หลันหลันดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ หันขวับไปมองทางจูเต๋ออี้พร้อมฉีกยิ้มกว้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่จูเต๋ออี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างหันมามองอย่างตกใจ เขามีหน้าที่อารักขาท่านเซียวเหริน จะให้ลดตัวไปเดินตามเจ้านกหงส์หยกนี่นะ เสียชื่อองครักษ์เงาอย่างเขาหมดนะซิ
เอ่อ... แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่องครักษ์เงาแล้วนี่นะ
“ขอบคุณท่านเซียว” หญิงสาวยิ้มระรื่นแล้วหันไปทางจูเต๋ออี้ที่หน้าบึ้งตึง “พี่เต๋ออี้!”
“ข้าไม่มีน้องสาว...” ‘ปัญญาอ่อน’ เขาเกือบหลุดปากพูดไปตามที่ใจคิด จะว่านางปัญญาอ่อนก็ดูเหมือนเขาจะรังแกหญิงสาวมากไป นางแค่เจ็บป่วยและคิดว่าตนเองเป็นนกเท่านั้น
หลันหลันกลับพยักหน้าขึ้นลง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ข้าก็ไม่มีพี่ชาย ไม่มีญาติพี่น้องที่ใด เป็นเช่นนี้แล้วข้ายอมอุทิศตนเองเป็นน้องสาวให้ก็ได้ พี่เต๋ออี้”
“อย่ามาเรียกข้าว่าพี่” จูเต๋ออี้ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาต่อปากต่อคำกับหญิงสาวแบบนี้เลยสักนิด
“วันที่ไปซื้อเสื้อผ้า ท่านเรียกข้าว่าน้องสาวเองนี่ ข้ามิได้ยกย่องตัวเองเป็นน้องสาวท่านเสียหน่อย” นางเบ้ปากทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจูเต๋ออี้ต้องขึงตาใส่นางถึงเพียงนี้
“เจ้าว่างอยู่ก็ไปเป็นเพื่อนนางหน่อยเถิด” เซียวเหรินตัดบทแล้ววางพู่กันลง ทบทวนอาการเจ็บป่วยแปลกประหลาดของหลันหลันในสมุดบันทึกที่เขาเขียนหลายครั้ง เขาไม่อาจหาสาเหตุอาการของนางได้ ใครเลยจะคิดว่า ชีวิตที่เรียบง่ายของเขาจะวุ่นวายเพราะหญิงสาวที่บอกว่าตนเองเป็นนกหงส์หยกตัวหนึ่ง แต่เดิมเขาบอกตัวเองว่า สิ่งที่ทำเพียงแค่ติดตามอาการของนาง แต่นานวันเข้า สายตาของเขากลับมักมองหาเจ้าของเสียงหวานใสตลอดเวลา
หากนางจะเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็ไม่ลำบากใจที่จะดูแลนาง
ทว่านางเคยพูดกับเขาไว้ว่าตนเองจะมีชีวิตแค่สี่สิบเก้าวัน อาการแปลกประหลาดของนางนั้น เขายังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด และจะต้องทำอย่างไร นอกจากการที่นางกลืนกินลมหายใจของเขา
โลกนี้ช่างแปลกประหลาดนัก มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจอธิบายได้ ทั้งตัวนางและตัวเขาเอง
“แต่” จูเต๋ออี้อึกอัก เขามีหน้าที่อารักขาเซียวเหริน ข้างกายนายท่านมีเขาเพียงคนเดียว หากให้เขาไปแล้วผู้ใดจะอยู่คอยรับใช้
เซียวเหรินยกมือขึ้นตัดบทเป็นอันเข้าใจว่าเขาต้องการยุติบทสนทนาเหล่านี้ หลังจากทั้งสองคนกลับมาจากข้างนอกพร้อมกัน ในเวลานั้นเขายุ่งกับการปรุงยาให้อู๋ซิงว่าน นางเห็นเขาง่วนกับการปรุงยาจึงคอยอยู่ข้างๆ หากเขาต้องการสิ่งใด นางก็หยิบจับยื่นส่งให้อย่างรวดเร็ว หลันหลันไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติจากที่เคยเป็น มีเพียงจูเต๋ออี้ที่มีสีหน้าพิกล หลัน หลันแยกตัวไปแล้ว จึงเข้ามารายงานเรื่องที่นางออกไปข้างนอกให้เขาทราบ
‘น่าประหลาดนัก ข้าน้อยมิอาจติดตามนางเข้าไปในอารามร้างแห่งนั้นได้ รอบอารามร้างวางกับดักไว้มากมาย ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนข้างในรู้ตัว จึงได้แต่หลบซ่อนอยู่ด้านนอก จนแม่นางหลันก้าวเท้าออกมาขอรับ’
‘กับดัก? หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วหลันหลันเข้าไปได้อย่างไร’
‘นาง...เอ่อ...เดินไปกระโดดไปขอรับ’
‘เดินไปกระโดดไป?’ เซียวเหรินทวนคำแล้วโคลงศีรษะเล็กน้อย ‘หรือจะเป็นกลไกบางอย่าง’
‘อาจเป็นไปได้ขอรับ แต่...ปกตินางก็เดินไปกระโดดไป ข้าน้อยจึงไม่เห็นเป็นสิ่งผิดปกติ แต่พอข้าน้อยเดินตามนางเข้าไป กลับพบกับดักมากมายทำให้ไม่อาจเข้าไปได้ จึงไม่รู้ว่าด้านในอารามร้างมีอะไร และนางไปพบใคร’
‘นางเป็นคนของกงเสวี่ยหลิง คนที่นางพบคงเกี่ยวข้องกับกงเสวี่ยหลิงหรือกงอี้เทา’ เขาเอ่ยแววตาครุ่นคิด องค์หญิงตัวประกันผู้นั้นต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ยามนี้ได้ยินข่าวการเคลื่อนไหวบางอย่าง ทางประมุขอู๋ซั่วไต้เองก็รวบรวมข่าวสาร กงอี้เทากำลังเดินทางมาจากแคว้นเฉียนเหลียง เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่
เขาไม่ได้ซักไซ้เอาความใดกับหลันหลัน เมื่อนางไม่พูด เขาจึงไม่ถาม แต่เห็นได้ชัดว่านางรู้ตัวแล้วว่าจูเต๋ออี้ติดตามนางไป นางกลับเปิดเผยแสดงว่าต้องการให้เขารู้ว่านางทำสิ่งใดอยู่ เขาจึงให้จูเต๋ออี้ติดตามนางไปข้างนอก
“หลันหลัน เจ้าไปหยิบสมุดบันทึกการรักษาคุณชายอู๋ซิงว่านบนโต๊ะในห้องของข้ามาที” เซียวเหรินสั่งนาง
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แล้วนึกได้ว่าเซียวเหรินเตือนไม่ให้พยักหน้าบ่อยๆ จึงยักไหล่ยิ้มทะเล้นแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งตัวปลิวไปด้านใน เมื่อเหลือเพียงเซียวเหรินและจูเต๋ออี้ที่นั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำใกล้เรือนพัก จูเต๋ออี้จึงเอ่ยปากถาม
“นายท่านต้องการให้ข้าน้อยติดตามนางจริงๆ หรือขอรับ” เขายังไม่มั่นใจนัก
“ถูกต้อง”
“แต่นางรู้ตัวแล้วว่าข้าน้อยแอบสะกดรอยตามนาง” พูดเสียงเบาด้วยความอับอาย ไม่คิดว่าตนเองจะพลาดท่าให้หญิงสาวจับได้ แต่เซียวเหรินกลับยกมุมปากเป็นรอยยิ้มบางๆ
“นางสัญญากับข้าว่าจะไม่โกหก และนางก็รับปากกงเสวี่ยหลิงไว้ว่าเพื่อความปลอดภัยของข้า นางจะไม่ให้ข้ารู้ แต่ที่นางยอมให้เจ้ารู้เพราะนางรู้ว่าเจ้าต้องมารายงานเรื่องเหล่านี้กับข้า เท่ากับว่านางไม่ผิดต่อกงเสวี่ยหลิง”
จูเต๋ออี้ถึงกับนิ่งงันไป ไม่คิดว่าหญิงสาวที่ดูสติไม่ดีนักกลับคิดอะไรได้ลึกซึ้งกว่าเขามาก ต่อไปเขาจะเผลอดูแคลนนางมิได้อีกแล้ว
“ข้างนอกเริ่มมีความเคลื่อนไหว ข้าอยู่ที่นี่ปลอดภัยดี เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“ขอรับนายท่าน” จูเต๋ออี้รับคำหนักแน่น หางตารับรู้การเข้ามาของผู้อื่นจึงถอยไปยืนอยู่ด้านข้างเซียวเหริน
อู๋หมิ่นลี่และน้องชายอู๋ซิงว่านเดินเข้ามาพร้อมกับไป๋ชิวที่ถือกล่องอาหารเข้ามาด้วย เพียงอู๋หมิ่นลี่เห็นเซียวเหรินเงยหน้าขึ้นมองนาง ใบหน้าของหญิงสาวก็แดงระเรื่อ
“พวกเรามารบกวนคุณชายเซียวหรือไม่เจ้าคะ”
อู๋หมิ่นลี่ถามด้วยความเกรงใจ ความจริงนางพยายามหาทางชิดใกล้เซียวเหริน แต่นางก็ไม่กล้าเข้ามา ประจวบกับเห็นว่าอู๋ซิงว่านต้องมาพบเซียวเหริน นางจึงอาศัยเอาน้องชายมาบังหน้าพร้อมกับลงมือทำอาหารว่างมาให้เขาด้วย
“ข้ากำลังจะให้คนไปเชิญคุณชายอู๋อยู่พอดี”
เซียวเหรินมองสองพี่น้องแล้วพยักหน้าให้ทั้งสองนั่งลงที่เก้าอี้ว่างตรงหน้าเขา ไป๋ชิวประคองกล่องอาหารเข้ามาใกล้ เห็นอู๋หมิ่นลี่พยักหน้าให้แล้วนางจึงวางกล่องอาหาร
“คุณหนูทำขนมแป้งม้วนสอดไส้และผลไม้เชื่อมมาให้คุณชายเซียวกินกับน้ำชาเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเลื่อนมาตรงหน้าเซียวเหริน “คุณหนูทำเองกับมือ ท่านเซียวลองชิมดูสักนิดเถิดเจ้าค่ะ”
“ไป๋ชิว” อู๋หมิ่นลี่ปรามสาวใช้ข้างกายด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยปากพูดอะไรต่อ ร่างบอบบางของหลันหลันก็ถลาเข้ามาราวนกน้อยโผบินมาหยุดชะงักที่โต๊ะ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มสดใส
“ผลไม้เชื่อม! ขนมแป้งม้วนสอดไส้!”
“หลันหลันอย่าเสียมารยาท” เซียวเหรินตำหนินางไม่จริงจังนัก ถ้อยคำของเขาทำให้หญิงสาวได้สติ แต่ดวงตาวาววับยังจับจ้องที่ขนมหน้าตาน่ากินเบื้องหน้า นางเผลอกัดริมฝีปากกลืนน้ำลาย พลันนึกได้ว่าถือสมุดบันทึกการรักษาอยู่จึงรีบยื่นสมุดเล่มนั้นให้เซียวเหริน
อู๋ซิงว่านเห็นกิริยาของหลันหลันกลับมองด้วยสายตาเอ็นดู ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะทำสิ่งใดก็ช่างน่ารักน่ามองไปเสียทุกอย่าง เขาเห็นท่าทางอยากกินขนมเหมือนเด็กน้อยของนางแล้วอมยิ้ม หันไปพูดกับพี่สาวที่นั่งหน้าตึงอยู่ข้างๆ
“พี่สาวทำขนมมาหลายชิ้น แบ่งให้แม่นางหลันสักคำนะ” เขาเอ่ยปากขอ ทำให้อู๋หมิ่นลี่ที่ตั้งใจทำขนมให้เซียวเหรินไม่กล้าปฏิเสธเพราะเกรงผู้อื่นจะมองนางใจแคบ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายหยิบขนมส่งให้หลันหลัน
“แม่นางหลันหากไม่รังเกียจลองชิมขนมฝีมือข้าดูสักคำเถิด” อู๋หมิ่นลี่ส่งขนมแป้งม้วนสอดไส้ให้นาง หลันหลันชำเลืองมองทางเซียวเหรินแต่เห็นว่าเขาไม่ห้ามปรามอะไรก็รีบยื่นมือไปรับ “ขอบคุณแม่นางอู๋ ท่านช่างดีจริงๆ ทำอาหารเก่งเช่นนี้ ท่านต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่ๆ”สายตาทุกคู่จับจ้องที่หญิงสาวร่างเล็กแต่อ้าปากกว้างกัดกินขนมโดยไม่ยกมือขึ้นปิดบัง ความหวานนุ่มละมุนลิ้นที่อบอวลในปากทำให้หญิงสาวกระโดดเต้นไปมาด้วยท่าทางชอบใจราวเด็กเล็กๆ“อร่อยมาก อร่อยจริงๆ ท่านเซียวลองชิมดูซิเจ้าคะ”“อืม” เซียวเหรินไม่กินขนมเพียงแค่ยกน้ำชาที่อู๋หมิ่นลี่รินให้ขึ้นจิบแล้วเอ่ยชม “ชาดี”“เป็นชาเข็มเงินจวินซานขอรับ” อู๋ซิงว่านพูดทั้งที่สายตายังเหลือบมองหลันหลันอยู่ แม้กิริยาไร้ความสำรวมแต่ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาชิมขนมฝีมือพี่สาวมาแต่เล็ก รสชาติคุ้นลิ้นมานานแล้ว แต่เห็นท่าทางนางตื่นเต้นมีความสุขเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกอยากกินไปด้วย เขารินน้ำชาแล้วส่งให้หลันหลันที่ยังยืนอยู่ด้านข้างของเซียวเหริน “แม่นางหลัน ดื่มชาด้วย” “ขอบคุณคุณชายอู๋” นางรับน้ำชามาดื่มอึกใหญ่แล้วพูดเลียนแบบเซียวเหริน “ชาดี”ไป๋ชิวที่ยืนดูอยู่ถ
“ข้าจะไปหอชมบุหลัน!” นางตอบอย่างรวดเร็ว และคำตอบของนางทำให้เขางุนงง อู๋ซิงว่านรู้จักหอชมบุหลันแต่คิดว่านางพูดผิดจึงถามซ้ำอีกครั้ง แต่หลันหลันยืนยันคำตอบเดิม “เจ้าไปทำอะไรในสถานที่เช่นนั้น” “ไปทำงาน” นางแย้มยิ้มไม่คิดว่าตนเองพูดสิ่งใดผิดหรือแปลกประหลาด “เจ้าจะไปทำงานอะไร” คราวนี้ไป๋ชิวอดพูดขึ้นไม่ได้“ทำงานที่ได้ค่าตอบแทน” นางหัวเราะคิกคัก “ข้าต้องใช้เงินและเงินจำนวนมากๆ” อู๋ซิงว่านอยากซักถามนางต่อด้วยเกรงว่านิสัยไร้เดียงสาของนางจะถูกผู้อื่นหลอกลวงเอาได้ แต่เซียวเหรินกลับพูดตัดบทขึ้นมาก่อน “คุณชายอู๋ ดูจากอาการของท่านแล้ว ข้าคิดว่าควรฝังเข็มรักษาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างการรักษานี้เจ้าจะต้องมีสมาธิไม่ว่อกแว่กต่อสิ่งใด อย่าเพิ่งโคจรเดินลมปราณ รอจนร่างกายขับพิษออกอีกหน่อย ให้ข้ามั่นใจว่าพิษจะไม่ทำลายหัวใจ ท่านจึงค่อยฝึกเดินลมปราณใหม่อีกครั้ง” “ข้าทราบแล้วท่านเซียว” “คุณหนูใหญ่ รบกวนเจ้าช่วยตระเตรียมห้องสำหรับการรักษาด้วย ข้าต้องการความสงบและหาเวรยามคอยเฝ้าไม่ให้ใครรบกวนระหว่างการฝังเ
“แล้วข้าเล่า” จางซงหยวนหัวเราะแล้วเดินไปคารวะอู๋ซั่วไต้แล้วจึงนั่งลง เซียวเหรินซึ่งคุ้นเคยกับจางซงหยวนเป็นอย่างดีได้แต่ส่ายหน้าไปมา รินน้ำชาส่งให้สหายและของตนเองก่อนจะนั่งลงทำให้ชิงเหยียนนั่งลงเช่นกัน “เหตุใดเจ้ามาเพียงลำพัง” เซียวเหรินเอ่ยถามเมื่อเห็นจางซงหยวนมาเพียงลำพัง ตามจริงแล้วพบกันครั้งนี้เขาควรได้พบกงอี้เทาด้วย “คนผู้นั้นมีเรื่องต้องไปจัดการ อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ท่านย่อมได้พบ” จางซงหยวนเพียงยักไหล่ “อย่างไรก็ต้องรบกวนประมุขอู๋เช่นเดิม” “อย่าเรียกว่ารบกวนเลย” อู๋ซั่วไต้โบกไม้โบกมือไปมา “มาคราวนี้อยากให้พวกท่านได้รู้จักกับชิงเหยียน แม้มีกำลังคนน้อยแต่โดดเด่นยิ่งนัก” “ประมุขอู๋กล่าวเกินไป” ชิงเหยียนยิ้มจางๆ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีหนวดเครารกรุงรังและยังมีร่องรอยบาดแผลบนใบหน้า “มาครั้งนี้หวังเพียงได้พบแสดงความขอบคุณกุนซือผู้ให้คำแนะนำแก่ข้า” จางซงหยวนเลิกคิ้ว ใช้ถ้วยชาปิดมุมปากที่ยกยิ้ม แต่ดวงตาของเขาจ้องมองมาทางเซียวเหรินที่ยังคงสงบนิ่งไร้ถ้อยคำใด เห็นท่าทีของเซียวเหรินแล้ว จางซงหยวนที่เดินทางแรมร
“เจ้าจะรับนางกลับไปหรือไม่” เซียวเหรินรู้สึกหัวเสียเพราะเสียงหัวเราะของจางซงหยวน “ท่านว่านางป่วยไม่ใช่รึ ท่านผู้เป็นหมอสมควรดูแลนางอย่างยิ่ง นางเป็นคนสำคัญยิ่ง หวังว่าท่านจะดูแลนางอย่างดี อ้อ! ตอนนี้องค์ชายกงอี้เทาตระเตรียมกองทหารอยู่ อาจจะมาหาท่านช้าไปสักหน่อย” จางซงหยวนลุกขึ้นยืน “ข้ามีธุระต้องไปสะสาง วันนี้ขอตัวก่อน” จางซงหยวนเดินไปที่ประตูลับที่เขาเข้ามา บานประตูเลื่อนเปิดออก เขาชะงักแล้วหันกลับมามองบุรุษที่ยังนั่งนิ่งเพียงลำพัง “เซียวเหริน...ท่านจำองค์หญิงกงเสวี่ยหลิงไม่ได้จริงหรือ?” “ข้าไม่เคยพบหน้านาง” เซียวเหรินมั่นใจเช่นนั้น จางซงหยวนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรก็เปลี่ยนใจ โคลงศีรษะไปมา “ลองทบทวนดูเถิด ความทรงจำของคนเรามันซับซ้อนยิ่งนัก” ร่างปราดเปรียวของจางซงหยวนหายไปลับตาพร้อมเสียงปิดประตูลับ ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด เซียวเหรินทบทวนเรื่องราวที่จางซงหยวนเอ่ยมา เขาหลับตาและครุ่นคิด พลันรู้สึกถึงกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นในความทรงจำอันเลือนราง หรือเขาหลงลืมอะไรไปจริงๆ “ซือจื่อ” เด็กสาวพึมพำชื่อขอ
แม้พบกันในลักษณะนี้หลายครั้ง แต่จางซงหยวนยังอดตื่นตะลึงกับหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้สักครั้งครา“ฮูหยินของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ”หลันหลันเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เบาะนุ่ม ยื่นมือเรียวงามไปหยิบกาน้ำชา รินน้ำชาให้บุรุษหนุ่มและของตนเอง ทุกการเคลื่อนไหวของนางช่างเย้ายวนตรึงสายตาของผู้คนได้ยิ่งนัก“นางสบายดี และฝากความระลึกถึงเจ้าด้วย”“ข้าหวังใจว่าท่านจะดูแลนางอย่างดียิ่ง” หญิงสาวแย้มยิ้ม แต่ราวกับรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้บุรุษเบื้องหน้า เป็นรอยยิ้มหวานเศร้าเมื่อความทรงจำต่างๆ พรั่งพรูเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดคุยกับนางมาตลอดสามปี‘หากวันหนึ่งวันใด ข้าเป็นอะไรไป เจ้า...เจ้าช่วยสานต่อสิ่งที่ข้าปรารถนาให้ลุล่วงด้วยนะ... หลันหลัน’จางซงหยวนพลันรู้สึกลำคอแห้งผาก แม้พบกันลักษณะนี้บ่อยครั้ง แต่ความสามารถในการแปลงโฉมและเปลี่ยนบุคลิกของนางทำให้เขาอดตะลึงงันไม่ได้สักคราเดียว มือใหญ่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ยามนี้เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะต่อกระซิกของบรรดาหญิงคณิกาในหอชมบุหลันดังลอดผ่านบานประตูเข้ามาในห้องส่วนตัวของนางรำอันดับหนึ่งของหอชมบุหลัน “ยามนี้เจ้าอยู่กับเซียวเหรินหรือ
ภาพของเซียวเหรินปรากฏในสมองน้อยๆ ของนาง สามวันนางต้องกลืนกินลมหายใจของเซียวเหรินเพื่อมีชีวิตให้ถึงสี่สิบเก้าวัน นางห่างชายผู้นั้นได้เพียงสามวัน เห็นทีว่านางต้องลากเขาเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านี้เร็วกว่าที่คาดไว้เขาจะโกรธหรือเกลียดนางก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่...เพียงแค่นางทำให้อูหลันโหยวสมปรารถนาก็พอหัวใจของนกน้อยเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีนางต้องการเพียงแค่นั้นจริงหรือ? เพียงเสียงผลักบานประตูแผ่วเบาก็ทำให้มือใหญ่ที่กำลังปลดสายคาดเอวอยู่นั้นชะงักไปเล็กน้อย กรุ่นไอสีขาวขมุกขมัวลอยอยู่เหนืออ่างอาบน้ำ เซียวเหรินไม่ชอบให้ใครมาปรนนิบัติ แต่ไหนแต่ไรเขาจัดการดูแลตัวเองได้ เพียงแค่เมื่อมาอยู่ที่หมู่ตึกนกยูงทอง เจ้าของเรือนก็ส่งเด็กรับใช้มาคอยปรนนิบัติ เขาเอ่ยปากขับไล่ไปหลายครา เวลานี้จึงไม่น่าจะมีใครกล้าเข้ามารบกวนเวลาอาบน้ำของเขาอีก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครกล้า ร่างเล็กๆ ยื่นหน้าเข้ามาจากหลังฉากกั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เปลือยกายนางจึงกล้าก้าวเข้ามายืนทั้งตัวพร้อมส่งรอยยิ้มกว้าง “เจ้าเข้ามาทำอะไร” เซียวเหรินเห็นท่าทางกระโดกกระเดกของนางก็ได้แต
“เจ้าก่อเรื่องใดอีกล่ะ” “เจ้ามีตาทิพย์รึ” หลันหลันทำตาโตกวาดตามองชายหนุ่มเบื้องหน้า แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะแล้วยื่นห่อขนมส่งให้นาง เพียงได้กลิ่นหอมหวานนางก็ลืมสิ้นทุกสิ่ง รีบยื่นมือไปคว้าไว้แต่อู๋ซิงว่านกลับชูมือขึ้นเหนือศีรษะทำให้นางคว้าห่อขนมไมได้ นางไม่ยอมแพ้กระโดดยื่นไปสุดมือแต่ยังไม่ได้ อู๋ซิงว่านหมุนตัวหลบหลีกว่องไวแต่หญิงสาวที่ไร้วรยุทธกลับพลิกกายไล่ตามติดได้อย่างเหลือเชื่อ สายตาของนางจับจ้องเพียงห่อขนมในมือซ้ายของอู๋ซิงว่าน ทำให้ไม่ทันระวังก้อนหินที่อยู่บนพื้น ปลายเท้าเตะเข้าไปอย่างเต็มที เสียงร้องเจ็บดังขึ้นทันทีพร้อมกับทรุดลงนั่งเอามือกุมเท้าตัวเอง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากไหม” อู๋ซิงว่านรีบทรุดตัวลงนั่ง ยื่นหน้าไปหมายจะดูว่านางบาดเจ็บที่ใด แต่หญิงสาวกลับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มแล้วยื่นมือคว้าห่อขนมในมือของเขาไปอย่างรวดเร็ว “ได้แล้ว!” หลันหลันร้องขึ้นด้วยดีใจ รีบเปิดห่อผ้าออกหยิบขนมเปี๊ยะเข้าปากคำโต ราวกลับกลัวว่าจะถูกแย่งไป “ไม่ต้องรีบร้อน นี่ข้าเอามาให้เจ้าอยู่แล้ว” อู๋ซิงว่านหัวเราะในความเจ้าเล่ห์ของนาง
เดิมทีเซียวเหรินไม่ชอบให้ผู้อื่นติดตาม แต่เพราะครั้งนี้คนที่ร้องขอคือลูกสาวของอู๋ซั่วไต้ที่เขานับถือเสมือนเป็นสหายต่างวัย เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธคำขอของนาง หลายปีมานี่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสายตาที่อู๋หมิ่นลี่มองเขาเป็นเช่นไร แต่สำหรับเขาแล้ว นางเหมือนน้องสาวตัวน้อยที่เมื่อใดที่หันไปสบตา นางจะส่งรอยยิ้มให้เสมอ ไม่ว่าเขาจะมีสีหน้าใดก็ตาม ขณะที่เขาชะลอฝีเท้าเพื่อให้หญิงสาวทั้งสองเดินตามได้ทัน นอกจากสินค้าหลากหลายและอาหารเลิศรสแล้ว เสียงนักเล่านิทานข้างถนนยังเรียกผู้คนเข้าไปห้อมล้อมได้อีกด้วย “พวกท่านว่าอย่างไร! เสนาบดีฉ้อฉลล้มตายที่ละคน พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรกันเล่า นั้นเพราะสวรรค์ลงทัณฑ์แล้ว” “อย่าพูดเสียงดังไป เรื่องพวกนี้ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นรึ!” “แผ่นดินฟอนเฟะถึงเพียงนี้ เจ้าดูซิ ขอทานมีมากล้นเมืองแล้ว” “พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ แท้จริงแล้วพระเชษฐาขององค์ฮองเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่” “เอ๋? องค์ชายเหรินนะหรือ? มิใช่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่หกหรือเจ็ดปีก่อนรึ?” “ใช่ๆ ได้ยินว่าป่วยตายหรืออย่างไรนี่แหละ
ชีวิตสี่ปีของหลันหลันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา หลัววั่งรู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเขาก็ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ “ท่านรีบกลับเถิด ที่นี่ข้าจัดการเองได้” “ไยรีบไล่ข้าไปเล่า หรือเจ้านัดผู้ใดไว้” หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้น บุรุษร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยน“ท่านมาแล้ว”เซียวเหรินส่งยิ้มให้นาง แม้เหนื่อยล้าจากการเร่งรีบเดินทางมา ทว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มนาง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันมลายหายไปสิ้น“เหตุใดกลับเร็วนักเล่า” หลันหลันอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตามจริงต้องอีกสิบวันท่านจะกลับไม่ใช่หรือ? เดินทางไปตรวจดูการซ่อมแซมเขื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ”“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าสามีหรือไร”เขาทำเสียงไม่พอใจแต่เดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับชีพจรให้นาง และไม่พูดเรื่องงานกับนาง จะว่าไป ก็ไม่มีมีเรื่องใดในชีวิตของเขาที่หลุดรอดสายตาของนาง เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าในแต่ละวันนางทำอะไร นางมีคนคอยส่งข่าว ส่งเขาให้จูเต๋ออี้วางองครักษ์ลับไว้โดบรอบ “พิษในตัวข้ายังต้องใช้เ
“คิดสิ” นางหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำให้กงอี้เทาปล่อยนางจากวงแขน เขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงยอมคลายมือจากข้อมือนาง ทำให้นางส่งยาเม็ดนั้นส่งเข้าปากแล้วกลืนลงคอทันทีท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของกงอี้เทา “เจ้า!” “ข้าไม่เสียใจ” นางยิ้มแล้วยกมือลูบใบหน้าของกงอี้เทา “บอกจางซงหยวนให้ดูแลกงเสวี่ยหลิงให้ดี” “หลันโหยว!” “ข้าอยากขอร้องเจ้าครั้งสุดท้าย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “ได้ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง” กงอี้เทาประคองร่างที่อ่อนยวบลงในวงแขน มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางปิดลง ชีพจรเต้นช้าลง ร่างกายเริ่มเย็นเยียบขึ้นมาที่ละน้อย นางวางมือไว้บนหน้าอก บริเวณหัวใจของตนเองที่เต้นแผ่วเบาลงไปทุกที ทุกที ทุกที ไม่มีอะไรให้นางลังเลและกังวลอีกแล้ว..จูเต๋ออี้เดินเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ ภาพที่เห็นจนเริ่มชินตาคือเจ้าของร่างสูงสง่านั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่นและมือตวัดพู่กันแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งปัญหาไว้มากมายเหลือคณานับ
“เจ้านกตะกละ!” เขาดุนางพลางแหวนหน้าคำรามเสียงพร่า ถูกนางรุกเร้าจนแท่งหยกไถลลื่นเข้าไปจนสุด นางหวีดร้องเบาๆ โผเข้ากอดเขา ปลายเล็บจิกที่แผ่นหลังไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้จะมีซ่อนสิ่งใหญ่โตไว้ถึงเพียงนี้ ความเสียวซ่านแผ่นกระจายไปทั่วร่าง จนถึงปลายนิ้วเท้าที่เกร็งแทบเป็นตะคริว นางครวญเสียงกระเส่า ยามเมื่อเขาขยับสะโพกถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วกดกลับเข้ามาใหม่ นางได้แต่หวีดร้องส่งเสียงครางแทบขาดใจ เหงื่อร้อนหลั่งออกมาจนหยดบนกายของนาง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในคราวแรกหายไปสิ้น ทุกการเติมเต็มของเขาทำให้ร่างกายที่เคยเยียบเย็นร้อนระอุ เหงื่อร้อนผุดขึ้นทุกรูขุมขน ร่างกายนางทวีความร้อนและเปียกชื้น รวมทั้งที่ใจกลางของดอกไม้สาวที่รองรับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อหนุ่มช่างแนบแน่น ลึกล้ำและซ่านเสียว“ข้า...” นางไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไร เขาป้อนความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จัก ทำให้นางอิ่มเอมครั้งแล้วครั้งเล่า และหิวโหยต้องการไม่สิ้นสุด ไม่ว่าท่วงท่าใดที่เขานำพา ล้วนทำให้นางปรารถนาในตัวเขามากขึ้น มากขึ้น“เซียวเหริน!”ดวงตาของเซียวเหรินราวลูกไฟ ไฟปรารถนาเผาไหม้หัวใจทำให้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น ถาโถมและโหมกระหน
“เจ้าอยู่ที่นี่ให้ข้าถอนพิษให้เจ้าเถิด” “ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรได้” นางส่ายหน้าไปมาบนอกเสื้อของเขา นางจงใจทำร้ายองค์ชายหงก่วงต่อหน้าผู้อื่นหากนางยืนข้างกายเขา คนภายใต้การปกครองย่อมมองเขาไม่ดีเป็นแน่ ขณะที่สมองและหัวใจตีกันยุ่งเหยิง ปลายคางของนางถูกช้อนขึ้น ตามด้วยริมฝีปากหยักสวยทาบทับ นางคิดจะถอยหลังหลบหนีแต่เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนจนนางไม่อาจตั้งสติคิดสิ่งใดได้ ถูกจุมพิตของเขาทำให้สับสนจนเกือบขาดอากาศหายใจเขาจึงยอมละริมฝีปากจากนาง “ใจร้าย!” นางทุบแผ่นอกแกร่งของเขา “ข้าต้องการเวลาคิด”“เรื่องแบบนี้ต้องคิดอะไรนานนัก” เขาโน้นหน้าลงจุมพิตดวงตาของนางที่ยังมีหยาดน้ำตาวาวใส “ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ”‘ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ’เป็นอีกครั้งที่นางได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของนางเหม่อลอยไปชั่วขณะ และในจังหวะเดียวกัน เซียวเหรินตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้แนบอกพานางกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง การกักขังนกตัวหนึ่งไว้นั้น อาจไม่ใช่กรงขังที่แน่นหนาแต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อนางจูเต๋ออี้เห็นผู้เป็นนายกลับมาพร้อมกับอุ้มหญิงสาวที่ซุกอยู่ในอกจนแทบมองไม่เห็นใบ
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น