๑๒
นิรันดรไม่มีอยู่จริง
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจจะคุยกับบุลลาให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดใจกันอีกครั้ง ผละออกจากร่างเล็กแล้วมองใบหน้าหวานที่มีคราบน้ำตาก็ยกมือขึ้นเช็ดให้อย่างแผ่วเบา ดวงหน้าคมคลายความกังวลเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขลงไปบ้างแล้ว
"นายห้ามทำแบบนั้นอีกนะ ถึงจะโกรธกันแค่ไหนแต่อย่าใช้กำลังบังคับนะ"ภาพเหตุการณ์วันนั้นยังตามมาหลอกหลอน หากพณณกรใช้กำลังกับเธอจริงไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังให้อภัยเขาหรือเปล่า การร่วมรักควรเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ
"ไม่ทำอีกแล้ว"ลูบศีรษะเล็กก่อนจะยิ้มให้เพียงเล็กน้อย
แต่กลับส่งผลให้อุ่นไปทั่วหัวใจ
"ส่วนเธอก็ไปลาออกจากที่ทำงานซะ"
สิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นจริงเมื่อร่างสูงพูดกึ่งบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้สวยและรายได้ดี ใบหน้าหวานนิ่งไปอย่างใช้ความคิด หากเธอตัดสินใจทำตามที่ชายหนุ่มบอกแต่ละเดือนก็แทบไม่มีเงินใช้หนี้ด้วยซ้ำ ทว่าถ้าไม่ทำก็จะมีแต่ปัญหาระหว่างกันตามมาไม่จบสิ้น
ควรเลือกทางไหนดี
"ฉันมีหนี้ต้องใช้อีกเป็นแสนเลยนะ ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา"ยอมเอ่ยเรื่องที่ปกปิดเอาไว้เพราะอับอายแต่ในเมื่อได้เปิดใจคุยกันก็คงต้องพูดจนหมดเปลือกว่าเหตุผลที่ทำให้ต้องตรากตรำทำงานทั้งที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดคืออะไร
"กี่แสนว่ามาเลย ฉันจะใช้ให้เองขอแค่เธอไปลาออกจากที่นั่นก็พอ" เขาจริงจัง
จนร่างบางสัมผัสได้จ้องใบหน้าคมนิ่งแล้วมองเข้าไปในดวงตาเรียว
"ฉันไม่ได้จะดูถูกนะ แต่นายมีเงินเหรอไม่ใช่น้อย" สัตวแพทย์หนุ่มไม่ถามถึงสาเหตุการติดหนี้แต่เขากำลังจะใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบเพื่อปลดพันธนาการให้ผู้หญิงซึ่งตนเองยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ารักหรือเปล่า
ขอเพียงแค่ให้เธอออกห่างจากกรรชัยเป็นพอแล้ว
"ถึงหน้าฉันจะจนแต่ในบัญชีธนาคารก็พอมีประมาณหกหลัก" ไม่ได้บอกความจริงไปทั้งหมดว่าเงินเก็บที่มีและรายได้แต่ละเดือนมากพอจะซื้อที่ดินกว่าพันไร่เพื่อเป็นของขวัญให้ร่างบางได้ด้วยซ้ำ
"นายพูดจริงเหรอ" ถามอย่างไม่แน่ใจ
จนมือหนายกมาโยกศีรษะเล็กด้วยความมันเขี้ยว
"พรุ่งนี้ฉันจะพาไปจ่ายเงิน เดี๋ยวเราลงไปกรุงเทพฯ กัน"
ทุกอย่างรวดเร็วจนหล่อนตั้งตัวไม่ทัน ก่อนเขาจะจับจูงมือเข้าไปภายในบ้าน จึงรู้ว่าตั้งแต่ทะเลาะกันบุลลากลับไปนอนที่บ้าน ส่วนตนก็ดื่มเหล้าเมาแต่หัววัน ปล่อยเรือนหอหลังเล็กให้ร้างมีฝุ่นเกาะ จึงช่วยกันทำความสะอาดจนเย็นย่ำ
ความสุขกลับมาสู่สามีภรรยาอีกครั้ง ภายในห้องครัวมีแต่เสียงหัวเราะ ทั้งร่างสูงโดนเอ็ดอย่างไม่จริงจังจากหญิงสาวที่เขาเอาแต่กวนเธอจนแทบไม่ได้ทำอาหารเย็น คงต้องยอมรับเสียแล้วว่าการที่มีพณณกรอยู่ด้วยมันทำให้เธอมีความสุขกว่าการอยู่คนเดียว
..หวังว่าต่อไปนี้จะมีเพียงเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น
วันต่อมาทั้งคู่มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศโดยยืมรถจากชลธี ระหว่างทางก็แวะซื้อของกินเพื่อสนองความต้องการของคุณภรรยามาตลอด ทั้งขนมไทยอย่างทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองหรือจะเป็นของคาวอย่างปิ้งหมูกว่าหกไม้ที่หล่อนจัดการคนเดียวจนหมด
"นี่คนหรือหมู่กันแน่ กินอะไรเข้าไปเยอะแยะ"
คนโดนบ่นหันมองตาขวางทั้งที่ปากยังเคี้ยวของหวาน
"ดูสิ ท้องเริ่มออกแล้วเนี่ย" ยื่นมือมาจับหน้าท้องที่เคยแบนราบกลับนูนขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ดูน่าเกลียด
จนร่างบางเริ่มเสียความมั่นใจหยุดการกินไปทันที
"ไอ้บ้า คนกินใครให้พูดเรื่องอ้วน ไร้มารยาทจริงๆ เลย ไม่กงไม่กินมันแล้ว" เก็บอาหารทันที
จนใบหน้าคมอมยิ้มในความขี้งอนของร่างบาง เขาหยิกแก้มหล่อนอย่างมันเขี้ยว ขณะที่ฝ่ายโดนกระทำพยายามปัดมือเขาออก กอดอกหันหน้าออกนอกหน้าต่างทันที
"งอนเหรอ" ถามเสียงกลั้วหัวเราะ
"เปล่าสักหน่อย!" กระแทกเสียงทั้งที่ปากปฏิเสธ ต่อให้เด็กมาดูก็รู้ว่าโกรธแน่นอน
คนขี้แกล้งก็จับศีรษะเล็กโยกไปมา ทว่าหล่อนก็ปัดมือเขาออกทันที
"เอ๊ะ ขับรถก็ขับไปสิ อย่ามาจับได้ไหม" ว่าเสียงสะบัดจนคนเริ่มก่อนต้องใช้คำพูดที่ผ่อนคลายบรรยากาศ
"แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง ไม่อ้วนหรอก"
ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ผู้หญิงได้เสียความมั่นใจไปแล้วก็ไม่หายโกรธง่ายๆ ยังคงเม้มปากเงียบไม่โต้ตอบอะไร
"ถ้าเธออ้วนฉันก็จะอ้วนเป็นเพื่อนไง ดีไหม อ้วนไปด้วยกัน"
ประโยคราวกับจะบอกถึงความนัยว่าต่อจากนี้เขาจะอยู่กับเธอตลอดไป ก็ทำให้ผินมามองใบหน้าคมที่จดจ้องถนนเบื้องหน้าทั้งที่มืออีกข้างเอื้อมมาจับหัวเธอแล้วลูบแผ่วเบา ความอบอุ่นโอบล้อมจนคลายความโกรธอย่างง่ายดาย
ชีวิตนี้จะโกรธเขาได้นานสักแค่ไหน เพียงได้ยินประโยคที่แสดงถึงความจริงใจหล่อนก็อ่อนยวบลงง่ายดายจนเผลอหลุดยิ้มให้ได้เห็น ที่จริงก็ไม่ได้โกรธจริงจังหรอกแค่อยากได้ยินถ้อยคำอ่อนหวานจากผู้ชายแข็งกระด้างเท่านั้นเอง
เมื่อคืนกว่าจะพูดคุยเรื่องหนี้สินจบก็ปาไปค่อนคืน ทำให้ร่างบางหลับและร่างสูงก็ขับด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติเพราะกลัวรบกวนภรรยาที่อยู่ในห้วงนิทราจากชายหนุ่มผู้ไม่ค่อยใส่ใจใคร วันนี้กลับลดระดับความเร็วของรถล งทั้งที่ตนเองเป็นคนชอบความเร็ว
บางทีเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้กันก็สามารถทลายหัวใจของเธอได้จนตอนนี้แทบไม่อยากห่างจากร่างสูงไปไหน
ทั้งสองเลือกจะไปกลับโดยไม่พักที่เมืองหลวงตรงไปที่ธนาคารจัดการเรื่องต่างๆ จนภูเขาที่บุลลาเคยแบกไว้บนบ่าถูกปลดออกจนโล่ง ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าตนเองเป็นคนไร้หนี้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อมองเอกสารของทางธนาคารที่ให้เป็นเครื่องยืนยัน
"ขอบคุณมากเลยนะ" เปิดประตูจากสำนักงานใหญ่ของธนาคารชื่อดังก็หันมาเอ่ยกับร่างสูงด้วยแววตาซาบซึ้ง
"เรียกพี่เอิร์ธให้ชื่นใจหน่อย"
ไม่บ่อยนักที่บุลลาจะเรียกชายหนุ่มว่าพี่แต่ ณ เวลานี้เขาขออะไรก็ต้องยอมทุกอย่างจึงกอดแขนแกร่งพลางแนบหน้าซบลงอย่างออดอ้อน
"ขอบคุณมานะคะพี่เอิร์ธ"
ได้ยินเพียงเท่านั้นใบหน้าคมก็ยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหู บ่งบอกว่าคนฟังมีความสุขนักหนา ทั้งที่มันเป็นแค่คำพูดเท่านั้น อย่างที่บอกว่าอาวุธที่ร้ายสุดคือวาจา หาใช่มีดหรือปืน บางคราก็ทำให้สุขจนเหมือนลอยจากพื้นแต่บางครั้งก็สร้างความเศร้าจนเหมือนไร้เรี่ยวแรง
"แต่ฉันสงสัยจริงๆ ว่านายเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ" ระหว่างเดินไปขึ้นรถก็อดถามเป็นรอบที่สิบไม่ได้
แต่คำตอบก็เหมือนเดิมทุกครั้ง
"เงินเก็บนั่นแหละ ให้เธอฉันก็หมดตัวแล้วจากนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับคุณภรรยา" กดรีโมทเปิดรถแล้วผละจากร่างบางทันที อันที่จริงเขาคิดว่าความลับเรื่องฐานะทางบ้านจะแตกตั้งแต่วันที่ไปจดทะเบียนแล้วเพราะนามสกุลที่โชว์หราอยู่บนใบทะเบียนสมรส ทว่าบุลลากลับไม่สนใจสักนิด ไม่แม้กระทั่งเปลี่ยนนามสกุลด้วยซ้ำและจนถึงวันนี้หล่อนก็ยังคงคิดว่าพณณกรเป็นเพียงสัตวแพทย์หนุ่มที่มีเงินเดือนเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันบาท
"ต่อจากนี้ไปฉันจะเลี้ยงดูนายเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ" ขึ้นมาบนรถก็ตบบ่าร่างสูงเป็นการปลอบใจ
จนเขาส่ายศีรษะนึกขำท่าทางองอาจที่จงใจปั้นแต่ง
"ขอบคุณที่เมตตานะครับคุณผู้หญิง"
รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานจอด มุ่งกลับไปยังจังหวัดที่ตนเองอาศัยแต่แล้วปลายทางก็เปลี่ยนไปเมื่อร่างบางนึกขึ้นได้ว่าตนอยากไปซื้อดอกไม้เพื่อปลูกให้ความสวยงามบริเวณรอบบ้าน
"พาไปจตุจักรก่อนได้ไหม ฉันอยากได้ดอกไม้" ถามเสียงหวานพร้อมดวงตาที่จ้องไม่กะพริบราวต้องการให้เขาตอบตกลง
ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ทำให้คนรักผิดหวัง เปลี่ยนเส้นทางที่จะกลับบ้านหลังเล็กเป็นสวนจตุจักรซึ่งตนเองไม่ค่อยได้ไปเดินทันที สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าสวย
"ทำไมเดี๋ยวนี้พูดง่ายจังเลย" เอื้อมมือไปบีบบ่าหนาอย่างเอาอกเอาใจ
"กลัวเมียไปมีผัวใหม่เลยต้องเอาใจหน่อย" คำตอบตรงไปตรงมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
ทำให้มือที่บีบนวดเปลี่ยนเป็นตีลงเสียงดังทำเอาคนขับรถสุดหล่อสะดุ้งโหยง
"อีกแล้วนะ! บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ"
"ครับๆ ขอโทษครับผม" เสียงหยอกล้อบนรถดังตลอดเส้นทางที่ตรงไปยังตลาดจตุจักรในยามสาย
เมื่อมาถึงลานจอดรถก็มีที่ว่างให้เข้าจับจองทันที ไม่ต้องวนรถให้เสียเวลา มือหนาเอื้อมไปคว้ามือเล็กมากอบกุมเอาไว้ขณะที่เดินดูดอกไม้ซึ่งมีไม่กี่ร้านเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิด
"อยากได้ดอกอะไร" เอ่ยถามจนใบหน้าหวานต้องนิ่งคิด
"ดอกมะลิ ดอกแก้ว ดอกซ่อนกลิ่น" บุลลาชอบดอกไม้สีขาวช่อเล็กที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบ้าน
ต่างจากพณณกรที่ค่อยพิสมัยกลิ่นของมันสักเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าหอมแสบจมูกเกินไป แต่ถ้าอยู่บนตัวของร่างบางเขาก็จะสูดดมทั้งวันจนกว่ากลิ่นของมันจะสลาย
"เอ๊ะ" ระหว่างที่เดินชมสวนอย่างมีความสุข ดวงตาคมก็หันไปเห็นร่างสูงที่คุ้นเคย
กองทัพ..ไม่ผิดแน่ เพื่อนที่พึ่งกลับมาคืนดีกันและมันก็เพียรโทรหาเขาหลายครั้งแต่เพราะงานยุ่งทั้งยังไม่อยากคุยจึงไม่รับสาย
"มีอะไรเหรอ" ร่างบางหยุดชะงักก่อนจะมองตามเขา ก็พบว่าพณณกรจ้องผู้หญิงรูปร่างสะโอดสะองทั้งยังมีใบหน้าหวานซึ้ง ผิวขาวเนียนสวยอย่างธรรมชาติจนน่าอิจฉา ริมฝีปากบางเม้มทันทีก่อนจะตีเข้าที่แผงอกหนา
"นายมองผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม"
คนโดนตีไม่รู้เรื่องเพราะหญิงสาวคนนั้นแทบไม่อยู่ในสายตาเลยจนกระทั่งเพ่งมองดีๆ จึงรู้ว่าคนที่ยืนข้างกองทัพคือน้องสาวซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เด็กอย่างณชา
ทำไมมาด้วยกัน..
"เปล่า ฉันมองผู้ชายที่ยืนข้างกันต่างหาก"
คนหึงหน้ามืดก็หันไปดูอีกครั้งเพิ่งรู้ว่ามีผู้ชายหน้าตาดีผิวพรรณสะอาดตาอยู่ด้วย แถมแต่งตัวคล้ายกันอีก ฟันธงได้อย่างไม่ต้องพึ่งหมอดูคนไหนว่าอย่างไรสองคนนี้ก็เป็นแฟนกันแน่นอน เมื่อคิดดังนั้นคิ้วที่ขมวดเป็นปมก็คลายลง
"แล้วมองทำไม" เสียงที่เคยแข็งอ่อนเล็กน้อย
"หมอนั่นมันเป็นเพื่อนฉัน เคยยืมเงินไปเกือบแสนแล้วก็เชิดเงินไปเลย" โกหกคำโตเพราะไม่อยากอธิบายให้ยุ่งยาก กลัวว่าให้พูดเรื่องนี้จะต้องบอกเรื่องอื่นอีกจนความลับที่ปิดบังเอาไว้แตกออกมา
"ว่าไงนะ! นายบ้าไปแล้วเหรอ เขายืมเงินไปเป็นแสนไม่ทวง เดี๋ยวฉันจัดการเอง" หล่อนโมโหเลือดขึ้นหน้าก่อนทำท่าทางขึงขังมุ่งตรงไปยังสองหนุ่มสาวที่ยืนเลือกต้นไม้
จนสัตวแพทย์ผิวเข้มคว้าไว้ไม่ทัน
..ทำยังไงดีวะไอ้เอิร์ธ แบบนี้แผนจะแตกหรือเปล่า
คิดอย่างกลัดกลุ้มโดยตาไม่คลาดเคลื่อนจากบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าภรรยา เขาไม่อาจได้ยินว่าสามคนนั้นพูดอะไร แต่ใบหน้าของกองทัพที่มึนงงก็บอกทุกอย่าง จนอดยิ้มมุมปากไม่ได้ คงเจอฤทธิ์แม่เจ้าประคุณเข้าไปจนทำอะไรไม่ถูก ซึ่งณชาก็มีอาการไม่แตกต่างกันมากนัก
มีเพียงบุลลาที่พูดไม่หยุดก่อนใบหน้าหวานของอดีตพริตตี้สะบัดหนีพร้อมเดินกลับมาหาสามีที่ยืนรอท่า
เขารีบคว้าแขนเธอแล้วเดินหนีไม่ให้กองทัพเดินตามเพื่อเค้นความจริง
"เมื่อกี้เธอพูดอะไร" ถามด้วยความอยากรู้
"ก็ด่านิดหน่อย ไม่แรงมากหรอก หน้าตาก็ดีไม่น่าหนีหนี้เลย"
ว่าอย่างเสียดายจนคนข้างกายหน้าตึงจนต้องโอบไหล่ภรรยามาใกล้ตัว
"เธอกำลังชมคนอื่นว่าหล่อต่อหน้าฉันนะ" ย้ำเสียงเข้ม
จนบุลลาต้องหันมายิ้มหวานใส่
"ก็แค่หล่อแหละน่า ถ้าให้เทียบกัน นายหล่อกว่าหมอนั่นตั้งเยอะ" ชมอย่างเอาใจ
จนใบหน้าบึ้งต้องอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยากจะจับจูบเป็นการให้รางวัลเสียเหลือเกิน
"แน่สิ ตอนเรียนฉันป็อปจะตาย มีแต่คนมาจีบ" อวดอย่างภาคภูมิใจ ยิ่งวันวาเลนไทน์ของบนโต๊ะล้นจนต้องแจกจ่ายให้เพื่อนในห้อง หรือตอนแข่งกีฬาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังก้องสนามจนเพื่อนเอ่ยแซว ความฮอตของนายพณณกรมีมาตั้งแต่ประถมลากยาวถึงมหาวิทยาลัย
"จ้า พ่อคนหล่อ" ว่าแล้วก็หัวเราะทันที ลืมเลือนเรื่องเมื่อครู่ไปสิ้น ไม่ถามแม้กระทั่งว่าเขามีเงินหลายแสนได้อย่างไรเพราะความสนใจถูกดึงไปยังเหล่าดอกไม้กลิ่นหอมจนหน้ามืดตามัว เลือกซื้อจนถือแทบไม่ไหว แล้วคนซื้อก็ไม่ได้ถือเองเพราะหน้าที่นั้นเป็นของคุณสามีที่ต้นไม้แทบจะบังหน้ามองไม่เห็นทาง
"พอแล้วแหละ เงินหมดแล้ว" มองดูอย่างแสนเสียดายก่อนจะหันมาบอกร่างสูงซึ่งยืนหน้าบึ้งเพราะหนัก
"ก็ควรจะพออยู่หรอก เธอซื้อเยอะขนาดนี้จะปลูกป่าหรือไง"
หล่อนหัวเราะเสียงใสแล้วช่วยเขาถือไปไว้ที่รถ บ่ายคล้อยก็ได้ฤกษ์เคลื่อนตัวกลับรังรักของตนโดยเปิดเสียงเพลงคลอตลอดทาง ถึงแม้ว่าคนที่ต้องการฟังจะนอนหลับไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้ชายหนุ่มขับรถพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข
แอบมองใบหน้าหวานที่เอนไปซบหน้าต่างก็อมยิ้มนึกเอ็นดูขึ้นมา ใครจะคิดว่าผู้หญิงเจ้าสำอางดูเหมือนคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจะมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนขนาดนี้ ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ปลูกต้นไม้ หล่อนมีทุกอย่างครบจนร่างสูงรู้สึกว่าตนเองเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
แต่เสียอย่างเดียว..เห็นแก่เงินไปหน่อย
ไม่เป็นไร เรื่องนี้แก้ไขกันได้ขอแค่เพียงเธอไม่หักหลังเขาไปมีใครเท่านั้น นายพณณกรคนนี้ก็พร้อมจะมอบทุกอย่างให้ และจะแต่งตั้งบุลลาเป็นนายหญิงของฟาร์มสายรุ้ง
"วันนี้ฉันจะพาไปลาออกกับไอ้เสี่ยกรรชัยนะ" เช้าวันต่อมาร่างสูงก็เอ่ยขึ้นขณะกำลังรับประทานอาหารร่วมกัน ใบหน้าหวานนิ่งไปสักครู่แล้วพยักหน้าพร้อมร้อยยิ้มเจื่อน อดเสียดายเงินเดือนหมื่นห้าทั้งยังค่าบริการที่ทางลูกค้าจ่ายให้ไม่ได้
"อือ" ดวงตากลมโตมองจานข้าวพยายามต่อสู้กับจิตใจด้านมืดของตนเอง เขายอมเสียเงินเป็นแสนเพื่อให้หลุดพ้นจากหนี้
..จะตอบแทนเขาด้วยการลาออกไม่ได้หรือไงบุลลา ทำแค่ที่ไร่ก็ได้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
ปลอบตนเองแต่เมื่อคิดถึงรายได้เพียงเก้าพันบาทต่อเดือนก็แทบร้องไห้ มันไม่พอใช้หรอกถึงจะรวมกับของร่างสูงก็ตาม เธออยากมีเงินเก็บไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะตามความต้องการของผู้หญิงอีก
"เสียดายหรือคิดถึงไอ้เสี่ยนั่น"
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องงานจนคร้านจะเถียงด้วยจึงบอกปัด
"ไม่ได้เสียดาย ไปก็ไป" ในเมื่อตกลงกันไว้แล้วก็ต้องทำตามสัญญาจึงตัดใจปิดประตูความคิดด้านมืดของตนเองเสีย พยายามยิ้มแย้มร่าเริง
จนกระทั่งถึงตอนเย็นตามที่ตกลงร่างสูงก็ขับรถคันใหญ่ของชลธีมารับตั้งแต่ไม่เลิกงาน ทำเอาคนในไร่หันมามองเป็นตาเดียว
เรื่องที่ทะเลาะกันเป็นที่กล่าวขานไปทั่วและวันนี้ทุกคนก็ได้รับรู้ว่าทั้งสองยังคงรักหวานชื่น สัตวแพทย์หนุ่มมารับถึงไร่พร้อมโอบเอวภรรยาโชว์หวานออกสื่อจนหลายคนส่งเสียงแซว
ไม่เว้นกระทั่งบานเย็นที่คอยลุ้นความรักลุ่มๆ ดอนๆ ของคู่นี้ตลอดเวลา
"ลูกเอ็งวาสนาดีนะนังเย็น ท่าทางคุณเอิร์ธเขารักเขาหลงมันเหลือเกิน" พี่ที่ทำงานเอ่ยขณะเก็บของเตรียมกลับบ้าน
"ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนี้ไปตลอดรอดฝั่งเหมือนกันพี่ ไม่อยากให้มันผิดหวังอีกแล้ว" ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มแล้วสลัดความคิดนั้นทิ้งเดินไปขึ้นรถรับส่งของทางไร่กลับบ้าน
ระหว่างทางบุลลาก็เงียบไม่ได้ชวนคุย มีเพียงเสียงเพลงที่ขับกล่อมให้บรรยากาศไม่อึดอัดจนเกินไป นอนคิดทั้งคืนว่าจะลาออกจริงหรือ เงินที่จะได้ไม่เสียดายหรือแต่เมื่อสำนึกได้ว่าสามีจ่ายหนี้ให้ทั้งที่เขาไม่ได้ก่อความคิดอันแสนเห็นแก่ตัวก็ค่อยสลายไป
"ทำไมนายถึงมีเงินมากมายขนาดนั้นล่ะ ไหนว่าเงินเดือนแค่หมื่นห้า" หันมาถามด้วยความอยากรู้และครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถตอบแบบขอไปทีได้แล้ว
"ก็ทำงานตั้งแต่เรียน เก็บมาเรื่อยๆ "
"แล้วนายไม่เสียดายเหรอที่มาจ่ายหนี้ให้ฉัน เงินเกือบล้านเลยนะ "ยิ่งพูดก็รู้สึกผิดที่ตนเองเอาเงินของเขามาใช้จนคนตัวสูงต้องเอื้อมมือไปโยกศีรษะเล็ก
"คิดมากน่า เงินแค่นั้นเดี๋ยวฉันหาใหม่ก็ได้" สัตวแพทย์หนุ่มเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไร
แต่บุลลากลับรู้สึกผิดเพราะนึกว่าเขาพยายามพูดให้ตนเองสบายใจ
"ฉันจะพยายามหาเงินมาคืนให้นะ" บอกเสียงอ่อย
จนใบหน้าคมต้องหันมามองแล้วเอื้อมมือมากุมอย่างอ่อนโยน
"ไม่ต้องหรอก ฉันเต็มใจให้" เงินแค่นั้นแลกกับการที่ทำให้บุลลาออกห่างจากเสี่ยกรรชัยก็ถือว่าคุ้ม เขาจะไม่ยอมเสี่ยงให้สองคนนั้นอยู่ใกล้กันอย่างแน่นอน น้ำมันกับไฟควรเอาออกให้ห่างที่สุดไม่ควรลองใจอะไรทั้งสิ้น หล่อนจะต้องเป็นของเขาแต่เพียงคนเดียว
รถยนต์จอดหน้าโรงแรมชื่อดังประจำอำเภอ ก่อนพากันเดินไปติดต่อประชาสัมพันธ์ว่าต้องการขอพบเสี่ยกรรชัยแต่เพราะไม่ได้นัดไว้จึงต้องนั่งรอที่ ล็อบบี้
ไม่นานร่างสูงของคนสูงวัยกว่าก็เดินมาในชุดสูทราคาแพงสั่งตัดพิเศษจากอิตาลีด้วยราคากว่าครึ่งแสน
"ว่ายังไงครับคุณเอิร์ธ มีธุระอะไรกับผมเหรอ" เขาไม่ได้เชิญให้ทั้งสองขึ้นไปบนห้องเพราะคิดว่าคงใช้เวลาไม่มากจึงนั่งลงตรงโซฟาตัวหนาของล็อบบี้ แม้จะมีผู้คนเดินผ่านไปมาแต่จุดที่นั่งก็เป็นส่วนตัวพอสมควร
"กู.. ผมพาบัวมาลาออกจากที่นี่" จากที่ใช้สรรพนามสมัยพ่อขุนรามคำแหงก็โดนภรรยาบิดสีข้างจนต้องเปลี่ยนมาใช้วาจาสุภาพทั้งที่ใจอยากลุกขึ้นไปตะบันหน้าที่อีกฝ่ายยังคงยิ้มกะลิ้มกะเลี่ยให้ร่างบาง
"ทำไมล่ะครับ บัวพึ่งมาทำงานที่นี่เอ งลาออกเร็วขนาดนี้ ผมเสียดายนะ" แววตาคมอ้อยอิ่งอยู่ที่ใบหน้าหวาน
จนคนขี้หึงทำท่าจะลุกขึ้นไปกระชากคอเสื้อของผู้บริหารทรงเสน่ห์ แต่โดนร่างบางดึงแขนเอาไว้เสียก่อนจึงต้องกัดฟันข่มความรู้สึกเอาไว้ข้างในแทน
"เหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ" ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการขอโทษ
"ลองคิดดูใหม่ได้ไหมครับ บัวทำงานดีจะลาออกไปแบบนี้ไม่เสียดายเงินเหรอ" คำถามจี้ใจดำ
ทำเอาร่างบางนิ่งเงียบจนสัตวแพทย์หนุ่มต้องออกโรงช่วย
"ไม่เสียดาย เก็บเงินมึงไว้ยัดใส่ปากตัวเองตอนนอนในโรงเถอะ กลับ" กระชากแขนคนข้างกายให้ลุกขึ้น ไม่สนว่าการกระทำนั้นจะเสียมารยาทมากแค่ไหน หากอยู่ต่ออีกวินาทีเดียวเขาคงได้ลุกขึ้นตะบันหน้าผู้บริหารมาดเข้มเป็นแน่ แค่นั่งมองมันจ้องเมียตนเองก็นับหนึ่งสิบในใจเป็นพันครั้งแล้ว
..บุลลาเป็นของเขาคนเดียวผู้ชายคนไหนห้ามมอง!
"เจ็บนะ เบาๆ ก็ได้" บอกพลางพยายามปลดข้อมือจากพันธนาการของร่างสูง
กระทั่งถึงรถเขาปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระแล้วเปิดประตูจับยัดเข้าไปนั่งในรถส่วนตนก็อ้อมไปประจำที่คนขับแล้วเร่งเครื่องยนต์ออกจากโรงแรมแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
"อาลัยอาวรณ์มันหรือไง" ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้คนตัวโตเอ่ยปากกระแหนะกระแหนเสียงเข้ม
"เปล่าสักหน่อย ฉันแค่หิวเท่านั้นเอง เราแวะกินข้าวแถวนี้ก่อนกลับดีไหม" รู้ดีว่าถ้ายิ่งตอบโต้เหตุการณ์ก็จะบานปลายจึงต้องเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้อารมณ์คนข้างๆ เย็นลงมา ซึ่งก็ได้ผลเพราะพณณกรกำลังมองหาร้านอาหารสำหรับรับประทานข้าวเย็นกับภรรยา
"อยากกินอะไรล่ะ"
แล้ววันนั้นก็ผ่านไปด้วยการที่คู่รักนั่งทานอาหารท่ามกลางรอยยิ้มแสนสุข ร่างสูงมั่นใจไปได้เปราะหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตัดเสี่ยกรรชัยออกจากชีวิตของบุลลาได้แล้ว ต่อจากนี้ทั้งสองก็ไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก หล่อนจะอยู่ในความดูแลของเขาตลอดไป
ในขณะที่เสี่ยกรรชัยยกยิ้มมุมปาก วันพระไม่ได้มีหนเดีย วดูจากแววตาก็รู้ว่าเธอไม่อยากลาออก รอแค่โอกาสเท่านั้นแล้วจะทำให้เกมนี้มันจบลงโดยการที่ไอ้พณณกรต้องเสียเมียให้เขา
สองหนุ่มคิดแต่จะแก้แค้นกันไปมาไม่สนใจผู้หญิงที่ต้องตกเป็นเครื่องมือทั้งสองคนซึ่งเสียใจเพราะพวกเขาเลย
"อือ วันนี้ฉันจะเข้าไปซื้อของที่บิ๊กซีนะ นายอยากได้อะไรไหม" ระหว่างกินข้าวเช้าด้วยกันร่างบางก็บอกคู่ชีวิตให้รับรู้
"เธอจะไปตอนเย็นเหรอ ให้ฉันไปด้วยไหม"
"นายต้องไปตรวจสัตว์ที่หมู่บ้านอื่นไม่ใช่เหรอ" สัตวแพทย์หนุ่มลอบถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ปศุสัตว์มาขอให้เขาช่วยเพราะสัตวแพทย์คนใหม่ยังไม่ได้รับการบรรจุ จึงต้องทำหน้าที่แทนไปก่อน และวันนี้ก็ครบสามเดือนที่ต้องไปตรวจโรคสัตว์ในแต่ละตำบลของอำเภอแห่งนี้
..อาจจะกลับดึกด้วยซ้ำ
คนขี้เกียจอยากล้มตัวลงนอนแล้วบอกว่าไม่สบายเป็นการหาข้ออ้างหนีงานซึ่งไม่แนบเนียนที่สุด
"แล้วเธอจะไปยังไง"
"รถมอเตอร์ไซค์ไง ไปไม่นานหรอก แค่ซื้อพวกของใช้กับอาหารสด" เขาพยักหน้าไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด
หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปทำงานท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนระอุ จนต้องพึ่งน้ำเย็นและร่มไม้หวังให้ลมพัดผ่านบ้าง
บุลลาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมัวแต่คิดถึงเรื่องงานที่ตนเองเพิ่งลาออก
เมื่อเลิกงานจึงมุ่งไปยังห้างสรรพสินค้าของอำเภอเลือกซื้อของใช้ภายในบ้านและตรงไปยังโซนอาหารทะเล เลือกวัตถุดิบในการทำอาหารเย็นนี้โดยปราศจากร่างสูงที่มักจะเดินข้างกายตลอดเวลา ก่อนจะเดินเลยไปซื้อผักก็หยุดชะงักเมื่อเห็นหอยแครงจนรู้สึกน้ำลายสอจึงเลือกไปซื้อ ทั้งที่ปกติแทบไม่เคยชายตาแลเลยด้วยซ้ำ หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไรอยากกินของเปรี้ยวตลอดแต่บางวันก็รู้สึกเหม็นเบื่อไม่แม้แต่จะชายตามอง อารมณ์แปรปรวนทำเอาพณณกรเอ่ยทักหลายรอบ
เมื่อซื้อของเสร็จสิ้นจึงเดินไปยังลานสำหรับจอดรถมอเตอร์ไซค์ ทว่ายังไม่ทันจะก้าวออกจากห้างสรรพสินค้าก็ถูกขวางเอาไว้ก่อนและทันทีที่สบตาก็ตกใจจนต้องถอยหลังเล็กน้อย
ในขณะที่ร่างสูงส่งยิ้มการค้าให้เต็มที่พร้อมเอ่ยทักตามประสาคนคุ้นเคย
"ไม่คิดว่าจะเจอบัวที่นี่ มาคนเดียวเหรอ" ถามไถ่ปกติไม่มีอาการหงุดหงิดใจที่หล่อนลาออกจากงานกะทันหันทั้งที่ทำได้เพียงหนึ่งสัปดาห์
"ค่ะ เสี่ยมาทำอะไรเหรอคะ" ไม่อยากเชื่อว่าคนระดับนี้จะมาเดินห้างที่มีแต่ของใช้ ไร้ร้านเสื้อผ้าหรือร้านอาหารราคาแพง
"ฉันมาเดินเล่น" ต่อหน้าบุลลาก็ไม่ต้องสุภาพเหมือนที่กระทำเมื่อพณณกรอยู่ด้วย เขาก็แค่ต้องการแกล้งให้หมอนั้นหัวหมุน คาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างภรรยากับตนไปต่างๆ นานา และดูท่ามันจะได้ผลดีเสียด้วย
"ที่นี่เหรอคะ" ตอบกลับเสียงสูง
จนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเล็กน้อย
"ใช่ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มหิวแล้วละ เธอพอจะมีเวลาสักสามสิบนาทีไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันได้ไหม"
ร่างบางลังเลใจแต่เสี่ยใหญ่ไม่ปล่อยให้บุลลาตัดสินใจเอื้อมไปคว้าถุงสีเขียวมาถือไว้เป็นตัวประกันทำเอาใบหน้าหวานเหวอไม่คิดว่าเขาจะบังคับทางอ้อมอย่างนี้
"ไปกันเถอะ กินที่ฟู้ดคอร์ทก็ได้ หิวจนกินช้างได้ทั้งตัว ทำงานทั้งวันเหนื่อยมากเลย" ระหว่างทางร่างสูงก็พูดคุยอย่างเป็นกันเอง
จนทำให้บุลลาคลายความกังวลใจลงไปบ้าง เริ่มทำตัวตามสบายไม่ได้อึดอัดเหมือนคราแรกที่เห็นเขาจึงส่งผลให้ใบหน้าไร้ซึ่งความหวาดระแวง จนเสี่ยกรรชัยแอบยิ้มอย่างพึงพอใจ
"เธอจะกินอะไรมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง"
อาหารส่วนกลางของห้างสรรพสินค้ามีไม่กี่ร้านหล่อนจึงเลือกราดหน้าทั้งที่ปกติแทบไม่แตะเนื่องจากกลัวอ้วน
"รอที่โต๊ะเลยเดี๋ยวฉันไปสั่งให้" สั่งพร้อมแววตาจริงจัง
ทำเอาร่างบางจำต้องนั่งอยู่กับที่มองแผ่นหลังกว้างเดินไปสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วเผลอมองพลางวิเคราะห์อีกฝ่ายไม่ได้
ถึงอายุขึ้นเลขสี่แต่เสี่ยกรรชัยยังดูหนุ่มกว่าอายุมา กทั้งใบหน้าคมเข้มอาจไม่หล่อเหมือนพณณกรแต่มีเสน่ห์จนสาวหลายคนต้องหันไปมองด้วยความสนใจ ไหนจะชุดสูทซึ่งไม่ค่อยพบเห็นในห้างแห่งนี้ เขาจึงโดดเด่นท่ามกลางผู้คน
กระทั่งร่างสูงเดินถืออาหารมาวางตรงหน้าจึงยกยิ้มให้
"ขอบคุณนะคะ"
"ฉันต้องขอบคุณเธอสิที่มากินข้าวเป็นเพื่อน ฉันยังไม่ได้ปรุงให้นะไม่รู้ว่ากินรสชาติแบบไหน" ชายหนุ่มเริ่มคนก๋วยเตี๋ยวให้เข้ากัน
ส่วนจานอาหารของบุลลายังมีสีเรียบไม่ปรุงแต่ง
"ไม่เป็นไรค่ะ บัวไม่ชอบปรุง" ระหว่างที่รับประทานอาหารไร้ซึ่งบทสนทนาและดูเหมือนว่าร่างสูงจะหิวจริงเห็นคีบเส้นเล็กเข้าปากพร้อมซดน้ำอย่างเอร็ดอร่อยก็ลอบยิ้ม ตักราดหน้ากินบ้าง
โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นถูกบันทึกเป็นวิดีโอเคลื่อนไหวจากสาวคู่อริของหล่อนตลอดกาล..ฟ้ามุ่ย
"คราวนี้แหละนังบัว แกหนีไม่รอดแน่" ยิ้มอย่างมาดร้ายแววตาพึงพอใจ เมื่อร่างสูงเอื้อมมือไปเช็ดปากเล็กราวเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
..สาแก่ใจอีฟ้ามุ่ยเหลือเกิน หวานกันอีก หวานมากกว่านี้ คุณเอิร์ธจะได้โกรธพังบ้าน ตัดขาดจากนังวันทองสองใจเสียทีแล้วเธอก็จะเข้าไปเสียบแทน
"โอ๊ย อิ่มจนท้องจะแตก" ชามที่เคยมีอาหารอยู่เต็มเกลี้ยงจนแทบไม่ต้องล้างด้วยซ้ำ ร่างเล็กมองเขาตาโตไม่อยากเชื่อว่าจะกินหมดไม่เหลือกระทั่งน้ำซุป
"แต่เธอกินเหมือนแมวดมเลยนะ"
ก้มดูจานตนเองก็ยิ้มแหย ตอนนี้สิ่งที่อยากกินคือหอยแครงลวกจิ้มน้ำพริกรสจัดจ้านมากกว่าราดหน้ารสอ่อน
"ไม่ค่อยหิวค่ะ" ปฏิเสธเสียงอ่อน
"ฉันขอโทษที่บังคับเธอมากินเป็นเพื่อนนะ แย่จริงเลย"
เห็นเขากล่าวโทษตนเองก็ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
"ไม่เป็นไรค่ะ บัวยินดีมากินข้าวเป็นเพื่อน" ยิ้มให้เขาเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนเองไม่ได้ฝืนใจแต่อย่างใด ก่อนใบหน้าคมจะกลับมาเป็นปกติไม่มีท่าทีรู้สึกผิดเหมือนเมื่อครู่
"ที่จริงฉันก็มีเรื่องจะคุยกับเธอด้วย" เข้าเรื่องสำคัญเสียทีหลังจากที่หาข้ออ้างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดบุลลา
จนร่างบางตั้งตัวไม่ทันเพราะเขาอยู่ในท่าทางจริงจังขึงขังของมาดผู้บริหาร บรรยากาศโดยรอบเริ่มกดดันถึงแม้จะไม่มีผู้คนมารายล้อมก็ตามแต่ เพียงดวงตาคมที่จ้องมาก็ทำให้อึดอัดแล้ว
"กลับมาทำงานกับฉันได้ไหมบัว"
ไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยขึ้นจึงมีสีหน้าตกใจและตอนนี้ก็กำลังเค้นเสียงที่หายไปให้ตอบกลับ
"เอ่อ" ความคิดที่พยายามกลบลงไปถูกปลุกให้ตื่นและตอนนี้ก็แยกออก เป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน
ด้านดี..ปฏิเสธไปเสียเถอะบัว สามีเธอเสียเงินเป็นแสนปลดหนี้ให้แล้วยังจะกลับไปทำงานนี้อีกทำไมแค่ที่ไร่ก็มีอยู่มีกินแล้วบอกปัดเขาไปดีกว่า
ด้านร้าย..ตอบตกลงเลยบัว งานง่ายเงินดีขนาดนี้ถ้าปฏิเสธก็โง่เต็มทน อีกอย่างเธอจะได้จ่ายหนี้ให้นายพณณกรด้วยไง ไม่รู้สึกผิดเหรอที่ทำเอาเงินคนอื่นมาใช้ ตอบเสี่ยไปเลยว่าจะไปทำงานกับเขา
"ถึงเธอจะมาทำงานไม่นานแต่เธอก็ทำงานดีมากนะ คนในครัวก็คิดถึง มีลูกค้าบางรายยังถามถึงเธอด้วยนะ" หว่านล้อมจนร่างบางไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้
"แต่ว่า"
"ถ้าเธอกังวลเรื่องไอ้ เอ่อ สามีฉันรับรองว่าจะไม่ให้เขารู้ เธอมาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ก็ได้ ฉันจะเปลี่ยนให้อยู่กะเช้าจะได้สะดวกต่อเธอ ส่วนรายได้ฉันให้วันละหนึ่งพันบาท"
จากที่คิดจะปฏิเสธก็ตาโตอย่างไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะลงทุนกับตนมากถึงขนาดนี้ หนึ่งพันบาทต่อวันกับการเป็นพนักงานเสิร์ฟมันมากเกินไป
"เสี่ยต้องการอะไรจากบัวกันแน่คะ" ถึงอยากทำงานแต่ก็ไม่โง่ขนาดไม่รู้ว่านักธุรกิจอย่างเขาจะลงทุนโดยไม่หวังผล
"ฉันก็แค่อยากให้บัวกลับไปทำงานด้วยกัน" ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอกราวต้องการปกปิดความต้องการส่วนลึก
"บัวไม่รู้หรอกนะคะว่าเรื่องของเสี่ยกับนายเอิร์ธเคยเกิดอะไรขึ้นแต่อย่าเอาบัวเข้าไปอยู่ในสนามรบของพวกคุณเลย"
ใบหน้าคมที่เคยยิ้มแย้มกลับเรียบสนิทเมื่อรู้ว่าบุลลาไม่สามารถชักจูงได้โดยง่ายแต่ก็ไม่ง่ายเกินความสามารถของเสี่ยกรรชัยคนนี้หรอก
"ฉันไม่ได้มีปัญหากับสามีของเธอ แล้วเรื่องระหว่างเราก็ไม่เกี่ยวกับเขาด้วย เธอทำงานดี สร้างกำไรให้กับห้องอาหาร ฉันก็แค่อยากให้กลับไปทำงานด้วยเท่านั้น ไม่คิดไปถึงผู้ชายคนนั้นเสียหน่อย" ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะปฏิเสธข้อกล่าวหาจากร่างบาง
ทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่ต่างจากที่หล่อนคิดเอาไว้เท่าไหร่ การจะทำให้คนแตกคอกันมันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่เห็นแววตาเสียดายของร่างบาง เขาก็รู้ทันทีว่าการลาออกไม่ได้มาจากความสมัครใจแต่มันคือการบังคับและนั่นก็อาจเป็นสาเหตุที่จะเกิดรอยร้าวขึ้น
"ฉันจริงใจกับเธอนะบัว"
มองเข้าไปในดวงตาเรียวก็ไม่พบความเสแสร้งทำให้หล่อนเริ่มลังเลใจ
"เอากลับไปคิดดูแล้วกัน งานแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ" วันนี้พอก่อนแล้วกัน เขาเชื่อว่าพรุ่งนี้จะต้องเห็นบุลลาไปหาตนเองที่โรงแรมอย่างแน่นอน เอาของหวานมาวางไว้ตรงหน้าแบบนี้มีหรือที่หล่อนจะไม่คว้า
"เดี๋ยวค่ะ ถ้าฉันยอมไปทำงานคุณจะไม่บอกสามีฉันใช่ไหม" ยังไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำเธอก็ถามกลับเสียแล้วทั้งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ไม่เป็นไรหรอกเขาจะสร้างมันให้เธอเอง
"ฉันรับปากว่าจะไม่บอกเขา เธอเชื่อใจฉันได้ คนอย่างเสี่ยกรรชัยพูดคำไหนคำนั้น"
ใช่..เขาจะไม่บอกแต่ถ้ามันมาเห็นเองก็ช่วยไม่ได้
"ถ้าอย่างนั้นฉันตกลงจะทำงานกับคุณค่ะ"
ในที่สุดความคิดฝ่ายเลวก็เอาชนะความคิดฝ่ายดีจนได้ บุลลาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้บริหารโรงแรมจนเข้าต้องคว้ามือหล่อนเอามากุมไว้ด้วยความดีใจที่ไม่สามารถปิดบังได้
"ดีแล้วบัว เธอคิดถูกแล้วขอบคุณที่กลับมานะ"
หลังจากที่พูดคำนั้นไปร่างบางก็ทำเพียงแค่ยิ้มจืดเจื่อนเริ่มกังวลกับผลที่จะตามมา
ทำถูกแล้วใช่ไหมบัว..ที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้มันถูกต้องแน่ใช่ไหม
ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาคลอขณะมองไปที่สองหนุ่มสาวซึ่งนั่งกุมมือกันอยู่ที่โซนอาหารของทางห้างสรรพสินค้า ความรักที่เธอส่งไปให้ไม่ถึงหัวใจของเขาสักนิด ยิ่งมองก็เหมือนมีมีดแหลมแทงเข้ากลางใจจนต้องปล่อยความเจ็บนั้นออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลลงเป็นทางยาวอย่างน่าสงสาร..
..พอได้แล้วลูกแก้ว อย่าคาดหวังอะไรจากคนใจร้ายอีกเลย
๑๓รุนแรงสัตวแพทย์สาวสวยเดินออกจากคลินิกของตนเองเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งหลังหมดเวลาตรวจ ใบหน้าหวานมีแววครุ่นคิดตลอดการเดินทางกลับบ้านเนื่องจากมีคนมาเล่าให้ฟังว่าพบพณณกรเดินควงกับผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่จตุจักรเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาจึงทำให้จิตใจของหล่อนว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็นไม่มีทางที่ร่างสูงจะมาเมืองหลวงแล้วไม่โทรบอกเธอแน่ บางทีคนนั้นอาจตาฝาดทว่าเมื่อโทรศัพท์ไปหวังถามไถ่ก็ไม่มีการตอบรับจากชายที่เธอแอบรัก เพียรกดกว่ายี่สิบสายก็เหมือนเดิมยิ่งคิดมือก็สั่นเพราะความกลัวเริ่มคืบคลานมาช้าๆ ถ้าเขามีคนอื่นเธอจะทำอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาพณณกรอยู่ตัวคนเดียว อาจมีบางครั้งที่นอนกับคนอื่น ทว่ามันก็แค่ชั่วคราว ไม่ได้จริงจังถึงขั้นลงหลักปักฐาน แล้วคนนี้จะเหมือนกันไหมทำไมถึงพาไปเดินจตุจักรทั้งที่ปกติหากมาบ้านเกิด ถ้าเธอไม่ชวนเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่คอนโดหรือไม่ก็ทำธุระเกี่ยวกับไร่เท่านั้น ไหนจะครั้งที่เห็นอีกฝ่ายซื้อสร้อยคอโดยอ้างว่าเพื่อนฝากซื้อ คิดแล้วก็รู้สึกหายใจไม่ออก ต้องทุบที่อกหวังระบายความอึดอัดที่เหมือนมีหมอกมาคลุมทั่วรถ"ฮัลโหลธี ว่างคุยหรือเปล่า" ในเมื่อติดต่อคนเป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องเจ็บปวดไม่ได
๑๔ฉันสู้อะไรได้ร่างบางพยายามกรีดร้องสุดเสียงหวังให้มีคนช่วยจากเหตุการณ์ตรงหน้าหรือไม่มันอาจดังเข้าไปข้างในใจของชายคนรักซึ่งกำลังจะทำร้ายกันใบหน้าคมจัดการปิดปากเล็กด้วยริมฝีปากของตนเองดูดดึงอย่างรุนแรงเอาแต่ใจในขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนไปฉีกทึ้งเสื้อของหล่อนด้วยมือเพียงข้างเดียวจนมันขาดจากแรงดึงเมฆสีดำปกคลุมทั่วเรือนหลังเล็กเจ้าตูบซึ่งได้ยินเสียงนายของมันร้องก็เห่าพลางตะกุยประตูหวังเปิดเข้าไปช่วยแต่ก็ไร้ผลพณณกรเหมือนซาตานร้ายที่ไม่สนใจจะฟังความใดทั้งสิ้นภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของบุลลาและเสี่ยกรรชัยบอกทุกอย่างแล้วเขาไม่อยากเป็นไอ้งั่งโดนสวมเขาอีก เงินหลายแสนที่เสียให้เธอจะต้องไม่หายเปล่า อย่างน้อยก็ขอเล่นกับเรือนร่างบอบบางจนสาแก่ใจ"อย่าทำบัวเลยนะคะพี่เอิร์ธ"ร้องไห้เสียงสะอื้นแล้วพยายามห้ามเขาทว่ามันไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของร่างสูงที่ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก"ฉันจะทำให้มากกว่าที่ไอ้เสี่ยนั่นทำ จำฉันเอาไว้นะบัว จำไว้อย่าลืม"เน้นย้ำก่อนซุกลงที่ทรวงอกนุ่มผละมือที่เคยพันธนาการหล่อนให้เป็นอิสระก่อนจะขย้ำตามร่างขาวผ่องจนเกิดรอยแดงถึงแม้จะมีการขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล แรงอารมณ์บอกก
๑๕ความแตกต่างหลายวันผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของสามีแต่เรื่องของเขายังเข้าหูเธอตลอดเวลา และบุคคลที่คาบข่าวมาบอกคือผู้หวังดีประสงค์ร้ายอย่างฟ้ามุ่ยซึ่งต้องการเห็นความย่อยยับของคู่อริ สาวร่างอวบละจากงานแม่บ้านมานั่งคุยกับป้าที่อยู่ไร่พืชผักขณะที่กำลังคัดแยกพืชพันธุ์“ตอนเช้าฉันเห็นคุณเอิร์ธลุกมาวิ่งกับคุณหนึ่ง โอ๊ย ยืนข้างกันแล้วเหมาะสมเหลือเกินป้า เหมือนกิ่งทองใบหยก”พูดเสียงดังหวังให้ประโยคนี้ไปเข้าหูของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของสัตวแพทย์สุดหล่อแห่งฟาร์มสายรุ้ง“อ้าว เขาจะไปด้วยกันได้ยังไง คุณเอิร์ธนอนที่ไหน”บุลลาทำนิ่งเฉยทั้งที่ใจสั่นไหวไม่อาจหักห้ามได้“เขาก็นอนที่บ้านคุณธีสิ เอ๊ะ แต่คุณหนึ่งก็นอนที่บ้านคุณธีนะ หรือว่าเขาจะนอนด้วยกัน”ว่าจบก็ปรบมือดีใจยกใหญ่ทำให้บานเย็นที่ทนนั่งฟังมานานต้องลุกขึ้นยืนชี้หน้าสาวรุ่นลูกอย่างโกรธเคือง“เอ็งไม่มีการมีงานทำเหรอนังฟ้ามาเม้าเรื่องเจ้านายอยู่ได้ ข้าจะฟ้องคุณดนัยให้หักเงินเดือนเอ็ง”ตะโกนก้องนึกแค้นใจเมื่ออีกฝ่ายกัดไม่ปล่อยจนแม่บ้านอายุน้อยต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้แต่เมื่อมองใบหน้าซึมเศร้าของร่างบางก็ยิ้มสมใจ“ไปก็ได้ป้า ไม่อยู่กวนแล้วจ้า”พาร่า
๑๖สิ่งที่กำลังจะเกิดไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ก็พบว่านุ่มนิ่มวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโอบกอดเอาไว้และไออุ่นจากเพื่อนก็ทำให้น้ำตาที่เคยหยุดไหลออกมาอีกครั้ง แล้วกอดตอบพลางสะอื้นจนตัวโยนเป็นที่น่าเวทนาแก่คนพบเห็นยิ่งนัก"เกิดอะไรขึ้นบัว" เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายได้ร้องไห้จนพอใจ หล่อนโทรศัพท์มาหาก็ไม่มีการตอบรับ ด้วยความเป็นห่วงจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมแต่กลับได้ความว่าบุลลาโดนพณณกรลากตัวกลับบ้านยิ่งมาเห็นสภาพก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงทะเลาะกัน"เขาไม่เคยรักฉันเลยนิ่ม เขาทิ้งฉันไปแล้ว ฮึก ฉันจะทำยังไงดี"คนไม่เคยมีความรักก็จนปัญญาจะตอบ ทำได้เพียงลูบหลังปลอบปะโลมให้คลายจากอาการเศร้าลงบ้าง"เขาไม่เคยเชื่อฉันเลย หาว่าฉันเป็นปลิงดูดเงินเขา ฮือ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่มีอะไรกับเสี่ยด้วย ทะ ทำไมเขาไม่เชื่อกันบ้าง" ระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาหมด ภายในหัวมีแต่ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น ซ้ำจิตใจยังโดนย่ำยีจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของผู้ชายเพียงคนเดียวความรักที่เคยคิดว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้ายแต่กลับไม่เป็นอย
๑๗พร้อมจะไปบุลลารีบเก็บของทุกอย่างแล้วซ่อนไว้ภายในห้องนอนตนเอง พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ตกเย็นก็ช่วยมารดาทำอาหาร ไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว จากที่จะอธิบายความจริงกับเขาก็ปิดตายความคิดนั้นทันที ในเมื่อเขาไม่เห็นค่า ทำไมจะต้องไปลดคุณค่าตนเองง้อก่อนด้วยส่วนเรื่องลูก..คงต้องดูก่อนว่าควรจะบอกดีหรือไม่ในเมื่อทางข้างหน้าเหมือนจะลงเหว เธอยังจะพาตนเองไปอยู่ที่ตรงนั้นอีกหรือ คิดสะระตะ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นชื่อของนุ่มนิ่มโชว์จึงออกไปรับพูดคุยเพียงเล็กน้อยไม่ได้เจาะจงรายละเอียดมากนักหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็รีบเข้าห้องเพื่อวางแผนในการหาเงิน การมีลูกค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงลำพังเงินเดือนไม่กี่พันคงไม่พอใช้และถึงจะเอาเงินเดือนของพณณกรมารวมด้วยก็ไม่แน่ใจว่าสามารถใช้จ่ายเพียงพอในหนึ่งเดือน การลาออกจากพนักงานเสิร์ฟไม่ใช่ทางดีสักนิดในเมื่องานนั้นให้เงินดีไม่แน่ถ้าเธอขยันจนได้เลื่อนตำแหน่งอาจมีเงินเดือนหลายหมื่นแต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหนสุดแท้แต่จะคาดเดา คงต้องใช้ความพยายามเข้าช่วย กว่าคืนนั้นจะผ่านไปบุลลาก็ใช้เวลากว่าค่อนคืนเพื่อวาดแผนอนาคตของตนและเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดยามเ
๑๘เส้นขนานมันไม่ง่ายสักนิดที่ต้องมองคนคนรักไปกับผู้หญิงคนอื่น หัวใจเหมือนโดนพรากไปพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาทันที อาบใบหน้าจนเปรอะเปื้อน ไม่เคยคิดว่าตนเองจะโดนทิ้งในวันที่เริ่มตั้งครรภ์ อยากเอ่ยปากบอกเขาทุกอย่าง แต่เพราะทิฐิทำให้จำเงียบเอาไว้ถึงจะรั้งไว้แค่ไหนถ้าเลือกจะไป เขาก็ทิ้งหล่อนอยู่ดีอย่าทำอะไรให้ตนเองต้องอับอายไปมากกว่านี้เลย แค่เกาะเขากินทั้งยังให้ใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อก็หน้าอายเกินทนแล้ว เขาดูถูกจนไม่เหลือศักดิ์ศรีให้ภาคภูมิใจ พอได้แล้วบัว..เขาไม่ใช่ผู้ชายเธออีกต่อไปแล้วเย็นวันนั้นบุลลาบอกแม่ว่าตนเองจะหย่าและบานเย็นก็ไม่ได้คัดค้านลูก ทำเพียงกอดปลอบบุตรสาวทั้งยังเอ่ยขอโทษที่ทำให้ชีวิตของบุลลายุ่งยาก หากนางไม่ขอให้รับผิดชอบ งานแต่งก็คงไม่เกิดบางทีบัวอาจได้ใช้ชีวิตปกติและข่าวลืออาจซาไปเอง ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งหมด"แม่ขอโทษนะบัว แม่ผิดเอง"ใบหน้าหวานส่ายเป็นพัลวันแล้วกอดมารดาเอาไว้แน่น"แม่ไม่ผิด บัวมันไม่ดีเองที่หาเหาใส่หัว อยากได้ผัวรวยจนตัวสั่น สุดท้ายก็โดนเขาทิ้ง" สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของบานเย็นจนบุรณีที่มองอยู่ห่างๆ เริ่มเบะปาก ค่อยเขยิบมากอดพี่สาวจากทางด้านหลัง"พี่บัวมี
๑๙เส้นทางที่ต่างหลายเดือนผ่านไปร่างที่เคยบอบบางกลับมีหน้าท้องยื่นออกมาและดูเหมือนว่าขนาดจะใหญ่กว่าปกติจนหลายคนทักท้วงเสี่ยกรรชัยเองที่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่โรงแรมเพราะกลับไปดูแลธุรกิจอยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากสาวใช้ที่คิดว่าเป็นของตายกลับหนีไปไม่ว่าจะควานหาตัวจนแทบพลิกแผ่นดินแค่ไหนกลับไม่เจอเลย ราวกับว่าเธอเป็นเพียงวิญญาณที่มีเพียงยมทูตเท่านั้นจะพบเจอ"บัว..ทำไมเธอ" วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังโรงแรมและเห็นพนักงานเสิร์ฟกลายเป็นคุณแม่จึงเอ่ยด้วยใบหน้าตกตะลึง"อ๋อ บัวท้องค่ะ" ตอบอย่างฉะฉานทั้งที่เมื่อก่อนเคยนึกอายแต่ละคนมองมาที่เธอทั้งสมเพช สงสารจนไม่กล้าสู้สายตาใครแต่เมื่อได้กำลังใจจากคนรอบข้างก็ตัดความคิดของผู้อื่นออก ตอนนี้เธอจะต้องมีความสุขเพื่อลูกในท้องจะได้สุขภาพจิตดีไปด้วย"ตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมฉันไม่รู้เลย" ล็อบบีโรงแรมกลายเป็นสถานที่พูดคุยชั่วคราวและเสี่ยใหญ่ก็นั่งลงตรงข้ามพนักงานของตนเองรอฟังเรื่องราวจากปากเล็ก"บัวท้องได้ห้าเดือนแล้วค่ะ เสี่ยจะรู้ได้ยังไงคะก็ไม่ค่อยอยู่โรงแรม"นั่นสินะ..เขามัวแต่ไปทำงานและตระเวนตามหาผู้หญิงที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าคมสลดลงทันที"
๒๐ตอกย้ำความเจ็บปวดหนึ่งปีผ่านไปถึงเวลาจะเปลี่ยนแปลงแต่เมืองหลวงของประเทศไทยก็แทบไม่เปลี่ยนจากครั้งที่มาล่าสุด สัตวแพทย์หนุ่มที่ตอนนี้มีใบปริญญาทางด้านบริหารเพิ่มอีกหนึ่งใบพร้อมตำแหน่งใน บริษัทวิจิตร จำกัด (มหาชน) ซึ่งถึงแม้ไม่เข้าประชุมแต่ก็ส่งทนายเป็นตัวแทนไปทุกครั้ง เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกและมันสร้างเงินให้เขาพอจะซื้อเพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางกรุงสำหรับพักผ่อนแทนคอนโดเก่าร่างหนาที่เคยคล้ำแดดจากการตรากตรำทำงานกลางแจ้งเริ่มขาวขึ้นเนื่องจากนั่งอยู่ในห้องแอร์อ่านเอกสารทั้งวันจนปวดกระบอกตาไปหมด ไม่เข้าใจตนเองทำไมจึงต้องมานั่งทรมานทำในสิ่งที่ไม่ชอบสักนิด ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินดูห้องใหม่ที่พึ่งซื้อในราคาร้อยล้าน เขาแค่อยากผลาญเงินตนเองเล่นเผื่อมันจะเป็นข้ออ้างไม่ต้องแต่งงาน..ใช่..อีกไม่กี่วันเขาต้องหมั้นกับไปรยาหัวใจหนักอึ้งจนอยากให้มันหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้นแต่สวรรค์คงไม่เห็นด้วยเพราะทุกวันนี้เขายังหายใจและกินอิ่มนอนหลับ สุขสบายเหลือเกินพร้อมทั้งคำรบเร้าจากผู้คนรอบข้างอยากให้กลับไปทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์รักษาชัยสิทธิ์ทว่าก็ทำได้เพียงผัดวันประกันพรุ่งแค่นั้น ไม่กล้าปฏิเสธอย่า
ตอนพิเศษ...พี่ตะวันกับน้องกระต่าย กำหนดการงานแต่งของลูกสาวเจ้าของไร่มีขึ้นสองเดือนข้างหน้า หล่อนตื่นเต้นยกใหญ่เตรียมงานแต่เนิ่นโดยมีมารดาคอยให้คำแนะนำ ต่างจากบิดาที่มักพูดว่าถ้ามันยากมากก็ไม่ต้องแต่งหรอกลูก พ่อไม่ได้อับอายสักนิดถ้าจะยกเลิก ทำเอาทั้งลูกทั้งแม่ต้องเล่นงานคนเป็นพ่อจนแทบไม่สามารถเข้าบ้านได้ ภูตะวันออกมาทำงานแต่เช้า เห็นว่าวันนี้มีกองละครมาถ่ายทำที่ไร่ ระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ จึงได้จองทั้งไร่รุ่งอรุณและรีสอร์ทของไร่ที่สร้างมาสิบกว่าปี เป็นบ้านหลังเล็กอยู่ได้ประมาณสี่ถึงห้าคน ยาวเรียงกันกว่าสิบหลังทำให้เพียงพอต่อความต้องการ ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อม่อฮ่อมและกางเกงขาดเข่า หมวกสานปีกกว้างป้องกันใบหน้าคมจากแดดทำเอาคนมองแทบไม่รู้ว่าเป็นลูกชายเจ้าของไร่ที่จะมารับกิจการต่อจากบิดา การต้อนรับคนจากข้างนอกไม่ใช่งานของตนเองอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจคนที่มาจากกองละครมากนัก ช่วงนี้ส้มกำลังออกผลเต็มต้นต้องเร่งตัดส่ง ส่วนมากจะวางขายในห้างสรรพสินค้าและส่งออกต่างประเทศ มีขายหน้าไร่บ้างและก็นำไปแปรรูป จะไม่มีผลไม้ตกค้างในสวนให้เน่าทิ้งหรือเสียเปล่า
ตอนพิเศษ...ตะวันและหนูจันทร์เสริมทัพด้วยคีรินทร์ เอกสารขออนุญาตถ่ายละครที่ไร่รุ่งอรุณถูกยื่นให้ร่างสูงซึ่งก้าวเข้ามาในสำนักงาน มือหนาคว้าไปอ่านอย่างละเอียดค่อยจรดปลายปากกาลงไปแล้วส่งกลับพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาสาวเจ้าเขินม้วนไม่ชินกับความอบอุ่นที่ลูกชายเจ้าของไร่มอบให้สักที ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน ช่างแตกต่างจากคนเป็นพ่อเหลือเกิน ราวกับว่าได้ลุงธีมาเต็มๆ เสียแต่ว่าการแต่งตัวที่ออกจะมอซอไปสักเล็กน้อย หากเป็นคนนอกก็คงคิดว่าชายหนุ่มคือคนงานทั่วไป ไม่ใช่ทายาทเจ้าของไร่แสนใหญ่โตแห่งนี้ เดินไปหยิบเอกสารสำหรับจัดงานฉลองประจำปีของไร่ เขาต้องไปพูดคุยกับนายอำเภอ ทั้งไปหาเกษตรอำเภอสอบถามเกี่ยวกับการปลูกผลไม้เมืองหนาวทั้งที่อากาศจังหวัดนี้ร้อนแทบทั้งปี “พี่ตะวัน!” สะดุ้งเมื่อมีมือมาจับที่ไหล่พร้อมตะโกนเสียงดังข้างหู พอหันไปก็พบน้องชายตัวแสบที่ยิ้มหน้าแป้นแล้น ภูตะวัน วิจิตรประภา ชายหนุ่มรูปงามแห่งไร่รุ่งอรุณ ใบหน้าคมคายได้พ่อมาเต็มๆ ส่วนนิสัยนั้นอ่อนโยนจนคนงานผู้หญิงพากันทอดสะพานให้เต็มที่ หวังเป็นนายหญิงของไร่แห่งนี้ โดนขายขนมจีบไม่เว้นวันก
พิเศษ...ไปรยา ชนาธิปความรักสำหรับคนอื่นคือใครเขาไม่รู้ แต่สำหรับผู้ชายที่ไม่เคยมีใครมองจนได้เพียงแค่หวังว่าวันหนึ่งจะมีผู้หญิงมองเห็นตัวเองบ้าง และวันที่เข้ากิจกรรมของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ครั้งแรกหัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นร่างบางเดินผ่านวินาทีนั้นเหมือนมีแสงสว่างส่องไปทั่วร่างของเธอจนสายตาเขาพร่าไปหมด ออร่าที่แสบตาจนไม่อาจมองได้ต้องหันหน้าไปทางอื่น พลันหล่อนกลับเดินมานั่งข้างเขาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง“สวัสดี อืม ชื่อฟลุ๊คเหรอ เราหนึ่งนะ” ใบหน้าหวานก้มมองป้ายชื่อของเขาแล้วส่งยิ้มทักทาย“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หลังจากนั้นเธอก็หันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นปล่อยเขาแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว และสังเกตเห็นว่าดวงตากลมโตมักจะชอบวนเวียนอยู่ที่ผู้ชายมาใหม่คนหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอและเป็นชายซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เป็นที่หมายปองของหญิงสาวคนอื่นพณณกร วิจิตรประภาทายาทตระกูลดัง นอกจากจะหน้าตาดียังฐานะร่ำรวยอีกต่างหาก เขาได้แต่เก็บความอิจฉาไว้ภายในใจเฝ้ามองไปรยาที่แอบรักข้างเดียวด้วยความเสียใจ อยากจะเข้าไปปลอบยามหญิงสาวร้องไห้ก็ไม่กล้าจนกระทั่งฟ้าเป็นใจงานเลี้ยงสายรหัส
๗หลังจากที่ผ่านค่ำคืนแสนหวานคู่สามีภรรยาก็นอนกอดกันอยู่ภายในมุ้ง แขนแกร่งกระชับเอวบางจนแผ่นหลังเธอชิดอกเขา ดมความหอมจากกลุ่มผมนุ่มสลวยก่อนที่บุลลาจะพลิกตัวมาเพื่อซบใบหน้าที่แผงอกหนาพร้อมพรมจูบไปทั่วและนั่นทำให้สัญชาตญาณเสือร้ายผุดออกมาทันที เขาขึ้นคร่อมเธอเอาไว้จับกดพร้อมกับพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นผืนน้ำ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่ชายหญิงคู่นี้กลับผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่ยอมแพ้กันและกันไม่บ่อยนักที่จะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ปลดปล่อยอารมณ์โดยไม่ต้องกลัวลูกได้ยินหรือตื่นตอนดึก พวกเขาทำตามใจปรารถนาไม่สนว่าใครจะได้ยินหรือไม่ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้เก็บเสียง ยิ่งเมื่อคืนที่พณณกรโยกตัวจนเตียงเกือบหัก บ้านแทบพังทำเอาบุลลาต้องตีเขาไปหลายรอบในความบ้าระห่ำ จนชายหนุ่มถามกลับว่าใครเล่าที่เรียกร้องหล่อนจึงปิดปากเงียบก็เธอเป็นคนร้องขอให้เขาเพิ่มแรงขึ้นอีกแท้ๆ จะว่าได้อย่างไรเล่า“อือ พอแล้วค่ะ” ลุกขึ้นมาทำอาหารยามสายไว้รับประทานกันสองคนโดยมีร่างสูงคลอเคลียอยู่ด้านหลังไม่ห่าง เสื้อยืดตัวเล็กและกางเกงขาสั้นที่เตรียมมาถูกสวมบนร่างกายทว่าไม่มีชั้นในปกปิดเลยสักชิ้นและตอนนี้มือหนาก็กำลังเลื้อยเข้าไปภายใต
๖การไปพักผ่อนครั้งนี้แม้แต่ตัวหญิงสาวเองก็ยังไม่รู้จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบท่าเรือก่อนคุณลุงคนขับรถจะลงไปยกกระเป๋าด้านหลังออกมา ดวงตากลมโตมองเรือที่เทียบท่าก็ตาลุกวาวเพราะเคยเห็นจากในละครเท่านั้นไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ด้วยตาของตนเอง แถมที่หัวเรือยังเขียนชื่อของบริษัทใหญ่ ตระกูลดังเอาไว้อีกด้วย พณณกรถือกระเป๋าเดินมาคว้ามือภรรยาเอาไว้แล้วบังคับให้เดินตามมาไม่บอกกล่าวอะไรสักนิด“มีแต่เรือหรูๆ ทั้งนั้นเลย” พึมพำเสียงเบาขณะที่คิดได้ว่าสามีของตัวเองก็เป็นคนในตระกูลดังเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีเรือของบ้านเขาจอดไว้น่ะสิคิดพลางยิ้มกริ่มเมื่อวาดภาพว่าตัวเองจะต้องได้นั่งจิบไวน์อยู่บนเรือหรู มองท้องฟ้าสีคราม ผืนน้ำสีน้ำเงินด้วยความสุขแน่นอุรา ยอมเดินตามแรงดึงจนกระทั่งผ่านพ้นเรือหรูมาลำแล้วลำเล่าก็เหมือนจะไม่ถึงสักที ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งตามอารมณ์“จะเดินไปถึงมาเลเซียเลยไหมคะ” อดประชดไม่ได้จนคนนำหน้าหันมายิ้มที่ภรรยาเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะตั้งเมื่อคืนหล่อนเอาแต่กอดเขาแน่นทั้งยังตอนเช้าที่มองตามตาละห้อย ต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลากลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายอย่างไม่
๕บุลลากำลังเล่นกับฝาแฝดทั้งสองโดยมีเหล่าแม่บ้านคอยช่วยเหลือเนื่องจากหลงเสน่ห์ของเด็กน้อย อันที่จริงคุณดาริกาก็ชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เมืองกรุงแต่เพราะงานรัดตัวที่ไร่ ทั้งยังเป็นห่วงมารดาที่เริ่มแก่ตัวลงทุกวันจำต้องปฏิเสธไป ตอนนี้เธอติดไร่มากกว่าแสงสีในเมืองหลวงเสียแล้วแต่ถ้าพณณกรจะกลับมาอยู่ที่นี่หล่อนก็คงตามมาด้วยเพราะไม่สามารถแยกจากสามีได้อีกแล้ว ในขณะที่กำลังมองดูบุตรสาวสิ่งไล่กับพี่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เบอร์แปลกที่โชว์หราทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที หลังจากที่ลาออกจากงานก็ไม่ค่อยมีใครโทรมาทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่าปลายสายคือใครร่างบางแยกตัวออกไปรับโทรศัพท์ "สวัสดีค่ะ"'ว่าไงบัว ไม่เจอกันนานสบายดีไหม' เสียงเข้มที่เอ่ยทักทายทำเอาหล่อนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมเพราะจำน้ำเสียงไม่ได้"เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ" ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หรือจะเป็นลูกน้องเก่าที่โรงแรม ไม่อย่างนั้นก็น่าจะเป็นคุณรวี ทว่าฝ่ายนั้นแทบไม่ได้ติดต่อมาเลยตอนนี้เห็นว่าโดนทางบ้านจับแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย'อะไรกัน จำเสียงแฟนเก่าไม่ได้หรือไง' เอ่ยเพียงเท่านั้นใบหน้าคมก็ชัดวาบ
๔ท้องฟ้าทาทับด้วยสีดำสองร่างที่นอนกอดก่ายกันจึงตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงโทรศัพท์แผดดังลั่นห้อง มือหนาควานหาเสียงเจ้าปัญหาพบว่ามารดาเป็นคนโทรมา หากเป็นคนอื่นคงโดนสัตวแพทย์หนุ่มด่าเปิงแล้วแต่เพราะเป็นมารดาที่เคารพจึงค่อยยันกายลุกขึ้นนั่งปล่อยให้ร่างเล็กนอนหลับ"ครับแม่" เขาลุกขึ้นสวมกางเกงชั้นในก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่างแล้วค่อยรับสายพลางเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ'วันนี้กลับบ้านไหม' ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว"คงไม่กลับครับ ยังไงฝากเด็กแฝดด้วยนะแม่" เขากะจะพาภรรยาไปเดินเล่มริมหาดแล้วใช้เวลาด้วยกันสองคนสักหน่อย'เดี๋ยวแม่ดูให้' ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงเล็กแทรกขึ้นมาก่อนจนเผลอยกยิ้มอย่างเอ็นดู ท่าทางศศินาจะป่วนบ้านเสียแล้ว'พ่อขา ไหนบอกจะพาไปเคเค' โวยวายทันทีหากอยู่ตรงหน้าคาดว่าบุตรสาวคงกำลังยกมือขึ้นกอดอกแล้วยู่ปากทำท่าทางขัดใจเป็นแน่"พ่อขอโทษนะลูก เดี๋ยวกลับไปจะไถ่โทษนะ" พยายามทำให้ปลายสายอารมณ์ดีซึ่งจันทร์เจ้าก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกทันที'ค่ะ กลับมาต้องพาไปเคเคนะ' "ครับ" คุยกันอีกสักพักจึงวางสาย ร่างสูงเดินไป
๓แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาภายในห้องที่เคยมืดทึบให้สว่างจนคนที่กำลังหลับใหลต้องลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองที่ข้างกายซึ่งว่างเปล่าและเย็นชืดทำให้รู้ว่าหล่อนคงลุกจากเตียงนอนไปนานแล้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีพลางมองหาโทรศัพท์ที่บุลลามักจะเอาไว้บนห้องเสมอก็ไม่พบไหนจะกระเป๋าหรือของสำคัญบางอย่างกลับสูญหาย"ไปไหนวะ" เกาศีรษะด้วยความเครียดแล้วรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวโดยใช้เวลาเร็วที่สุดในชีวิต เมื่อคืนพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันเลยและร่างบางยังนอนหันหลังให้ไม่สนใจสักนิดว่าสามีต้องนอนตาแข็งทั้งคืนเพราะได้แต่มองทว่าจับต้องไม่ได้เลย"พ่อจ๋า" ร่างสูงของสัตวแพทย์หนุ่มเดินลงมาข้างล่างลูกสาวก็โผเข้ากอดขาทันทีจนต้องย่อตัวลงไปอุ้มขึ้นมา แก้มกลมมีซอสเลอะจนต้องเอามือเช็ดออกให้พลางอมยิ้มอย่างเอ็นดู ไม่เคยคิดว่าจะรักเด็กกระทั่งวันที่มีลูกเขาเลยรู้ว่าอีกครึ่งชีวิตที่เหลือนอกจากให้บุลลาแล้วก็มอบให้ลูกสาวและลูกชายจนหมดอานุภาพของคำว่าพ่อช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน"ว่าไงคะ" เอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน หากเป็นแต่ก่อนไม่มีเสียหรอกที่คนอย่างนายพณณกรจะมาพูดจาคะขากับผู้หญิง แต่ตอนนี้เห็นจะมียกเว้นก็คือบุตรสาวคนเดียวเนี่ยแหละ ต่อให้จะ
๒และแล้ววันงานเลี้ยงรุ่นก็มาถึง สองแฝดอยู่ในความดูแลของคุณปู่คุณย่าทำให้เบาใจไปได้เปราะหนึ่งทว่าคนเป็นแม่ก็อดจะห่วงลูกไม่ได้ กว่าจะออกจากบ้านก็ใช้เวลาพอสมควรในขณะที่ใบหน้าคมก็จ้องภรรยาไม่วางตาเนื่องด้วยความสวยที่ยิ่งอายุเยอะกลับผุดผ่องยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีกคิดแล้วก็หวงหนักกว่าเดิมไม่อยากให้ใครได้มองหรือเชยชม บางทีเขาอาจจะต้องคิดเรื่องให้บุลลาอยู่แต่บ้านอย่างเดียวเสียแล้ว ระหว่างติดอยู่บนถนนหล่อนก็เอ่ยถามเรื่องสมัยเรียนของเขาบ้างจึงได้รู้ว่าพณณกรเข้าศึกษาที่โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังของประเทศ“พี่ฉลาดขนาดนั้นเลยเหรอ” มองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักจนเขาต้องเพิ่มความมั่นใจด้วยคำบอกเล่า“เกรดเฉลี่ยพี่ไม่เคยต่ำกว่าสามจุดห้านะครับ สอบเข้ามหาวิทยาลัยคะแนนก็ติดท็อปสามนะ” อวดจนหล่อนต้องส่ายหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง“อะไร ไม่เชื่อเหรอ”“มันเหลือเชื่อยิ่งกว่านาซ่าส่งคนไปดาวอังคารอีก” ร่างสูงโคลงศีรษะแล้วยกมือขึ้นโยกหัวอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผมเสียทรง“ดูถูกกันเกินไปแล้ว” การกระทำเล็กน้อยแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นทำเอาบุลลาแอบใจเต้นแรงทั้งที่เป็นสามีภรรยาอันที่จริงพวกเขาใช้ชีวิตด้วยกันเพียงแค่สามเดือน