เดิมทีเซียวเหรินไม่ชอบให้ผู้อื่นติดตาม แต่เพราะครั้งนี้คนที่ร้องขอคือลูกสาวของอู๋ซั่วไต้ที่เขานับถือเสมือนเป็นสหายต่างวัย เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธคำขอของนาง หลายปีมานี่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสายตาที่อู๋หมิ่นลี่มองเขาเป็นเช่นไร แต่สำหรับเขาแล้ว นางเหมือนน้องสาวตัวน้อยที่เมื่อใดที่หันไปสบตา นางจะส่งรอยยิ้มให้เสมอ ไม่ว่าเขาจะมีสีหน้าใดก็ตาม ขณะที่เขาชะลอฝีเท้าเพื่อให้หญิงสาวทั้งสองเดินตามได้ทัน นอกจากสินค้าหลากหลายและอาหารเลิศรสแล้ว เสียงนักเล่านิทานข้างถนนยังเรียกผู้คนเข้าไปห้อมล้อมได้อีกด้วย “พวกท่านว่าอย่างไร! เสนาบดีฉ้อฉลล้มตายที่ละคน พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรกันเล่า นั้นเพราะสวรรค์ลงทัณฑ์แล้ว” “อย่าพูดเสียงดังไป เรื่องพวกนี้ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นรึ!” “แผ่นดินฟอนเฟะถึงเพียงนี้ เจ้าดูซิ ขอทานมีมากล้นเมืองแล้ว” “พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ แท้จริงแล้วพระเชษฐาขององค์ฮองเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่” “เอ๋? องค์ชายเหรินนะหรือ? มิใช่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่หกหรือเจ็ดปีก่อนรึ?” “ใช่ๆ ได้ยินว่าป่วยตายหรืออย่างไรนี่แหละ
ดวงตาคมหรี่ลงอย่างใช้ความคิด เขาไม่เชื่อเรื่องภูติผี ที่ผ่านมาจะเดินทางร่อนเร่ไปทั่วยุทธภพมีเรื่องแปลกประหลาดอยู่มากมาย ทว่าเรื่องราวเหล่านั้นมีเหตุผลอันรองรับให้เชื่อถือได้ แต่กับนางที่บอกว่าตัวเองเป็นนกหงส์หยกมาอยู่ในร่างของกงเสวี่ยหลิง ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยกระมั้ง ทว่าลักษณะท่าทางของนางคล้ายว่าเพิ่งเคยกระทำเป็นครั้งแรก เขายังจำครั้งที่นางพยายามจับตะเกียบกินข้าว จับพู่กันเขียนอักษร หรือแม้กระทั่งให้เขาป้อนขนมให้ นางเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่าตนเองเป็นนกหงส์หยก เรื่องเช่นนี้มันมีจริงหรือ? วิญญาณนกมาสิงในร่างมนุษย์ หากเป็นเช่นนั้นจริง กงเสวี่ยหลิงอาจตายไปแล้ว ลมหายใจของชายหนุ่มสะดุดไปเล็กน้อย หลังจากเขาพบหลันหลันแล้ว เคยย้อนกลับไปดูที่ธารน้ำแต่ไม่พบผู้ใดอีก เขาเองมีความทรงจำเกี่ยวกับกงเสวี่ยหลิงน้อยเหลือเกิน กล่าวตามจริงคือเขาไม่เคยพบหน้านางมาก่อน เพียงแค่รู้ว่านางคือน้องสาวของกงอี้เทาและถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการเท่านั้น ได้ยินว่าการเป็นอยู่ในวังของนางนั้นไม่ดีนัก ยังดีที่จางซงหยวนปลอมตัวเป็นพ่อค้าค่อยส่งเสบียงของใช้ไปให้ แต่กระนั้นเขาย
เพียงปลายนิ้วสัมผัสท่อนแขนเรียวเล็กเย็นเฉียบราวแผ่นน้ำแข็ง เขาก็ขมวดคิ้ว มืออ่อนแรงยื่นมาคล้องคอของเขาไว้รั้งให้ใบหน้าใกล้ชิดอีกฝ่าย ดวงตาคมจ้องมองหญิงสาวในวงแขนทว่านางกลับหลุบตาลง ริมฝีซีดเซียวเผยอขึ้นเล็กน้อย แต่นั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับนางอย่างรวดเร็ว ลมหายใจอุ่นแทรกเข้ามาในโพรงปาก ปลุกร่างกายให้อุ่นร้อนขึ้นมาอีกครั้งพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นเป็นปกติ นางผละจากริมฝีปากของเขา “ท่านเซียว” นางเรียกเขาเสียงแผ่วเบา ฝืนยิ้มให้เขา และเมื่อตั้งสติได้ก็ขยับตัวออกจากวงแขนที่โอบกอดอยู่“ขอบคุณท่านเซียว” “ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ว่าตนเองทำสิ่งใดอยู่” เขาเอ่ยเตือนสตินาง เขารู้ว่านางมิได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองจนต้องไปที่หอนางโลมหรือมาที่ร้านขายสมุนไพร แต่เขาไม่ต้องการให้นางกลายเป็นเพียงแค่เครื่องมือของผู้ใดหรือต้องเสียสละตัวเองเพื่อปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่อาจไม่มีวันเป็นจริง “สมุนไพรของท่านอยู่ด้านนอกแล้ว” นางเอ่ยบอกแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย เพียงครู่เดียวนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกว้าง “ท่านเซียวเคยได้ยินหรือไม่ มีนางรำงดงามมากมาแสดงการร่ายรำที่หอช
เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับ ที่นางพูดออกมาล้วนเป็นเรื่องจริง ที่แห่งนี้งดงามนัก มันอาจเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาที่ได้เจอสถานที่งดงามแสนพิเศษนี้ แต่ใครจะคิดว่าสถานที่ที่เขาคิดว่าเป็นคนแรกที่ค้นพบจะเจอเด็กหญิงประหลาดที่ฝึกปีนป่ายต้นไม้อยู่ “เจ้าเลือกเป็นหมอแล้วใช่ไหม” นางสาวเท้าเร็วๆ เพื่อให้ก้าวตามร่างสูงนั้นทัน “ข้าไม่ชอบรักษาผู้ใด” เขาตอบและไม่ได้หันมามองนางเลยสักนิด “แต่เจ้าศึกษาเรื่องสมุนไพร” “เพราะข้าชอบการปรุงยา” “ก็ไม่เห็นต่างกันเลยนี่” “แล้วเหตุใดเจ้าต้องใส่ใจด้วย” เขากลอกตามองท้องฟ้า ปกติเขาไม่ใช่คนช่างพูด แต่เจอกับเด็กหญิงผู้นี้ทีไหร่เขากลายเป็นคนพูดมากเกินความจำเป็นทุกที “เพราะหากข้าบาดเจ็บหรือต้องพิษ เจ้าจะได้รักษาข้าได้อย่างไรเล่า” คราวนี้เขาชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองนาง ดวงตาคมกริบหรี่ตามองพลางพินิจพิเคราะห์ว่าเหตุใดนางจึงคาดหวังว่าเขาจะเป็นหมอเพื่อนาง หรือเขาเผลอไปให้ความหวังนางเข้าให้ หรือนางแอบหลงใหลในตัวเขา นางจึงมองเขาด้วยดวงตาเปี่ยมความมั่นใจ ริมฝึปากอิ
เซียวเหรินพึมพำกับตนเองมากกว่าจะพูดกับจูเต๋ออี้ แม้เขาสงสัยในตัวหลันหลัน และกงอี้เทากับจางซงหยวนไม่พูดความจริงกับเขาเรื่อง หลันหลัน แต่เขาพอจะคาดเดาได้ไม่ยาก แม้ไม่รู้วิธีการแต่จุดหมายนั้นนั้นเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ และไม่หายตัวไปทำอะไร ทุกครั้งที่นางกลับมา นางจะมายืนจ้องหน้าเขา เขย่งปลายเท้ายื่นหน้าประทับริมฝีปากเขาสูดเอาลมหายใจเข้าไป นับวันนางยิ่งชำนาญยิ่ง ไม่รอให้ครบสามวันแต่มาเก็บกินเอาวันละเล็กละน้อย บางครั้งก็แอบเลียริมฝีปากของเขาแล้วผลุบหนีไปราวกับเขาจะจับตัวมาตีก้นช่างเป็นนกหงส์หยกที่กะล่อนเสียจริงจูเต๋ออี้ไม่ล่วงรู้ความคิดของผู้เป็นนาย เห็นเพียงสีหน้าเย็นชาตามปกติ เมื่อมื้อเช้าเสร็จสิ้น เซียวเหรินตระเตรียมยาสำหรับอู๋ซิงว่านเสร็จแล้วจึงให้จูเต๋ออี้ไปตามหลันหลันมายกยาออกไป หลันหลันประคองถาดใส่ถ้วยยาด้วยความตั้งใจยิ่ง และไม่รู้ว่าจูเต๋ออี้หายตัวไปที่ใดแล้ว อู๋ซิงว่านกำลังฝึกฝนการใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย หลายวันมานี่ฝีมือของเขาพัฒนาไปมาก ขนาดอู๋ซั่วไต้ผู้เป็นบิดายังเอ่ยชม อู่หมิ่นลี่เดินเข้ามาพร้อมกับไป๋ชิว ใบหน้าของคุณหนูใหญ่แห่งหมู่ตึกนกยูงทองปรากฏรอยยิ้มตื้นตันใจยิ่งนัก
อู๋ซิงว่านได้แต่มองร่างเล็กๆ ที่วิ่งตามเซียวเหรินไปสุดสายตา เขารู้สึกับนางอย่างไรนั้น เขาย่อมรู้ดี แต่นางนั้นเล่า จะยอมอยู่เคียงข้างเขาหรือติดตามแผ่นหลังของเซียวเหรินเช่นนั้น หลันหลันก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่ง จนกระทั้งจู่ๆ เซียวเหรินก็หยุดเดิน นางเกือบหยุดไม่ทันปะทะกับแผ่นหลังของเขาเกือบหงายหลังล้มลง แต่เซียวเหรินไวพอจะคว้ามือเรียวเล็กฉุดไว้ได้ทันก่อนที่นางจะก้นกระแทกพื้น มือเรียวเล็กอยู่ในอุ้งมือของเขา ภาพมือของเขาอยู่ในอุ้งมือของเด็กหญิงวัยสิบขวบ ปรากฏขึ้นมาในสมองซ้อนทับกับมือของเขาที่จับมือนางไว้ “ขอบคุณท่านเซียว” หลันหลันยิ้มทะเล้น เมื่อทรงตัวได้แล้วจะดึงมือตนเองกลับแต่มือใหญ่ของเซียวเหรินกลับบีบแรงขึ้นจนรอยยิ้มของนางเจือนไป “ข้าเคยได้ยินว่าที่คนสกุลอูในแคว้นเฉียนเหลียงมีความสามารถพิเศษ นอกจากมนต์ดำคุณไสย์แล้วยังมีวิชาสะกดจิต” “วิชาสะกดจิต?” นางทำตาโตแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกเจ็บปวดกับแรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น “คืออะไรรึเจ้าคะ” เซียวเหรินหรี่ตามองดวงตาสุกใสของนาง ครู่ต่อมาจึงคลายมือออกแล้วหันหลังเดินมุ่
“ไม่ถูกต้อง!” นางรีบแย้ง “ไม่เป็นในสิ่งที่ตนเลือกเสียหน่อย ข้าไม่ได้อยากเป็นคนสกุลอูเลย แล้วก็ไม่ได้อยากสังหารผู้ใดด้วย” นางเบ้ปากพึมพำเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะได้ยิน แต่อีกฝ่ายไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก ซ้ำยังยื่นมือมาโยกศีรษะนางอย่างหยอกล้อ “เมื่อถึงวันหนึ่ง เจ้าจะรู้คำตอบเอง” เขายังคงยิ้มให้ “หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะเห็นแก่มิตรภาพของเราละเว้นชีวิตข้าบ้าง” “เหตุใดข้าต้องฆ่าเจ้าด้วย” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย “ไม่รู้สิ” เขายิ้มขบขันกับแววตาไร้เดียงสาของนาง เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นยืนยื่นมือไปให้นางจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นแต่นางกลับส่ายหน้าไปมา“ข้าจะลงเขาแล้ว ไปด้วยกันเถิด”นางมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า สองมือของนางยังกอดเข่าตัวเองแน่น นางเป็นเด็กหญิงอายุสิบขวบที่ถูกฝึกฝนไม่ให้รับความช่วยเหลือจากผู้ใด ‘หัวใจตีด้วยเหล็กกล้า เจ้าไม่ควรรู้สึกต่อสิ่งใด’ นั่นเป็นประโยคที่อาจารย์หญิงสั่งสอนนางอยู่เสมอ “ภูเขานี้ไม่มีสัตว์ร้าย เจ้าจะนั่งอยู่ก็ไม่เป็นไรกระมัง” เขาเข้าใจไปว่านางยังทิฐิอยู่จึงไม่อยากกลับลงไปตอนนี้“หรือไม่ก็...เจ้าน่ากลัวกว่าส
“เจ้านี่มันเหมือนแม่ไม่มีผิด” ไทเฮาทรงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยอมหยุดมือ แผลเพียงเล็กน้อยไม่อาจทำให้ความหล่อเหลานี้ลดลงแม้แต่น้อย หรือแม้แต่หักแขนหักขา คนผู้นี้ก็ยังดูเป็นคนเหนือคน สายตาของนางมองคนไม่ผิดจริงๆ แต่นางไม่อาจกำจัดคนผู้นี้ไปได้ อำนาจการต่อรองของนางขึ้นอยู่กับชีวิตของชายผู้นี้ แววตาของเซียวเหรินกระตุกวูบหนึ่งแต่ถูกกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว เขาสงบใจจึงเอ่ยขึ้น“อาการประชวรของไทเฮาดีขึ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าปวดหัวทุกวัน” ไทเฮาตอบพลางคลี่ยิ้มออกมาราวกับมองไม่เห็นแววตาวูบไหวเมื่อครู่ “ได้ยินว่าอยู่ข้างนอกผู้คนกล่าวขานว่าเจ้าคือหมอเทวดาไร้ใจ” “เป็นเพียงคำพูดที่ผู้อื่นกล่าวกันไปเองทั้งสิ้น” มุมปากยกเป็นรอยยิ้มบางเบา “ทรงให้คนคุมตัวกระหม่อมมาเพื่อเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” “หมอหลวงที่เรียกมา ช่วยข้าไม่ได้เลย” นางคลี่ยิ้ม แต่ดวงตาจ้องมองอย่างหยั่งเชิง “เจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่” “อาการประชวรขององค์ไทเฮาเป็นต่อเนื่องเรื้อรังมานาน และเกรงว่ากระหม่อมไร้ความสามารถไม่อาจรักษาอาการของพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ” “เ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม
หลังผ่านศึกรักเร่าร้อน หยางเฟยหลิงสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้หลิวเจียวเหมยเสมอ นอกจากชำระล้างร่างกายแล้วยังช่วยนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อและด้วยนิสัยรักสะอาดของหญิงสาว การใส่ใจเรื่องเหล่านี้ทำให้หลิวเจียวเหมยรู้สึกดีกับชายผู้นี้ไม่น้อย ฐานะของนางเป็นเพียงสาวใช้ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องดูแลใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางเดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งประเดี๋ยวนี้เขาอนุญาตให้นางนอนรวมเตียงเดียวกับเขา ใบหน้างามแดงเรื่อที่เห็นเขาเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “ท่านแม่ทัพ” “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ” เขาถามไม่จริงจังนักแล้วยื่นมือจับข้อมือนางให้ขึ้นเตียง “อากาศเย็นรีบเข้ามาในผ้าห่มสิ” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ปีนขึ้นเตียงเข้าไปด้านใน “ข้าก็บอกแล้วว่าให้อาบน้ำพร้อมข้า เจ้าก็ไม่ยอม” หยางเฟยหลิงหัวเราะในลำคอแล้วหยิบกำไลหยกที่ซ่อนไว้ออกมาสวมใส่ข้อมือเรียวเล็กของนาง “นี่คือ...” “ข้าให้” เขาเองก็เก้อเขินไม่น้อย อายุก็ล่วงเลยมาถึงวัยนี้ไม่เคยเกี้ยวพาสตรีและไม่เคยซ
หลิวเจียวเหมยส่งเสียงได้แค่นั้นก็ถูกขบเม้มกลีบปากจนรู้สึกเจ็บ เสื้อผ้าของนางหลุดรุยและฝ่ามือร้อนนวดคลึงทรวงอกอวบอิ่ม ภายใต้แสงสลัวยามบ่ายที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนที่ไม่มีผู้ใดเพราะเจ้าของจวนไล่ผู้อื่นไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณนี้ หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดเช่นนี้มาก่อน คิดแล้วก็น่าขบขันนัก เขาเหมือนนักพรตกินผักมาหลายปี ทว่าเมื่อพลั้งเผลอได้ชิมเนื้อเข้าไปก็ติดใจจนยอมสละได้ทุกสิ่ง แรกทีเดียวเขาคิดว่าตนเองแค่เผลอใจ เพราะตนเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีมานาน แต่เมื่อลองไปหอนางโลมเขากลับไม่ปรารถนาหญิงใด ในหัวของเขามีหลิวเจียวเหมยเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด เขาไม่ต้องการให้ใครแตะต้องนางและนางต้องเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นมือหยาบกร้านนวดเคล้นทรวงอกจนหญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ลมหายใจร้อนระอุและหัวใจเต้นแรงยิ่งทำให้หญิงสาวอ่อนระทวย เขาถอนจูบแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย เสื้อบังทรงถูกปลดออก หญิงสาวยกมือขึ้นปัดป้องแต่ไม่สำเร็จ ริมฝีร้อนอ้าปากดูดดึงปลายถันจนหญิงสาวได้แต่ส่งเสียงครางอย่างไม่อาจกลั้นได้ ช่องท้องวาบหวิวปั่นป่วน ฝ่ามือข้างหนึ่งจัดการกับกระโปรงท่อนล่างและลูบไล้เร
มือเรียวงามกำลังหยิบหนังสือที่ตากแดดไล่ความชื้นกลับมาวางบนชั้นตามเดิม วันนี้หลิวเจียวเหมยได้รับมอบหมายให้จัดการงานในห้องหนังสือของแม่ทัพหยาง ตั้งแต่เช้า นางปัดกวาดเช็ดถูและยังต้องนำหนังสือในห้องออกมาตากแดด แม้สองมือทำงานไม่ได้หยุด แต่หัวสมองของนางยังครุ่นคิดแต่เรื่องของแม่ทัพหยาง หลิวเจียวเหมยไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หลังจากผ่านศึกรบบนเตียงนอนที่แสนร้อนแรง นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาแล้วปิดเปลือกตา ลงอย่างอ่อนล้า ความเมามายหายไปหมดสิ้น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อขยับตัวลุกขึ้นเพื่อพาตัวเองออกไปจากเตียงของเขา ทว่าเขากลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำอุ่นและผ้านุ่มๆ หัวคิ้วขมวดมุนขณะจ้องมองนางที่กำลังจะลงจากเตียง ‘เจ้าจะทำอะไร’ ‘ข้า’ ‘อยู่นิ่งๆ’ เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้นางไม่กล้าขยับตัว แต่กระนั้นเพียงการขยับกายเล็กน้อยก็เจ็บร้าวไปทั่วร่างจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แม่ทัพหนุ่มวางอ่างน้ำแล้วเข้ามาประคองให้นางลงนอนอีกครั้ง แล้วหมุ่นตัวไปหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำและเช็ดตัวให้นาง ‘ท่าน! ท่านแม่ทัพ! ข้าทำเองได้’
ริมฝีปากอุ่นและหวานฉ่ำชวนมึนเมายิ่งกว่าสุรารสใดที่เคยลิ้มรส หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกกระหายเช่นนี้มาก่อน หรือว่าเขาห่างเหินเรื่องสตรีไปนานจึงรู้สึกตะกละตะกลามอยากลิ้มชิมรสหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่าง มือแกร่งออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อยผ้าคาดเอวก็หลุดทำให้สาบเสื้อคลายออกเผยผิวเนียนละเอียดดุจหยกใส เขาถอนจูบอย่างเสียดายปล่อยให้หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเพราะนางจูบไม่เป็นความไร้เดียงสาแสนเย้ายวนทำให้เขาไม่อาจต้านทานความปรารถนาในกายได้ สองมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างอรชร เผยความงามยากจะบรรยายจนเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ผิวกายสัมผัสไอเย็นเพราะบัดนี้ร่างกายเปลือยเปล่าทำให้หลิวเจียวเหมยได้สติ ดวงตาดุจบ่อน้ำลึกคู่นั้นจ้องมองจนนางขืนอายทำให้พยายามควานหาผ้ามาปกปิดเรือนร่าง แต่เขากลับรวบข้อมือสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขาแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ “ท่าน...ท่าน...” นางส่งเสียงได้เพียงแค่นั้นจากน้ำก็กลายเป็นเสียงครางเมื่อถูกริมฝีปากร้อนครอบครองยอดอกสีหวาน หลิวเจียวเหมยไม่เคยคิดว่าร่างกายตนเองจะสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ นางอยู่หอนางโลมแม้จะรู้เรื่องเหล่า
สีหน้าของนางอยู่ในสายตาของเขาสร้างรอยยิ้มที่มุมปากของแม่ทัพใหญ่ ช่างดูน่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่านางไม่รู้สึก แต่นางต้องคอยเก็บอารมณ์และดูสีหน้าของผู้คน คงเพราะเกรงว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองไม่ได้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้เจ้าคอยมาเดินหมากกับข้าอีก”หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ภารกิจของวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว หลายวันมานี้ชีวิตนางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ทว่าชายหนุ่มกลับเหมือนได้ค้นพบสิ่งที่จะทำร่วมกับนางได้ นางคงไม่สามารถเป็นคู่ฝึกซ้อมกระบี่กับเขา หรือจะให้เขาไปวาดภาพเขียนอักษรก็ไม่ได้อีก ไม่รู้ว่าน้องชายของเขาทำไมถึงชอบทำเรื่องไร้สาระพวกนี้นักนะแต่การถูกแม่ทัพใหญ่เรียกให้อยู่ข้างกายบ่อยครั้ง แม้ทำให้สาวใช้ผู้อื่นไม่พอใจและริษยาหนักขึ้นแต่ไม่กล้ากลั่นแกล้งหลิวเจียวเหมยมากนัก ชีวิตของนางจึงสงบสุขอยู่บ้าง จะสงบสุขยิ่งกว่านี้หากคนผู้นั้นไม่เป็นฝ่ายแกล้งนางเสียเองหลิวเจียวเหมยมั่นใจว่าแม่ทัพหยางแกล้งนางเพราะหลายวันมานี้ เขากลับถึงจวนเย็นค่ำนัก นางต้องแขวนท้องรอเพื่อกินข้าวเย็นพร้อมเขา บางวันก็ถูกเรียกใช้ให้ไปช่วยฝนหมึกชงชา และในวันนี้ก็เ
ชายหนุ่มหมุนตัวก้าวเท้าออกไปแล้ว หลิวเจียวเหมยได้สติก้มมองตัวแล้วยกมือขึ้นแตะเรือนผมที่ยังปล่อยสยาย ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาทันที แล้วรีบไปแปรงผมแล้วรวบให้เรียบร้อยให้เหมาะกับฐานะสาวใช้ของตน จอกสุราถูกยกดื่มระหว่างรอให้หญิงสาวเดินมานั่งที่ของตน สายตาคมกริบจ้องมองไปยังร่างอรชนที่ค่อยๆ วางมือลงบนพิณ ใบหน้างดงามเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพต้องการฟังเพลงอะไรหรือเจ้าคะ” นางเอยถามด้วยท่าทีนอบน้อมและไม่กล้าสบตาดวงตาคมปลาบคู่นั้น“เจ้าอยากเล่นเพลงอะไรก็เล่นเถอะ” เขาตอบอย่างนี้เรียบง่ายท่าทางไม่ใส่ใจนักและยังคงดื่มสุราอย่างต่อเนื่องหญิงสาวไม่เข้าใจว่าหากเขาไม่อยากฟังเสียงพิณ เหตุใดต้องเรียกนางมาเช่นนี้ แต่ช่างเถอะนางเป็นแค่หญิงรับใช้เขาต้องการให้ทำอะไรนางก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ นางจึงตัดสินใจเลือกเพลงบรรเลงที่ตนเองถนัด แม่ทัพหนุ่มมองหญิงสาวที่แม้อยู่ในชุดสาวใช้แต่ไม่อาจซ่อนความงามได้เลย เป็นความงามอย่างเรียบง่ายที่ดูแล้วสบายตา เพลงพิณของนางเสียงกระจ่างใสสะท้อนความในใจของนาง ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความเศร้า ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ดูท่าทางนางคงจะชอบเล่นพิณม