหมยได้รับมอบหมายให้จัดการงานในห้องหนังสือของแม่ทัพหยาง ตั้งแต่เช้า นางปัดกวาดเช็ดถูและยังต้องนำหนังสือในห้องออกมาตากแดด แม้สองมือทำงานไม่ได้หยุด แต่หัวสมองของนางยังครุ่นคิดแต่เรื่องของแม่ทัพหยาง หลิวเจียวเหมยไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หลังจากผ่านศึกรบบนเตียงนอนที่แสนร้อนแรง นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาแล้วปิดเปลือกตา ลงอย่างอ่อนล้า ความเมามายหายไปหมดสิ้น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อขยับตัวลุกขึ้นเพื่อพาตัวเองออกไปจากเตียงของเขา ทว่าเขากลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำอุ่นและผ้านุ่มๆ หัวคิ้วขมวดมุนขณะจ้องมองนางที่กำลังจะลงจากเตียง ‘เจ้าจะทำอะไร’ ‘ข้า’ ‘อยู่นิ่งๆ’ เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้นางไม่กล้าขยับตัว แต่กระนั้นเพียงการขยับกายเล็กน้อยก็เจ็บร้าวไปทั่วร่างจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แม่ทัพหนุ่มวางอ่างน้ำแล้วเข้ามาประคองให้นางลงนอนอีกครั้ง แล้วหมุ่นตัวไปหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำและเช็ดตัวให้นาง ‘ท่าน! ท่านแม่ทัพ! ข้าทำเองได้’
ริมฝีปากอุ่นและหวานฉ่ำชวนมึนเมายิ่งกว่าสุรารสใดที่เคยลิ้มรส หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกกระหายเช่นนี้มาก่อน หรือว่าเขาห่างเหินเรื่องสตรีไปนานจึงรู้สึกตะกละตะกลามอยากลิ้มชิมรสหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่าง มือแกร่งออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อยผ้าคาดเอวก็หลุดทำให้สาบเสื้อคลายออกเผยผิวเนียนละเอียดดุจหยกใส เขาถอนจูบอย่างเสียดายปล่อยให้หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเพราะนางจูบไม่เป็นความไร้เดียงสาแสนเย้ายวนทำให้เขาไม่อาจต้านทานความปรารถนาในกายได้ สองมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างอรชร เผยความงามยากจะบรรยายจนเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ผิวกายสัมผัสไอเย็นเพราะบัดนี้ร่างกายเปลือยเปล่าทำให้หลิวเจียวเหมยได้สติ ดวงตาดุจบ่อน้ำลึกคู่นั้นจ้องมองจนนางขืนอายทำให้พยายามควานหาผ้ามาปกปิดเรือนร่าง แต่เขากลับรวบข้อมือสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขาแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ “ท่าน...ท่าน...” นางส่งเสียงได้เพียงแค่นั้นจากน้ำก็กลายเป็นเสียงครางเมื่อถูกริมฝีปากร้อนครอบครองยอดอกสีหวาน หลิวเจียวเหมยไม่เคยคิดว่าร่างกายตนเองจะสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ นางอยู่หอนางโลมแม้จะรู้เรื่องเหล่า
สีหน้าของนางอยู่ในสายตาของเขาสร้างรอยยิ้มที่มุมปากของแม่ทัพใหญ่ ช่างดูน่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่านางไม่รู้สึก แต่นางต้องคอยเก็บอารมณ์และดูสีหน้าของผู้คน คงเพราะเกรงว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองไม่ได้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้เจ้าคอยมาเดินหมากกับข้าอีก”หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ภารกิจของวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว หลายวันมานี้ชีวิตนางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ทว่าชายหนุ่มกลับเหมือนได้ค้นพบสิ่งที่จะทำร่วมกับนางได้ นางคงไม่สามารถเป็นคู่ฝึกซ้อมกระบี่กับเขา หรือจะให้เขาไปวาดภาพเขียนอักษรก็ไม่ได้อีก ไม่รู้ว่าน้องชายของเขาทำไมถึงชอบทำเรื่องไร้สาระพวกนี้นักนะแต่การถูกแม่ทัพใหญ่เรียกให้อยู่ข้างกายบ่อยครั้ง แม้ทำให้สาวใช้ผู้อื่นไม่พอใจและริษยาหนักขึ้นแต่ไม่กล้ากลั่นแกล้งหลิวเจียวเหมยมากนัก ชีวิตของนางจึงสงบสุขอยู่บ้าง จะสงบสุขยิ่งกว่านี้หากคนผู้นั้นไม่เป็นฝ่ายแกล้งนางเสียเองหลิวเจียวเหมยมั่นใจว่าแม่ทัพหยางแกล้งนางเพราะหลายวันมานี้ เขากลับถึงจวนเย็นค่ำนัก นางต้องแขวนท้องรอเพื่อกินข้าวเย็นพร้อมเขา บางวันก็ถูกเรียกใช้ให้ไปช่วยฝนหมึกชงชา และในวันนี้ก็เ
ชายหนุ่มหมุนตัวก้าวเท้าออกไปแล้ว หลิวเจียวเหมยได้สติก้มมองตัวแล้วยกมือขึ้นแตะเรือนผมที่ยังปล่อยสยาย ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาทันที แล้วรีบไปแปรงผมแล้วรวบให้เรียบร้อยให้เหมาะกับฐานะสาวใช้ของตน จอกสุราถูกยกดื่มระหว่างรอให้หญิงสาวเดินมานั่งที่ของตน สายตาคมกริบจ้องมองไปยังร่างอรชนที่ค่อยๆ วางมือลงบนพิณ ใบหน้างดงามเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพต้องการฟังเพลงอะไรหรือเจ้าคะ” นางเอยถามด้วยท่าทีนอบน้อมและไม่กล้าสบตาดวงตาคมปลาบคู่นั้น“เจ้าอยากเล่นเพลงอะไรก็เล่นเถอะ” เขาตอบอย่างนี้เรียบง่ายท่าทางไม่ใส่ใจนักและยังคงดื่มสุราอย่างต่อเนื่องหญิงสาวไม่เข้าใจว่าหากเขาไม่อยากฟังเสียงพิณ เหตุใดต้องเรียกนางมาเช่นนี้ แต่ช่างเถอะนางเป็นแค่หญิงรับใช้เขาต้องการให้ทำอะไรนางก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ นางจึงตัดสินใจเลือกเพลงบรรเลงที่ตนเองถนัด แม่ทัพหนุ่มมองหญิงสาวที่แม้อยู่ในชุดสาวใช้แต่ไม่อาจซ่อนความงามได้เลย เป็นความงามอย่างเรียบง่ายที่ดูแล้วสบายตา เพลงพิณของนางเสียงกระจ่างใสสะท้อนความในใจของนาง ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความเศร้า ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ดูท่าทางนางคงจะชอบเล่นพิณม