“ได้ยินว่าแคว้นเฉียนเหลียงมีคนสกุลอูสนับสนุนอยู่เบื้องหลังบัลลังก์มังกร เจ้าเป็นคนของกงเสวี่ยหลิงคงพอได้ยินมาบ้าง”
“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง
“สกุลอูเชี่ยวชาญการสะกดจิต”
“ท่านเซียวคิดเช่นนั้นหรือ?” แววตานางมีประกายรื่นเริงยินดี “ผู้อื่นมองว่าสกุลอูเป็นพวกหลอกลวง เล่นปาหี่หรือไม่ก็มีมนตร์ดำ”
เซียวเหรินส่ายหน้าไปมา นางกินขนมจนเกลี้ยงจาน เขารินน้ำชาส่งให้นางดื่ม กลายเป็นเขาที่ต้องคอยปรนนิบัตินางหรือนี่?
‘เสร็จเรื่องวุ่นวายที่นี่แล้ว เจ้าจะทำอย่างไร’
เขาไม่ได้เอ่ยปากถามนาง เขารู้ว่าการที่นางมาที่เพื่ออะไร กงอี้เทาเคลื่อนไหวแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตเหลือรอดออกไปหรือไม่
หลันหลันวางถ้วยชาลงพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับประทับภาพของเขาไว้ในหัวใจ ไม่ว่านางจะเป็นอูหลันโหยวหรือนกหงส์หยกหลันหลัน สำหรับนางแล้วเซียวเหรินคือคนสำคัญที่สุด อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งดวงจิตของอูหลันโหยว และหลันหลันเข้าไว้ด้วยกัน
“ข้ามาดูว่าท่านเป็นอย่างไร เรื่องอื่นท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
“เจ้าอย่าได้คิด!”
“ท่านเซียวกังวลเรื่องชีวิตคนสกุลเซียวสามร้อยแปดสิบสองชีวิตอยู่สินะ” นางไม่กล้าพูดความจริงว่าเวลานี้เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
“เจ้า!” เขาไม่เคยแพร่งพรายเรื่องเหล่านี้มาก่อน
นางเกาปลายจมูกตัวเอง “แม้ท่านยึดมั่นคำสัตย์สาบานแต่การที่ท่านช่วยเหลือแอบเป็นกุนซือเงาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นั้น ก็เท่ากับท่านเป็นปรปักษ์กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแล้ว ”
“หุบปาก!”
“ชู่ว์” นางยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตนเอง “ท่านเซียวอย่าเสียงดัง ประเดี๋ยวผู้อื่นรู้ว่าท่านมิได้อยู่คนเดียว”
เซียวเหรินเดือดดาลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าหลันหลันกลับยื่นมาใกล้ประกบริมฝีปากกับเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เอนกายไปด้านหลังแต่นางกลับยื่นมือโอบท้ายทอยของเขาไว้ นางขบริมฝีปากเขาเบาๆ เพียงเรียกร้องให้เขาเผยอริมฝีปากให้เรียวลิ้นของนางเข้าไปในโพรงปากของเขา
‘เจ้านกบ้า! กล้ากดจูบข้าเรอะ!’
ถูกวางเพลิงด้วยไฟโทสะ เขาโต้ตอบจุมพิตของนางเป็นฝ่ายเกี่ยวกระหวัดลิ้นน้อยๆ ของนางไว้ ปากช่างเจรจาของนางช่างหอมหวานเย้ายวน ลมหายใจของเขาร้อนระอุแตกต่างจากที่เคย นางเป็นฝ่ายเอนกายถอยหนีแต่ครั้งนี้เขาทำเช่นเดียวกับนาง ใช้มือประคองท้ายทอยของนางไว้ไม่ให้หลบหนีไปได้
เมื่อหลีกหนีไม่พ้น หลันหลันจึงหลับตาลงเสีย ทว่านางกลับรับรู้ทุกสัมผัสของเขาได้แจ่มชัด ลมหายใจของเซียวเหรินไหลเวียนในกายนาง ร่างกายอุ่นร้อนและวาบหวามจนเผลอครางในลำคออย่างไม่รู้ตัว ทว่าเสียงครางผะแผ่วนั้นกลับเรียกสติของเซียวเหรินได้ เขาถอนริมฝีปากอย่างเสียดาย มองดูใบหน้าหวานแดงกล้ำราวกับจะคั้นโลหิตออกมาได้ เมื่อตนสงบใจได้แล้วจึงยกนิ้วโป้งปัดผ่านริมฝีปากของนางเบาๆ ทำให้หลันหลันค่อยๆ ลืมตามองเขา
มะ...เมื่อครู่
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
นางแกล้งตายทันหรือไม่
ไม่สิ นางตายมารอบหนึ่งแล้วนี่
“กลับไปเสีย” เซียนเหรินเอ่ยขึ้นแล้วมองไปทางอื่น “แล้วอย่าได้คิดทำอะไรแทนข้าเป็นอันขาด”
เซียวเหรินแสร้งทำเป็นไม่สนใจนาง หญิงสาวได้สติแล้วพยักหน้าขึ้นลงพลันเหมือนคิดอะไรได้ก็ส่ายหน้าไปมา เขาเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่นางกลับพยักหน้าขึ้นลงอีกครั้ง ชี้มือชี้ไม้ไปทางหน้าต่างแล้วนางก็หมุนตัวเดินเร็วๆ ปีนหน้าต่างกลับไป
ดวงตาคมมองหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจว่านางไม่โผล่หน้ากลับมาอีก เขาก็ถอนหายใจหนักหน่วงยกมือขึ้นนวดขมับ
เมื่อครู่
เมื่อครู่เขาทำอะไรลงไป เพราะห่างเหินสตรีไปนานหรือเพราะถูกยั่วโทสะจนขาดสติ เขาจึงได้เสียการควบคุมจุมพิตนางเช่นนั้น แต่ใบหน้าที่ซับสีเลือดเช่นนั้น และร่างกายของนางก็อุ่นร้อนขึ้นมากกว่าที่เคย หรือว่าการจุมพิตร้อนแรงเช่นนี้จะส่งผลกับสุขภาพของนาง
ช่างเถอะ ให้เขารู้เรื่องนี้เพียงผู้เดียวก็พอ ไม่เช่นนั้นเจ้านกน้อยตัวดีได้โผไปจุมพิตผู้อื่นไปทั่ว และเขาไม่ยินดีให้นางจุมพิตใครเด็ดขาด!
“เจ้าชอบคุณชายเซียวเหรินถึงเพียงนี้”
เสียงหวานใสเอ่ยถามทำให้สตรีที่นั่งก้มหน้าอยู่กับตำราสมุนไพรชะงักไปเล็กน้อยแล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปลายนิ้วพลิกหน้ากระดาษตั้งใจอ่านส่วนผสมสูตรลับปรุงยาพิษ
กงเสวี่ยหลิงยื่นหน้ามาแทบชิดใบหน้าของอูหลันโหยว กิริยาแสนน่ารักรวมกับใบหน้าอ่อนหวานทำให้ใครก็โกรธไม่ลง อูหลันโหยวลอบถอนหายใจ นางเองอยากมีชีวิตที่ไม่ต้องแบกรับภาระใด แต่นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ตั้งแต่เด็ก อาจารย์หญิงหรือท่านย่าพานางเดินทางไปทั่วแคว้นเฉียนเหลียง บางคราวก็ข้ามไปถึงแคว้นโฮ่วฉิน ในวัยเยาว์นางคิดว่า สิ่งที่อาจารย์หญิงทำนั้นเพราะต้องการให้นางอยู่รับใช้อาจารย์ แต่เมื่อเติบโตขึ้นจึงรู้ว่า อาจารย์ต้องการให้นางเห็นชีวิตผู้คนที่ยากลำบากต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกกดขี่จากแคว้นโฮ่วฉิน อาจารย์ทำเช่นนี้เพื่อให้นางเต็มใจใช้สับเปลี่ยนตัวกับกงเสวี่ยหลิง ยอมเป็นเครื่องบรรณาการไปแคว้น
โฮ่วฉินด้วยความเต็มใจ
“เจ้าไม่พูดจะถือว่าคำตอบคือใช่ก็แล้วกัน”
คราวนี้อูหลันโหยวเงยหน้าขึ้นทันที กงเสวี่ยหลิงหัวเราะเสียงใสแล้วเดินอ้อมานั่งข้างกายสหายรัก
“ชายผู้นั้นมีอะไรดีนะ เทียบกับพี่ใหญ่ของข้าแล้ว พี่อี้เทาของข้าดีกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า” กงเสวี่ยหลิงยังคงสนุกสนานกับการกระเซ้าอู หลันโหยว
“แล้วจางซงหยวนมีอะไรดี เจ้าถึงรักเขาหมดใจเช่นนี้ได้” หญิงสาวยื่นมือไปบีบปลายจมูกของกงเสวี่ยหลิงเล่น แม้อายุเท่ากันแต่นางกลับมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่กว่ากงเสวี่ยหลิงมากนัก “และพี่ใหญ่ของเจ้าคือรัชทายาทแห่งแคว้นเฉียนเหลียง สตรีที่จะเคียงข้างย่อมเป็นผู้ที่เหมาะสมคู่ควร”
“เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้าก็มีใจให้พี่อี้เทาของข้ารึ” กงเสวี่ยหลิงเบิกตากว้าง นางรู้ว่ากงอี้เทาชอบลอบมองอูหลันโหยวบ่อยๆ แม้นางเคยหลอกถามแต่พี่ชายไม่ปริปากพูด นางจึงคาดเดาจากสายตาและการห่วงใยที่กงอี้เทามีให้อูหลันโหยว และหากคิดเช่นนี้แล้ว สายตาของอูหลันโหยวที่มักมีกิริยาเรียบนิ่งเย็นชาจะมีแววตาวูบไหวทุกครั้งทีได้พบเซียวเหริน
อูหลันโหยวเหม่อลอยไปชั่วขณะ นับจากที่ได้พบกันที่ทุ่งดอกโบตั๋นเชิงเขาฝั่งตะวันออกแล้ว เซียวเหรินเดินทางกลับแคว้นโฮ่วฉิน นางรับรู้เรื่องราวในวังหลวงของแคว้นโฮ่วฉินทุกอย่างเหตุ แม้กระทั่งองค์ชายเหรินถูกขับออกจากวังในฐานะคนตาย ใช้ชีวิตเป็นหมอเทวดาไร้ใจ
‘เซียวเหริน’
เซียวเหรินอาจไม่รู้ว่านางปลอมตัวแฝงอยู่ในหมู่คนเจ็บป่วยที่เขาไม่อยากรักษาหลายครั้งหลายครา นางลอบหัวเราะทุกครั้งที่เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเขา เขายังคงเป็น ‘ซือจือ’ ที่นางรู้จัก ไม่อยากรักษาผู้คนแต่ใจแข็งทนเห็นผู้อื่นทนทุกข์ทรมานไม่ได้ หลายคราวที่นางปลอมตัวปรากฏกายอยู่หน้าเขาแต่เขาจำนางไม่ได้ นางชื่นชมความสามารถของตนเองยิ่ง ทว่านางก็ปวดใจไม่น้อยที่เขาไม่เคยจำนางได้เลย ทั้งๆ ที่นางหวังให้เขาจำนางไม่ได้ แต่นางกลับปวดใจทุกคราวไป ระยะหลังมานี่ นางจึงเพียงแค่รับรู้การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เข้าไปวุ่นวายใดอีก เพราะอีกไม่นาน นางเองก็ต้อง...ต้องทำหน้าที่ของตน
“มีใจ?” อูหลันโหยวทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง “ข้าไม่มีสิทธิ์มีใจให้ผู้ใดได้ งานครั้งนี้คือเดิมพันด้วยชีวิตข้า แล้วข้าจะเหลือชีวิตไว้ครองรักกับใครได้อีกเล่า”
“เจ้า...” กงเสวี่ยหลิงเสียงแผ่วลง นางเป็นถึงองค์หญิงแต่กลับต้องให้สหายรักทำหน้าที่เป็นเชลย-เครื่องบรรณาการแทนนาง นางรู้สึกผิดและเป็นหนี้บุญคุณอูหลันโหยวมาก
“มันอาจไม่เลวร้ายเช่นนั้นก็เป็นได้ เจ้าควร...ควรคิดไว้บ้างว่าเสร็จเรื่องเหล่านี้แล้วเจ้าอยากทำสิ่งใด ใช้ชีวิตอย่างไร”
นางอ้าปากเหมือนจะพูดแล้วก็เปลี่ยนใจ กลายเป็นส่งเสียง “อืม” ออกมาคำเดียว
“เจ้าชอบใครกันแน่” กงเสวี่ยหลิงนึกถึงเรื่องที่จางซงหยวนเล่าให้นางฟัง จางซงหยวน กงอี้เทา และเซียวเหรินเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ อาจารย์หญิงของอูหลันโหยวเป็นสหายกับอาจารย์ของเซียวเหริน แม้ไม่ได้สนิทสนมมากนัก แต่จางซงหยวนซึ่งทำหน้าที่สืบข่าวย่อมสังเกตเห็นรอยวูบไหวในแววตาของอูหลันโหยวยามพูดถึงเซียวเหริน “ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีก” อูหลันโหยวส่ายหน้าไปมา “ก็ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข” กงเสวี่ยหลิงกล่าวจากใจจริง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ พวกเขาต่างให้สัญญาว่าจะดูแลอูหลันโหยวอย่างดี ชดเชยที่นางต้องลำบากมามาก อูหลันโหยวเห็นสีหน้ากังวลของกงเสวี่ยหลิงแล้ว นางก็เผลอหัวเราะออกมา “ข้านึกออกแล้วว่าข้าอยากทำอะไร” “เจ้านึกออกแล้ว!” “ข้าอยู่เลี้ยงลูกของเจ้ากับจางซงหยวนดีที่สุด!” “เจ้า!” กงเสวี่ยหลิงเขินอายจนแก้มนวลแดงปรั่ง ยกมือขึ้นทุบแขนของสหายแก้เขิน อูหลันโหยวได้แต่หัวเราะกลบเกลือนความปวดร้าวในอก นางไม่อาจคิดหวังถึงชีวิตวันข้างหน้าได้เลย เพราะความผิดหวังมันเจ็บปวด นางยอมให้ตัวเองเจ็บ
“จำไว้ ระหว่างออกจากที่นี้อย่าพูดคุยกับผู้ใดและห้ามส่งเสียงจนกว่าจะถึงนอกกำแพงรั้ว จากนั้นจะมีคนมารับพี่เต๋ออี้เอง” นางส่งจูเต๋ออี้ให้ทหารอีกคนรับช่วงต่อ ได้แต่ยืนส่งจนสุดสายตา คนที่ต้องช่วยก็จัดการแล้ว จากนี้ไปได้แต่หวังว่า คนที่ส่งไปเจรจากับเซียวเหรินจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้ชายผู้นั้นร่วมมือได้ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิด คงไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่นางจำเป็นต้องทำแม้จะฝืนใจก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ งานสมโภชฉลองวันประสูติของไทเฮาจัดอย่างยิ่งใหญ่แม้จะเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความกดดันจากทุกฝ่าย ความเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่ไม่พอใจเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่กดขี่ราษฎร การเก็บภาษีที่ขูดรีดจนชาวบ้านลุกฮือขึ้นต่อต้านแต่ไม่อาจต่อสู้กลับอำนาจทางการได้ หลายคนถูกจับเข้าคุก หลายคนหลบหนีเข้าร่วมกับเผ่าอื่นๆ กลายเป็นกองโจรขนาดเล็กที่พร้อมปกป้องตนเอง เหล่าขุนนางแบ่งเป็นหลายฝักหลายฝ่าย บางกลุ่มเห็นใจราษฎรแต่ไม่อาจตั้งตัวขึ้นปกป้องได้เกรงจะกลายเป็นการก่อการกบฏ งานสมโภชในวันนี้จัดยิ่งใหญ่ใช้เงินไปหลายล้านตำลึงเพียงทั้งที่เงินในท้องพระคลังร่อยหรอเต็มที แม้ร
“พวกเจ้า! คนสกุลเซียวรึ! พวกเจ้าสบคบกับคนนอกกล้าล้มบัลลังก์ของข้า!” “เดิมทีมันก็ไม่ใช่ของพวกเจ้าอยู่แล้ว” นายผู้เฒ่าสกุลเซียวที่ถูกช่วยชีวิตมาปรากฏเบื้องหน้า ไทเฮาถึงกับผงะไปทันที “ตาเฒ่าเซียว! เจ้ายังอยู่อีกเรอะ!” “เพื่อให้เห็นจุดจบของคนชั่วอย่างเจ้า ข้าจะตายก่อนได้อย่างไร” ผู้เฒ่าเซียวหัวเราะด้วยความเคียดแค้น สกุลเซียวจงรักภักดีมาตลอด แม้มีบุตรสาวก็ส่งเข้าวังหลวงมิได้หาผลประโยชน์ใด เพียงแค่ต้องการแสดงความภักดี แต่กลับกลายเป็นว่า นางเป็นที่โปรดปรานจนทำให้ตระกูลเซียวถูกลั่นแกล้งเนรเทศออกจากเมืองหลวง สามร้อยแปดสิบสองกว่าชีวิตระเห็จระเหเร่รอนอย่างอนาถ เหลือรอดอยู่เพียงครึ่งเดียว หากไม่ใช่เพราะกงอี้เทายื่นมือช่วยเหลือ และหมู่ตึกนกยูงทองให้ที่หลบซ่อนแล้ว พวกเขาคงจะไม่มีวันได้เห็นวันนี้ “คุมตัวทั้งหมดไปตำหนักทางทิศตะวันตก” “พวกเจ้า!!” ไทเฮาได้แต่โมโหเดือดดาลจนหน้ามืด ผู้เฒ่าเซียวหันมาประกาศกับเหล่าทหารและขุนนางที่เหลืออยู่ “ข้าไม่ต้องการนองเหลือแต่ต้องการให้ประชาชนได้กินดีมีสุข เ
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
ชีวิตสี่ปีของหลันหลันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา หลัววั่งรู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเขาก็ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ “ท่านรีบกลับเถิด ที่นี่ข้าจัดการเองได้” “ไยรีบไล่ข้าไปเล่า หรือเจ้านัดผู้ใดไว้” หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้น บุรุษร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยน“ท่านมาแล้ว”เซียวเหรินส่งยิ้มให้นาง แม้เหนื่อยล้าจากการเร่งรีบเดินทางมา ทว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มนาง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันมลายหายไปสิ้น“เหตุใดกลับเร็วนักเล่า” หลันหลันอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตามจริงต้องอีกสิบวันท่านจะกลับไม่ใช่หรือ? เดินทางไปตรวจดูการซ่อมแซมเขื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ”“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าสามีหรือไร”เขาทำเสียงไม่พอใจแต่เดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับชีพจรให้นาง และไม่พูดเรื่องงานกับนาง จะว่าไป ก็ไม่มีมีเรื่องใดในชีวิตของเขาที่หลุดรอดสายตาของนาง เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าในแต่ละวันนางทำอะไร นางมีคนคอยส่งข่าว ส่งเขาให้จูเต๋ออี้วางองครักษ์ลับไว้โดบรอบ “พิษในตัวข้ายังต้องใช้เ
“คิดสิ” นางหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำให้กงอี้เทาปล่อยนางจากวงแขน เขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงยอมคลายมือจากข้อมือนาง ทำให้นางส่งยาเม็ดนั้นส่งเข้าปากแล้วกลืนลงคอทันทีท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของกงอี้เทา “เจ้า!” “ข้าไม่เสียใจ” นางยิ้มแล้วยกมือลูบใบหน้าของกงอี้เทา “บอกจางซงหยวนให้ดูแลกงเสวี่ยหลิงให้ดี” “หลันโหยว!” “ข้าอยากขอร้องเจ้าครั้งสุดท้าย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “ได้ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง” กงอี้เทาประคองร่างที่อ่อนยวบลงในวงแขน มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางปิดลง ชีพจรเต้นช้าลง ร่างกายเริ่มเย็นเยียบขึ้นมาที่ละน้อย นางวางมือไว้บนหน้าอก บริเวณหัวใจของตนเองที่เต้นแผ่วเบาลงไปทุกที ทุกที ทุกที ไม่มีอะไรให้นางลังเลและกังวลอีกแล้ว..จูเต๋ออี้เดินเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ ภาพที่เห็นจนเริ่มชินตาคือเจ้าของร่างสูงสง่านั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่นและมือตวัดพู่กันแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งปัญหาไว้มากมายเหลือคณานับ
“เจ้านกตะกละ!” เขาดุนางพลางแหวนหน้าคำรามเสียงพร่า ถูกนางรุกเร้าจนแท่งหยกไถลลื่นเข้าไปจนสุด นางหวีดร้องเบาๆ โผเข้ากอดเขา ปลายเล็บจิกที่แผ่นหลังไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้จะมีซ่อนสิ่งใหญ่โตไว้ถึงเพียงนี้ ความเสียวซ่านแผ่นกระจายไปทั่วร่าง จนถึงปลายนิ้วเท้าที่เกร็งแทบเป็นตะคริว นางครวญเสียงกระเส่า ยามเมื่อเขาขยับสะโพกถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วกดกลับเข้ามาใหม่ นางได้แต่หวีดร้องส่งเสียงครางแทบขาดใจ เหงื่อร้อนหลั่งออกมาจนหยดบนกายของนาง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในคราวแรกหายไปสิ้น ทุกการเติมเต็มของเขาทำให้ร่างกายที่เคยเยียบเย็นร้อนระอุ เหงื่อร้อนผุดขึ้นทุกรูขุมขน ร่างกายนางทวีความร้อนและเปียกชื้น รวมทั้งที่ใจกลางของดอกไม้สาวที่รองรับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อหนุ่มช่างแนบแน่น ลึกล้ำและซ่านเสียว“ข้า...” นางไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไร เขาป้อนความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จัก ทำให้นางอิ่มเอมครั้งแล้วครั้งเล่า และหิวโหยต้องการไม่สิ้นสุด ไม่ว่าท่วงท่าใดที่เขานำพา ล้วนทำให้นางปรารถนาในตัวเขามากขึ้น มากขึ้น“เซียวเหริน!”ดวงตาของเซียวเหรินราวลูกไฟ ไฟปรารถนาเผาไหม้หัวใจทำให้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น ถาโถมและโหมกระหน
“เจ้าอยู่ที่นี่ให้ข้าถอนพิษให้เจ้าเถิด” “ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรได้” นางส่ายหน้าไปมาบนอกเสื้อของเขา นางจงใจทำร้ายองค์ชายหงก่วงต่อหน้าผู้อื่นหากนางยืนข้างกายเขา คนภายใต้การปกครองย่อมมองเขาไม่ดีเป็นแน่ ขณะที่สมองและหัวใจตีกันยุ่งเหยิง ปลายคางของนางถูกช้อนขึ้น ตามด้วยริมฝีปากหยักสวยทาบทับ นางคิดจะถอยหลังหลบหนีแต่เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนจนนางไม่อาจตั้งสติคิดสิ่งใดได้ ถูกจุมพิตของเขาทำให้สับสนจนเกือบขาดอากาศหายใจเขาจึงยอมละริมฝีปากจากนาง “ใจร้าย!” นางทุบแผ่นอกแกร่งของเขา “ข้าต้องการเวลาคิด”“เรื่องแบบนี้ต้องคิดอะไรนานนัก” เขาโน้นหน้าลงจุมพิตดวงตาของนางที่ยังมีหยาดน้ำตาวาวใส “ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ”‘ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ’เป็นอีกครั้งที่นางได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของนางเหม่อลอยไปชั่วขณะ และในจังหวะเดียวกัน เซียวเหรินตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้แนบอกพานางกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง การกักขังนกตัวหนึ่งไว้นั้น อาจไม่ใช่กรงขังที่แน่นหนาแต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อนางจูเต๋ออี้เห็นผู้เป็นนายกลับมาพร้อมกับอุ้มหญิงสาวที่ซุกอยู่ในอกจนแทบมองไม่เห็นใบ
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น