Home / โรแมนติก / ซ่อนเสน่หา / ๔ คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน)

Share

๔ คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน)

คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน)

เวลาผ่านไปหลายนาทีร่างบางก็ยังคงนั่งกำชายกระโปรงแน่นโดยที่มืออีกข้างถือชั้นในชิ้นน้อยเอาไว้กัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพราะแค้นใจที่ถูกล้วงล้ำเข้ามาภายในกายแม้จะไม่ได้ตกเป็นของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยคนที่แสนเกลียดขี้หน้าก็ได้เห็นเรือนกายขาวผ่องจนหมด

ทว่านั่นยังไม่น่าแค้นใจเท่าหัวใจเจ้ากรรมดันคล้อยตามการกระทำนั้นอย่างน่าอับอาย อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกิน ช่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทำตัวราวคนใจง่าย ใครจับจูงไปไหนก็ตามได้ง่าย

ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำใสไหลลงมาก่อนจะรีบเช็ดออกไม่อยากถูกเยาะเย้ย

“เลิกร้องไห้แล้วช่วยใส่เสื้อผ้าให้มันมิดชิดสักที เห็นแล้วทุเรศตา” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นขณะที่เอนกายพิงก้อนหญ้าอัด ปรายตามองคนที่เอาแต่นั่งหันหลังให้

“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย” อยากหันไปตะคอกเขาแต่ก็กลัวว่าตนเองจะต้องพบเหตุการณ์น่าอับอายอีกครั้งทำได้เพียงพึมพำในลำคอ แฝงกายอยู่ข้างหลังหญ้าฟางบรรจงใส่บราพร้อมสวมจีสตริงอย่างรวดเร็ว ไม่อาจรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเกิดอาการบ้าจับเธอปล้ำตอนไหน

มันไม่เหมือนที่คิดเอาไว้สักนิด ไม่ใกล้เคียงเลย.. ผู้ชายที่ควรอยู่ที่นี่คือชลธีสิ เจ้าของไร่แสนสุภาพไม่ใช่คนอย่างสัตวแพทย์จอมยโสจ้องแต่จะเล่นงานเธอ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของพณณกร อารมณ์ที่คิดจะปลุกปั่นร่างบางย้อนกลับมาทำร้ายตนเองถึงแม้พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ก็ไม่เป็นผล เรือนกายขาวผ่องโผล่เข้ามาในความคิด ยิ่งยามเธอบิดตัวไปมา ครางเสียงหวาน ไหนจะดวงตากลมโตที่คลอด้วยน้ำใส

ไฟที่เป็นคนจุดขึ้นมาเองกำลังหันมาเล่นงานเขาเข้าเสียแล้ว ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังเอนแผ่นหลังพิงกำแพงพร้อมเนื้อตัวที่สั่นเทา ดวงตาเรียวมองเธอแล้วเห็นถึงอาการหนาวสั่นคงเพราะใส่ชุดที่ทั้งสั้นแถมยังบางแทบไม่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

..คงกะมาอ่อยชลธีเต็มที่สินะ

คิดแล้วก็รู้สึกปวดในอกแปลกๆ พยายามหันมองทางอื่นทว่าก็พบเพียงผนังเก่าๆ กับหญ้าเต็มไปหมด ไม่น่าพิสมัยเท่าร่างบางที่ส่องประกายท่ามกลางแสงไฟสีนวล

“ฉันแค่สงสารเธอหรอกนะ” บอกตนเองก่อนจะลุกขึ้นจากก้อนหญ้าแล้วนั่งลงข้างหล่อนอย่างเงียบเชียบ

จนคนที่หลับไม่ได้ยินหรือรับรู้ว่าเขาอยู่ข้างกาย ใบหน้าคมมองริมฝีปากเล็กซึ่งมีเลือดซึมออกมา คงเพราะโดนกัดตอนที่จูบกัน มือหนายกขึ้นหวังสัมผัสแต่ก็หยุดนิ่งไว้เพียงเท่านั้น

'ทำบ้าอะไรวะไอ้เอิร์ธ'

ถามตนเองแล้วหันหน้าหนีจากภาพตรงหน้าแล้วถอดเสื้อลายสก็อตออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามเท่านั้นแล้วนำมันไปห่มให้คนหลับลึก ไม่รู้สักนิดว่าการกระทำนั้นอ่อนโยนมากแค่ไหน

ภายในโรงเก็บหญ้าที่เงียบสงัดมีแสงไฟนวลส่องสว่างพอให้มองเห็นมีสองร่างเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อย ใบหน้าเล็กเอียงไปมาก่อนจะซบลงที่ไหล่หนาแล้วขยับเข้าหาเขาเพราะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นราวมีกองไฟอยู่ใกล้ตัว

เสียงเพลงที่เคยดังสนั่นถูกปิดลง..งานเลี้ยงสิ้นสุดพร้อมเข้าวันใหม่ที่จะมีประเด็นร้อนให้กล่าวขานภายในไร่รุ่งอรุณ

'ทำไมมาเยอะจังวะ’

เสียงจอแจดังขึ้นภายนอก จนคนที่หลับสนิทรู้สึกรำคาญก่อนจะซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นมากกว่าเดิมจนแทบจะเกยบนตักเขาอยู่แล้ว

'ก็นายบอกว่าอีกไม่กี่วันมีแข่งม้าต้องดูแลอย่างดี กูเลยไปเกณฑ์คนงานมาช่วยขนหญ้า'

ชายหนุ่มรับรู้ถึงความนุ่มหยุ่นของร่างกายขาวผ่องจึงลืมตาขึ้นมอง คนที่ทำให้เขาตื่นแต่เช้าก็พบใบหน้าหวานห่างไม่ถึงเซนติเมตร รับรู้ถึงลมหายใจร้อนจนต้องยกยิ้มมุมปาก

ขี้เซาเหมือนกันนะเนี่ย..

'แล้วมึงจำเป็นต้องพามาสิบคนเลยเหรอวะ ถ้าคุณธีถามหาคนเก็บส้มจะบอกว่ายังไง'

ความจริงเขาน่าจะปลุกหล่อนเพราะได้ยินเสียงคนจากข้างนอกแต่ไม่รู้ทำไมถึงยังนิ่งเฉยนั่งจ้องใบหน้าหวานหลับตาพริ้มจนอดสำรวจไม่ได้

ดวงตากลมโตที่มักส่งค้อนเสมอ จมูกโด่งพอประมาณ คาดคะเนจากสายตาคงไม่ได้ศัลยกรรม ยิ่งเมื่อคืนได้สัมผัสด้วยริมฝีปากก็รู้ว่าของจริงแน่นอน ปากสีชมพูรสหวานที่ไม่อาจลืมได้จนอยากโน้มตัวเข้าไปมอบจุมพิตรับอรุณ ทว่าต้องยั้งตัวไว้เสียก่อน

'ก็บอกว่านายสั่งไง เรื่องโยนความผิดกูถนัด'

พณณกรพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้ร่างบางตื่นแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเสียงจากภายนอกกำลังปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นจากนิทรา

'พวกมึงพูดเสร็จยังวะ รีบเปิดประตูได้แล้ว ข้าต้องรีบไปไร่องุ่นนะเว้ย'

'รู้แล้วลุง เปิดแล้วๆ'

เสียงที่ดังแว่วทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังนอนหลับค่อยๆ รู้สึกตัว

ประตูที่เคยถูกปิดตายจากด้านนอกถูกเปิดออกอย่างง่ายดายพร้อมแสงสว่างส่องเข้ามาภายใน จนบุลลาต้องยกมือขึ้นปิดใบหน้าหลับตาแน่น ยังไม่คุ้นชินกับความสว่าง

“เข้ามา..เลย นาย!”

คนงานกว่าสิบชีวิตยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อมองเห็นหญิงชายซึ่งคุ้นหน้าเป็นอย่างดีอยู่ลำพังกันสองคนในโรงเก็บหญ้าซึ่งถูกปิดตายจากด้านนอก อีกทั้งร่างบางยังเกยบนตักหนาอีกทั้งบนตัวก็มีเสื้อของพณณกรคลุมร่างกายไว้ด้วย ไม่ต้องจินตนาการเลยว่าคืนที่ผ่านมาจะเกิดอะไรขึ้น

บุลลาทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกตอนนี้มันยิ่งกว่าอับอายที่ถูกล่วงเกินเมื่อคืนเสียอีก สายตาหลายคู่จับจ้องมายิ่งทำให้เธออยากร้องไห้เสียเดี๋ยวนี้ก่อนจะรีบลุกขึ้นกลั้นหายใจ ก้มหน้าวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ลืมแม้กระทั่งคืนเสื้อให้คนตัวสูง และลืมแม้กระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งเอาไว้

ใบหน้าคมมองตามพร้อมยิ้มมุมปาก ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ก็นึกเอ็นดูขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เอ็นดูอย่างนั้นเหรอ..บ้าไปแล้วไอ้เอิร์ธ ผู้หญิงหน้าเงินแบบนั้นอย่าไปหลงกลเด็ดขาด

คนงานต่างมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร เว้นเสียแต่คนที่สนิทกับสัตวแพทย์หนุ่มอย่างโอ้กับอาร์ต คู่หูจอมกะล่อนยิ้มกริ่มเดินเข้าไปหาเจ้านายพลางทำหน้าล้อเลียน

“ไอ้เราก็นึกว่านายหายไปนอนแต่หัววันซะอีก ที่แท้ก็...” เว้นเสียงก่อนจะโดนโบกเข้าที่หัวอย่างไม่ปรานีสักนิดทำเอาคนตัวเล็กแทบปลิวไปตามแรง ดีที่ยั้งตัวไว้ทัน

“อะไรของมึง จะมาเอาฟางไม่ใช่เหรอ จัดการไปสิ” ว่าจบก็เดินแทรกกลางกลุ่มงานที่พร้อมใจกันเปิดทางให้พณณกรเดินผ่าน

ใบหน้าคมไม่มีแววกังวลหรือความอับอายเลยสักนิด มีเพียงมุมปากที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีแถมผิวปากมองมอเตอร์ไซค์ถูกจอดทิ้งเอาไว้เพราะเจ้าของเดินหนีไม่คิดชีวิต กว่าจะถึงหมู่บ้านก็ตั้งสามกิโลเมตร

..หวังว่าคงไม่หมดแรงไปก่อนนะ

“นายเอาเรื่องว่ะ” อาร์ตหันไปมองแผ่นหลังหนาแล้วยกนิ้วโป้งให้ ไม่คิดว่าคนสวยแห่งไร่รุ่งอรุณจะกลายเป็นผู้หญิงของสัตวแพทย์ภายในเวลาไม่ถึงเดือน

เสืออย่างไรก็เป็นเสือวันยังค่ำ แม้จะไม่ได้กินเหยื่อมาหลายเดือนแล้วก็ตาม

“เรื่องนี้ต้องขยาย!”

ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะปล่อยให้เรื่องร้อนแรงหายเงียบไปกับสายลมและโรงเก็บหญ้าไม่ได้ ประเด็นนี้จะต้องถูกกล่าวขานให้คนในไร่รับรู้อย่างทั่วถึง

และด้วยอำนาจของการพูดปากต่อปากภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน คนทั้งไร่รุ่งอรุณ&ฟาร์มสายรุ้งก็ทราบเรื่องทั้งหมด ซึ่งถูกบิดเบือนไปกว่าครึ่ง

“ได้ยินเสียงครางเลยเหรอวะ” กลุ่มคนงานเก็บส้มซึ่งพักเที่ยงเอ่ยถามป้าสมรที่เห็นเหตุการณ์เสียงตื่น

“เออสิ ครางลั่นเลยเอ็งเอ๊ย ข้าล่ะขนลุก” ลูบแขนไปมาพลางส่ายหน้า

จนคนฟังอ้าปากค้างเป็นแถว บุลลามาทำงานไม่กี่วันก็ขยับฐานะเป็นคู่นอนของสัตวแพทย์หนุ่มหล่อประจำไร่เสียแล้ว

การกระจายของข่าวรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงแต่ทุกคนก็เชื่อคำบอกเล่านั้นสนิทใ จทั้งยังเอาไปเล่าต่อจนตอนนี้แทบจะรู้ทั้งอำเภอแล้ว

พณณกรค่อนข้างเป็นที่รู้จักเพราะบุกเบิกไร่แห่งนี้มาพร้อมกับชลธี ทั้งข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้าต่างรู้จักเขา และรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของหนุ่มหล่อเช่นเดียวกัน เห็นไม่มีข่าวกับผู้หญิงมาหลายเดือนคิดว่าจะถอดเขี้ยวเล็บ ที่ไหนได้ดันมาชอบพอสาวสวยคนงานใหม่ของไร่เสียนี่

บุลลาไม่กล้าออกจากบ้าน ได้แต่ขังตนเองไว้ในห้องนอน กอดเข่ามองไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเหม่อลอย เรื่องผ่านมาสองวันแล้วและรถมอเตอร์ไซค์  ก็จอดอยู่หน้าบ้านเนื่องจากมารดาเดินไปขับมาไว้หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดจากบุตรสาวที่พร่ำบอกทั้งน้ำตา ถึงอยากจะดุด่าว่ากล่าวก็ทำไม่ลงเพราะรักลูกสาวเพียงคนเดียวมากเกินกว่าจะทำร้ายร่างกายได้

“บัวเอ๊ย ออกมากินข้าวได้แล้วลูก” ตะวันกำลังจะลาลับทำให้ฟ้าถูกทาด้วยสีส้มชวนมอง จากที่เคยส่องแสงเจิดจ้าจนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าก็เหลือเพียงแสงสีส้มนวลให้มองโดยไม่ทำร้ายสายตา “บัว..ไปกินข้าวเถอะ” หล่อนแตะมือลงบนบ่าของลูกสาว

จนคนเหม่อลอยหันมามองแววตาไร้จิตวิญญาณ ลุกขึ้นเดินตามออกมาเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจนมารดาสงสาร

“พี่บัวจ๋า มะลิปอกแอปเปิลไว้ให้พี่ด้วยนะ” หลานสาวเอ่ยอย่างเอาใจ รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดตามประสาเด็กช่างสังเกตทั้งยังแอบฟังบานเย็นคุยกับบุลลาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ขอบใจนะ” ฝืนส่งยิ้มแกนๆ ให้เด็กตัวเล็ก แล้วนั่งรับประทานอาหารเย็นซึ่งกินเหมือนแมวดม ข้าวแทบไม่พร่องจากที่ตักตอนแรกด้วยซ้ำ

คนเป็นแม่มองอย่างเป็นห่วง

“อิ่มแล้วเหรอบัว” นั่งไปสักพักก็รวบช้อนส้อมหยิบจานลุกขึ้นไปวางไว้อ่างล้างจาน จนคนแก่วัยเอ่ยถามสีหน้ากังวล บุตรสาวผอมลงกว่าตอนที่มาถึงบ้านเสียอีก

“ค่ะ” ทั้งยังถามคำตอบคำ

..อาการหนักกว่าที่คิดไว้เสียอีก

ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม คนที่ไร่ก็เอ่ยถามนางทุกวันถึงเรื่องราวของบุลลาจนต้องขึ้นเสียงใส่จึงยอมลดราวาศอกบ้างแต่ก็ยังไม่หายไปทั้งหมด คนไม่ชอบหน้าก็เอ่ยแซะว่าอยากถีบตนขึ้นมาถึงไม่ได้ชลธีแต่พณณกรก็มีภาษีดีไม่แพ้กัน อาจไม่เป็นเจ้าของไร่แต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตา จนคร้านจะเถียงด้วยจำต้องปล่อยให้พูดกันไป ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น

ร่างบางซ่อนกายภายใต้ผ้าห่มผืนหนา น้ำตาไหลรินไม่อาจห้ามได้

..ทำไมคนแบบเธอต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ร่ำไป ที่ต้องระเห็จตัวออกจากเมืองหลวงของประเทศก็เพราะข่าวลือมั่วซั่วว่าหล่อนขายตัวให้เสี่ยรุ่นราวคราวพ่อ หลังจากนั้นชีวิตที่เคยสงบก็อันตรธาน มีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาทุกสิบนาทีพูดคุยถึงการซื้อตัวหล่อน บางคนเสนอมูลค่ากว่าหนึ่งแสนบาทด้วยซ้ำ

“บอกแล้วว่าอย่ามาเล่นกับคนอย่างฉัน ให้มันรู้ซะบ้างว่าเธอมันก็แค่เด็กหัดเดิน คิดจะเล่นงานฉันเหรอ รอชาติหน้าเถอะย่ะ” รุ่นพี่พริตตี้ซึ่งโดนเธอเล่นงานเดินมาพร้อมเพื่อนกลุ่มใหญ่แล้วรุมทำร้ายร่างกายจนมีแต่รอยฟกช้ำต้องนอนรักษาตัวที่ห้องกว่าหนึ่งสัปดาห์

พอไปแจ้งความก็ไม่มีอะไรคืบหน้า กล้องวงจรปิดเสียทั้งยังมีอำนาจมืดอีกต่างหาก เธอโดนไล่ออกจากงาน พยายามหาอาชีพอื่นทำเพื่อใช้หนี้ธนาคารที่ไปกู้มาก็ไม่มีที่ไหนรับ รู้ดีว่าเป็นเพราะการกลั่นแกล้งที่ไม่เลิกราของผู้หญิงคนนั้น..

นอกจากจะแย่งแฟนเธอแล้วยังราวีเรื่องงานอีก คงไม่ให้เธอได้ลืมตาอ้าปากได้ จนบุลลาตัดสินใจกลับมาบ้านด้วยสภาพนกปีกหัก หวังมารักษากายและใจค่อยกลับไปอีกครั้ง แต่แล้วการคืนถิ่นกลับสร้างบาดแผลให้มากขึ้นจากผู้ชายที่เธอเกลียด

..ใช่เธอเกลียดเขา

เกลียดที่สุด! ไอ้หมอเฮงซวย

บ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียวถูกสร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม ไม่มีบ้านหลังอื่นในละแวกนั้นราวเจ้าของต้องการปลีกวิเวกจากผู้คน ข้างหน้าเห็นเพียงทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ด้านหลังมีลำธารขนาดเล็กไหลผ่าน ข้างบ้านมีต้นมะขามสูงใหญ่ให้ร่มเงา ลมพัดเอื่อยจนทำให้คนร่างสูงซึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลับสบายก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาใกล้เขตที่พักของตนในเวลาพลบค่ำเช่นนี้

พณณกรลุกขึ้นมองคนมาเยือนด้วยแววตานิ่ง หากจำไม่ผิดหญิงวัยกลางคนร่างผอมมีใบหน้าซูบตอบทว่ายังคงไว้ซึ่งความงดงามเมื่อครั้งยังสาวไม่ผิดกับลูกแม้แต่น้อย

..น้าบานเย็น

“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเชิญให้พนักงานในไร่ขึ้นไปนั่งที่ชานหน้าบ้าน รู้สึกเกร็งเล็กน้อยเพราะคดีที่ทำไว้กับบุตรสาวของหญิงตรงหน้า ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเขาก็ไม่พบบุลลาอีกเลยราวเธอหายสาบสูญ

“น้าอยากมาพูดเรื่องของคุณกับบัว”

ไม่ผิดจากที่คาดการณ์เอาไว้เท่าไหร่ หากไม่ใช่เรื่องนี้จะมีเหตุอะไรให้คนที่แทบไม่ได้คุยกันมาพบเป็นการส่วนตัวขนาดนี้

“ครับ” ร่างสูงนั่งตรงข้ามผู้ใหญ่มีท่าทีอ่อนลงจากที่เคยเป็น ด้วยรู้สึกผิดต่อท่านที่ทำให้บุลลาได้รับความเสียหายทางชื่อเสียงและร่างกาย

“น้าจะไม่อ้อมค้อม คุณจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง”

แววตาของคนสูงวัยมีความเด็ดเดี่ยวและเอาเรื่องจนต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่มีลักษณะอ่อนหวาน เรียบร้อย ไม่ค่อยพูดยามจริงจังจะน่ากลัวเช่นนี้

“ผม..” คนต้นเรื่องนิ่งคิดเพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับข่าวลือพวกนั้นที่กระพืออย่างรวดเร็วไม่อาจหยุดยั้งได้ คนงานชอบมองเขาแปลกๆ ก่อนหันไปยิ้มกริ่มให้กันจนอดโมโหไม่ได้ ใครจะคิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ ที่แม้แต่นายอำเภอยังเอ่ยแซว

“คนเสียหายคือผู้หญิง ลูกสาวน้าถูกตราหน้าว่ายอมทอดกายให้คุณทั้งที่มาทำงานไม่ถึงเดือน” พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เสียใจเอาไว้ยามได้ยินคนอื่นพูดเรื่องบุลลาเสียๆ หายๆ ใจคนเป็นแม่อยากจะเถียงแทน ทว่าเหมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรกลัวจะเข้าตัวจำต้องเงียบเอาไว้

“บอกหน่อยได้ไหมคะว่าคุณจะทำยังไง”

ตอนนี้เขากำลังรู้สึกเหมือนมีคีมมาบีบตัวให้ย่อลงไปเรื่อยๆ มันกดดันเสียยิ่งกว่าวินาทีที่ผลสอบเอ็นทรานซ์ประกาศเสียอีก

พณณกรสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเองแม้หาทางออกเรื่องนี้ยังไม่ได้ก็ตาม

“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเองครับ” พูดไปทั้งที่ตนเองไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร

บางทีอาจใช้เงินปิดปากคนเหล่านั้นให้เรื่องซาลงไปตามกาลเวลา..แต่ว่ามันก็ผ่านมาหลายวันแล้วดูเหมือนคนงานยังพูดถึงอย่างสนุกปาก

“รับผิดชอบยังไง”

ความกดดันถูกส่งผ่านแววตาดุดันนั่นอีกครั้ง เคยคิดว่าบุคคลที่น่ากลัวสุดคือมารดาตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวหดลงกลับไปเป็นเด็กชายพณณกรนั่งอยู่ในห้องปกครองอีกครั้ง

“ผม”

บานเย็นเห็นความไม่ชัดเจนในแววตาคู่นั้นจนรู้สึกโกรธที่เขาไม่คิดจะแก้ไขเรื่องราวใดเลย นางกำมือแน่นระงับใจไม่ลุกขึ้นคว่ำโต๊ะเสียก่อน

..เอาละ ในเมื่อชายหนุ่มคิดไม่ได้เธอจะเป็นคนกำหนดให้เอง

“คุณต้องแต่งงานกับบัว”

คนที่พยายามเค้นสมองหาคำพูดเพื่อตอบบานเย็นเบิกตากว้างเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนมาเยือนจะยื่นคำขาดเสียงแข็งพร้อมแววตาเด็ดเดี่ยวขนาดนี้

ร่างสูงเหมือนถูกสาปจนกลายเป็นหินไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ชั่วขณะ

คำว่าแต่งงานไม่เคยมีในหัวสมองเลยสักนิด เขาเป็นพวกรักสนุกไม่ค่อยอยากมีพันธะผู้หญิงคนล่าสุดที่คบเป็นแฟนก็คือปลายฟ้าซึ่งจบกันไม่สวยเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้ขยับสถานะมาเป็นคนรักอีกเลย อย่างมากสุดก็แค่คู่นอน

ซึ่งชายหนุ่มก็จำหน้าแต่ละคนไม่ได้ด้วยซ้ำ มีเพียงคนเดียวที่คบยืนยาวจนถึงตอนนี้...เพราะไม่สามารถตัดขาดได้และบางทีก็เกือบจะให้เธอเป็นตัวจริงด้วยซ้ำ

“ว่ายังไงคะ ถ้าคุณหาทางแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ จะยอมรับข้อเสนอของน้าไหม” คนงานที่พูดน้อยกลับกลายเป็นเหมือนแม่เสือจ้องขย้ำนายพรานที่อาจหาญทำร้ายลูกน้อย

ชายหนุ่มคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร พยายามเค้นสมองให้หาทางออกในเรื่องนี้

“ผมขอเวลาได้ไหมครับ” จนกระทั่งต้องยืดเวลาตัดสินใจออกไปให้ทบทวน ควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้

“ได้ค่ะ แล้วพรุ่งนี้น้าจะมาเอาคำตอบ” นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปไม่มีคำล่ำลา

ทำเอาเจ้าของบ้านรีบเดินไปส่ง เห็นเพียงแสงจากรถมอเตอร์ไซค์อยู่ไกลลิบ เขาถอนหายใจด้วยความหนักอก ไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาตามมาหนักขนาดนี้

ความที่เป็นอำเภอท่องเที่ยวขนาดเล็ก หน่วยงานแต่ละฝ่ายหรือคนในชุมชนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีจึงกระจายข่าวโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ปากต่อปากบางคนพูดเกินจริงจนเลยเถิด แม้เขาจะเป็นผู้ชายบางครั้งก็รู้สึกอับอายไม่ต้องคิดถึงผู้หญิงเลยว่าจะเสียหายขนาดไหน

ทว่าหากให้แต่งงานมันก็...มากเกินไป

เขาไม่ได้รักบุลลาพอที่จะเอาชีวิตไปผูกมัดกับเธอได้ อาจจะแค่ถูกใจเพราะหน้าตาตรงตามชอบ ใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวส่องสว่างราวกินโอโม่เข้าไป แต่ก็นั่นแหละมันแค่รูปลักษณ์ภายนอกหากมองถึงนิสัยจริง

..ขอลาขาด ไม่นิยมผู้หญิงหิวเงินจริงๆ

คนที่ซ่อนตัวจากพุ่มไม้เดินมาดักหน้าเพื่อนสนิท จนพณณตกใจเกือบชกหน้าอีกฝ่ายเสียแล้วดีที่ยั้งมือไว้ทัน

“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง เกิดกูมือลั่นชกมึงทำไง” ชลธียืนต่อหน้าเพื่อนด้วยใบหน้าเครียดขึงซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็น ปกติเจ้าของไร่มักมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากตลอดเวลาจนชินตาเสียแล้ว

“ฉันได้ยินเรื่องที่นายคุยกับน้าบานเย็นหมดแล้ว”

เจ้าของบ้านพยักหน้า คิดว่าอย่างไรเพื่อนสนิทที่เป็นหุ้นส่วนไร่ก็คงได้ยิน ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเล่าซ้ำให้มากความ

“กูเครียดว่ะ”

สรรพนามที่ทั้งสองใช้เรียกกันออกจะชวนสับสนไม่น้อย ในขณะที่ชลธีสุภาพไม่พูดคำหยาบเนื่องจากทางบ้านมีเชื้อเจ้าและคำสั่งสอนของบุพการี ต่างจากหนุ่มผิวเข้มที่แม้มารดาจะบ่นจนปากเปียกปากแฉะบุตรชายก็ยังคงพูดจาเป็นกันเอง หยาบคายอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเสมอ

“ก็ควรจะเครียดอยู่หรอก เรื่องใหญ่ขนาดนี้” ไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านเชิญเพราะหนุ่มผิวขาวใบหน้าหวานราวอิสตรีเดินนำไปนั่งที่โต๊ะอยู่ชานเรือน

“ถ้ากูไม่อยู่ตรงนั้น ก็เป็นมึงนั่นแหละที่ต้องกลุ้มใจ” แอบพึมพำคนเดียวหลังมองตามเพื่อน คิดถึงวันนั้นก็นึกเจ็บใจไม่หายเมื่อมีเด็กตัวเล็กเดินมากระซิบข้างหูเขา

'นายๆ ไปที่โรงเก็บหญ้าตอนสามทุ่มหน่อยสิ มีคนอยากคุยด้วย' ตอนแรกก็ไม่อยากไปหรอกเพราะกำลังกรึ่มได้ที่แต่เมื่อมองหาร่างขาวผ่องกลับไร้ร่องรอย จึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย

..หรือว่าคนที่อยากคุยด้วยจะเป็นบุลลา

แล้วก็จริงดังคาดแต่คนที่เธอต้องการให้อยู่ที่นั่นไม่ใช่เขาเนี่ยสิ

..หึ คงวางแผนจับไอ้ธีสินะ เสียใจด้วยแล้วกันเพราะมันพังไม่เป็นท่าแถมยังย้อนมาทำร้ายหล่อนจนไม่เหลือชิ้นดี

“แล้วนายจะเอายังไง” ชลธีถามเสียงเครียด เรื่องนี้ไม่เล็กสักนิด เดินไปทางไหนก็ได้ยินคนพูดกันราวเป็นข่าวดินฟ้าอากาศ

“ไม่รู้ คิดไม่ออก” พูดอย่างไม่ยี่หระ ทั้งที่ในหัวกำลังจะระเบิดเต็มที

“นายจะยอมแต่งงานกับคุณบัวไหม”

คำถามนั่นทำให้เขาคิดไม่ตก ภายในใจก็ร่ำร้องไม่อยากแต่งเนื่องจากหวงความโสดทว่าอีกใจก็รู้สึกอยากครอบครองเธอเอาไว้เพียงคนเดียว

แค่ครอบครองเท่านั้นแหละไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นสักนิด

“กูไม่อยากแต่ง”

ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่ คนที่ไม่คบใครจริงจังตั้งแต่เลิกรากับคนเก่าเมื่อหลายปีที่แล้วน่ะหรือจะอยากผูกมัดตนเองไว้กับผู้หญิงที่เพิ่งพบกัน

อีกอย่างก็ยังมีคนรอพณณกรอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย

“ถ้าหนึ่งเขารู้” ชื่อของใครบางคนถูกเอ่ยขึ้นในบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเครียด

จนคนถูกถามต้องถอนหายใจ ตอนนี้มืดไปหมดไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ทั้งนั้น

“บอกแล้วไงว่ากูกับเขาก็แค่เพื่อนกัน” สถานะที่ถูกตีกรอบอย่างชัดเจนก่อนจะถูกเปลี่ยนเมื่อฝ่ายหญิงยื่นข้อเสนอให้..คู่นอน

ใช่แล้ว ระหว่างเขากับเธอขยับจากเพื่อนมาเป็นคู่นอนซึ่งเข้าขากันอย่างดี

ยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คนดีที่มีแค่คนเดียวเพราะนอกจากหล่อน เขาก็ยังไปมีอะไรกับสาวสวยไปทั่วจนเป็นที่โจษขานทั่วมหาวิทยาลัยว่า ‘เอิร์ธหมอฟัน’ หึ ถูกเปลี่ยนคณะที่เรียนเสียอย่างนั้น คงตั้งแต่เสียศูนย์จากรักครั้งแรก กลายเป็นไม่เชื่อใจผู้หญิงอีกเลย ทุกครั้งที่เริ่มความสัมพันธ์ทางกายเขาบอกเสมอว่าจะไม่มีการสานต่อด้านความรู้สึก มีแค่ร่างกายเท่านั้น ซึ่งส่วนมากก็ยอมจึงไม่มีปัญหา

“เอาเถอะ ค่อยว่ากันเรื่องนั้น แต่ตอนนี้นายจะทำยังไงกับเรื่องของคุณบัว”

คุณหมอคนหล่อประจำไร่ยกมือขึ้นยีหัวตนเองเมื่อได้รับการกดดันจากเพื่อนสนิท

“ไม่รู้โว้ย คิดไม่ออก ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ” คนที่เคยมีเป้าหมายมาตลอดว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไรวางแผนชีวิตตนเองอย่างดี กลับตกม้าตายเรื่องผู้หญิง

ชลธีอยากหัวเราะแต่ลำคอก็ตีบตัน สงสารบุลลาต้องมาเผชิญเรื่องแย่แบบนี้ ไหนจะมาเจอเพื่อนที่ไม่เคยจริงจังกับสาวคนไหนอีก

..ชีวิตต่อจากนี้คงหนักน่าดู

“คิดให้ดีนะไอ้เอิร์ธ ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องมาเสียหายเพราะนาย จะปล่อยไปแบบนี้ไม่สงสารผู้หญิงเหรอ” เตือนด้วยความหวังดี

จนพณณกรเริ่มหมั่นไส้เพื่อนตนเอง

“ถ้าเป็นมึงจะแต่งเหรอ” ถามเสียงกระแทกที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าจะรู้สึกแบบนั้นกับเพื่อนทำไม

หวงก้าง..บ้าเหรอ เขาเนี่ยนะจะหวงบุลลา

“อืม ฉันคงแต่งงานกับเขา”

ฝันไปเถอะว่าจะได้แต่ง! 

บางทีก็เกลียดความเป็นคนดีของชลธีที่ทำให้ผู้หญิงติดบ่วงหลายคนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเขามีน้องสาว คงอยากได้อีกฝ่ายเป็นน้องเขยอยู่เหมือนกัน หล่อ รวย แสนดีขนาดนี้ใครจะปล่อยให้หลุดมือ แต่ก็แปลกที่อีกฝ่ายโสดมาจนอายุจะเข้าเลขสามอยู่แล้ว แทบไม่เห็นมันควงใครเลยด้วยซ้ำ

แปลกมากจริงๆ..

“ก็มึงเป็นคนดี แต่กูไม่ใช่” ยกมือขึ้นกอดอกพลางมองต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยขัดกับหัวใจที่เริ่มเอนเอียงตามคำตอบของอีกฝ่าย

แต่งงานกับบุลลา..ผู้หญิงหน้าเงินคิดจะจับผู้ชายตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ

“ฉันไม่ได้เป็นคนดีหรอก แต่บางครั้งคนเราก็ควรรับผิดชอบต่อการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายโดยมีเราเป็นต้นเหตุ”

..แล้วถ้าผู้ถูกกระทำเป็นคนยอมเสียหายเองล่ะ

อยากพูดแต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกไปได้

“คนเราแต่งงานกันเพราะความรักไม่ใช่เหรอ แต่กูไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้รักกู” ย้ำชัดถึงความรู้สึกตนเองเพื่อให้เพื่อนได้รับรู้

“นายก็ไม่เคยรักใครอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง บางทีความรักกับความถูกต้องก็ไม่ได้มาคู่กันเสมอไป นายต้องเลือกแล้วเอิร์ธ” จบคำพูดนั้นชลธีก็ลุกขึ้นเดินออกไป

ปล่อยให้เจ้าของบ้านตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง

..ความถูกต้องอย่างนั้นหรือ

กับผู้หญิงที่หวังจะเกาะผู้ชายกิน..เมินเสียเถอะ เขาไม่มีวันแต่งอย่างแน่นอน!

ร่างสูงกลับมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านหลังเล็กที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดดูร่มรื่นแต่ก็กลัวว่าจะมีงูเงี้ยวเลื้อยออกมา

พณณกรนอนคิดมาทั้งคืนว่าควรทำอย่างไร จนในที่สุดก็ตกลงกับตัวเอง ต้องมาคุยกับฝ่ายหญิงก่อน ถ้าเธอปฏิเสธทุกอย่างก็จบ

ยามเช้าเช่นนี้คนเดินผ่านไปมา หันมองร่างสูงก่อนจะซุบซิบกันเสียงดัง

..เฮ้อ ถ้าจะนินทาระยะเผาขนขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำมือป้องปากก็ได้มั้ง ยืนคุยกันต่อหน้าเขาไปเลย!

บานเย็นเปิดประตูบ้านทำเอารีบหลบแทบไม่ทัน ยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับคนเป็นแม่ขอคุยกับคนคนลูกก่อน จึงแอบอยู่แถวนั้นรอจังหวะที่ท่านไปส่งหลานสาวเพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้จึงมีเหลือเพียงบุลลาคนเดียว เหมาะแก่เวลาแล้ว

คุณหมอเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปภายในบ้าน ถอดรองเท้าขึ้นบันไดสองขั้นก่อนถึงชานเรือนที่เปิดประตูเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่มาเยือนถิ่นของอีกฝ่าย เขาอดสำรวจภายในไม่ได้ บ้านขนาดเล็กให้ความรู้สึกอบอุ่น กลางบ้านเป็นห้องโถงกว้างมีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งไว้สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ด้านซ้ายเป็นทีวีจอแบนขนาดใหญ่

แอ๊ด

ยังสำรวจได้เพียงครู่เสียงเปิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้นก่อนสองสายตาจะสบกัน ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกบางอย่างจะพุ่งตรงเข้ามาไม่ทันตั้งตัว

คิดถึง..

รีบสลัดความคิดนั้นออกทันทีแล้วเอี้ยวหลบเมื่อมีแก้วแสตนเลสลอยมาด้วยความเร็ว

“ออกไปนะไอ้บ้า บ้านฉันไม่ต้อนรับคนอย่างนาย” อารมณ์โกรธทำให้บุลลาคว้าทุกอย่างปาใส่ร่างสูงไม่คิดชีวิต แค่เห็นหน้าก็เหมือนความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้กำลังจะระเบิด โกรธ โมโห เกลียด เสียใจและเธอต้องการระบายมันโดยใช้เขาเป็นที่รองรับ “นายมันเฮงซวย เพราะนายฉันถึงต้องอยู่ในสภาพแบบนี้อีก ไอ้ชั่ว ออกไป ออกไป!” ตะโกนสุดเสียงจนหน้าแดงก่ำ ทรุดลงกับพื้นร้องไห้อย่างไม่นึกอายเพราะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

พณณกรทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยปลอบผู้หญิงมาก่อน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอ แล้วแตะมือลงที่ไหล่เล็กซึ่งสั่นตามแรงสะอื้นก่อนจะรวบเธอไปกอดเอาไว้ไร้ซึ่งคำปลอบโยน

บุลลาแม้อยากจะออกจากอ้อมกอดนี้แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงเกินจะต้านทาน ยอมรับว่าตนเองอ่อนแอเมื่อเห็นหน้าเขา ทั้งที่ควรเกลียดให้มากกว่านี้ ควรทุบตีหรือด่าทอให้สาสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าก็ต้องยอมรับเรื่องทั้งหมดหล่อนก็มีส่วนผิดเช่นกัน เพราะแผนที่คิดไม่เป็นอย่างหวัง ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด

“ฉันเกลียดนาย ฮึก เกลียด” พยายามย้ำให้เข้าไปถึงหัวใจของตนเองซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้รับความอบอุ่นจากร่างสูง

พณณกรไม่ได้พูดอะไรเขาทำเพียงลูบแผ่นหลังเล็กไปมาจนเธอเริ่มสงบจึงคิดจะผละออกแต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเพราะมีบุคคลที่สามโผล่มาเสียก่อน

“น้าคิดว่าคุณคงให้คำตอบได้แล้วใช่ไหม”

สองหนุ่มสาวหันมามองบานเย็นด้วยแววตาตกตะลึง คนตัวเล็กไม่เข้าใจที่มารดากล่าว ผิดกับร่างสูงที่ลอบกลืนน้ำลาย คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ยังไม่ได้คุยกับบุลลาเลยสักคำ แม่เสือที่ว่าออกจากถ้ำก็กลับเข้ามาไม่บอกไม่กล่าว

“แยกออกจากการกันได้แล้วมั้ง หรือจะคุยทั้งอย่างนี้” มือหนาที่โอบกอดร่างบางรีบผละออกทันที แค่เห็นดวงตาคมดุของคนเป็นแม่ บรรยากาศก็เย็น ยะเยือกเหมือนมาเยือนห้องปกครองอีกครั้ง เขาเห็นครูไหวยืนถือไม้เรียวพร้อมมองลอดแว่นสายตามายังตนเอง

มือสั่นจนต้องกุมเอาไว้พลางนั่งคุกเข่าอย่างเรียบร้อย จนบุลลาสังเกตถึงความผิดปกตินี้แต่ไม่ได้ทักท้วงรีบเดินไปยืนข้างมารดา จนท่านต้องบอกให้นั่งคุยกันตรงโถงกลางบ้าน

“คุณเอิร์ธจะว่ายังไงคะที่น้าถาม ตกลงจะแต่งงานกับลูกน้าหรือเปล่า”

หล่อนได้ยินก็หันมามองมารดาพลางทำหน้าตกใจ ไม่คิดว่าท่านจะยื่นคำขาดให้พณณกรเหมือนที่พูดกับตนเอง

เมื่อวานตอนเย็นท่านเข้ามาที่ห้องพร้อมบอกให้ตัดสินใจจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ ซึ่งทางเลือกที่มารดายื่นให้คือแต่งงานกับชายหนุ่มผู้สร้างความเสียหายและมันเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าบุลลายืนยันหัวเด็ดตีนขาด อย่างไรก็ไม่แต่งกับผู้ชายที่เกลียดหน้าแน่นอน

“ผมยังไงก็ได้ครับ” ตอบกว้างเพื่อให้ฝ่ายหญิงตัดสินใจเอง

ภาระหนักมาตกที่ร่างบางทันทีเมื่อสายตาของมารดามองอย่างกดดัน

“ไม่แต่ง บัวไม่แต่งกับเขา” ปฏิเสธพร้อมยกมือขึ้นกอดอก หันหน้าหนีจากการจ้องมองของบานเย็นเพราะกลัวว่าหากมองนานกว่านี้ได้ตกหลุมพรางแม่จนอาจตอบตกลง

“ถ้าไม่แต่งจะแก้ไขเรื่องที่เกิดยังไง” คำถามต่อไปถูกส่งอย่างต่อเนื่อง

“เดี๋ยวมันก็ซาเองแหละแม่ ปล่อยไปตามเวลาเถอะ” เป็นคำพูดที่ปลอบตนเองอยู่ทุกวัน เดี๋ยวมีเรื่องอื่นคนเขาก็เลิกพูด อย่าคิดมากเลยแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะแค่ออกไปหน้าบ้าน เจอคนมองหน้าแล้วทำสายตาเหยียดก็อับอายจนไม่กล้าออกไปไหน

“แน่ใจเหรอ ผ่านมาหลายวันเขาก็ยังพูดถึงอยู่เลย ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน”

เรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้และสองหนุ่มสาวก็เงียบ

บรรยากาศชวนอึดอัดทำเอาหายใจลำบาก ร่างสูงไม่ค่อยได้เผชิญสภาวะแบบนี้เท่าไหร่จึงทำตัวไม่ถูก เขาอยากออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด การแต่งงานสำหรับเขาก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน แค่จัดพิธีเล็กๆ พอให้เรื่องที่พูดกันปากต่อปากเงียบลงบ้าง จะหย่าก็ไม่เสียหาย

ใช่..ไม่เป็นไรเลยสักนิด

“ผมจะแต่งงานกับบัวครับ”

ในขณะที่สองแม่ลูกเงียบไป ชายหนุ่มก็แทรกขึ้นทำลายความสงบนั้นลงด้วยประโยคเดียว

บุลลาแทบไม่เชื่อหูตนเอง จ้องเข้าไปภายในดวงตาเรียวอย่างค้นคว้ากลับไม่พบความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ราวเขาปกปิดมันได้อย่างดีเยี่ยม

..ทำไมถึงตอบตกลง

คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ต่างจากบานเย็นที่ยิ้มรับเมื่อได้ฟัง ท่านเชื่อว่าหนุ่มตรงหน้ามีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด หากได้เอ่ยออกมาแบบนี้คงไม่กลับลำกลางคัน

แววตาเปี่ยมสุขที่คนแก่วัยมองคุณหมอทำเอาเริ่มคิดหนักว่าที่ตัดสินใจไปถูกหรือไม่

“บ้าเหรอ ไม่แต่ง ยังไงก็ไม่แต่งนะแม่” เหลือก็เพียงบุตรสาวของเธอที่ดื้อแพ่งไม่ยอมท่าเดียว

“เสียใจด้วย บัวไม่อยู่ในจุดที่ตัดสินใจอะไรแล้ว เรื่องมาขนาดนี้ยังไงก็ต้องแต่งและเร็วที่สุด” บานเย็นเด็ดขาดอย่างไม่น่าเชื่อ

บุลลานิ่งเงียบไม่บ่อยที่จะเห็นแม่ในภาวะผู้นำแบบนี้และแน่นอนหากตัดสินใจอะไรไปแล้วเธอก็ไม่สามารถขัดได้

“แต่ว่าผมมีเงินติดตัวไม่มาก ญาติพี่น้องก็ไม่ว่าง ถ้าจะให้ชลธีมาเป็นญาติฝ่ายชายได้ไหมครับ”

ชายหนุ่มต้องการให้งานแต่งเป็นไปอย่างเงียบที่สุดและทางบ้านจะต้องไม่มีใครรู้เรื่อง ร่างบางนิ่งอึ้งไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงขนาดนี้ คนที่เคยวาดฝันถึงงานแต่งหรูหราจะเอ่ยปากขัดแต่ก็ไม่ทันมารดา

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ขอแค่รักและดูแลลูกแม่ให้ดีก็พอ” สายตาของผู้ใหญ่ท่านเชื่อว่าพณณกรจะดูแลบุตรสาวได้แม้กิตติศัพท์ เรื่องความเจ้าชู้จะเลื่องลือแต่ในแววตาคมก็มีสายใยบางอย่างมอบให้บุลลาที่พอจะมองออกว่าเสน่หาไม่น้อย

..ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของคนสองคนต้องจัดการความรู้สึกตัวเอง หวังว่าสิ่งที่เลือกให้ลูกจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองหรอกนะ

“น้าฝากลูกสาวด้วยนะคุณเอิร์ธ” เอื้อมมือไปกุมมือหนาเอาไว้

จนคนฟังรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขาหันไปมองบุลลาที่สบสายตาพอดี

เขาไม่ได้รักเธอ..

แต่จะพยายามดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะทำได้แล้วกัน

“ครับ”

คำตอบรับสร้างความอุ่นซ่านในหัวใจของร่างบางจนต้องก้มหน้าซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แค่เขามองหัวใจดวงนี้ก็สั่นไหวไปหมดจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ สายตาทรงพลังนั้นไม่อาจมองได้นานเพราะมันพร้อมจะแผดเผาให้แหลกเป็นจุณ

รู้สึกเหมือนกำลังตกที่นั่งลำบาก ต้องห้ามใจไม่ให้หลงไปในวังวนเสน่หาเสียแล้ว

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status