“เยี่ยม! ขนาดเรายืนอยู่ใกล้เจ้ายังไม่อาจจับผิดได้” “ขอบพระทัยเพคะ” นางก้มหน้าแต่ลอบมองดวงตาของขององค์ฮ่องเต้ ภายใต้หน้ากากงดงามเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “หม่อนฉันหวังใจว่าจะสร้างความเกษมสำราญแด่ฝ่าบาทเพคะ” “เราชอบมาก เด็กๆ ตบรางวัล” ขันทีขานรับคำสั่งของฮ่องเต้ ขุนนางทั้งหลายต่างแย้มยิ้มแต่บางคนเก็บซ่อนความไม่พอใจที่เห็นฮ่องเต้เอาแต่หาความสำราญไม่สนใจงานบ้านงานเมือง ฎีกาที่ถวายขึ้นไปถูกไทเฮาริบเอาไว้หมด “ขอบพระทัยเพคะแต่หม่อมฉันมีรางวัลที่ต้องการในใจแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอ่อนน้อม “ลองว่ามาสิ” “อีกสองวันจะถึงงานสมโภช หม่อมฉันหวังใจจะได้ทำการแสดงต่อหน้าไทเฮาสักครั้งในชีวิตเพคะ” “เรื่องแค่นี้เองรึ” ฮ่องเต้ทรงแหงนหน้าหัวเราะ “ได้! เราอยากให้ไทเฮาชมการแสดงของเจ้าอยู่พอดี เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่จนถึงวันงานสมโภชก็แล้วกัน” “ขอบพระทัยเพคะ” เพื่อมิให้ฮ่องเต้โอบกายนางได้ หญิงสาวรีบคุกเข่าแสดงความขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เสียงหัวเราะดังเหนือศีรษะ นางก้มหน้านิ่งรอจนฮ่องเต้เปลี่ยนใจ
“ได้ยินว่าแคว้นเฉียนเหลียงมีคนสกุลอูสนับสนุนอยู่เบื้องหลังบัลลังก์มังกร เจ้าเป็นคนของกงเสวี่ยหลิงคงพอได้ยินมาบ้าง” “อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “สกุลอูเชี่ยวชาญการสะกดจิต” “ท่านเซียวคิดเช่นนั้นหรือ?” แววตานางมีประกายรื่นเริงยินดี “ผู้อื่นมองว่าสกุลอูเป็นพวกหลอกลวง เล่นปาหี่หรือไม่ก็มีมนตร์ดำ” เซียวเหรินส่ายหน้าไปมา นางกินขนมจนเกลี้ยงจาน เขารินน้ำชาส่งให้นางดื่ม กลายเป็นเขาที่ต้องคอยปรนนิบัตินางหรือนี่? ‘เสร็จเรื่องวุ่นวายที่นี่แล้ว เจ้าจะทำอย่างไร’ เขาไม่ได้เอ่ยปากถามนาง เขารู้ว่าการที่นางมาที่เพื่ออะไร กงอี้เทาเคลื่อนไหวแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตเหลือรอดออกไปหรือไม่ หลันหลันวางถ้วยชาลงพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับประทับภาพของเขาไว้ในหัวใจ ไม่ว่านางจะเป็นอูหลันโหยวหรือนกหงส์หยกหลันหลัน สำหรับนางแล้วเซียวเหรินคือคนสำคัญที่สุด อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งดวงจิตของอูหลันโหยว และหลันหลันเข้าไว้ด้วยกัน “ข้ามาดูว่าท่านเป็นอย่างไร เรื่องอื่นท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
“เจ้าชอบใครกันแน่” กงเสวี่ยหลิงนึกถึงเรื่องที่จางซงหยวนเล่าให้นางฟัง จางซงหยวน กงอี้เทา และเซียวเหรินเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ อาจารย์หญิงของอูหลันโหยวเป็นสหายกับอาจารย์ของเซียวเหริน แม้ไม่ได้สนิทสนมมากนัก แต่จางซงหยวนซึ่งทำหน้าที่สืบข่าวย่อมสังเกตเห็นรอยวูบไหวในแววตาของอูหลันโหยวยามพูดถึงเซียวเหริน “ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีก” อูหลันโหยวส่ายหน้าไปมา “ก็ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข” กงเสวี่ยหลิงกล่าวจากใจจริง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ พวกเขาต่างให้สัญญาว่าจะดูแลอูหลันโหยวอย่างดี ชดเชยที่นางต้องลำบากมามาก อูหลันโหยวเห็นสีหน้ากังวลของกงเสวี่ยหลิงแล้ว นางก็เผลอหัวเราะออกมา “ข้านึกออกแล้วว่าข้าอยากทำอะไร” “เจ้านึกออกแล้ว!” “ข้าอยู่เลี้ยงลูกของเจ้ากับจางซงหยวนดีที่สุด!” “เจ้า!” กงเสวี่ยหลิงเขินอายจนแก้มนวลแดงปรั่ง ยกมือขึ้นทุบแขนของสหายแก้เขิน อูหลันโหยวได้แต่หัวเราะกลบเกลือนความปวดร้าวในอก นางไม่อาจคิดหวังถึงชีวิตวันข้างหน้าได้เลย เพราะความผิดหวังมันเจ็บปวด นางยอมให้ตัวเองเจ็บ
“จำไว้ ระหว่างออกจากที่นี้อย่าพูดคุยกับผู้ใดและห้ามส่งเสียงจนกว่าจะถึงนอกกำแพงรั้ว จากนั้นจะมีคนมารับพี่เต๋ออี้เอง” นางส่งจูเต๋ออี้ให้ทหารอีกคนรับช่วงต่อ ได้แต่ยืนส่งจนสุดสายตา คนที่ต้องช่วยก็จัดการแล้ว จากนี้ไปได้แต่หวังว่า คนที่ส่งไปเจรจากับเซียวเหรินจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้ชายผู้นั้นร่วมมือได้ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิด คงไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่นางจำเป็นต้องทำแม้จะฝืนใจก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ งานสมโภชฉลองวันประสูติของไทเฮาจัดอย่างยิ่งใหญ่แม้จะเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความกดดันจากทุกฝ่าย ความเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่ไม่พอใจเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่กดขี่ราษฎร การเก็บภาษีที่ขูดรีดจนชาวบ้านลุกฮือขึ้นต่อต้านแต่ไม่อาจต่อสู้กลับอำนาจทางการได้ หลายคนถูกจับเข้าคุก หลายคนหลบหนีเข้าร่วมกับเผ่าอื่นๆ กลายเป็นกองโจรขนาดเล็กที่พร้อมปกป้องตนเอง เหล่าขุนนางแบ่งเป็นหลายฝักหลายฝ่าย บางกลุ่มเห็นใจราษฎรแต่ไม่อาจตั้งตัวขึ้นปกป้องได้เกรงจะกลายเป็นการก่อการกบฏ งานสมโภชในวันนี้จัดยิ่งใหญ่ใช้เงินไปหลายล้านตำลึงเพียงทั้งที่เงินในท้องพระคลังร่อยหรอเต็มที แม้ร
“พวกเจ้า! คนสกุลเซียวรึ! พวกเจ้าสบคบกับคนนอกกล้าล้มบัลลังก์ของข้า!” “เดิมทีมันก็ไม่ใช่ของพวกเจ้าอยู่แล้ว” นายผู้เฒ่าสกุลเซียวที่ถูกช่วยชีวิตมาปรากฏเบื้องหน้า ไทเฮาถึงกับผงะไปทันที “ตาเฒ่าเซียว! เจ้ายังอยู่อีกเรอะ!” “เพื่อให้เห็นจุดจบของคนชั่วอย่างเจ้า ข้าจะตายก่อนได้อย่างไร” ผู้เฒ่าเซียวหัวเราะด้วยความเคียดแค้น สกุลเซียวจงรักภักดีมาตลอด แม้มีบุตรสาวก็ส่งเข้าวังหลวงมิได้หาผลประโยชน์ใด เพียงแค่ต้องการแสดงความภักดี แต่กลับกลายเป็นว่า นางเป็นที่โปรดปรานจนทำให้ตระกูลเซียวถูกลั่นแกล้งเนรเทศออกจากเมืองหลวง สามร้อยแปดสิบสองกว่าชีวิตระเห็จระเหเร่รอนอย่างอนาถ เหลือรอดอยู่เพียงครึ่งเดียว หากไม่ใช่เพราะกงอี้เทายื่นมือช่วยเหลือ และหมู่ตึกนกยูงทองให้ที่หลบซ่อนแล้ว พวกเขาคงจะไม่มีวันได้เห็นวันนี้ “คุมตัวทั้งหมดไปตำหนักทางทิศตะวันตก” “พวกเจ้า!!” ไทเฮาได้แต่โมโหเดือดดาลจนหน้ามืด ผู้เฒ่าเซียวหันมาประกาศกับเหล่าทหารและขุนนางที่เหลืออยู่ “ข้าไม่ต้องการนองเหลือแต่ต้องการให้ประชาชนได้กินดีมีสุข เ
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม
หลังผ่านศึกรักเร่าร้อน หยางเฟยหลิงสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้หลิวเจียวเหมยเสมอ นอกจากชำระล้างร่างกายแล้วยังช่วยนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อและด้วยนิสัยรักสะอาดของหญิงสาว การใส่ใจเรื่องเหล่านี้ทำให้หลิวเจียวเหมยรู้สึกดีกับชายผู้นี้ไม่น้อย ฐานะของนางเป็นเพียงสาวใช้ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องดูแลใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางเดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งประเดี๋ยวนี้เขาอนุญาตให้นางนอนรวมเตียงเดียวกับเขา ใบหน้างามแดงเรื่อที่เห็นเขาเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “ท่านแม่ทัพ” “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ” เขาถามไม่จริงจังนักแล้วยื่นมือจับข้อมือนางให้ขึ้นเตียง “อากาศเย็นรีบเข้ามาในผ้าห่มสิ” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ปีนขึ้นเตียงเข้าไปด้านใน “ข้าก็บอกแล้วว่าให้อาบน้ำพร้อมข้า เจ้าก็ไม่ยอม” หยางเฟยหลิงหัวเราะในลำคอแล้วหยิบกำไลหยกที่ซ่อนไว้ออกมาสวมใส่ข้อมือเรียวเล็กของนาง “นี่คือ...” “ข้าให้” เขาเองก็เก้อเขินไม่น้อย อายุก็ล่วงเลยมาถึงวัยนี้ไม่เคยเกี้ยวพาสตรีและไม่เคยซ
หลิวเจียวเหมยส่งเสียงได้แค่นั้นก็ถูกขบเม้มกลีบปากจนรู้สึกเจ็บ เสื้อผ้าของนางหลุดรุยและฝ่ามือร้อนนวดคลึงทรวงอกอวบอิ่ม ภายใต้แสงสลัวยามบ่ายที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนที่ไม่มีผู้ใดเพราะเจ้าของจวนไล่ผู้อื่นไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณนี้ หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดเช่นนี้มาก่อน คิดแล้วก็น่าขบขันนัก เขาเหมือนนักพรตกินผักมาหลายปี ทว่าเมื่อพลั้งเผลอได้ชิมเนื้อเข้าไปก็ติดใจจนยอมสละได้ทุกสิ่ง แรกทีเดียวเขาคิดว่าตนเองแค่เผลอใจ เพราะตนเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีมานาน แต่เมื่อลองไปหอนางโลมเขากลับไม่ปรารถนาหญิงใด ในหัวของเขามีหลิวเจียวเหมยเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด เขาไม่ต้องการให้ใครแตะต้องนางและนางต้องเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นมือหยาบกร้านนวดเคล้นทรวงอกจนหญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ลมหายใจร้อนระอุและหัวใจเต้นแรงยิ่งทำให้หญิงสาวอ่อนระทวย เขาถอนจูบแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย เสื้อบังทรงถูกปลดออก หญิงสาวยกมือขึ้นปัดป้องแต่ไม่สำเร็จ ริมฝีร้อนอ้าปากดูดดึงปลายถันจนหญิงสาวได้แต่ส่งเสียงครางอย่างไม่อาจกลั้นได้ ช่องท้องวาบหวิวปั่นป่วน ฝ่ามือข้างหนึ่งจัดการกับกระโปรงท่อนล่างและลูบไล้เร
มือเรียวงามกำลังหยิบหนังสือที่ตากแดดไล่ความชื้นกลับมาวางบนชั้นตามเดิม วันนี้หลิวเจียวเหมยได้รับมอบหมายให้จัดการงานในห้องหนังสือของแม่ทัพหยาง ตั้งแต่เช้า นางปัดกวาดเช็ดถูและยังต้องนำหนังสือในห้องออกมาตากแดด แม้สองมือทำงานไม่ได้หยุด แต่หัวสมองของนางยังครุ่นคิดแต่เรื่องของแม่ทัพหยาง หลิวเจียวเหมยไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หลังจากผ่านศึกรบบนเตียงนอนที่แสนร้อนแรง นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาแล้วปิดเปลือกตา ลงอย่างอ่อนล้า ความเมามายหายไปหมดสิ้น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อขยับตัวลุกขึ้นเพื่อพาตัวเองออกไปจากเตียงของเขา ทว่าเขากลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำอุ่นและผ้านุ่มๆ หัวคิ้วขมวดมุนขณะจ้องมองนางที่กำลังจะลงจากเตียง ‘เจ้าจะทำอะไร’ ‘ข้า’ ‘อยู่นิ่งๆ’ เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้นางไม่กล้าขยับตัว แต่กระนั้นเพียงการขยับกายเล็กน้อยก็เจ็บร้าวไปทั่วร่างจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แม่ทัพหนุ่มวางอ่างน้ำแล้วเข้ามาประคองให้นางลงนอนอีกครั้ง แล้วหมุ่นตัวไปหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำและเช็ดตัวให้นาง ‘ท่าน! ท่านแม่ทัพ! ข้าทำเองได้’
ริมฝีปากอุ่นและหวานฉ่ำชวนมึนเมายิ่งกว่าสุรารสใดที่เคยลิ้มรส หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกกระหายเช่นนี้มาก่อน หรือว่าเขาห่างเหินเรื่องสตรีไปนานจึงรู้สึกตะกละตะกลามอยากลิ้มชิมรสหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่าง มือแกร่งออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อยผ้าคาดเอวก็หลุดทำให้สาบเสื้อคลายออกเผยผิวเนียนละเอียดดุจหยกใส เขาถอนจูบอย่างเสียดายปล่อยให้หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเพราะนางจูบไม่เป็นความไร้เดียงสาแสนเย้ายวนทำให้เขาไม่อาจต้านทานความปรารถนาในกายได้ สองมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างอรชร เผยความงามยากจะบรรยายจนเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ผิวกายสัมผัสไอเย็นเพราะบัดนี้ร่างกายเปลือยเปล่าทำให้หลิวเจียวเหมยได้สติ ดวงตาดุจบ่อน้ำลึกคู่นั้นจ้องมองจนนางขืนอายทำให้พยายามควานหาผ้ามาปกปิดเรือนร่าง แต่เขากลับรวบข้อมือสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขาแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ “ท่าน...ท่าน...” นางส่งเสียงได้เพียงแค่นั้นจากน้ำก็กลายเป็นเสียงครางเมื่อถูกริมฝีปากร้อนครอบครองยอดอกสีหวาน หลิวเจียวเหมยไม่เคยคิดว่าร่างกายตนเองจะสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ นางอยู่หอนางโลมแม้จะรู้เรื่องเหล่า
สีหน้าของนางอยู่ในสายตาของเขาสร้างรอยยิ้มที่มุมปากของแม่ทัพใหญ่ ช่างดูน่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่านางไม่รู้สึก แต่นางต้องคอยเก็บอารมณ์และดูสีหน้าของผู้คน คงเพราะเกรงว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองไม่ได้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้เจ้าคอยมาเดินหมากกับข้าอีก”หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ภารกิจของวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว หลายวันมานี้ชีวิตนางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ทว่าชายหนุ่มกลับเหมือนได้ค้นพบสิ่งที่จะทำร่วมกับนางได้ นางคงไม่สามารถเป็นคู่ฝึกซ้อมกระบี่กับเขา หรือจะให้เขาไปวาดภาพเขียนอักษรก็ไม่ได้อีก ไม่รู้ว่าน้องชายของเขาทำไมถึงชอบทำเรื่องไร้สาระพวกนี้นักนะแต่การถูกแม่ทัพใหญ่เรียกให้อยู่ข้างกายบ่อยครั้ง แม้ทำให้สาวใช้ผู้อื่นไม่พอใจและริษยาหนักขึ้นแต่ไม่กล้ากลั่นแกล้งหลิวเจียวเหมยมากนัก ชีวิตของนางจึงสงบสุขอยู่บ้าง จะสงบสุขยิ่งกว่านี้หากคนผู้นั้นไม่เป็นฝ่ายแกล้งนางเสียเองหลิวเจียวเหมยมั่นใจว่าแม่ทัพหยางแกล้งนางเพราะหลายวันมานี้ เขากลับถึงจวนเย็นค่ำนัก นางต้องแขวนท้องรอเพื่อกินข้าวเย็นพร้อมเขา บางวันก็ถูกเรียกใช้ให้ไปช่วยฝนหมึกชงชา และในวันนี้ก็เ
ชายหนุ่มหมุนตัวก้าวเท้าออกไปแล้ว หลิวเจียวเหมยได้สติก้มมองตัวแล้วยกมือขึ้นแตะเรือนผมที่ยังปล่อยสยาย ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาทันที แล้วรีบไปแปรงผมแล้วรวบให้เรียบร้อยให้เหมาะกับฐานะสาวใช้ของตน จอกสุราถูกยกดื่มระหว่างรอให้หญิงสาวเดินมานั่งที่ของตน สายตาคมกริบจ้องมองไปยังร่างอรชนที่ค่อยๆ วางมือลงบนพิณ ใบหน้างดงามเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพต้องการฟังเพลงอะไรหรือเจ้าคะ” นางเอยถามด้วยท่าทีนอบน้อมและไม่กล้าสบตาดวงตาคมปลาบคู่นั้น“เจ้าอยากเล่นเพลงอะไรก็เล่นเถอะ” เขาตอบอย่างนี้เรียบง่ายท่าทางไม่ใส่ใจนักและยังคงดื่มสุราอย่างต่อเนื่องหญิงสาวไม่เข้าใจว่าหากเขาไม่อยากฟังเสียงพิณ เหตุใดต้องเรียกนางมาเช่นนี้ แต่ช่างเถอะนางเป็นแค่หญิงรับใช้เขาต้องการให้ทำอะไรนางก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ นางจึงตัดสินใจเลือกเพลงบรรเลงที่ตนเองถนัด แม่ทัพหนุ่มมองหญิงสาวที่แม้อยู่ในชุดสาวใช้แต่ไม่อาจซ่อนความงามได้เลย เป็นความงามอย่างเรียบง่ายที่ดูแล้วสบายตา เพลงพิณของนางเสียงกระจ่างใสสะท้อนความในใจของนาง ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความเศร้า ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ดูท่าทางนางคงจะชอบเล่นพิณม