ปกติไม่ค่อยมี หรือจะว่าไปก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาต่อปากต่อคำกับเขานัก พอได้ยินที่หญิงสาวถามกลับ กลายเป็นเขาที่พูดอะไรไม่ออกเสียเอง หญิงสาวเห็นเขายังไม่พูดอะไรต่อจึงรีบนั่งลง รินน้ำชาให้เขาอีกถ้วยแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ข้าโกหกไม่เก่งและจะไม่โกหกท่าน ที่ข้าตอบไม่ได้เพราะไม่ต้องการโกหกท่าน ท่านเข้าใจใช่ไหม”
เซียวเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย นางกลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่เขาเสียนี่
“หลันหลัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบรับน้ำชาจากนางมาจิบเล็กน้อย
“ข้าไม่เคยถามเจ้าเรื่องเสนาบดีหลี่ ถึงเวลานี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในวันนั้น”
นางเผยอปากขึ้นแล้วหุบ อ้าปากใหม่แล้วก็กัดริมฝีปาก คิ้วงามขมวดกันยุ่งเหยิง แต่อีกฝ่ายก็ยังรอคอยนางอย่างใจเย็น สุดท้ายแล้วหลันหลันเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้ตัวเอง ใช้สองมือประคองถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วเอ่ยออกมา
“เพราะ ‘ซือจื่อสำคัญที่สุด’ ข้าจึงเล่าเรื่องวันนั้นไม่ได้” นางพูดน้ำเสียงหนักแน่น “คุณหนูพูดเสมอว่า ไม่ว่าอย่างไรนางอดทนเพื่อท่านได้เสมอ ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูหมายถึงเรื่องใด แต่ข้าเชื่อว่าท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเองดี ชีวิตท่านมีค่ามากเกินกว่าจะเสี่ยงภัยกับบางเรื่องราว และการที่ไม่ควรรู้อาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าก็ได้”
เซียวเหรินไม่คิดว่าหญิงสาวที่ดูไร้เดียงสากว่าวัยนั้น จะพูดจาหนักแน่นถึงเพียงนี้
“แล้วเจ้าคิดหรือไม่ การที่ข้าไม่รู้อาจนำพาอันตรายมาสู่ตัวข้า”
คราวนี้หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วกลอกตาไปมา เขาพูดมาเช่นนี้ก็มีเหตุผลไม่น้อย นางสบแววตาที่มองไร้ความกดดันและรอคอยอยู่ในที คล้ายว่ามีเวลาทั้งวันเพื่อรอฟังนางเอ่ยคำพูดออกมา
“เอาอย่างนี้ ในเมื่อเจ้าโกหกไม่เก่งและลังเลที่จะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ข้าฟัง เจ้าแค่ตอบคำถามของข้าก็พอ”
หญิงสาวทบทวนถ้อยคำของเขาอยู่สองรอบแล้วพยักหน้าขึ้นลง
เร็วๆ เหยียดแผ่นหลังตั้งตรงรอคอยคำถามของเขา
“เหตุใดเสนาบดีหลี่จึงจ้องหน้าเจ้าแล้วมีสีหน้าหวาดกลัว”
หลันหลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วโคลงศีรษะไปมา “ไม่ทราบเจ้าค่ะ วันนั้นข้าแค่ตามพี่ต๋าฟู่กับคนอื่นๆ ไปที่คฤหาสน์หลังนั้น”
“เหตุใดเจ้าตามพวกเขาไป?”
“พวกเขาบอกว่าจะไปแก้แค้น”
“เจ้าก็อยากแก้แค้น?”
นางพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ เขาจึงเพียงถอนหายใจเบาๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนั้นมันอันตราย เสนาบดีหลี่ไม่ใช่คนที่ใครจะแตะต้องได้ง่ายๆ”
“แต่คนผู้นั้นทำร้ายคุณหนู ทำให้คุณหนูกระโดดผาน้ำตก...”
เซียวเหรินเป็นฝ่ายพยักหน้าเข้าใจบ้าง “แล้วที่เจ้าจะออกไปข้างนอกนี่เกี่ยวกับคนพวกนั้นหรือไม่”
ถูกเขาไล่ต้อนทีละคำถาม และเพราะนางเองที่โกหกไม่เป็น นางจึงได้แต่ทำสีหน้ายุ่งยากก่อนพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านข้า จะเข้าออกตามใจชอบมิได้ แต่อู๋ซั่วไต้มอบป้ายหมู่ตึกนกยูงทองไว้ให้ข้า ถ้าเจ้าจะออกไปก็ต้องเอาป้ายนี้ออกไปด้วย”
เขาพูดพลางปลดป้ายหยกออกจากเอวมาวางบนโต๊ะ หลันหลันยื่นมือไปหมายจะคว้ามาแต่มือใหญ่กลับคว้าไว้ก่อน ทำให้นางคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ดวงตางดงามช้อนตาขึ้นมอง ได้แต่มองตาละห้อยห่อ
ไหล่คู้ดูน่าสงสารยิ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปเพียงผู้เดียว”
“ข้าแน่ใจ” นางยืดหลังตรง ยกมือทุบหน้าอกท่าทีแข็งขัน “ข้าดูแลตัวเองได้ รับรองว่าไม่ทำให้ท่านเซียวต้องลำบาก”
“ดี” เขายอมยื่นป้ายหยกให้นาง
หญิงสาวรีบรับไว้เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ แผ่นหยกสลักลายสัญลักษณ์รูปนกยูงรำแพนงดงามนัก ปลายนิ้วเรียวงามไล้บนลายสลักอย่างตื่นเต้น
“อ้อ! ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรบกวนท่านเซียวเหริน” นางพูดขึ้นขณะเก็บป้ายหยกใส่อกเสื้อ ซ้ำยังตบๆ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ทำหล่นหาย
“เรื่องใด”
“ข้าต้องการพบคุณชายกงอี้เทา”
“เจ้ามีเรื่องใดต้องพบเขา?”
“เรื่องสำคัญมาก”
“บอกข้าก็ได้ ข้าจะส่งข่าวถึงเขาเอง”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “เป็นเรื่องสำคัญมาก ข้า...ข้าต้องถ่ายทอดคำพูดของคุณหนูถึงคุณชายกงอี้เทาเท่านั้น”
เซียวเหรินนึกถึงที่นางมีความจำดีเยี่ยม นางจดจำถ้อยคำได้แม่นยำ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายที่พูดออกมาเลยสักนิด นี่อาจเป็น
ความสามารถพิเศษของหญิงสาวคนนี้ที่นางเองอาจไม่รู้ตัว
เดิมทีกงเสวี่ยหลิงมีนัดหมายกับจางซงหยวน แต่นางประสบเคราะห์ร้ายเสียก่อน ยามนี้หลันหลันอยู่ในร่างของกงเสวี่ยหลิง นางจึงหมายมั่นจะสานต่อในสิ่งที่คุณหนูยังทำค้างไว้ให้สำเร็จ แต่เดิมจางซงหยวนจะมาในฐานะพ่อค้า ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่และเป็นมือขวาของกงอี้เทา กงเสวี่ยหลิงอยู่ในฐานะตัวประกันแคว้น นางอดทนต่อความยากลำบาก เสียงถากถางดูแคลน ถูกรังแก กลายเป็นของเล่นของคนเหล่านั้น เพียงเพื่อรวบรวมข่าวสารการเคลื่อนไหว การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอันตรายจะมีหลักฐานให้ผู้อื่นจับมิได้ กงเสวี่ยหลิงมีความจำดีเยี่ยม แม้เพียงครั้งเดียวนางก็จดจำได้ นางจึงไม่เคยจดบันทึกเรื่องใด นอกจากพูดคุยกับหลันหลันที่เป็นนกหงส์หยกเท่านั้น
ยามนี้กงเสวี่ยหลิงไม่อยู่ เหลือเพียงร่างที่มีดวงจิตของนกหงส์หยกอย่างหลันหลันเข้ามาอาศัยแทนที่ จากคำพูดของป้าต๋าซูทำให้หลันหลันเชื่อว่าตัวเองมาอยู่ในร่างของกงเสวี่ยหลิงได้แค่สี่สิบเก้าวัน
เพียงสี่สิบเก้าวันก็เพียงพอที่นางจะได้สานต่อสิ่งที่กงเสวี่ยหลิงทำค้างไว้ให้สำเร็จ
นางมีหน้าที่ ‘ส่งข่าว’ ยามนี้นางไม่มั่นใจว่าจางซงหยวนจะรู้หรือไม่ว่านางอยู่ที่นี่ โดยปกติเขาจะมาในฐานะพ่อค้า แต่เขาคงยังไม่รู้เรื่องที่กงเสวี่ยหลิงถูกรังแกจนต้องกระโดดผาน้ำตก ได้ยินว่าแม้แต่ข่าวการตายของเสนาบดีหลี่ยังถูกปล่อยออกมาว่าตายด้วยเจ็บป่วย ไม่มีใครพูดเรื่องไฟไหม้หรือการหายตัวไปของกงเสวี่ยหลิง
“ข้านัดหมายเขาไว้ที่นี่ อีกสิบวันน่าจะมาถึง”
หลันหลันกลอกตาไปมาแล้วก้มลงยกนิ้วมือทั้งสิบขึ้นมานับไปมา แล้วนางก็ถอนหายใจอย่างโล่ง อก เวลานั้นนางยังมีชีวิตอยู่ นางยังเหลือเวลาพอที่จะบอกเรื่องสำคัญและคงจะทันเวลาที่เคยนัดหมายไว้
“เช่นนั้น...ข้าขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะเจ้าคะ”
“อืม” เขาเพียงตอบรับแล้วหยิบถุงเงินส่งให้นาง “ติดตัวไว้แต่อย่าใช้จนหมดล่ะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
นางไม่มีเงินทองติดตัว และรู้ดีว่าเป็นคนต้องใช้เงิน นางไม่ลังเลที่จะยื่นมือไปรับ เซียวเหรินส่งถุงเงินให้แล้วก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจนางอีก หญิงสาวหมุนตัวเดินออกไปแล้วหยุดเดิน นางนับนิ้วแล้วนึกถึงบันทึกที่เขาให้นางฝึกเขียน แม้ลายมือนางจะอัปลักษณ์ยิ่งแต่ยังพอใช้เตือนความจำได้บ้าง เท่าที่นางบันทึกไว้ ระยะห่างจากวันที่นางได้กลืนกินลมหายใจของเขา แต่ละครั้งจะห่างกันสามวัน วันนี้คือวันที่นางต้องกินลมหายใจของเขา แม้สภาพร่างกายของนางยังปกติดีอยู่ แต่ก็เกรงว่าตัวเองอาจจะมีสภาพกลายเป็นศพเมื่ออยู่ด้านนอก นางจึงหมุนตัวกลับเดินเร็วๆ ไปทางชายหนุ่มอีกครั้ง
เซียวเหรินเพียงแค่เงยหน้าขึ้นจากบันทึกการรักษา เขารู้ว่านางเดินกลับมาแต่เข้าใจว่านางคงลืมอะไรไป หรือเปลี่ยนใจอยากเล่าอะไรมากกว่าเดิม แต่ไม่คิดว่าเพียงเขาเงยหน้าขึ้น อีกฝ่ายก็ค้อมเอวลงยื่นริมฝีปากอ่อนนุ่มประกบริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว
กลิ่นขนมจางๆ ยังอยู่ในลมหายใจของนาง รสชาติอู่หลงเงินอยู่ในปากของเขา นางสูดลมหายใจเข้าทางปากลึกๆ เหมือนจะกักตุนไว้ให้ได้มากที่สุด จนรู้สึกว่าท้องตัวเองป่องแล้วจึงรีบผละออก หมุนตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเพราะถูกขโมยจุมพิตไปอีกครั้ง
ไม่! แบบนี้ไม่นับเป็นจุมพิต!
เอาไว้ครั้งหน้าก่อนเถิด! เขาจะสอนนางให้รู้ว่าจุมพิตเป็นอย่างไร!
หญิงสาวสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า นางทำตามที่จูเต๋ออี้แนะนำทุกอย่าง แต่ผ้าโปร่งนี้ทำให้นางเกะกะรำคาญตาจนนางตลบมันขึ้น ไม่ใส่ใจว่าจะมีสายตาของใครจ้องมองใบหน้าของนาง ร่างเล็กวิ่งบ้างเดินบ้าง บางครั้งนางก็กระโดดราวกับตัวเองเป็นกระต่ายตัวน้อย ด้วยท่าทางร่าเริงราวกับค้นพบเรื่องสนุกแปลกใหม่ ไม่สนใจความเป็นกุลสตรี นางคุ้นเส้นทางอยู่บ้างเพราะติดตามกงเสวี่ยหลิง ไม่ว่าไปที่ใด นกน้อยอย่างนางย่อมเกาะบ่าไปด้วยเสมอ แต่ก่อนนั้นนางไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่กงเสวี่ยหลิงทำ แต่เวลานี้นางมั่นใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร ทำสิ่งที่ค้างคาของคุณหนูให้สำเร็จ เพื่อถึงวันที่หมดเวลาของนาง นางจะได้พบคุณหนูด้วยรอยยิ้ม ชายผู้นั้นเล่า? เขาจะเป็นอย่างไร? เขาจะเป็นอย่างไรได้ ก็ย่อมต้องสบายดีมีความสุขไม่ต้องถูกนางขโมยกินลมหายใจนี่นะ หญิงสาวยกมือแตะริมฝีปากตนเอง แต่นางต้องคิดถึงเขามากแน่นอน อารามร้างเบื้องหน้าเงียบสงัด แม้เป็นเวลากลางวันที่แดดจัดจ้า อาจเพราะเงาไม้รกครึ้มนั้น ทำให้ดูลึกลับและน่าหวาดหวั่น แต่ใบหน้างดงามกลับปรากฏรอยยิ้มออกมา
หลันหลันยังคงยิ้มกลบเกลื่อนความกังวล ไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวใด แม้กระทั่งสายของนางยังไม่มีผู้รู้เรื่องเหตุการณ์ในวันนั้น อาจเป็นได้ว่าทางวังหลวงเองก็ต้องการปิดข่าวเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองแคว้น เดิมทีกงเสวี่ยหลิงอยู่ในวังก็ไร้ตัวตน หากจะทำเป็นว่านางยังมีชีวิตอยู่เพื่อประวิงเวลาจนกว่าจะถึงเวลาถวายเครื่องบรรณาการประจำปีก็คงไม่ผิดนัก แต่นางคงไม่สามารถกลับเข้าไปในวังได้อีก กลับไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องโทษทัณฑ์ใดอีก เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เห็นทีว่านางหลบอยู่หลังแผ่นหลังของเซียวเหรินไปสักระยะ แล้วลอบออกไปหอชมบุหลันจะดีที่สุด อ่า...นางคิดถึงเซียวเหรินอีกแล้ว นางได้กินลมหายใจของเขาแล้ว เหตุใดนางยังถวิลหาเขาอีกหนอ เป็นมนุษย์นี่ช่างลำบากแท้ ชายชราพยักหน้ารับคำสั่ง “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนส่งข่าวให้แม่ทัพจางเองขอรับ” “ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “ข้าขอเป็นตัวแทนองค์หญิง ขอบคุณทุกท่านจากใจจริง โปรดแจ้งกับทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่นาน ...อีกไม่นานแล้วจริงๆ” เสียงสูดลมหายใจลึกเคล้ากับความรู้สึกฮึกเหิม
หลันหลันดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ หันขวับไปมองทางจูเต๋ออี้พร้อมฉีกยิ้มกว้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่จูเต๋ออี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างหันมามองอย่างตกใจ เขามีหน้าที่อารักขาท่านเซียวเหริน จะให้ลดตัวไปเดินตามเจ้านกหงส์หยกนี่นะ เสียชื่อองครักษ์เงาอย่างเขาหมดนะซิ เอ่อ... แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่องครักษ์เงาแล้วนี่นะ “ขอบคุณท่านเซียว” หญิงสาวยิ้มระรื่นแล้วหันไปทางจูเต๋ออี้ที่หน้าบึ้งตึง “พี่เต๋ออี้!” “ข้าไม่มีน้องสาว...” ‘ปัญญาอ่อน’ เขาเกือบหลุดปากพูดไปตามที่ใจคิด จะว่านางปัญญาอ่อนก็ดูเหมือนเขาจะรังแกหญิงสาวมากไป นางแค่เจ็บป่วยและคิดว่าตนเองเป็นนกเท่านั้น หลันหลันกลับพยักหน้าขึ้นลง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ข้าก็ไม่มีพี่ชาย ไม่มีญาติพี่น้องที่ใด เป็นเช่นนี้แล้วข้ายอมอุทิศตนเองเป็นน้องสาวให้ก็ได้ พี่เต๋ออี้” “อย่ามาเรียกข้าว่าพี่” จูเต๋ออี้ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาต่อปากต่อคำกับหญิงสาวแบบนี้เลยสักนิด “วันที่ไปซื้อเสื้อผ้า ท่านเรียกข้าว่าน้องสาวเองนี่ ข้ามิได้ยกย่องตัวเองเป็นน้องสาวท่านเสียหน่อ
“แม่นางหลันหากไม่รังเกียจลองชิมขนมฝีมือข้าดูสักคำเถิด” อู๋หมิ่นลี่ส่งขนมแป้งม้วนสอดไส้ให้นาง หลันหลันชำเลืองมองทางเซียวเหรินแต่เห็นว่าเขาไม่ห้ามปรามอะไรก็รีบยื่นมือไปรับ “ขอบคุณแม่นางอู๋ ท่านช่างดีจริงๆ ทำอาหารเก่งเช่นนี้ ท่านต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่ๆ”สายตาทุกคู่จับจ้องที่หญิงสาวร่างเล็กแต่อ้าปากกว้างกัดกินขนมโดยไม่ยกมือขึ้นปิดบัง ความหวานนุ่มละมุนลิ้นที่อบอวลในปากทำให้หญิงสาวกระโดดเต้นไปมาด้วยท่าทางชอบใจราวเด็กเล็กๆ“อร่อยมาก อร่อยจริงๆ ท่านเซียวลองชิมดูซิเจ้าคะ”“อืม” เซียวเหรินไม่กินขนมเพียงแค่ยกน้ำชาที่อู๋หมิ่นลี่รินให้ขึ้นจิบแล้วเอ่ยชม “ชาดี”“เป็นชาเข็มเงินจวินซานขอรับ” อู๋ซิงว่านพูดทั้งที่สายตายังเหลือบมองหลันหลันอยู่ แม้กิริยาไร้ความสำรวมแต่ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาชิมขนมฝีมือพี่สาวมาแต่เล็ก รสชาติคุ้นลิ้นมานานแล้ว แต่เห็นท่าทางนางตื่นเต้นมีความสุขเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกอยากกินไปด้วย เขารินน้ำชาแล้วส่งให้หลันหลันที่ยังยืนอยู่ด้านข้างของเซียวเหริน “แม่นางหลัน ดื่มชาด้วย” “ขอบคุณคุณชายอู๋” นางรับน้ำชามาดื่มอึกใหญ่แล้วพูดเลียนแบบเซียวเหริน “ชาดี”ไป๋ชิวที่ยืนดูอยู่ถ
“ข้าจะไปหอชมบุหลัน!” นางตอบอย่างรวดเร็ว และคำตอบของนางทำให้เขางุนงง อู๋ซิงว่านรู้จักหอชมบุหลันแต่คิดว่านางพูดผิดจึงถามซ้ำอีกครั้ง แต่หลันหลันยืนยันคำตอบเดิม “เจ้าไปทำอะไรในสถานที่เช่นนั้น” “ไปทำงาน” นางแย้มยิ้มไม่คิดว่าตนเองพูดสิ่งใดผิดหรือแปลกประหลาด “เจ้าจะไปทำงานอะไร” คราวนี้ไป๋ชิวอดพูดขึ้นไม่ได้“ทำงานที่ได้ค่าตอบแทน” นางหัวเราะคิกคัก “ข้าต้องใช้เงินและเงินจำนวนมากๆ” อู๋ซิงว่านอยากซักถามนางต่อด้วยเกรงว่านิสัยไร้เดียงสาของนางจะถูกผู้อื่นหลอกลวงเอาได้ แต่เซียวเหรินกลับพูดตัดบทขึ้นมาก่อน “คุณชายอู๋ ดูจากอาการของท่านแล้ว ข้าคิดว่าควรฝังเข็มรักษาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างการรักษานี้เจ้าจะต้องมีสมาธิไม่ว่อกแว่กต่อสิ่งใด อย่าเพิ่งโคจรเดินลมปราณ รอจนร่างกายขับพิษออกอีกหน่อย ให้ข้ามั่นใจว่าพิษจะไม่ทำลายหัวใจ ท่านจึงค่อยฝึกเดินลมปราณใหม่อีกครั้ง” “ข้าทราบแล้วท่านเซียว” “คุณหนูใหญ่ รบกวนเจ้าช่วยตระเตรียมห้องสำหรับการรักษาด้วย ข้าต้องการความสงบและหาเวรยามคอยเฝ้าไม่ให้ใครรบกวนระหว่างการฝังเ
“แล้วข้าเล่า” จางซงหยวนหัวเราะแล้วเดินไปคารวะอู๋ซั่วไต้แล้วจึงนั่งลง เซียวเหรินซึ่งคุ้นเคยกับจางซงหยวนเป็นอย่างดีได้แต่ส่ายหน้าไปมา รินน้ำชาส่งให้สหายและของตนเองก่อนจะนั่งลงทำให้ชิงเหยียนนั่งลงเช่นกัน “เหตุใดเจ้ามาเพียงลำพัง” เซียวเหรินเอ่ยถามเมื่อเห็นจางซงหยวนมาเพียงลำพัง ตามจริงแล้วพบกันครั้งนี้เขาควรได้พบกงอี้เทาด้วย “คนผู้นั้นมีเรื่องต้องไปจัดการ อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ท่านย่อมได้พบ” จางซงหยวนเพียงยักไหล่ “อย่างไรก็ต้องรบกวนประมุขอู๋เช่นเดิม” “อย่าเรียกว่ารบกวนเลย” อู๋ซั่วไต้โบกไม้โบกมือไปมา “มาคราวนี้อยากให้พวกท่านได้รู้จักกับชิงเหยียน แม้มีกำลังคนน้อยแต่โดดเด่นยิ่งนัก” “ประมุขอู๋กล่าวเกินไป” ชิงเหยียนยิ้มจางๆ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีหนวดเครารกรุงรังและยังมีร่องรอยบาดแผลบนใบหน้า “มาครั้งนี้หวังเพียงได้พบแสดงความขอบคุณกุนซือผู้ให้คำแนะนำแก่ข้า” จางซงหยวนเลิกคิ้ว ใช้ถ้วยชาปิดมุมปากที่ยกยิ้ม แต่ดวงตาของเขาจ้องมองมาทางเซียวเหรินที่ยังคงสงบนิ่งไร้ถ้อยคำใด เห็นท่าทีของเซียวเหรินแล้ว จางซงหยวนที่เดินทางแรมร
“เจ้าจะรับนางกลับไปหรือไม่” เซียวเหรินรู้สึกหัวเสียเพราะเสียงหัวเราะของจางซงหยวน “ท่านว่านางป่วยไม่ใช่รึ ท่านผู้เป็นหมอสมควรดูแลนางอย่างยิ่ง นางเป็นคนสำคัญยิ่ง หวังว่าท่านจะดูแลนางอย่างดี อ้อ! ตอนนี้องค์ชายกงอี้เทาตระเตรียมกองทหารอยู่ อาจจะมาหาท่านช้าไปสักหน่อย” จางซงหยวนลุกขึ้นยืน “ข้ามีธุระต้องไปสะสาง วันนี้ขอตัวก่อน” จางซงหยวนเดินไปที่ประตูลับที่เขาเข้ามา บานประตูเลื่อนเปิดออก เขาชะงักแล้วหันกลับมามองบุรุษที่ยังนั่งนิ่งเพียงลำพัง “เซียวเหริน...ท่านจำองค์หญิงกงเสวี่ยหลิงไม่ได้จริงหรือ?” “ข้าไม่เคยพบหน้านาง” เซียวเหรินมั่นใจเช่นนั้น จางซงหยวนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรก็เปลี่ยนใจ โคลงศีรษะไปมา “ลองทบทวนดูเถิด ความทรงจำของคนเรามันซับซ้อนยิ่งนัก” ร่างปราดเปรียวของจางซงหยวนหายไปลับตาพร้อมเสียงปิดประตูลับ ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด เซียวเหรินทบทวนเรื่องราวที่จางซงหยวนเอ่ยมา เขาหลับตาและครุ่นคิด พลันรู้สึกถึงกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นในความทรงจำอันเลือนราง หรือเขาหลงลืมอะไรไปจริงๆ “ซือจื่อ” เด็กสาวพึมพำชื่อขอ
แม้พบกันในลักษณะนี้หลายครั้ง แต่จางซงหยวนยังอดตื่นตะลึงกับหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้สักครั้งครา“ฮูหยินของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ”หลันหลันเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เบาะนุ่ม ยื่นมือเรียวงามไปหยิบกาน้ำชา รินน้ำชาให้บุรุษหนุ่มและของตนเอง ทุกการเคลื่อนไหวของนางช่างเย้ายวนตรึงสายตาของผู้คนได้ยิ่งนัก“นางสบายดี และฝากความระลึกถึงเจ้าด้วย”“ข้าหวังใจว่าท่านจะดูแลนางอย่างดียิ่ง” หญิงสาวแย้มยิ้ม แต่ราวกับรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้บุรุษเบื้องหน้า เป็นรอยยิ้มหวานเศร้าเมื่อความทรงจำต่างๆ พรั่งพรูเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดคุยกับนางมาตลอดสามปี‘หากวันหนึ่งวันใด ข้าเป็นอะไรไป เจ้า...เจ้าช่วยสานต่อสิ่งที่ข้าปรารถนาให้ลุล่วงด้วยนะ... หลันหลัน’จางซงหยวนพลันรู้สึกลำคอแห้งผาก แม้พบกันลักษณะนี้บ่อยครั้ง แต่ความสามารถในการแปลงโฉมและเปลี่ยนบุคลิกของนางทำให้เขาอดตะลึงงันไม่ได้สักคราเดียว มือใหญ่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ยามนี้เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะต่อกระซิกของบรรดาหญิงคณิกาในหอชมบุหลันดังลอดผ่านบานประตูเข้ามาในห้องส่วนตัวของนางรำอันดับหนึ่งของหอชมบุหลัน “ยามนี้เจ้าอยู่กับเซียวเหรินหรือ
ชีวิตสี่ปีของหลันหลันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา หลัววั่งรู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเขาก็ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ “ท่านรีบกลับเถิด ที่นี่ข้าจัดการเองได้” “ไยรีบไล่ข้าไปเล่า หรือเจ้านัดผู้ใดไว้” หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้น บุรุษร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยน“ท่านมาแล้ว”เซียวเหรินส่งยิ้มให้นาง แม้เหนื่อยล้าจากการเร่งรีบเดินทางมา ทว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มนาง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันมลายหายไปสิ้น“เหตุใดกลับเร็วนักเล่า” หลันหลันอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตามจริงต้องอีกสิบวันท่านจะกลับไม่ใช่หรือ? เดินทางไปตรวจดูการซ่อมแซมเขื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ”“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าสามีหรือไร”เขาทำเสียงไม่พอใจแต่เดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับชีพจรให้นาง และไม่พูดเรื่องงานกับนาง จะว่าไป ก็ไม่มีมีเรื่องใดในชีวิตของเขาที่หลุดรอดสายตาของนาง เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าในแต่ละวันนางทำอะไร นางมีคนคอยส่งข่าว ส่งเขาให้จูเต๋ออี้วางองครักษ์ลับไว้โดบรอบ “พิษในตัวข้ายังต้องใช้เ
“คิดสิ” นางหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำให้กงอี้เทาปล่อยนางจากวงแขน เขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงยอมคลายมือจากข้อมือนาง ทำให้นางส่งยาเม็ดนั้นส่งเข้าปากแล้วกลืนลงคอทันทีท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของกงอี้เทา “เจ้า!” “ข้าไม่เสียใจ” นางยิ้มแล้วยกมือลูบใบหน้าของกงอี้เทา “บอกจางซงหยวนให้ดูแลกงเสวี่ยหลิงให้ดี” “หลันโหยว!” “ข้าอยากขอร้องเจ้าครั้งสุดท้าย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “ได้ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง” กงอี้เทาประคองร่างที่อ่อนยวบลงในวงแขน มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางปิดลง ชีพจรเต้นช้าลง ร่างกายเริ่มเย็นเยียบขึ้นมาที่ละน้อย นางวางมือไว้บนหน้าอก บริเวณหัวใจของตนเองที่เต้นแผ่วเบาลงไปทุกที ทุกที ทุกที ไม่มีอะไรให้นางลังเลและกังวลอีกแล้ว..จูเต๋ออี้เดินเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ ภาพที่เห็นจนเริ่มชินตาคือเจ้าของร่างสูงสง่านั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่นและมือตวัดพู่กันแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งปัญหาไว้มากมายเหลือคณานับ
“เจ้านกตะกละ!” เขาดุนางพลางแหวนหน้าคำรามเสียงพร่า ถูกนางรุกเร้าจนแท่งหยกไถลลื่นเข้าไปจนสุด นางหวีดร้องเบาๆ โผเข้ากอดเขา ปลายเล็บจิกที่แผ่นหลังไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้จะมีซ่อนสิ่งใหญ่โตไว้ถึงเพียงนี้ ความเสียวซ่านแผ่นกระจายไปทั่วร่าง จนถึงปลายนิ้วเท้าที่เกร็งแทบเป็นตะคริว นางครวญเสียงกระเส่า ยามเมื่อเขาขยับสะโพกถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วกดกลับเข้ามาใหม่ นางได้แต่หวีดร้องส่งเสียงครางแทบขาดใจ เหงื่อร้อนหลั่งออกมาจนหยดบนกายของนาง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในคราวแรกหายไปสิ้น ทุกการเติมเต็มของเขาทำให้ร่างกายที่เคยเยียบเย็นร้อนระอุ เหงื่อร้อนผุดขึ้นทุกรูขุมขน ร่างกายนางทวีความร้อนและเปียกชื้น รวมทั้งที่ใจกลางของดอกไม้สาวที่รองรับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อหนุ่มช่างแนบแน่น ลึกล้ำและซ่านเสียว“ข้า...” นางไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไร เขาป้อนความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จัก ทำให้นางอิ่มเอมครั้งแล้วครั้งเล่า และหิวโหยต้องการไม่สิ้นสุด ไม่ว่าท่วงท่าใดที่เขานำพา ล้วนทำให้นางปรารถนาในตัวเขามากขึ้น มากขึ้น“เซียวเหริน!”ดวงตาของเซียวเหรินราวลูกไฟ ไฟปรารถนาเผาไหม้หัวใจทำให้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น ถาโถมและโหมกระหน
“เจ้าอยู่ที่นี่ให้ข้าถอนพิษให้เจ้าเถิด” “ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรได้” นางส่ายหน้าไปมาบนอกเสื้อของเขา นางจงใจทำร้ายองค์ชายหงก่วงต่อหน้าผู้อื่นหากนางยืนข้างกายเขา คนภายใต้การปกครองย่อมมองเขาไม่ดีเป็นแน่ ขณะที่สมองและหัวใจตีกันยุ่งเหยิง ปลายคางของนางถูกช้อนขึ้น ตามด้วยริมฝีปากหยักสวยทาบทับ นางคิดจะถอยหลังหลบหนีแต่เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนจนนางไม่อาจตั้งสติคิดสิ่งใดได้ ถูกจุมพิตของเขาทำให้สับสนจนเกือบขาดอากาศหายใจเขาจึงยอมละริมฝีปากจากนาง “ใจร้าย!” นางทุบแผ่นอกแกร่งของเขา “ข้าต้องการเวลาคิด”“เรื่องแบบนี้ต้องคิดอะไรนานนัก” เขาโน้นหน้าลงจุมพิตดวงตาของนางที่ยังมีหยาดน้ำตาวาวใส “ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ”‘ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ’เป็นอีกครั้งที่นางได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของนางเหม่อลอยไปชั่วขณะ และในจังหวะเดียวกัน เซียวเหรินตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้แนบอกพานางกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง การกักขังนกตัวหนึ่งไว้นั้น อาจไม่ใช่กรงขังที่แน่นหนาแต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อนางจูเต๋ออี้เห็นผู้เป็นนายกลับมาพร้อมกับอุ้มหญิงสาวที่ซุกอยู่ในอกจนแทบมองไม่เห็นใบ
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น