เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับ ที่นางพูดออกมาล้วนเป็นเรื่องจริง ที่แห่งนี้งดงามนัก มันอาจเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาที่ได้เจอสถานที่งดงามแสนพิเศษนี้ แต่ใครจะคิดว่าสถานที่ที่เขาคิดว่าเป็นคนแรกที่ค้นพบจะเจอเด็กหญิงประหลาดที่ฝึกปีนป่ายต้นไม้อยู่
“เจ้าเลือกเป็นหมอแล้วใช่ไหม” นางสาวเท้าเร็วๆ เพื่อให้ก้าวตามร่างสูงนั้นทัน
“ข้าไม่ชอบรักษาผู้ใด” เขาตอบและไม่ได้หันมามองนางเลยสักนิด
“แต่เจ้าศึกษาเรื่องสมุนไพร”
“เพราะข้าชอบการปรุงยา”
“ก็ไม่เห็นต่างกันเลยนี่”
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องใส่ใจด้วย” เขากลอกตามองท้องฟ้า ปกติเขาไม่ใช่คนช่างพูด แต่เจอกับเด็กหญิงผู้นี้ทีไหร่เขากลายเป็นคนพูดมากเกินความจำเป็นทุกที
“เพราะหากข้าบาดเจ็บหรือต้องพิษ เจ้าจะได้รักษาข้าได้อย่างไรเล่า”
คราวนี้เขาชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองนาง ดวงตาคมกริบหรี่ตามองพลางพินิจพิเคราะห์ว่าเหตุใดนางจึงคาดหวังว่าเขาจะเป็นหมอเพื่อนาง หรือเขาเผลอไปให้ความหวังนางเข้าให้ หรือนางแอบหลงใหลในตัวเขา นางจึงมองเขาด้วยดวงตาเปี่ยมความมั่นใจ
ริมฝึปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมา ดวงตานางเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อสาวเท้าได้ทันร่างที่หยุดยืนทอดสายตามาทางนาง ราวกับนางคือสิ่งเดียวดวงตาคู่นั้น นางรีบยื่นมือคว้ามือของเขามากุมไว้ เพียงปลายนิ้วสัมผัสผิวกาย เขาสัมผัสไอเย็นจากปลายนิ้วราวกับสัมผัสหยกเนื้อดี ใจที่ว้าวุ่นเริ่มสงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาดใจ
“ข้ารู้” เสียงของนางหอบเล็กน้อยแต่เจื่อความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้ารู้ว่ามือคู่นี้จะช่วยเหลือผู้คน”
แววตาเชื่อมั่นของนางทำให้เขาได้แต่อ้าปากแต่ไร้ถ้อยคำจะโต้เถียง สายลมกระแสหนึ่งพัดวูบผ่านมา ปลิดกลีบดอกไม้ให้ปลิวว่อนให้อากาศ กระแสลมประหลาดทำให้ต้องหรี่ตาลง เขาชักมือกลับด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง มือน้อยคู่นั้นกระชับบีบมือของเขาไว้แน่นก่อนจะคลายออก
เมื่อกระแสลมสงบลง เขาเห็นเพียงดอกโบตั๋นสีชมพูอยู่บนฝ่ามือของเขา ไร้ร่างของเด็กหญิงผู้นั้นแล้ว ไม่ได้ยินเสียงรำพันของเด็กหญิงผู้นั้นที่กล่าวไว้กับเขาก่อนจากไป
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย มือของเจ้าจะมีไว้ช่วยผู้คน ส่วนมือของข้านั้นจะยอมแปดเปื้อนเพื่อเจ้าเอง”
....
เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้น เขาปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งจึงมั่นใจว่าตนเอง ‘ตื่น’ จากความฝันแล้ว เซียวเหรินยันกายขึ้นจากเตียงนอน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้า ทว่าเขากลับยกฝ่ามือค้างไว้เช่นนั้น
นานเพียงใดกัน นานจนเขาลืมไปแล้ว
นานจนความทรงจำกลายเป็นเพียงความฝัน เขาไม่ได้ฝันเช่นนี้มานานมาก
เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เจอกันครั้งนั้น น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบนาง
เซียวเหรินถูกปลุกด้วยความทรงจำวัยเยาว์ ช่วงที่ใช้ชีวิตร่ำเรียนกับท่านอาจารย์โจวเป้า ทำให้ได้พบกับกงอี้เทาและจางซงหยวน เขารู้ฐานะที่แท้จริงของคนทั้งสอง เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายก็รู้ฐานะของเขา แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างกำความลับซึ่งกันและกันทำให้ไม่มีใครปริปากพูด ‘เรื่องนั้น’ หรืออาจเพราะมี ‘ฐานะ’ ที่พูดไม่ได้ จึงทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว นานๆ ครั้งเขาจะได้พบเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง เขาไม่รู้จักชื่อของนาง และไม่เคยเอ่ยแนะนำตนเอง รู้เพียงแค่ว่าเด็กคนนั้นมากับอาจารย์หญิงที่เป็นสหายกับอาจารย์โจวเป้า เขาเดาได้ว่านางเองคงมีฐานะพิเศษที่ให้ใครล่วงรู้ไม่ได้เช่นกัน
แม้หลังจากเขากลับเข้า ‘บ้าน’และออกเดินทางอีกครั้งในฐานะคนที่ตายไปแล้วกับอาจารย์โจวเป้า เขาไม่ได้พบนางอีก ไม่เคยไถ่ถามถึงนาง นานจนเกือบลืมไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่นางใช้สองมือกุมมือของเขาไว้นั้นยังคงอยู่ เซียวเหรินมองดูฝ่ามือของตนเอง ยามนี้ฝ่ามือข้างนี้ใหญ่กว่าวัยสิบสี่มาก ผ่านเรื่องราวมานับร้อยนับพัน ละทิ้งเส้นทางที่วาดหวังทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมาติดตามท่านอาจารย์ เขาเรียนรู้การช่วยเหลือผู้อื่นไม่ต้องหยิบดาบฆ่าฟันก็ทำได้ เขาไม่ได้อยากเป็นหมอ เขาแค่ไม่อยากเห็นคนตาย แม้ความตายเป็นความธรรมดาสามัญ แต่หากยื้อไว้ได้ เขาก็อยากลองดู
“นายท่าน”
“เข้ามา”
จูเต๋ออี้ผลักบานประตูเข้ามาพร้อมอ่างใส่น้ำสำหรับล้างหน้า แม้อู๋ซั่วไต้จะจัดหาบ่าวรับใช้มาให้แต่จูเต๋ออี้มักเป็นคนจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง อาจเพราะติดตามมานาน เขาไม่ใช่เพียงองครักษ์แต่ยังเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายด้วย จูเต๋ออี้เห็นท่าทางเหม่อลอยของเซียวเหรินแล้วอดเป็นกังวลไม่ได้ ระยะนี้เซียวเหรินอยู่ทำงานดึกดื่นมีเรื่องที่ต้องสะสางมากนัก
“เด็กคนนั้น...”
“เด็กคนนั้น?”
เซียวเหรินรู้สึกตัวเต็มที่จึงเพิ่งรู้ว่าหลุดปากพูดบางคำออกไป เขาเงยหน้าจากฝ่ามือของตนแล้วมองจูเต๋ออี้ที่ติดตามข้างกายเขามาหลายปี ตอนที่ออกจากจวนมา นอกจากออกมาในฐานะคนตายแล้วก็ยังมีจูเต๋ออี้ติดตามมาด้วย
“นายท่านหมายถึงแม่นางหลันหรือขอรับ” จูเต๋ออี้ปรนนิบัติเซียวเหรินเช่นทุกวัน ยกเว้นวันที่เขาออกไปทำภารกิจตามนายท่านสั่ง
เซียวเหรินชะงักไปเล็กน้อยแล้วล้างหน้าอย่างไม่สนใจคำถามของจูเต๋ออี้ หลังจากเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ร่างเล็กๆ หลันหลันก็เข้ามาพร้อมถาดอาหารเช้า
“นายท่าน!” เสียงหวานใสทักทายพร้อมรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าและดวงตาหยี่เล็ก จูเต๋ออี้กลอกตามองบน นางไม่เคยสำรวมกิริยาได้เลยสักนิด ไม่ว่าเขาจะสอนสั่งจนเมื่อยปาก
เซียวเหรินรับตะเกียบจากหลันหลัน เขามองมือเรียวงามคู่นี้แล้วนึกถึงมือเล็กๆ คู่นั้นที่เคยกุมมือของเขาไว้ ผ่านมาแปดปี มือคู่นั้นคงเติบโตเท่ากับมือคู่นี้แล้วสินะ
หลันหลันเห็นสายตาของเซียวเหรินมองที่มือของนาง นางจึงก้มมองมือตัวเองแล้วพลิกไปพลิกมาดูว่ามือของตนผิดปกติที่ใด นางก็ล้างมือเช็ดมือเรียบร้อยตามที่จูเต๋ออี้สั่งแล้วนี่นะ
“เจ้าทำอะไร” จูเต๋ออี้ดุหลันหลันที่นางทำยุกยิกต่อหน้าเซียวเหริน
“ก็ท่านเซียวจ้องมือของข้า ข้าก็นึกว่ามือข้าสกปรกนะสิ” นางก้มหน้าแต่ช้อนตามองไปทางเซียวเหริน ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจแล้วกินอาหารเช้า
“วันนี้เจ้าจะทำอะไร” เขาเอ่ยถามขณะกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย
หลันหลันที่ยืนอยู่ด้านข้างกระโดดมานั่งที่เก้าอี้ข้างเซียวเหริน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าดีอกดีใจ ขาดแค่กระดิกหางเท่านั้น
“ข้าว่าง ท่านเซียวมีอะไรจะใช้งานข้าก็สั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“ดี” เขารวบตะเกียบ และรับน้ำชาจากจูเต๋ออี้ “ประเดี๋ยวเจ้าไปดูแลคุณชายอู๋”
“ให้ข้าไปดูแลอู๋ซิงว่านรึเจ้าคะ?” นางถามด้วยสีหน้างุนงง
“หรือเจ้าไม่ว่าง ต้องทำไปทำงานที่หอชมบุหลัน หรือโรงหมอของท่านหมอเจียง”
“วันนี้ข้าว่างเจ้าค่ะ” นางพยักหน้าหงึกหงัก
“ท่านเซียวเรียกใช้เจ้า เจ้าก็ต้องทำไม่ใช่รอให้ตัวเองว่างค่อยทำ” จูเต๋ออี้บ่นให้ ไม่รู้ทำไม พออยู่กับนางแล้ว เขากลายเป็นคนพูดมากอย่างนี้
“ข้าแค่สงสัยว่าตัวข้าจะไปดูแลคุณชายอู๋ได้อย่างไร”
“มีอะไรก็ไปทำก่อน สักประเดี๋ยวข้าจะให้จูเต๋ออี้ไปตามเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
หลันหลันลุกขึ้นแล้วออกไปอย่างเงียบๆ แต่ก่อนปิดประตูนางยังแอบหันมามองทางเซียวเหรินเผื่อเขาเปลี่ยนใจเรียกให้นางอยู่ต่อ ทว่าเขากลับมิได้สนใจ นางเผลอเป้ปากเล็กน้อยแล้วก้าวเท้าออกมา
“ได้ยินว่าที่หอชมบุหลันมีนางรำลือชื่ออย่างนั้นรึ”
“ขอรับ” จูเต๋ออี้เอ่ยตอบ “ปรากฏตัวเพียงเจ็ดวันก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว”
“ระยะนี้หลันหลันยังไปที่หอชมบุหลันหรือไม่”
“เอ่อ...” จูเต๋ออี้อึกอักก่อนสารภาพไปตามจริง “นางไปขอรับ แต่บ่าวติดตามนางได้แค่ชั้นนอก สืบได้ความแค่ว่าเห็นว่านางรู้จักกับคนข้างใน เป็นคนมาจากบ้านเดียวกับนางขอรับ”
“ไร้ร่องรอยสินะ”
เซียวเหรินพึมพำกับตนเองมากกว่าจะพูดกับจูเต๋ออี้ แม้เขาสงสัยในตัวหลันหลัน และกงอี้เทากับจางซงหยวนไม่พูดความจริงกับเขาเรื่อง หลันหลัน แต่เขาพอจะคาดเดาได้ไม่ยาก แม้ไม่รู้วิธีการแต่จุดหมายนั้นนั้นเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ และไม่หายตัวไปทำอะไร ทุกครั้งที่นางกลับมา นางจะมายืนจ้องหน้าเขา เขย่งปลายเท้ายื่นหน้าประทับริมฝีปากเขาสูดเอาลมหายใจเข้าไป นับวันนางยิ่งชำนาญยิ่ง ไม่รอให้ครบสามวันแต่มาเก็บกินเอาวันละเล็กละน้อย บางครั้งก็แอบเลียริมฝีปากของเขาแล้วผลุบหนีไปราวกับเขาจะจับตัวมาตีก้นช่างเป็นนกหงส์หยกที่กะล่อนเสียจริงจูเต๋ออี้ไม่ล่วงรู้ความคิดของผู้เป็นนาย เห็นเพียงสีหน้าเย็นชาตามปกติ เมื่อมื้อเช้าเสร็จสิ้น เซียวเหรินตระเตรียมยาสำหรับอู๋ซิงว่านเสร็จแล้วจึงให้จูเต๋ออี้ไปตามหลันหลันมายกยาออกไป หลันหลันประคองถาดใส่ถ้วยยาด้วยความตั้งใจยิ่ง และไม่รู้ว่าจูเต๋ออี้หายตัวไปที่ใดแล้ว อู๋ซิงว่านกำลังฝึกฝนการใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย หลายวันมานี่ฝีมือของเขาพัฒนาไปมาก ขนาดอู๋ซั่วไต้ผู้เป็นบิดายังเอ่ยชม อู่หมิ่นลี่เดินเข้ามาพร้อมกับไป๋ชิว ใบหน้าของคุณหนูใหญ่แห่งหมู่ตึกนกยูงทองปรากฏรอยยิ้มตื้นตันใจยิ่งนัก
อู๋ซิงว่านได้แต่มองร่างเล็กๆ ที่วิ่งตามเซียวเหรินไปสุดสายตา เขารู้สึกับนางอย่างไรนั้น เขาย่อมรู้ดี แต่นางนั้นเล่า จะยอมอยู่เคียงข้างเขาหรือติดตามแผ่นหลังของเซียวเหรินเช่นนั้น หลันหลันก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่ง จนกระทั้งจู่ๆ เซียวเหรินก็หยุดเดิน นางเกือบหยุดไม่ทันปะทะกับแผ่นหลังของเขาเกือบหงายหลังล้มลง แต่เซียวเหรินไวพอจะคว้ามือเรียวเล็กฉุดไว้ได้ทันก่อนที่นางจะก้นกระแทกพื้น มือเรียวเล็กอยู่ในอุ้งมือของเขา ภาพมือของเขาอยู่ในอุ้งมือของเด็กหญิงวัยสิบขวบ ปรากฏขึ้นมาในสมองซ้อนทับกับมือของเขาที่จับมือนางไว้ “ขอบคุณท่านเซียว” หลันหลันยิ้มทะเล้น เมื่อทรงตัวได้แล้วจะดึงมือตนเองกลับแต่มือใหญ่ของเซียวเหรินกลับบีบแรงขึ้นจนรอยยิ้มของนางเจือนไป “ข้าเคยได้ยินว่าที่คนสกุลอูในแคว้นเฉียนเหลียงมีความสามารถพิเศษ นอกจากมนต์ดำคุณไสย์แล้วยังมีวิชาสะกดจิต” “วิชาสะกดจิต?” นางทำตาโตแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกเจ็บปวดกับแรงบีบที่เพิ่มมากขึ้น “คืออะไรรึเจ้าคะ” เซียวเหรินหรี่ตามองดวงตาสุกใสของนาง ครู่ต่อมาจึงคลายมือออกแล้วหันหลังเดินมุ่
“ไม่ถูกต้อง!” นางรีบแย้ง “ไม่เป็นในสิ่งที่ตนเลือกเสียหน่อย ข้าไม่ได้อยากเป็นคนสกุลอูเลย แล้วก็ไม่ได้อยากสังหารผู้ใดด้วย” นางเบ้ปากพึมพำเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะได้ยิน แต่อีกฝ่ายไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก ซ้ำยังยื่นมือมาโยกศีรษะนางอย่างหยอกล้อ “เมื่อถึงวันหนึ่ง เจ้าจะรู้คำตอบเอง” เขายังคงยิ้มให้ “หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะเห็นแก่มิตรภาพของเราละเว้นชีวิตข้าบ้าง” “เหตุใดข้าต้องฆ่าเจ้าด้วย” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย “ไม่รู้สิ” เขายิ้มขบขันกับแววตาไร้เดียงสาของนาง เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นยืนยื่นมือไปให้นางจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นแต่นางกลับส่ายหน้าไปมา“ข้าจะลงเขาแล้ว ไปด้วยกันเถิด”นางมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า สองมือของนางยังกอดเข่าตัวเองแน่น นางเป็นเด็กหญิงอายุสิบขวบที่ถูกฝึกฝนไม่ให้รับความช่วยเหลือจากผู้ใด ‘หัวใจตีด้วยเหล็กกล้า เจ้าไม่ควรรู้สึกต่อสิ่งใด’ นั่นเป็นประโยคที่อาจารย์หญิงสั่งสอนนางอยู่เสมอ “ภูเขานี้ไม่มีสัตว์ร้าย เจ้าจะนั่งอยู่ก็ไม่เป็นไรกระมัง” เขาเข้าใจไปว่านางยังทิฐิอยู่จึงไม่อยากกลับลงไปตอนนี้“หรือไม่ก็...เจ้าน่ากลัวกว่าส
“เจ้านี่มันเหมือนแม่ไม่มีผิด” ไทเฮาทรงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยอมหยุดมือ แผลเพียงเล็กน้อยไม่อาจทำให้ความหล่อเหลานี้ลดลงแม้แต่น้อย หรือแม้แต่หักแขนหักขา คนผู้นี้ก็ยังดูเป็นคนเหนือคน สายตาของนางมองคนไม่ผิดจริงๆ แต่นางไม่อาจกำจัดคนผู้นี้ไปได้ อำนาจการต่อรองของนางขึ้นอยู่กับชีวิตของชายผู้นี้ แววตาของเซียวเหรินกระตุกวูบหนึ่งแต่ถูกกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว เขาสงบใจจึงเอ่ยขึ้น“อาการประชวรของไทเฮาดีขึ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าปวดหัวทุกวัน” ไทเฮาตอบพลางคลี่ยิ้มออกมาราวกับมองไม่เห็นแววตาวูบไหวเมื่อครู่ “ได้ยินว่าอยู่ข้างนอกผู้คนกล่าวขานว่าเจ้าคือหมอเทวดาไร้ใจ” “เป็นเพียงคำพูดที่ผู้อื่นกล่าวกันไปเองทั้งสิ้น” มุมปากยกเป็นรอยยิ้มบางเบา “ทรงให้คนคุมตัวกระหม่อมมาเพื่อเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” “หมอหลวงที่เรียกมา ช่วยข้าไม่ได้เลย” นางคลี่ยิ้ม แต่ดวงตาจ้องมองอย่างหยั่งเชิง “เจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่” “อาการประชวรขององค์ไทเฮาเป็นต่อเนื่องเรื้อรังมานาน และเกรงว่ากระหม่อมไร้ความสามารถไม่อาจรักษาอาการของพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ” “เ
“เจ้าก็เหลือเกิน” ไทเฮาส่ายหน้าไปมา “ให้ดูข้าเป็นตัวอย่างแต่กลับทำตัวอ่อนแอ ปล่อยให้ฮ่องเต้หลงระเริงกับสตรีชั้นต่ำเหล่านั้นได้อย่างไร” ฮองเฮาอยากโต้เถียงแต่ไม่กล้า นางก็เป็นเพียงสตรีที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อนั่งตำแหน่งนี้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่นางให้กำเนิดโอรสได้สำเร็จ หาไม่แล้ว นางอาจไม่มีที่ยืนในวังหลังแห่งนี้ “หญิงบรรณาการผู้นั้นก็หายตัวไป แค่ให้ส่งนางออกไปเจ้ายังทำพลาด” ฮองเฮาก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกถึงรสเค็มคาวในปาก ถึงนางจะเป็นฮองเฮาแต่ใช่ว่าจะไม่ริษยาผู้อื่น เห็นสามีตนเองระรื่นกับสตรีอื่นจะให้ทำหน้าชื่นอยู่ได้อย่างไร “เอาล่ะ เจ้าก็ดูให้ดี อะไรที่ข้าสอนก็จำใส่ใจไว้ ไม่อย่างนั้นฐานะของเจ้าในตอนนี้อาจเป็นของผู้อื่น” “เพคะ” ไทเฮาส่งเด็กน้อยให้ฮองเฮาดูแลต่อแล้วไล่ผู้อื่นออกไป นางต้องการพักผ่อน ทว่าในสมองกลับคิดถึงเรื่องของเซียวเหริน คนผู้นี้ต้องรีบหาทางกำจัดทิ้ง นางปรานีไว้ชีวิตมาเนิ่นนานเกินไป จะให้ผู้ใดมาสั่นคลอนบัลลังก์ของนางไม่ได้!ทุกสิ่งเป็นของนาง สิ่งที่นางสูญเสียไปต้องไม่เสียเปล่า......
“เยี่ยม! ขนาดเรายืนอยู่ใกล้เจ้ายังไม่อาจจับผิดได้” “ขอบพระทัยเพคะ” นางก้มหน้าแต่ลอบมองดวงตาของขององค์ฮ่องเต้ ภายใต้หน้ากากงดงามเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “หม่อนฉันหวังใจว่าจะสร้างความเกษมสำราญแด่ฝ่าบาทเพคะ” “เราชอบมาก เด็กๆ ตบรางวัล” ขันทีขานรับคำสั่งของฮ่องเต้ ขุนนางทั้งหลายต่างแย้มยิ้มแต่บางคนเก็บซ่อนความไม่พอใจที่เห็นฮ่องเต้เอาแต่หาความสำราญไม่สนใจงานบ้านงานเมือง ฎีกาที่ถวายขึ้นไปถูกไทเฮาริบเอาไว้หมด “ขอบพระทัยเพคะแต่หม่อมฉันมีรางวัลที่ต้องการในใจแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอ่อนน้อม “ลองว่ามาสิ” “อีกสองวันจะถึงงานสมโภช หม่อมฉันหวังใจจะได้ทำการแสดงต่อหน้าไทเฮาสักครั้งในชีวิตเพคะ” “เรื่องแค่นี้เองรึ” ฮ่องเต้ทรงแหงนหน้าหัวเราะ “ได้! เราอยากให้ไทเฮาชมการแสดงของเจ้าอยู่พอดี เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่จนถึงวันงานสมโภชก็แล้วกัน” “ขอบพระทัยเพคะ” เพื่อมิให้ฮ่องเต้โอบกายนางได้ หญิงสาวรีบคุกเข่าแสดงความขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เสียงหัวเราะดังเหนือศีรษะ นางก้มหน้านิ่งรอจนฮ่องเต้เปลี่ยนใจ
“ได้ยินว่าแคว้นเฉียนเหลียงมีคนสกุลอูสนับสนุนอยู่เบื้องหลังบัลลังก์มังกร เจ้าเป็นคนของกงเสวี่ยหลิงคงพอได้ยินมาบ้าง” “อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “สกุลอูเชี่ยวชาญการสะกดจิต” “ท่านเซียวคิดเช่นนั้นหรือ?” แววตานางมีประกายรื่นเริงยินดี “ผู้อื่นมองว่าสกุลอูเป็นพวกหลอกลวง เล่นปาหี่หรือไม่ก็มีมนตร์ดำ” เซียวเหรินส่ายหน้าไปมา นางกินขนมจนเกลี้ยงจาน เขารินน้ำชาส่งให้นางดื่ม กลายเป็นเขาที่ต้องคอยปรนนิบัตินางหรือนี่? ‘เสร็จเรื่องวุ่นวายที่นี่แล้ว เจ้าจะทำอย่างไร’ เขาไม่ได้เอ่ยปากถามนาง เขารู้ว่าการที่นางมาที่เพื่ออะไร กงอี้เทาเคลื่อนไหวแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตเหลือรอดออกไปหรือไม่ หลันหลันวางถ้วยชาลงพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับประทับภาพของเขาไว้ในหัวใจ ไม่ว่านางจะเป็นอูหลันโหยวหรือนกหงส์หยกหลันหลัน สำหรับนางแล้วเซียวเหรินคือคนสำคัญที่สุด อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งดวงจิตของอูหลันโหยว และหลันหลันเข้าไว้ด้วยกัน “ข้ามาดูว่าท่านเป็นอย่างไร เรื่องอื่นท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
“เจ้าชอบใครกันแน่” กงเสวี่ยหลิงนึกถึงเรื่องที่จางซงหยวนเล่าให้นางฟัง จางซงหยวน กงอี้เทา และเซียวเหรินเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ อาจารย์หญิงของอูหลันโหยวเป็นสหายกับอาจารย์ของเซียวเหริน แม้ไม่ได้สนิทสนมมากนัก แต่จางซงหยวนซึ่งทำหน้าที่สืบข่าวย่อมสังเกตเห็นรอยวูบไหวในแววตาของอูหลันโหยวยามพูดถึงเซียวเหริน “ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีก” อูหลันโหยวส่ายหน้าไปมา “ก็ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข” กงเสวี่ยหลิงกล่าวจากใจจริง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ พวกเขาต่างให้สัญญาว่าจะดูแลอูหลันโหยวอย่างดี ชดเชยที่นางต้องลำบากมามาก อูหลันโหยวเห็นสีหน้ากังวลของกงเสวี่ยหลิงแล้ว นางก็เผลอหัวเราะออกมา “ข้านึกออกแล้วว่าข้าอยากทำอะไร” “เจ้านึกออกแล้ว!” “ข้าอยู่เลี้ยงลูกของเจ้ากับจางซงหยวนดีที่สุด!” “เจ้า!” กงเสวี่ยหลิงเขินอายจนแก้มนวลแดงปรั่ง ยกมือขึ้นทุบแขนของสหายแก้เขิน อูหลันโหยวได้แต่หัวเราะกลบเกลือนความปวดร้าวในอก นางไม่อาจคิดหวังถึงชีวิตวันข้างหน้าได้เลย เพราะความผิดหวังมันเจ็บปวด นางยอมให้ตัวเองเจ็บ
ชีวิตสี่ปีของหลันหลันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา หลัววั่งรู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเขาก็ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ “ท่านรีบกลับเถิด ที่นี่ข้าจัดการเองได้” “ไยรีบไล่ข้าไปเล่า หรือเจ้านัดผู้ใดไว้” หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้น บุรุษร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยน“ท่านมาแล้ว”เซียวเหรินส่งยิ้มให้นาง แม้เหนื่อยล้าจากการเร่งรีบเดินทางมา ทว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มนาง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันมลายหายไปสิ้น“เหตุใดกลับเร็วนักเล่า” หลันหลันอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตามจริงต้องอีกสิบวันท่านจะกลับไม่ใช่หรือ? เดินทางไปตรวจดูการซ่อมแซมเขื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ”“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าสามีหรือไร”เขาทำเสียงไม่พอใจแต่เดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับชีพจรให้นาง และไม่พูดเรื่องงานกับนาง จะว่าไป ก็ไม่มีมีเรื่องใดในชีวิตของเขาที่หลุดรอดสายตาของนาง เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าในแต่ละวันนางทำอะไร นางมีคนคอยส่งข่าว ส่งเขาให้จูเต๋ออี้วางองครักษ์ลับไว้โดบรอบ “พิษในตัวข้ายังต้องใช้เ
“คิดสิ” นางหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำให้กงอี้เทาปล่อยนางจากวงแขน เขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงยอมคลายมือจากข้อมือนาง ทำให้นางส่งยาเม็ดนั้นส่งเข้าปากแล้วกลืนลงคอทันทีท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของกงอี้เทา “เจ้า!” “ข้าไม่เสียใจ” นางยิ้มแล้วยกมือลูบใบหน้าของกงอี้เทา “บอกจางซงหยวนให้ดูแลกงเสวี่ยหลิงให้ดี” “หลันโหยว!” “ข้าอยากขอร้องเจ้าครั้งสุดท้าย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “ได้ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง” กงอี้เทาประคองร่างที่อ่อนยวบลงในวงแขน มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางปิดลง ชีพจรเต้นช้าลง ร่างกายเริ่มเย็นเยียบขึ้นมาที่ละน้อย นางวางมือไว้บนหน้าอก บริเวณหัวใจของตนเองที่เต้นแผ่วเบาลงไปทุกที ทุกที ทุกที ไม่มีอะไรให้นางลังเลและกังวลอีกแล้ว..จูเต๋ออี้เดินเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ ภาพที่เห็นจนเริ่มชินตาคือเจ้าของร่างสูงสง่านั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่นและมือตวัดพู่กันแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งปัญหาไว้มากมายเหลือคณานับ
“เจ้านกตะกละ!” เขาดุนางพลางแหวนหน้าคำรามเสียงพร่า ถูกนางรุกเร้าจนแท่งหยกไถลลื่นเข้าไปจนสุด นางหวีดร้องเบาๆ โผเข้ากอดเขา ปลายเล็บจิกที่แผ่นหลังไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้จะมีซ่อนสิ่งใหญ่โตไว้ถึงเพียงนี้ ความเสียวซ่านแผ่นกระจายไปทั่วร่าง จนถึงปลายนิ้วเท้าที่เกร็งแทบเป็นตะคริว นางครวญเสียงกระเส่า ยามเมื่อเขาขยับสะโพกถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วกดกลับเข้ามาใหม่ นางได้แต่หวีดร้องส่งเสียงครางแทบขาดใจ เหงื่อร้อนหลั่งออกมาจนหยดบนกายของนาง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในคราวแรกหายไปสิ้น ทุกการเติมเต็มของเขาทำให้ร่างกายที่เคยเยียบเย็นร้อนระอุ เหงื่อร้อนผุดขึ้นทุกรูขุมขน ร่างกายนางทวีความร้อนและเปียกชื้น รวมทั้งที่ใจกลางของดอกไม้สาวที่รองรับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อหนุ่มช่างแนบแน่น ลึกล้ำและซ่านเสียว“ข้า...” นางไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไร เขาป้อนความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จัก ทำให้นางอิ่มเอมครั้งแล้วครั้งเล่า และหิวโหยต้องการไม่สิ้นสุด ไม่ว่าท่วงท่าใดที่เขานำพา ล้วนทำให้นางปรารถนาในตัวเขามากขึ้น มากขึ้น“เซียวเหริน!”ดวงตาของเซียวเหรินราวลูกไฟ ไฟปรารถนาเผาไหม้หัวใจทำให้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น ถาโถมและโหมกระหน
“เจ้าอยู่ที่นี่ให้ข้าถอนพิษให้เจ้าเถิด” “ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรได้” นางส่ายหน้าไปมาบนอกเสื้อของเขา นางจงใจทำร้ายองค์ชายหงก่วงต่อหน้าผู้อื่นหากนางยืนข้างกายเขา คนภายใต้การปกครองย่อมมองเขาไม่ดีเป็นแน่ ขณะที่สมองและหัวใจตีกันยุ่งเหยิง ปลายคางของนางถูกช้อนขึ้น ตามด้วยริมฝีปากหยักสวยทาบทับ นางคิดจะถอยหลังหลบหนีแต่เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนจนนางไม่อาจตั้งสติคิดสิ่งใดได้ ถูกจุมพิตของเขาทำให้สับสนจนเกือบขาดอากาศหายใจเขาจึงยอมละริมฝีปากจากนาง “ใจร้าย!” นางทุบแผ่นอกแกร่งของเขา “ข้าต้องการเวลาคิด”“เรื่องแบบนี้ต้องคิดอะไรนานนัก” เขาโน้นหน้าลงจุมพิตดวงตาของนางที่ยังมีหยาดน้ำตาวาวใส “ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ”‘ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ’เป็นอีกครั้งที่นางได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของนางเหม่อลอยไปชั่วขณะ และในจังหวะเดียวกัน เซียวเหรินตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้แนบอกพานางกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง การกักขังนกตัวหนึ่งไว้นั้น อาจไม่ใช่กรงขังที่แน่นหนาแต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อนางจูเต๋ออี้เห็นผู้เป็นนายกลับมาพร้อมกับอุ้มหญิงสาวที่ซุกอยู่ในอกจนแทบมองไม่เห็นใบ
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น