หญิงสาวสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า นางทำตามที่จูเต๋ออี้แนะนำทุกอย่าง แต่ผ้าโปร่งนี้ทำให้นางเกะกะรำคาญตาจนนางตลบมันขึ้น ไม่ใส่ใจว่าจะมีสายตาของใครจ้องมองใบหน้าของนาง ร่างเล็กวิ่งบ้างเดินบ้าง บางครั้งนางก็กระโดดราวกับตัวเองเป็นกระต่ายตัวน้อย ด้วยท่าทางร่าเริงราวกับค้นพบเรื่องสนุกแปลกใหม่ ไม่สนใจความเป็นกุลสตรี นางคุ้นเส้นทางอยู่บ้างเพราะติดตามกงเสวี่ยหลิง ไม่ว่าไปที่ใด นกน้อยอย่างนางย่อมเกาะบ่าไปด้วยเสมอ แต่ก่อนนั้นนางไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่กงเสวี่ยหลิงทำ แต่เวลานี้นางมั่นใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร
ทำสิ่งที่ค้างคาของคุณหนูให้สำเร็จ เพื่อถึงวันที่หมดเวลาของนาง นางจะได้พบคุณหนูด้วยรอยยิ้ม
ชายผู้นั้นเล่า? เขาจะเป็นอย่างไร? เขาจะเป็นอย่างไรได้ ก็ย่อมต้องสบายดีมีความสุขไม่ต้องถูกนางขโมยกินลมหายใจนี่นะ
หญิงสาวยกมือแตะริมฝีปากตนเอง
แต่นางต้องคิดถึงเขามากแน่นอน
อารามร้างเบื้องหน้าเงียบสงัด แม้เป็นเวลากลางวันที่แดดจัดจ้า อาจเพราะเงาไม้รกครึ้มนั้น ทำให้ดูลึกลับและน่าหวาดหวั่น แต่ใบหน้างดงามกลับปรากฏรอยยิ้มออกมา หลันหลันมองกรอบประตูที่ไร้บานแล้วยื่นหน้าเข้าไปด้านใน ดวงตากลมโตกลอกมองไปโดยรอบ เมื่อไม่เห็นมีผู้ใดนางจึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน จู่ๆ นางก้มมองที่ธรณีประตู ริมฝีปากราวกลีบดอกเหมยผลิรอยยิ้มกว้าง นางก้าวข้ามเส้นด้ายสีเงินวาววับที่แทบมองไม่เห็นนั้นแล้วเข้าไปด้านในได้อย่างปลอดภัย มือเรียวถอดหมวกของตนออกแล้วหมุนตัวมองโดยรอบ ในวัดร้างแห่งนี้มีหยากไย่อยู่เต็มไปหมด บานหน้าต่างชำรุด เบื้องหน้ามีแท่นบูชาและมีพระพุทธรูปที่ชำรุดไร้การเหลียวแลตั้งอยู่ นางเดินไปที่กระถางธูปที่มีเพียงก้านธูปปักทิ้งไว้
หญิงสาวคุกเข่าลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษดินและใบไม้แห้ง นางพนมมือไหว้พระพุทธรูปที่จ้องมองด้วยดวงตาเปี่ยมเมตตา เมื่อนางก้มศีรษะลงหน้าผากจรดพื้นนั้น สายตาก็มองขากระถางธูปอย่างสำรวจ ขณะที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้ก้นกระถางธูป นางก้มไปหยิบสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา กำสิ่งนั้นในมือแล้วลุกขึ้นยืน แม้ไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง ทว่านางกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด ซ้ำยังยิ้มกว้างเมื่อหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับชายชราที่นางเคยพบเมื่อหลายวันก่อน นางยื่นมือที่กำของสิ่งหนึ่งไว้แล้วแบออกต่อหน้าเขา ดวงตาที่ฝ้าขาวเบิกกว้างก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วประสานมือคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี” หลันหลันเอ่ยขึ้น เก็บป้ายหยกเข้าในอกเสื้อแล้วกวาดตามองโดยรอบอีกครั้ง “พวกเจ้าก็ด้วย”
เพียงสิ้นประโยคของนาง เงาวูบไหวตามแนวกำแพงปรากฏเป็นบุรุษและสตรีหลายสิบคน แต่ละคนแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่าดูเข้มแข็งและแววตาก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ความหวังที่จะไม่ถูกกดขี่ทารุณราวกับไม่ใช่มนุษย์ผู้หนึ่ง
หญิงสาวสบตากับทุกคน ประสานมือซ้ายทับมือขวาวางไว้บนหน้าอกแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย เมื่อทุกคนเห็นจึงทำตอบเช่นกัน
“ขออภัยที่ข้ามาช้า”
“มิได้” ชายชราเอ่ยขึ้น ครั้งนี้เขาไม่ได้ดูอ่อนแออีกแล้ว จากที่หลังง้องุ้มก็ยืดแผ่นหลังตั้งตรง “แม่นางคือ...”
“เรียกข้าว่าหลันหลัน” หญิงสาวแนะนำตัว นางละทิ้งท่าทางขี้เล่นของตนเอง เลียนแบบกิริยาของกงเสวี่ยหลิง ยืดแผ่นหลังตั้งตรง ใบหน้าเชิดเล็กน้อยด้วยท่าทางสง่างาม คนในวังหลวงคิดว่ากงเสวี่ยหลิงเป็นองค์หญิงตัวประกันที่บอบบางอ่อนแอไร้ปากเสียงโต้ตอบ แต่ความจริงแล้วนางคือกงเสวี่ยหลิง องค์หญิงแห่งแคว้นเฉียนเหลียงผู้ยอมเสียสละตนเองเพื่อบ้านเมือง
“แม่นางหลัน” ชายชราเรียกอย่างอ่อนน้อม
“พวกท่านคือคณะละครเร่หรือปาหี่ของแม่ทัพจางซงหยวนสินะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มและคารวะอย่างนอบน้อม เมื่ออยู่นอกวัง นางจำได้ว่ากงเสวี่ยหลิงจะเปลี่ยนเป็นอีกบุคลิกหนึ่ง เพราะนั่นคืออีกหน้าที่หนึ่งที่สำคัญไม่แพ้การเป็นองค์หญิงตัวประกัน คือคอยสืบและส่งข่าวให้องค์ชายกงอี้เทาผ่านทางแม่ทัพจางซงหยวนที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่เข้ามาพบนางบ่อยๆ แม้ในวังมีกฎระเบียบเคร่งครัดแต่ด้วยความสามารถของกงเสวี่ยหลิง นางลอบออกมานอกวังโดยใช้ชื่อ “หลันหลัน” ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกขานนกหงส์หยกที่คอยบินตามร่างบอบบางอยู่เสมอ
ยามนี้กงเสวี่ยหลิงเหลือเพียงร่างกายส่วนวิญญาณนั้นเป็นของนกน้อยหลันหลัน แต่เพื่อสิ่งที่กงเสวี่ยหลิงตั้งปณิธานมั่นว่าจะทำให้สำเร็จ วิญญาณนกหงส์หยกอย่างนางจะทำสิ่งที่คุณหนูปรารถนาให้เป็นจริง เช่นนี้แล้วคงเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ากงเสวี่ยหลิงก็คือหลันหลัน หลันหลันก็คือกงเสวี่ยหลิง
“ผู้น้อยหลี่เฉียงน้อมรับคำสั่งจากแม่นางหลัน” ชายชราเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงันในอารามร้าง “ผู้น้อยได้ยินเรื่องเสนาบดีหลี่ ไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของ...”
หลันหลันส่ายหน้าและเผยรอยยิ้มจริงใจ ยามเมื่อนางแย้มยิ้มดวงตาฉ่ำวาวคล้ายมีน้ำค้างเกาะอยู่ดูงดงามนัก
“ไม่ใช่คนของเรา แต่เห็นได้ชัดว่าความอดทนของชาวบ้านถึงขีดสุดแล้ว พวกเขาทนต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ได้อีกต่อไป อีกไม่นานที่อื่นย่อมเกิดเรื่องเช่นนี้ เหล่าขุนนางโฉดและฮ่องเต้ทรราชคงรู้ตัวแล้วว่าอำนาจในมือไม่สามารถจัดการผู้คนที่ทนต่อการกดขี่ไม่ได้อีกแล้ว”
“พวกเขาคงไม่คิดว่าชาวบ้านจะลุกฮือขึ้นต่อต้าน” หนึ่งในคน
ที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายชราเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวังเช่นเดียวกับสายตาที่จ้องมาทางหญิงสาว
“อีกไม่นาน...”
หญิงสาวยกมือห้ามมิให้อีกฝ่ายพูดจนจบประโยค ราวกับรู้ดีว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยปากพูดเรื่องใด
“สิ่งที่พวกเราทำมิใช่เพื่อใครอื่น แต่เพื่อมิให้ชาวบ้านถูกกดขี่ข่มเหง สามารถลืมตาอ้าปากได้ ที่สุดแล้วหากแผ่นดินใดราษฎรอยู่อย่างไร้สุข ย่อมหมายถึงฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ!”
“แม่นางหลันกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” ชายชราก้มศีรษะให้อย่างยอมรับในสิ่งที่นางพูด
“รบกวนท่านช่วยกระจายข่าวด้วย” หลันหลันคลี่ยิ้มแล้วหยิบกระดาษที่พับไว้ในอกเสื้อออกมาส่งให้ชายชรา “การขับร้องและเล่านิทานของท่านช่วยได้มากจริงๆ”
“เป็นคำสั่งของแม่ทัพจาง พวกเราย่อมต้องทำอย่างเต็มที่”
พลันเกิดการเคลื่อนไหวเชื่องช้าอยู่มุมหนึ่ง หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบห้าเดินออกมาเบื้องหน้า แล้วเอ่ยขึ้น
“ก่อนหน้านี้แม่ทัพจางให้ข้าน้อยติดต่อกับหอชมบุหลัน ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่แม่ทัพจางสั่งการไว้แล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางหลันจะให้ข้าน้อยทำอย่างไรต่อไป”
หลันหลันยิ้มน้อยๆ แล้วเปิดปากส่งเสียงตอบ
“หอชมบุหลันเป็นหอนางโลมที่มีผู้คนรู้จักเป็นอย่างดี เป็นแหล่งข่าวสารสำคัญ เราจะใช้ที่นั่นเป็นฐานที่มั่นของพวกเรา”
“แต่หอชมบุหลันเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่ง จะไม่เด่นสะดุดตาเกินไปหรือขอรับ” เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยถาม
“สถานที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ปลอดภัยที่สุด” หลันหลันหัวเราะเบาๆ ในวังหลวงอันน่ากลัวคุณหนูของนางยังเผชิญมาแล้ว แค่หอนางโลมจะมีอะไรให้ต้องหวั่นเกรงได้อีก “แม่นาง...”
“เรียกข้าซิ่วอิ่งเถิดเจ้าค่ะแม่นางหลัน”
“ซิ่วอิ่ง นับจากนี้ข้าจะแฝงตัวอยู่ที่หอชมบุหลัน คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
หญิงสาวนามซิ่วอิ่งมีสีหน้าตกใจ “แม่นางหลันต้องการสิ่งใดสามารถสั่งการพวกเราได้ แม่นางไม่ต้อง...”
“พวกเจ้าลำบากแล้วจะให้ข้าสบายได้อย่างไร” นางยังคงแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “อีกสองวันให้หลัง ข้าจะไปพบเจ้าที่หอชมบุหลัน และแจ้งกับแม่ทัพจางให้พบข้าที่นั่น จากเหตุการณ์เสนาบดีหลี่ทำให้ข้าไม่สะดวกจะให้เขาติดต่อกับองค์หญิงในวังหลวงได้อีก”
หลันหลันยังคงยิ้มกลบเกลื่อนความกังวล ไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวใด แม้กระทั่งสายของนางยังไม่มีผู้รู้เรื่องเหตุการณ์ในวันนั้น อาจเป็นได้ว่าทางวังหลวงเองก็ต้องการปิดข่าวเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองแคว้น เดิมทีกงเสวี่ยหลิงอยู่ในวังก็ไร้ตัวตน หากจะทำเป็นว่านางยังมีชีวิตอยู่เพื่อประวิงเวลาจนกว่าจะถึงเวลาถวายเครื่องบรรณาการประจำปีก็คงไม่ผิดนัก แต่นางคงไม่สามารถกลับเข้าไปในวังได้อีก กลับไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องโทษทัณฑ์ใดอีก เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เห็นทีว่านางหลบอยู่หลังแผ่นหลังของเซียวเหรินไปสักระยะ แล้วลอบออกไปหอชมบุหลันจะดีที่สุด อ่า...นางคิดถึงเซียวเหรินอีกแล้ว นางได้กินลมหายใจของเขาแล้ว เหตุใดนางยังถวิลหาเขาอีกหนอ เป็นมนุษย์นี่ช่างลำบากแท้ ชายชราพยักหน้ารับคำสั่ง “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนส่งข่าวให้แม่ทัพจางเองขอรับ” “ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “ข้าขอเป็นตัวแทนองค์หญิง ขอบคุณทุกท่านจากใจจริง โปรดแจ้งกับทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่นาน ...อีกไม่นานแล้วจริงๆ” เสียงสูดลมหายใจลึกเคล้ากับความรู้สึกฮึกเหิม
หลันหลันดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ หันขวับไปมองทางจูเต๋ออี้พร้อมฉีกยิ้มกว้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่จูเต๋ออี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างหันมามองอย่างตกใจ เขามีหน้าที่อารักขาท่านเซียวเหริน จะให้ลดตัวไปเดินตามเจ้านกหงส์หยกนี่นะ เสียชื่อองครักษ์เงาอย่างเขาหมดนะซิ เอ่อ... แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่องครักษ์เงาแล้วนี่นะ “ขอบคุณท่านเซียว” หญิงสาวยิ้มระรื่นแล้วหันไปทางจูเต๋ออี้ที่หน้าบึ้งตึง “พี่เต๋ออี้!” “ข้าไม่มีน้องสาว...” ‘ปัญญาอ่อน’ เขาเกือบหลุดปากพูดไปตามที่ใจคิด จะว่านางปัญญาอ่อนก็ดูเหมือนเขาจะรังแกหญิงสาวมากไป นางแค่เจ็บป่วยและคิดว่าตนเองเป็นนกเท่านั้น หลันหลันกลับพยักหน้าขึ้นลง แววตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ข้าก็ไม่มีพี่ชาย ไม่มีญาติพี่น้องที่ใด เป็นเช่นนี้แล้วข้ายอมอุทิศตนเองเป็นน้องสาวให้ก็ได้ พี่เต๋ออี้” “อย่ามาเรียกข้าว่าพี่” จูเต๋ออี้ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาต่อปากต่อคำกับหญิงสาวแบบนี้เลยสักนิด “วันที่ไปซื้อเสื้อผ้า ท่านเรียกข้าว่าน้องสาวเองนี่ ข้ามิได้ยกย่องตัวเองเป็นน้องสาวท่านเสียหน่อ
“แม่นางหลันหากไม่รังเกียจลองชิมขนมฝีมือข้าดูสักคำเถิด” อู๋หมิ่นลี่ส่งขนมแป้งม้วนสอดไส้ให้นาง หลันหลันชำเลืองมองทางเซียวเหรินแต่เห็นว่าเขาไม่ห้ามปรามอะไรก็รีบยื่นมือไปรับ “ขอบคุณแม่นางอู๋ ท่านช่างดีจริงๆ ทำอาหารเก่งเช่นนี้ ท่านต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่ๆ”สายตาทุกคู่จับจ้องที่หญิงสาวร่างเล็กแต่อ้าปากกว้างกัดกินขนมโดยไม่ยกมือขึ้นปิดบัง ความหวานนุ่มละมุนลิ้นที่อบอวลในปากทำให้หญิงสาวกระโดดเต้นไปมาด้วยท่าทางชอบใจราวเด็กเล็กๆ“อร่อยมาก อร่อยจริงๆ ท่านเซียวลองชิมดูซิเจ้าคะ”“อืม” เซียวเหรินไม่กินขนมเพียงแค่ยกน้ำชาที่อู๋หมิ่นลี่รินให้ขึ้นจิบแล้วเอ่ยชม “ชาดี”“เป็นชาเข็มเงินจวินซานขอรับ” อู๋ซิงว่านพูดทั้งที่สายตายังเหลือบมองหลันหลันอยู่ แม้กิริยาไร้ความสำรวมแต่ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาชิมขนมฝีมือพี่สาวมาแต่เล็ก รสชาติคุ้นลิ้นมานานแล้ว แต่เห็นท่าทางนางตื่นเต้นมีความสุขเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกอยากกินไปด้วย เขารินน้ำชาแล้วส่งให้หลันหลันที่ยังยืนอยู่ด้านข้างของเซียวเหริน “แม่นางหลัน ดื่มชาด้วย” “ขอบคุณคุณชายอู๋” นางรับน้ำชามาดื่มอึกใหญ่แล้วพูดเลียนแบบเซียวเหริน “ชาดี”ไป๋ชิวที่ยืนดูอยู่ถ
“ข้าจะไปหอชมบุหลัน!” นางตอบอย่างรวดเร็ว และคำตอบของนางทำให้เขางุนงง อู๋ซิงว่านรู้จักหอชมบุหลันแต่คิดว่านางพูดผิดจึงถามซ้ำอีกครั้ง แต่หลันหลันยืนยันคำตอบเดิม “เจ้าไปทำอะไรในสถานที่เช่นนั้น” “ไปทำงาน” นางแย้มยิ้มไม่คิดว่าตนเองพูดสิ่งใดผิดหรือแปลกประหลาด “เจ้าจะไปทำงานอะไร” คราวนี้ไป๋ชิวอดพูดขึ้นไม่ได้“ทำงานที่ได้ค่าตอบแทน” นางหัวเราะคิกคัก “ข้าต้องใช้เงินและเงินจำนวนมากๆ” อู๋ซิงว่านอยากซักถามนางต่อด้วยเกรงว่านิสัยไร้เดียงสาของนางจะถูกผู้อื่นหลอกลวงเอาได้ แต่เซียวเหรินกลับพูดตัดบทขึ้นมาก่อน “คุณชายอู๋ ดูจากอาการของท่านแล้ว ข้าคิดว่าควรฝังเข็มรักษาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างการรักษานี้เจ้าจะต้องมีสมาธิไม่ว่อกแว่กต่อสิ่งใด อย่าเพิ่งโคจรเดินลมปราณ รอจนร่างกายขับพิษออกอีกหน่อย ให้ข้ามั่นใจว่าพิษจะไม่ทำลายหัวใจ ท่านจึงค่อยฝึกเดินลมปราณใหม่อีกครั้ง” “ข้าทราบแล้วท่านเซียว” “คุณหนูใหญ่ รบกวนเจ้าช่วยตระเตรียมห้องสำหรับการรักษาด้วย ข้าต้องการความสงบและหาเวรยามคอยเฝ้าไม่ให้ใครรบกวนระหว่างการฝังเ
“แล้วข้าเล่า” จางซงหยวนหัวเราะแล้วเดินไปคารวะอู๋ซั่วไต้แล้วจึงนั่งลง เซียวเหรินซึ่งคุ้นเคยกับจางซงหยวนเป็นอย่างดีได้แต่ส่ายหน้าไปมา รินน้ำชาส่งให้สหายและของตนเองก่อนจะนั่งลงทำให้ชิงเหยียนนั่งลงเช่นกัน “เหตุใดเจ้ามาเพียงลำพัง” เซียวเหรินเอ่ยถามเมื่อเห็นจางซงหยวนมาเพียงลำพัง ตามจริงแล้วพบกันครั้งนี้เขาควรได้พบกงอี้เทาด้วย “คนผู้นั้นมีเรื่องต้องไปจัดการ อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ท่านย่อมได้พบ” จางซงหยวนเพียงยักไหล่ “อย่างไรก็ต้องรบกวนประมุขอู๋เช่นเดิม” “อย่าเรียกว่ารบกวนเลย” อู๋ซั่วไต้โบกไม้โบกมือไปมา “มาคราวนี้อยากให้พวกท่านได้รู้จักกับชิงเหยียน แม้มีกำลังคนน้อยแต่โดดเด่นยิ่งนัก” “ประมุขอู๋กล่าวเกินไป” ชิงเหยียนยิ้มจางๆ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีหนวดเครารกรุงรังและยังมีร่องรอยบาดแผลบนใบหน้า “มาครั้งนี้หวังเพียงได้พบแสดงความขอบคุณกุนซือผู้ให้คำแนะนำแก่ข้า” จางซงหยวนเลิกคิ้ว ใช้ถ้วยชาปิดมุมปากที่ยกยิ้ม แต่ดวงตาของเขาจ้องมองมาทางเซียวเหรินที่ยังคงสงบนิ่งไร้ถ้อยคำใด เห็นท่าทีของเซียวเหรินแล้ว จางซงหยวนที่เดินทางแรมร
“เจ้าจะรับนางกลับไปหรือไม่” เซียวเหรินรู้สึกหัวเสียเพราะเสียงหัวเราะของจางซงหยวน “ท่านว่านางป่วยไม่ใช่รึ ท่านผู้เป็นหมอสมควรดูแลนางอย่างยิ่ง นางเป็นคนสำคัญยิ่ง หวังว่าท่านจะดูแลนางอย่างดี อ้อ! ตอนนี้องค์ชายกงอี้เทาตระเตรียมกองทหารอยู่ อาจจะมาหาท่านช้าไปสักหน่อย” จางซงหยวนลุกขึ้นยืน “ข้ามีธุระต้องไปสะสาง วันนี้ขอตัวก่อน” จางซงหยวนเดินไปที่ประตูลับที่เขาเข้ามา บานประตูเลื่อนเปิดออก เขาชะงักแล้วหันกลับมามองบุรุษที่ยังนั่งนิ่งเพียงลำพัง “เซียวเหริน...ท่านจำองค์หญิงกงเสวี่ยหลิงไม่ได้จริงหรือ?” “ข้าไม่เคยพบหน้านาง” เซียวเหรินมั่นใจเช่นนั้น จางซงหยวนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรก็เปลี่ยนใจ โคลงศีรษะไปมา “ลองทบทวนดูเถิด ความทรงจำของคนเรามันซับซ้อนยิ่งนัก” ร่างปราดเปรียวของจางซงหยวนหายไปลับตาพร้อมเสียงปิดประตูลับ ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด เซียวเหรินทบทวนเรื่องราวที่จางซงหยวนเอ่ยมา เขาหลับตาและครุ่นคิด พลันรู้สึกถึงกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นในความทรงจำอันเลือนราง หรือเขาหลงลืมอะไรไปจริงๆ “ซือจื่อ” เด็กสาวพึมพำชื่อขอ
แม้พบกันในลักษณะนี้หลายครั้ง แต่จางซงหยวนยังอดตื่นตะลึงกับหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้สักครั้งครา“ฮูหยินของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ”หลันหลันเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เบาะนุ่ม ยื่นมือเรียวงามไปหยิบกาน้ำชา รินน้ำชาให้บุรุษหนุ่มและของตนเอง ทุกการเคลื่อนไหวของนางช่างเย้ายวนตรึงสายตาของผู้คนได้ยิ่งนัก“นางสบายดี และฝากความระลึกถึงเจ้าด้วย”“ข้าหวังใจว่าท่านจะดูแลนางอย่างดียิ่ง” หญิงสาวแย้มยิ้ม แต่ราวกับรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้บุรุษเบื้องหน้า เป็นรอยยิ้มหวานเศร้าเมื่อความทรงจำต่างๆ พรั่งพรูเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดคุยกับนางมาตลอดสามปี‘หากวันหนึ่งวันใด ข้าเป็นอะไรไป เจ้า...เจ้าช่วยสานต่อสิ่งที่ข้าปรารถนาให้ลุล่วงด้วยนะ... หลันหลัน’จางซงหยวนพลันรู้สึกลำคอแห้งผาก แม้พบกันลักษณะนี้บ่อยครั้ง แต่ความสามารถในการแปลงโฉมและเปลี่ยนบุคลิกของนางทำให้เขาอดตะลึงงันไม่ได้สักคราเดียว มือใหญ่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ยามนี้เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะต่อกระซิกของบรรดาหญิงคณิกาในหอชมบุหลันดังลอดผ่านบานประตูเข้ามาในห้องส่วนตัวของนางรำอันดับหนึ่งของหอชมบุหลัน “ยามนี้เจ้าอยู่กับเซียวเหรินหรือ
ภาพของเซียวเหรินปรากฏในสมองน้อยๆ ของนาง สามวันนางต้องกลืนกินลมหายใจของเซียวเหรินเพื่อมีชีวิตให้ถึงสี่สิบเก้าวัน นางห่างชายผู้นั้นได้เพียงสามวัน เห็นทีว่านางต้องลากเขาเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านี้เร็วกว่าที่คาดไว้เขาจะโกรธหรือเกลียดนางก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่...เพียงแค่นางทำให้อูหลันโหยวสมปรารถนาก็พอหัวใจของนกน้อยเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีนางต้องการเพียงแค่นั้นจริงหรือ? เพียงเสียงผลักบานประตูแผ่วเบาก็ทำให้มือใหญ่ที่กำลังปลดสายคาดเอวอยู่นั้นชะงักไปเล็กน้อย กรุ่นไอสีขาวขมุกขมัวลอยอยู่เหนืออ่างอาบน้ำ เซียวเหรินไม่ชอบให้ใครมาปรนนิบัติ แต่ไหนแต่ไรเขาจัดการดูแลตัวเองได้ เพียงแค่เมื่อมาอยู่ที่หมู่ตึกนกยูงทอง เจ้าของเรือนก็ส่งเด็กรับใช้มาคอยปรนนิบัติ เขาเอ่ยปากขับไล่ไปหลายครา เวลานี้จึงไม่น่าจะมีใครกล้าเข้ามารบกวนเวลาอาบน้ำของเขาอีก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครกล้า ร่างเล็กๆ ยื่นหน้าเข้ามาจากหลังฉากกั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เปลือยกายนางจึงกล้าก้าวเข้ามายืนทั้งตัวพร้อมส่งรอยยิ้มกว้าง “เจ้าเข้ามาทำอะไร” เซียวเหรินเห็นท่าทางกระโดกกระเดกของนางก็ได้แต
ชีวิตสี่ปีของหลันหลันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา หลัววั่งรู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเขาก็ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ “ท่านรีบกลับเถิด ที่นี่ข้าจัดการเองได้” “ไยรีบไล่ข้าไปเล่า หรือเจ้านัดผู้ใดไว้” หญิงสาวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้น บุรุษร่างสูงโปร่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ใบหน้าอ่อนล้าแต่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยน“ท่านมาแล้ว”เซียวเหรินส่งยิ้มให้นาง แม้เหนื่อยล้าจากการเร่งรีบเดินทางมา ทว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มนาง ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นพลันมลายหายไปสิ้น“เหตุใดกลับเร็วนักเล่า” หลันหลันอดเป็นห่วงไม่ได้ “ตามจริงต้องอีกสิบวันท่านจะกลับไม่ใช่หรือ? เดินทางไปตรวจดูการซ่อมแซมเขื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ”“เจ้าไม่อยากเห็นหน้าสามีหรือไร”เขาทำเสียงไม่พอใจแต่เดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับชีพจรให้นาง และไม่พูดเรื่องงานกับนาง จะว่าไป ก็ไม่มีมีเรื่องใดในชีวิตของเขาที่หลุดรอดสายตาของนาง เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าในแต่ละวันนางทำอะไร นางมีคนคอยส่งข่าว ส่งเขาให้จูเต๋ออี้วางองครักษ์ลับไว้โดบรอบ “พิษในตัวข้ายังต้องใช้เ
“คิดสิ” นางหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำให้กงอี้เทาปล่อยนางจากวงแขน เขาคิดว่านางจะเปลี่ยนใจจึงยอมคลายมือจากข้อมือนาง ทำให้นางส่งยาเม็ดนั้นส่งเข้าปากแล้วกลืนลงคอทันทีท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของกงอี้เทา “เจ้า!” “ข้าไม่เสียใจ” นางยิ้มแล้วยกมือลูบใบหน้าของกงอี้เทา “บอกจางซงหยวนให้ดูแลกงเสวี่ยหลิงให้ดี” “หลันโหยว!” “ข้าอยากขอร้องเจ้าครั้งสุดท้าย” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง “ได้ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง” กงอี้เทาประคองร่างที่อ่อนยวบลงในวงแขน มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางปิดลง ชีพจรเต้นช้าลง ร่างกายเริ่มเย็นเยียบขึ้นมาที่ละน้อย นางวางมือไว้บนหน้าอก บริเวณหัวใจของตนเองที่เต้นแผ่วเบาลงไปทุกที ทุกที ทุกที ไม่มีอะไรให้นางลังเลและกังวลอีกแล้ว..จูเต๋ออี้เดินเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ ภาพที่เห็นจนเริ่มชินตาคือเจ้าของร่างสูงสง่านั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่นและมือตวัดพู่กันแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งปัญหาไว้มากมายเหลือคณานับ
“เจ้านกตะกละ!” เขาดุนางพลางแหวนหน้าคำรามเสียงพร่า ถูกนางรุกเร้าจนแท่งหยกไถลลื่นเข้าไปจนสุด นางหวีดร้องเบาๆ โผเข้ากอดเขา ปลายเล็บจิกที่แผ่นหลังไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้จะมีซ่อนสิ่งใหญ่โตไว้ถึงเพียงนี้ ความเสียวซ่านแผ่นกระจายไปทั่วร่าง จนถึงปลายนิ้วเท้าที่เกร็งแทบเป็นตะคริว นางครวญเสียงกระเส่า ยามเมื่อเขาขยับสะโพกถอนแก่นกายออกช้าๆ แล้วกดกลับเข้ามาใหม่ นางได้แต่หวีดร้องส่งเสียงครางแทบขาดใจ เหงื่อร้อนหลั่งออกมาจนหยดบนกายของนาง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในคราวแรกหายไปสิ้น ทุกการเติมเต็มของเขาทำให้ร่างกายที่เคยเยียบเย็นร้อนระอุ เหงื่อร้อนผุดขึ้นทุกรูขุมขน ร่างกายนางทวีความร้อนและเปียกชื้น รวมทั้งที่ใจกลางของดอกไม้สาวที่รองรับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อหนุ่มช่างแนบแน่น ลึกล้ำและซ่านเสียว“ข้า...” นางไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไร เขาป้อนความสุขสมที่นางไม่เคยรู้จัก ทำให้นางอิ่มเอมครั้งแล้วครั้งเล่า และหิวโหยต้องการไม่สิ้นสุด ไม่ว่าท่วงท่าใดที่เขานำพา ล้วนทำให้นางปรารถนาในตัวเขามากขึ้น มากขึ้น“เซียวเหริน!”ดวงตาของเซียวเหรินราวลูกไฟ ไฟปรารถนาเผาไหม้หัวใจทำให้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น ถาโถมและโหมกระหน
“เจ้าอยู่ที่นี่ให้ข้าถอนพิษให้เจ้าเถิด” “ข้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรได้” นางส่ายหน้าไปมาบนอกเสื้อของเขา นางจงใจทำร้ายองค์ชายหงก่วงต่อหน้าผู้อื่นหากนางยืนข้างกายเขา คนภายใต้การปกครองย่อมมองเขาไม่ดีเป็นแน่ ขณะที่สมองและหัวใจตีกันยุ่งเหยิง ปลายคางของนางถูกช้อนขึ้น ตามด้วยริมฝีปากหยักสวยทาบทับ นางคิดจะถอยหลังหลบหนีแต่เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนจนนางไม่อาจตั้งสติคิดสิ่งใดได้ ถูกจุมพิตของเขาทำให้สับสนจนเกือบขาดอากาศหายใจเขาจึงยอมละริมฝีปากจากนาง “ใจร้าย!” นางทุบแผ่นอกแกร่งของเขา “ข้าต้องการเวลาคิด”“เรื่องแบบนี้ต้องคิดอะไรนานนัก” เขาโน้นหน้าลงจุมพิตดวงตาของนางที่ยังมีหยาดน้ำตาวาวใส “ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ”‘ใช้หัวใจฟังเสียงหัวใจสิ’เป็นอีกครั้งที่นางได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของนางเหม่อลอยไปชั่วขณะ และในจังหวะเดียวกัน เซียวเหรินตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ช้อนร่างนุ่มนิ่มไว้แนบอกพานางกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง การกักขังนกตัวหนึ่งไว้นั้น อาจไม่ใช่กรงขังที่แน่นหนาแต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อนางจูเต๋ออี้เห็นผู้เป็นนายกลับมาพร้อมกับอุ้มหญิงสาวที่ซุกอยู่ในอกจนแทบมองไม่เห็นใบ
“งานเหล่านี้แท้จริงเป็นของเจ้า ยามนี้ลุงแค่ช่วยจัดการให้ไปก่อน” เขาพูดอย่างใจเย็น บ้านเมืองต้องพลิกฟื้นเป็นการใหญ่ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยคงใช้เวลาอีกสามถึงสี่เป็นอย่างน้อย เขาก้มมองเห็นเด็กน้อยทำหน้านิ่วก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องหมั่นเรียนรู้ เข้าใจหรือไม่” “หลานทราบแล้ว เสด็จลุง” “ดี” เขาพูดแล้วขยับปลายนิ้วเรียกจูเต๋ออี้ องครักษ์ข้างกายที่ทำหน้าที่รับใช้มายาวนานถอยออกไป ครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้ามาพร้อมขนม เด็กน้อยทำตาโตแล้วยื่นมือไปรับขนมจากเซียวเหริน “ข้าให้ในครัวปรุงให้เจ้าเป็นพิเศษ ในนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกาย เจ้าจะได้แข็งแรงเติบใหญ่เร็วไว” “ขอบพระทัยเสด็จลุง” “ไปเถอะ” “อื้ม!” เด็กน้อยปีนลงจากตัก ขันทีผู้หนึ่งเข้ามารับ เขามองเด็กน้อยที่ชะตาชีวิตลิขิตให้นั่งบัลลังก์มังกร ได้แต่หวังว่าตัวเองจะขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คงมีเพียงการทำเช่นนี้ที่ลดทอนความรู้สึกผิดที่เคยให้คำสัตย์สาบานไว้ แม้ว่าชื่อของเขาจะเคยเป็นรัชทายาทก็ตาม เซียวเหรินก้มหน้าอ่านฏีกา หยิบพู่กันขึ
“ข้า...” หลันหลันอ้ำอึ้ง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่หรอก นางมิได้อาลัยสถานที่แห่งนี้ มีเพียงความรู้สึกที่ต้องจากไกลเซียว เหรินต่างหากที่ทำให้นางปวดใจมือเรียวเล็กยกขึ้นอกที่หน้าอกซ้าย บริเวณที่ถูกเซียวเหรินซัดฝ่ามือเข้าใส่ ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งราวเข็มแหลมเล็กนับร้อยนับพันทิ่มแทงหัวใจเจ็บ?เหตุใดถึงเจ็บถึงเพียงนี้“หลันหลัน” อู๋หมินลี่เห็นใบหน้าหลันหลันซีดเซียวไร้สีเลือดก็ตื่นตระหนก “เจ้าเจ็บรึ ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”หลันหลันส่ายหน้าไปมา ครู่หนึ่งนางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้อู๋หมินลี่ พลันเสียงของท่านป้าต๋าฝูดังแว่วเข้ามาในหัวน้อยๆ ของนาง‘มีเวลาเพียงสี่สิบเก้าวัน’จากบันทึกของเซียวเหริน นางเหลือเวลาอีกแค่สามวันแต่ถ้านางลองให้กงอี้เทาถอนมนตร์สะกดจิต บางทีนางอาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่านี้ แต่ชีวิตของอูหลันโหยว ไม่อาจอยู่ที่แคว้นเฉียน เหลียงได้“หลันหลัน” อู๋หมิ่นลี่บีบมือเย็นเฉียบของหลันหลัน “ข้าพาเจ้ากลับที่พักดีกว่า” “ให้ข้าประคองนางเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิวเข้ามาช่วยประคองหลันหลันเพื่อเดินกลับที่พัก อู๋ซิงว่านผ่านมาพอดีเห็นไป๋ชิวประคองหลันหลันอยู
นางมุดอยู่ใต้ผ้าห่มแต่หูได้ยินเสียงพวกเขาตกลงต่อรองกัน สุดท้ายกงอี้เทาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วก้าวออกไป นางคิดว่าในห้องไม่มีใครแล้วจึงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แต่กลับพบสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว “ระหว่างนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะเป็นฝ่ายหาเวลามาพบเจ้าเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเช่นที่เคยเป็น “เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ แทนคำตอบ เซียวเหรินไม่เอ่ยอะไรอีก หมุนตัวแล้วเดินออกไปเงียบๆ จนนางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีผู้อื่นแล้วจริงๆ จึงยอมลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง ‘ให้นางตัดสินใจเอง’ นางคิดมากจนตาลายเดือดร้อนบ่าวรับใช้ที่เฝ้าดูอาการเข้าใจผิดคิดว่าอาการของนางทรุดลง อู๋ซิงว่านรีบเข้ามาดูอาการของนาง พอรู้ว่านางหิวโหยจนหน้ามืดก็แหงนหน้าหัวเราะไม่เกรงใจคนป่วยอย่างนาง สั่งการให้บ่าวไพรยกสำรับอาหารมาให้ หลังจากถูกบิดาเรียกไปอบรม เขารู้ว่าควรทำใจเรื่องหลันหลัน อาจเพราะนางเป็นคนให้กำลังใจจนเขาสามารถใช้แขนขวาได้อีกครั้ง แต่พอรู้ว่านางอาการทรุดลงก็รีบมาดูทันที ใครจะรู้ว่านางแค่หิว ไม่สิ นางหิวมากจนจะเป็นลม ระ
“คุณหนู” ไป๋ชิวร้อนรน แต่หมอที่เก่งที่สุดกำลังดูแลสตรีอื่นจนทำให้คุณหนูของนางเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเซียวเหรินมองนางด้วยสายตาเช่นไร แต่นางก็ยังหวัง หวังว่าจะมีสักวันที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกของนาง เปิดใจให้นางบ้าง “ไป๋ชิว พาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” อู๋ซั่วไต้เอ่ยขึ้นแล้วมองบุตรสาวด้วยความเห็นใจต่อให้ไม่มีสตรีผู้นั้นเข้ามา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้คนของหมู่ตึกนกยูงทองช่วยชีวิตคนสกุลเซียวเอาไว้ เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จะเอามาเป็นบุญคุณเพื่อให้เซียวเหรินแต่งงานกับอู๋หมิ่นลี่ได้ แต่ด้วยฐานะที่แท้จริงของเซียวเหริน อู๋ซั่วไต้รู้ดีว่า บุตรสาวของเขาไม่สามารถเคียงข้างชายผู้นั้นได้ ไม่สิ จะเรียกเซียวเหรินเช่นแต่ก่อนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เป็นถึง... “ท่านพ่อ” อู๋หมิ่นลี่กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านเซียวเป็นใคร จึงพยายามเตือนลูกใช่ไหมเจ้าคะ” “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหักห้ามใจตัวเองเสียเถิด ยังมีบุรุษดีๆ อีกมากมาย พ่อจะคัดเลือกคนที่ดีและเหมาะสมกับเจ้าเอง” “แต่ว่า.
“ลูกข้าเป็นอะไร” ไทเฮาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “รักษาเขาสิ!” เซียวเหรินถึงกับนิ่งงันด้วยอับจนถ้อยคำ แต่ฮ่องเต้หงฉานหัวเราะเสียงปร่าแล้วโบกมือไปมา “มันใหญ่มากใช่ไหมละ” เขาหัวเราะขืนๆ “อะไรกัน” ไทเฮาหันมาถามอย่างงุนงง แต่เซียวเหรินไม่กล้าพูดออกมา “มันคือฝี” ฮ่องเต้ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตฮ่องเต้พูดขึ้นแล้วกดไปที่ท้องของตัวเอง “กระจายไปทั่วท้องแล้ว” “ไม่จริง... เหตุใดเป็นเช่นนี้” “เป็นมาเนิ่นนานแล้ว หมอหลวงรักษาไม่ได้ ลูกจึง...ไม่ใส่ใจกับมันอีก” ไทเฮาหันมาเขย่าแขนของเซียวเหริน “เจ้าได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ต้องรักษาได้!” “ถ้าได้รับการรักษาก่อนหน้านี้คงจะ...” “ช่างมันเถอะ” ฮ่องเต้หงฉานโบกมือไปมาจ้องมองใบหน้าของเซียวเหริน “เรารู้ ถึงได้ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้” “เจ้า! ทำไมโง่เช่นนี้” “เสด็จแม่” ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านเองก็รู้ว่า เสด็จพ่อยกบัลลังก์นี้ให้ใครตั้งแต่แรก” “หุบปากเสีย!” “เสด็จแม่...แท้จริงแล้วบัลลังก์นี้เป็น