แชร์

๑๓ รุนแรง

๑๓

รุนแรง

สัตวแพทย์สาวสวยเดินออกจากคลินิกของตนเองเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งหลังหมดเวลาตรวจ ใบหน้าหวานมีแววครุ่นคิดตลอดการเดินทางกลับบ้านเนื่องจากมีคนมาเล่าให้ฟังว่าพบพณณกรเดินควงกับผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่จตุจักรเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาจึงทำให้จิตใจของหล่อนว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็น

ไม่มีทางที่ร่างสูงจะมาเมืองหลวงแล้วไม่โทรบอกเธอแน่ บางทีคนนั้นอาจตาฝาดทว่าเมื่อโทรศัพท์ไปหวังถามไถ่ก็ไม่มีการตอบรับจากชายที่เธอแอบรัก เพียรกดกว่ายี่สิบสายก็เหมือนเดิม

ยิ่งคิดมือก็สั่นเพราะความกลัวเริ่มคืบคลานมาช้าๆ ถ้าเขามีคนอื่นเธอจะทำอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาพณณกรอยู่ตัวคนเดียว อาจมีบางครั้งที่นอนกับคนอื่น ทว่ามันก็แค่ชั่วคราว ไม่ได้จริงจังถึงขั้นลงหลักปักฐาน แล้วคนนี้จะเหมือนกันไหม

ทำไมถึงพาไปเดินจตุจักรทั้งที่ปกติหากมาบ้านเกิด ถ้าเธอไม่ชวนเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่คอนโดหรือไม่ก็ทำธุระเกี่ยวกับไร่เท่านั้น ไหนจะครั้งที่เห็นอีกฝ่ายซื้อสร้อยคอโดยอ้างว่าเพื่อนฝากซื้อ คิดแล้วก็รู้สึกหายใจไม่ออก ต้องทุบที่อกหวังระบายความอึดอัดที่เหมือนมีหมอกมาคลุมทั่วรถ

"ฮัลโหลธี ว่างคุยหรือเปล่า" ในเมื่อติดต่อคนเป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องเจ็บปวดไม่ได้ก็โทรหาเพื่อนชายซึ่งอยู่ด้วยกัน

'คุยได้ หนึ่งมีอะไรเหรอ' รู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนสนิทสนม แต่ชลธีก็ยังพูดสุภาพทุกครั้งอย่างหนุ่มตระกูลผู้ดีอันได้รับการอบรมจากครอบครัวมาตลอด

"ตอนนี้เอิร์ธเขามีใครไหม" เข้าประเด็นจนปลายสายเงียบไปและนั่นก็สร้างความกังวลให้หล่อนเป็นเท่าทวี เพื่อนคนนี้ไม่เคยโกหกสักครั้งแล้วที่เงียบไปหมายความว่าอย่างไร

'ผมว่าหนึ่งถามไอ้เอิร์ธเองดีกว่า'

ประโยคบอกปัดยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ไปรยาว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอนและหากเค้นเอาความจริงกับเจ้าของไร่ผิวขาวก็คงไม่ได้ความ ถึงจะไม่โกหกแต่ก็ปิดบังจนไม่สามารถถามเอาความจริงได้

"เราโทรหาเอิร์ธไม่ติดเลย ถ้าเจอเขาบอกให้โทรกลับหาเราได้ไหม"

น้ำเสียงกังวลของเพื่อนทำเอาคนน้ำท่วมปากจำต้องรับคำเพราะความสงสาร

'มันติดงานถ้ากลับมาแล้วเราจะบอกให้โทรกลับหาหนึ่งนะ'

"ขอบคุณมากค่ะธี" วางสายไปแล้วจ้องมองไฟแดงนิ่ง เธอคิดว่าตนเองเดินเคียงข้างเขามาโดยตลอด ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะเข้าใกล้พณณกรได้และชายหนุ่มก็คงไม่มองใคร

แต่แล้วทุกอย่างก็ทำท่าจะพังลงมาเพียงเพราะมีคนเห็นร่างสูงเดินเคียงข้างหญิงสาวปริศนาท่าทางมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ อยู่กับเธอแค่ยิ้มยังยากเลย จะมีเพียงสัมพันธ์ทางกายที่เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปมัดตัวเขาไว้กัน ถึงใจจะไม่อยู่ขอแค่ตัวก็ได้

เธอยอมให้เขาหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ

รถมินิคูเปอร์ขับเข้ามาจอดยังโรงรถของบ้านแล้วลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรงจนกระทั่งได้เห็นหน้ามารดาซึ่งกำลังเตรียมอาหารจึงพุ่งเข้าไปกอดทันที ทำเอาคุณผู้หญิงของบ้านชะงักมือจากสิ่งที่ทำ หันมามองใบหน้าของบุตรสาวเพียงคนเดียว

“เป็นอะไรลูก หน้าซีดเชียวงานหนักหรือ” เอ่ยถามนึกเป็นห่วง

จนไปรยาต้องส่ายหน้าพลางอมยิ้ม

“ไม่หนักค่ะ หนึ่งแค่คิดถึงแม่แล้วก็คิดถึงกับข้าวแสนอร่อยของแม่เท่านั้นเอง” อ้อนจนท่านผู้หญิงส่ายหน้าในความช่างเจรจาไม่เปลี่ยน ตั้งแต่เด็กเป็นอย่างไรโตขึ้นก็เป็นอย่างนั้น

“ถ้าคิดถึงก็ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าวเย็น วันนี้พี่ชายเราก็กลับบ้านจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา”

พยักหน้าแล้วผละออกไปทันทีปล่อยให้มารดาจัดการที่เหลือ

โต๊ะอาหารทรงกลมที่ห้องอาหารถูกจับจองจนเต็มเพราะวันนี้บุตรชายสองคนกลับมาบ้าน ทั้งที่ปกติแทบไม่มาให้เห็นหน้า บรรยากาศเดิมกลับมาจนมีเพียงเสียงหัวเราะ

กระทั่งพี่ชายคนโตอย่างปวีร์หันมาเห็นใบหน้าน้องสาวคนเล็กมีแววกังวลจึงได้ถามเพราะเป็นห่วง

“ทำไมวันนี้ไม่สดใสเลยหนึ่ง มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” คุณหมอมือหนึ่งทางด้านหัวใจถามเสียงเรียบ

ขณะที่มือบางชะงักไปเล็กน้อย จนประมุขของบ้านจับสังเกตได้และมีเพียงไม่กี่เรื่องที่ทำให้บุตรซึ่งท่านภาคภูมิใจต้องเครียด

..หากไม่ใช่งานก็คงเป็นเรื่องหัวใจ

“เปล่าค่ะ หนึ่งแค่เหนื่อย” ถึงปากจะตอบแบบนั้นทว่าดวงตากลับหม่นหมองลงจนพี่ชายคนโตต้องหันไปสบตากับปกรณ์

“แล้วเรื่องแฟนของเราเมื่อไหร่จะพาเข้ามาหาพ่อสักที พวกพี่ก็รออยู่เหมือนกันนะ”

เหมือนลำคอตีบตันไปทันทีเมื่อปกรณ์เอ่ยถึงพณณกรที่ครอบครัวเข้าใจว่าชายหนุ่มคือคนรักทั้งที่ความจริงแล้วระหว่างเธอกับเขามีสถานะเป็นเพียงคู่นอนเท่านั้น

“ช่วงนี้เอิร์ธเขายุ่งค่ะ ไร่ยังไม่เข้าที่ถ้าว่างเมื่อไหร่หนึ่งจะชวนเขามาบ้านทันทีเลย”

ปวีร์ไม่ใคร่ชอบใจแฟนของน้องสาวด้วยรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ทั้งยังทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา ไม่เข้าตามตรอกออกตามประตูลักลอบพบกันในที่ลับ ไม่รู้น้องสาวสึกหรอไปแค่ไหนแล้ว

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ

“ถ้าว่างก็พาเข้ามา” ประมุขของบ้านตัดบทเพราะเห็นท่าไม่ดีกลัวจะทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเครียดไปด้วย กว่าจะว่างตรงกันมีไม่บ่อยนัก ปวีร์เองก็มีผ่าตัดทุกวัน ลากยาวไปถึงเที่ยงคืนก็มี จึงอาศัยอยู่คอนโดใกล้สถานที่ทำงาน ไม่ค่อยว่างกลับบ้าน

ปกรณ์เองก็เช่นกันเพราะบริษัทกำลังก่อร่างสร้างตัวจึงรับงานทุกอย่าง ทำเอาแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหนจนกระทั่งวันนี้ที่มารดาขอให้กลับมาบ้าน จึงต้องเคลียร์งานแล้วทำตามคำสั่งของผู้ให้กำเนิดมานั่งท่ามกลางพี่น้อง

ตระกูลรักษาชัยสิทธิ์มีการเลี้ยงดูลูกที่เข้มงวดจากฝั่งบิดาและได้รับความอบอุ่นจากมารดา ชื่อเล่นของบุตรแต่ละคนล้วนตั้งเพื่อต้องการให้เป็นที่หนึ่ง ปวีร์มีชื่อเล่นว่าเฟิร์ส ส่วนปกรณ์คือท็อปและบุตรสาวคนสุดท้ายที่หวงหนักหนาอย่างหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง กวาดเกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์มาให้ชื่นชมทุกเทอม จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง ทั้งหมดสร้างความภาคภูมิใจแก่บุพการียิ่งนัก

แต่ตอนนี้จะเป็นห่วงก็แต่เรื่องคู่ครองที่ไม่มีทีท่าว่าจะออกเรือนสักคน ปวีร์ไร้วี่แววว่าคบกับใครมีเพียงงานที่เป็นหนึ่งในใจ ส่วนปกรณ์ก็คบไปทั่วจนกลัวจะทำใครเขาท้องไม่ก็ติดโรคเข้าสักวันต้องปรามให้เพลาลง ไปรยาเองก็คบผู้ชายเพียงคนเดียวตั้งแต่เรียน หลายปีมาแล้วก็ไม่มีทีท่าจะพัฒนาจนเริ่มหนักใจ

“คุณพ่อคะ แผนโรงพยาบาลสัตว์ที่วางไว้ถึงไหนแล้วคะ”

“อีกไม่นานก็คงเปิดให้บริการ เหลือเก็บรายละเอียดเล็กน้อยภายในเล็กน้อยนี่พ่อก็เปิดรับสมัครสัตวแพทย์หลายอัตรา”

โรงพยาบาลสัตว์รักษาชัยสิทธิ์ถือเป็นโครงการใหญ่ที่คุณมนตรี รักษาชัยสิทธิ์ลงทุนเพราะเห็นถึงเม็ดเงินจากกลุ่มสัตว์เหล่านี้ บรรดาคุณนาย ไฮโซหรือเหล่าดาราเซเลบรีตี้ทุ่มเงินเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงแล้วค่าใช้จ่ายก็สูงเหลือเกิน แค่ค่ายาก็พันกว่าหากลงทุนก็คงไม่เสียแรงเปล่า

“ลูกก็เข้าไปทำด้วยนะ พ่ออุตส่าห์บอกหุ้นส่วนว่าหนูจะเข้าทำงานที่นั่น”

“ค่ะ” ตอบรับสั้นก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารด้วยใบหน้าหม่นหมอง

จนคุณปภาวรินทร์ผู้เป็นมารดาต้องหันไปมองสามี

“ช่วงนี้พ่อเห็นลูกทำงานหนัก ยังไงหยุดสักเดือนไปพักผ่อนดีไหม ที่ไร่ของแฟนลูกก็ได้ พ่ออนุญาต”

ได้ยินอย่างนั้นใบหน้าที่เคยหมองก็ส่องประกายสดใสจนต้องลุกขึ้นไปกอดบิดาจากทางด้านหลังพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

จนพี่ชายทั้งสองต้องส่ายหน้า

“ขอบคุณนะคะพ่อ หนึ่งรักพ่อที่สุดเลย”

ปวีร์ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก ทำท่าจะแย้งแต่เมื่อสบตามารดาก็จำต้องเงียบไว้ ราวกับว่าท่านตกลงกันเรียบร้อยทั้งสองคน

“ยิ้มเชียวนะน้องสาว” ปกรณ์แซวอย่างหมั่นไส้

ทว่าน้องสาวไม่สนใจเมื่อผละจากบิดาก็เดินออกห้องอาหารทำเอาคนเป็นแม่ต้องเรียก

“นั่นจะไปไหนลูก ไม่กินข้าวเหรอ”

“อิ่มแล้วค่ะหนึ่งจะไปจัดกระเป๋า ขอตัวแล้วกันนะคะ” มีเพียงเสียงตะโกนเพราะเจ้าตัววิ่งขึ้นบ้านไปเตรียมตัวเดินทางแล้ว ใจดวงน้อยล่องลอยไปยังชายผู้เป็นเจ้าของมัน

ในขณะที่พี่ชายคนโตกลับนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะไม่ชอบว่าที่น้องเขยสักนิด เขาหวงน้องสาวอาจเพราะอายุที่ต่างจึงคิดว่าไปรยาเหมือนลูกสาวของตน เลี้ยงมาเองกับมือยามบิดามารดาไม่ว่าง พอเห็นหล่อนรักใครจริงจังก็อยากช่วยสแกนผู้ชายให้และเขาเห็นว่าพณณกรไม่ผ่านสักนิด ไร้ความจริงใจ ไม่มีมารยาท ไม่เข้าใจน้องรักได้อย่างไร

ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าบางทีความรักก็ไม่มีเหตุผลหรอก แค่รัก..เท่านั้นเอง

บุลลาไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ ยกเว้นนุ่มนิ่มที่กลายเป็นเพื่อนสนิทไปโดยปริยายอาจเพราะหญิงสาวค่อนข้างหัวอ่อนและไม่ค่อยโต้เถียงหล่อนเท่าไหร่อีกทั้งยังสามารถเก็บความลับได้ดีทำให้กลายเป็นที่ระบายเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้

“จะไปไหน” วันเสาร์ที่ควรหยุดทว่าภรรยากลับลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าจนร่างสูงที่งัวเงียลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงเอ่ยถามเสียงแหบเพราะยังไม่ตื่นเต็มตา

“ฉันจะเข้าไปซื้อของกับนิ่ม น่าจะกลับค่ำๆ” วันนี้ใช้ข้ออ้างซื้อของแต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะใช้ข้ออ้างอะไรคนตัวสูงจึงจะเชื่อ

“เธอเพิ่งไปซื้อวันก่อนไม่ใช่เหรอ” เลิกคิ้วถาม

ขณะที่คนโดนจับโกหกได้ก็มีท่าทีเลิ่กลั่กแล้วมากอดเอวหนาอย่างออดอ้อน

“วันนั้นซื้อของใช้แต่วันนี้จะไปซื้อชุดสวยๆ มาใส่ นะคะพี่เอิร์ธ ขอไปนะคะ” เจอลูกอ้อนแบบนี้คนอย่างนายพณณกรมีหรือจะไม่ยอม จำต้องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้แต่ก่อนไปก็จูบอรุณสวัสดิ์กันก่อนเกือบเลยเถิด ดีที่ร่างบางรีบผละออกแล้วเดินไปรอเพื่อนสนิทที่ทางระหว่างออกจากไร่

หล่อนรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับไปทำงานอีกครั้ง ระหว่างทางจึงพูดคุยเพื่อนอย่างออกรสก็ได้ความมาว่านุ่มนิ่มเองถูกเปลี่ยนวันหยุดจากที่เคยทำทุกวันเว้นเสาร์ก็ให้มาทำวันเสาร์แล้วหยุดวันพฤหัสบดีแทนทั้งยังเปลี่ยนตารางการทำงานอีกด้วย อภิสิทธิ์นี้ทำเอาพนักงานคนอื่นต่างนำไปนินทากันว่าบุลลากลายเป็นเด็กเสี่ย

เมื่อถึงโรงแรมร่างสูงก็ออกไปต้อนรับเกินหน้าเกินตา ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วนจนหล่อนต้องขอร้องเขาเลิกดูแลตนเองอย่างนี้เสียทีเพราะไม่อยากโดนคนอื่นเขม่นไปมากกว่านี้ ซึ่งเสี่ยใหญ่ก็รับปากทว่าไม่รู้จะทำได้มากแค่ไหน

พณณกรลุกขึ้นอาบน้ำวันนี้มีตรวจสุขภาพของวัวจึงต้องเข้าฟาร์มแต่เช้า ออกจากห้องก็เห็นอาหารที่ภรรยาเตรียมไว้ให้เป็นแซนด์วิชชิ้นโตกับกาแฟเข้ม เขาคว้ามากินเพียงสามคำก็หมดพร้อมยกคาเฟอีนดื่มพร้อมสำหรับการทำงานในเช้าวันหยุด

ควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปยังคอกวัวที่มีคนงานคอยท่าสี่คน พร้อมกันนั้นยังมีแม่บ้านของไร่อย่างฟ้ามุ่ยยืนอยู่ด้วย ทว่าร่างสูงไม่ได้สนใจมุ่งไปที่งานของตนเอง

นำวัวเข้าซองเพื่อง่ายต่อการตรวจหรือรักษาโดยมีคนช่วยล้อมรอบ ท่ามกลางแดดเปรี้ยงยังมีลมพัดพอให้คลายความร้อนได้บ้างแต่เหงื่อก็ออกเต็มแผ่นหลังกว้าง จนหญิงร่างอวบต้องอมยิ้มเดินเอากระดาษทิชชู่มาซับหน้าให้

“ขอบใจ” เขาเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ พุ่งความสนใจไปยังงานที่ต้องการความแม่นยำจนกระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยจึงละมือจากสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าถอดถุงมือสำหรับการตรวจสัตว์ออก เหลือบมองผู้หญิงคนเดียวที่ยังยืนมองด้วยความสนใจ

เธอรับรู้ได้ว่ามีคนมองจึงหันไปสบตาก็เห็นความคุกรุ่นในแววตาคู่นั้นจนลอบกลืนน้ำลาย ข่าวที่จะมาบอกอาจเป็นหมันเมื่อร่างสูงทำท่าเหมือนจะเข้ามาขย้ำหล่อนเนื่องจากยืนเกะกะการทำงานจนฟ้ามุ่ยต้องทำใจดีสู้เสือ

“เอ่อ คุณเอิร์ธคะพอดีฟ้ามีเรื่องจะมาบอกคุณค่ะ” ค่อยเดินเข้าไปใกล้แต่ก็เว้นระยะห่างไว้เล็กน้อยเพราะกลัวทำอะไรไม่ถูกใจพ่อเจ้าประคุณอาจหลังแหวนใส่ก็เป็นได้

“ฉันไม่ว่าง เธอจะไปไหนก็ไป” บอกปัดทันทีนึกรำคาญใจเพราะไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะช่วยงานตรงไหนมายืนเกะกะเสียเปล่า

“แต่เรื่องที่จะบอกเกี่ยวกับบัวนะคะ”

จากที่คิดจะเดินหนีก็หยุดชะงักแล้วหันมามองผู้ร้ายในคราบคนดีด้วยแววตาใคร่รู้

“มีอะไรก็ว่ามา ฉันไม่มีเวลาให้เธอทั้งวันหรอกนะ”

ยังคงไว้มาดแต่การที่เขาหยุดฟังก็เพียงพอแล้ว ฟ้ามุ่ยรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วเปิดวิดีโอที่ถ่ายเก็บเอาไว้พร้อมเล่นส่งให้เขาทันที

และหลังจากนั้นใบหน้าคมที่เคยเรียบสนิทก็ขึ้นสีอย่างน่ากลัว ไอร้อนของร่างสูงทำเอาแม่บ้านสาวจำถอยห่างออกสองก้าวทั้งที่ใจก็กลัวว่ามือถือของตนอาจย่อยยับเพราะน้ำมือชายตรงหน้า ลอบกลืนน้ำลายเมือเห็นเขากำมือแน่น ขณะที่เสียงโดยรอบเริ่มเงียบหันมามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย

โอ้เห็นท่าไม่ดี ทำท่าจะเข้าไปห้ามแต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนก็ถูกเพื่อนสนิทคว้าไว้เสียก่อน หากเข้าไปตอนนี้หวิดเสียโฉมอย่างแน่นอน ดูจากใบหน้าเอาเรื่องของเจ้านายแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก แน่นอนว่ามันอาจจะใหญ่ระดับสึนามิ

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”

เป็นอย่างที่ฟ้ามุ่ยนึกกลัวเพราะโทรศัพท์ของเธอโดนทุ่มลงบนพื้นระบายความโกรธจนแตกละเอียด สร้างความเสียใจแก่เจ้าของจนทรุดลงนั่งมองอย่างไร้เรี่ยวแรง

คนงานที่คุมเชิงต่างพากันถอยหนีเมื่อเห็นดวงตาคมแข็งกร้าวก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วจุดหมายคือร้านเสื้อผ้าสักแห่งที่อยู่ในตัวอำเภอ

กัดฟันกรอดเมื่อคิดถึงภาพแสนหวานที่เหมือนโลกนี้มีเพียงสองคน ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่าเงินไม่กี่แสนไม่อาจรั้งให้บุลลาอยู่ข้างกายได้ ความต้องการของหญิงสาวมากกว่านั้นจนไม่สนใจว่าผู้ชายที่ควงอายุมากกว่าตนเองเกือบรอบ

เขาใช้ความเร็วขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามทางของไร่จนฝุ่นตลบ ความหึงมันเข้าตาจนแทบไม่สนว่าการใช้ความเร็วขนาดนี้หากเกิดอุบัติเหตุตนเองอาจไม่รอดชีวิต จนกระทั่งมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาและเขาขับรถกินเลนมายังอีกฝั่ง ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นรีบหักหลบลงข้างทางที่เป็นทุ่งหญ้ากว้าง

ความเจ็บแล่นไปทั่วกายแต่ดีที่เขาล้มตรงผืนหญ้าจึงไม่เป็นแผลมีเพียงความปวดจากรถล้มเท่านั้นก่อนที่เจ้าของรถมินิคันเล็กจะลงมาดูด้วยความเป็นห่วง

“เอิร์ธเป็นอะไรมากไหม หนึ่งขอโทษนะคะ”

ผู้หญิงที่ปรากฏกายตรงหน้าทำให้ร่างสูงเงียบสนิท ไม่คิดว่าหล่อนจะมาที่ไร่แห่งนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยเหยียบย่างมาด้วยซ้ำแต่วันนี้กลับเป็นคนขับมาเอง

“ตายแล้ว ข้อศอกคุณถลอก ไปทำแผลนะคะ เดี๋ยวหนึ่งพาไป” มองอย่างตกใจแล้วพยุงร่างสูงให้ลุกขึ้นประคองเขาไปที่รถยนต์ของตนเองขณะที่คนอารมณ์เสียไม่ได้ท้วงติงแต่อย่างใดหันมามองใบหน้าสวยอย่างขบคิดว่าควรทำอย่างไรกับเธอ

“คุณมาได้ยังไง” ระหว่างที่ร่างบางกำลังมองกระจกเพื่อกลับรถจึงเอ่ยถามทำลายสมาธิ

“คุณพ่อให้มาพักผ่อนค่ะ หนึ่งเลยมาหาคุณ”

ใช้เวลาไม่นานรถก็แล่นออกไปจากไร่รุ่งอรุณ ปล่อยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่านอนอยู่ข้างทางสร้างความสงสัยให้แก่ผู้ที่มาพบยิ่งนัก

แม้กระบุลลาที่เลิกงานเวลาบ่ายสาม หล่อนกลับมาพร้อมปอเปี๊ยะเจ้าดังที่ต้องไปต่อแถวยาวกว่าจะได้มา

หวังว่าเขาจะชอบและชดเชยที่หลอกเอาไว้ได้ ขณะที่ซ้อนท้ายนุ่มนิ่มเข้ามาในไร่ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของสามีตกอยู่ข้างทางโดยไร้เจ้าของ

“เดี๋ยวก่อนนิ่ม หยุดรถก่อน”

สัมผัสได้ถึงความร้อนรนในน้ำเสียงจึงหยุดรถ ปล่อยให้คนซ้อนท้ายลงจากเบาะแล้วรีบวิ่งไปยังรถของสัตวแพทย์หนุ่มซึ่งนอนอยู่ข้างทาง

..เกิดอะไรขึ้นกับพณณกรอย่างนั้นหรือ

“อ้าว รถคุณเอิร์ธไม่ใช่เหรอ” คนที่ตามมาถามอย่างสงสัย

“ใช่ แล้วเขาอยู่ไหน ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหม ฉันยังไม่ได้ซื้อ” จากที่ชายหนุ่มทำเครื่องมือสื่อสารหล่อนพังก็ไม่มีโอกาสได้ซื้อ อันที่จริงลืมไปแล้วด้วยซ้ำเพราะแต่ละวันชีวิตก็ไม่ได้อัพเดทอะไรมากแทบจะไม่มีคนโทรหาด้วยซ้ำ

ทว่าเมื่อนุ่มนิ่มยืนโทรศัพท์ให้ก็ชะงักเพราะเธอจำเบอร์ของอีกฝ่ายไม่ได้ กำมือแน่นด้วยความร้อนรนจนเพื่อนต้องเข้ามาจับมือ

“ใจเย็นก่อนนะบัว มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”

ใบหน้าหวานกังวลจนมือสั่น

“พาฉันไปบ้านคุณธีหน่อยสิ เขาอาจจะรู้ก็ได้”

..หวังว่าเจ้าของไร่จะไม่ออกไปไหนนะ

หล่อนรีบซ้อนท้ายนุ่มนิ่มไปยังบ้านของชลธี ในใจก็ภาวนาให้ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ดีที่ไม่เห็นหยดเลือดแสดงว่าชายหนุ่มคงไม่เป็นอะไร

..แล้วทำไมถึงทิ้งรถไว้อย่างนั้น..

คิดอย่างสงสัย

ในขณะที่คนเจ็บนั่งรอยาอยู่คลินิกในตัวอำเภอ

“ยาแก้ปวดแล้วก็ยาทาแผลค่ะ” ร่างบางจัดการเองทุกอย่างด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ทว่าคนเจ็บกลับไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้นตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวคือต้องการตามบุลลากลับมาพูดคุยกันให้รู้เรื่องว่ามันเป็นมาอย่างไร

“เรากลับกันเถอะค่ะ เอิร์ธจะได้พัก” ประคองร่างสูงทั้งที่จริงเขามีเพียงแผลถลอกและปวดที่ไหล่นิดหน่อยเท่านั้น

จนต้องขืนตัวออกห่างเล็กน้อย

“ผมไม่ได้เจ็บเท่าไหร่”

“แต่หนึ่งอยากช่วยนิคะ ให้หนึ่งได้ทำหน้าที่..เพื่อนบ้าง” กำลังจะพูดคำว่าแฟนแต่เมื่อเห็นแววตาคมมองมาก็เปลี่ยนสถานะให้ตนเองทันทีเพราะดูว่าเขาอาจไม่ชอบใจ บางทีก็นึกนับถือตนเองเหมือนกันที่รักพณณกรได้นานขนาดนี้

ทั้งที่เขาไม่มีท่าทีใดตอบกลับมาเลยและชัดเจนกับสถานะคู่นอนเสมอ

“ขอบคุณ” เห็นใบหน้าหวานเจื่อนก็รู้สึกผิดจึงเป็นฝ่ายเข้าไปโอบไหล่เล็กก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณที่หล่อนพาเขามา ทั้งที่จริงไม่ได้เป็นคนผิดสักนิด หากจะโทษก็คงเป็นตนเองไม่รู้จักระมัดระวังจนต้องเดือดร้อนคนอื่น

“ไปบ้านธีแล้วกันนะคะ หนึ่งจะได้เอากระเป๋าไปเก็บด้วย” เอ่ยขณะออกจากคลินิก

“ตามใจคุณ”

ไม่ได้ตอบกลับอีกปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น

รถคันเล็กขับกลับไปยังไร่รุ่งอรุณ ปลายทางคือบ้านหลังใหญ่ของชลธีใช้เวลาไม่นานก็ถึงจุดหมาย สายตาคมหันไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของนุ่มนิ่ม ก็รีบเปิดประตูลงไปแล้วปิดประตูเสียงดังจนไปรยาสะดุ้งแล้วรีบเดินตามเขาเพราะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุซึ่งโอบล้อมตัวชายหนุ่ม

และเมื่อเข้ามาก็ได้พบว่าบุลลากำลังนั่งคุยกับชลธีอยู่ห้องรับแขก ใบหน้าคมนิ่งขรึมพยายามข่มความรู้สึกทั้งหมดแล้วเดินไปกระชากที่ข้อมือเล็กให้ลุกตามแรงดึง

“โอ๊ย” คนไม่ทันตั้งตัวก็ลุกขึ้นเซไปซบแผงอกหนาของสามี

สร้างความตกใจให้แก่สายตาทั้งสามคู่ที่มองโดยเฉพาะไปรยาที่เห็นท่าทางสนิทสนมของชายคนรักก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ความกลัวที่กัดกินใจตลอดระยะทางที่มาไร่รุ่งอรุณกำลังร้องเตือนให้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่ข้อสันนิษฐาน

เพราะสิ่งที่เคยนึกกลัวมันเป็นความจริงต่างหาก

“อะไรกันเอิร์ธ ทำไมต้องรุนแรงกับคุณบัวด้วย” ชลธีลุกขึ้นเอ่ยถามเสียงขรึมเมื่อมองที่ข้อมือเล็กซึ่งแดงเถือกเป็นรอยนิ้ว

“มึงไม่ต้องยุ่ง” เขาใช้ประโยคสุภาพกับเพื่อนเล็กน้อยแล้วหันหลังเตรียมพาร่างเล็กออกจากบ้านหลังนี้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบตากับไปรยาที่ยืนนิ่ง ไม่ต่างกับบุลลาซึ่งจ้องผู้หญิงรูปร่างสะโอดสะองด้วยความสงสัยปนหวั่นใจ

ดูจากสายตาที่มองมายังสามีหล่อนไม่น่าไว้ใจสักนิด

“อ้าวหนึ่ง คุณมาได้ยังไง” ร่างสูงเดินไปหาเพื่อนร่วมคณะอย่างสนิทสนม

“มาพักผ่อนค่ะ ขออยู่ที่นี่สักพักได้ไหมคะ” ข่มความเจ็บปวดเอาไว้ยามมองมือหนาที่พันธนาการร่างเล็กเอาไว้ กลับไปตอบชลธีเสียงใส

“ได้ครับ ผมยินดีต้อนรับ”

ถึงจะพูดกับเจ้าของไร่ผิวขาวทว่าหล่อนกลับจ้องเพียงบุลลาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามก่อนจะมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน ไม่นึกว่าผู้หญิงที่ได้ยินข่าวลือจะดูบ้านขนาดนี้ เสื้อผ้าตามตลาดนัด ใบหน้าหาได้ดาษดื่นตามงานมอเตอร์โชว์ทั่วไป

คนถูกมองรู้สึกใบหน้าร้อนเห่อสัมผัสได้ถึงการดูถูกจนไม่ถูกชะตากับผู้หญิงตรงหน้า หล่อนพยายามเชิดหน้าทำเหมือนไม่สนใจ ดวงตาที่กำลังสแกนทั้งที่ความจริงหัวใจสั่นไหว

“เอิร์ธไม่คิดจะแนะนำให้หนึ่งรู้จักเธอเหรอคะ”

ไม่รู้ว่าหมอกควันมาจากไหนเพราะเมื่อคำถามนั้นจบลง บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเครื่องปรับอากาศ มันกดดันจนบุลลาหายใจไม่ออก หันไปมองใบหน้าคมที่นิ่งงัน แววตามีความไม่มั่นใจอยู่ในนั้น ก็นึกน้อยใจจนบิดข้อมือออกจากการจับของเขา

และมันหลุดอย่างง่ายดายราวเขาไม่ได้ใส่ใจจะจับ มัวแต่พุ่งความสนใจไปที่ใบหน้าสวยหวานจนผู้หญิงยังอิจฉา เสื้อผ้ายี่ห้อหรู มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของห้องเสื้อดังซึ่งเธอคงไม่มีวันได้ใส่แน่นอน

“ว่ายังไงคะ เธอเป็นใคร” ถามย้ำอีกครั้งจนพณณกรต้องยอมบอกอย่างจำนน

“นี่บัว ภรรยาของผม”

เพียงเท่านั้นเรี่ยวแรงที่มีก็หายไป จนชลธีต้องเข้าไปประคองเอาไว้แววตากลมโตคลอน้ำตาแต่อดกลั้นเอาไว้ ไม่ให้มันไหลประจานความโง่ ในขณะที่บุลลากลับชื้นใจเมื่อได้ยินสถานะของตนเองจากปากสัตวแพทย์หนุ่มที่บอกต่อหน้าผู้หญิงเพียบพร้อมคนนี้

..เธอยังสำคัญกับเขา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว”

ไม่มีใครห้ามปล่อยให้ทั้งคู่เดินไปยังโรงรถแล้วร่างสูงก็กดเปิดประตูรถยนต์ของตนเองที่ฝากชลธีเอาไว้ ลากคนตัวเล็กขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วด้วยแรงอารมณ์โกรธ

ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นยังติดตาไม่อาจลบออกได้ง่าย

“เอ่อ ฉันซื้อปอเปี๊ยะเจ้าอร่อยมาให้นายด้วยนะ” ดีที่ถือไว้ตลอดไม่วางจึงหยิบติดมือมาด้วยขณะที่โดนเขากระชาก หล่อนพยายามสร้างบรรยากาศที่ดี แต่คนขับไม่ให้ความร่วมมือ เขาทำเพียงมองทางข้างหน้าเพิ่มความเร็วจนน่ากลัว “ลดความเร็วหน่อยได้ไหม ฉันกลัว” ยิ่งได้ยินเสียงเล็กสั่นเขาก็ได้ใจ เหยียบเพิ่มความเร็วไม่สนใจเสียงกรีดร้อง ต้องการระบายอารมณ์โมโหที่เกิดขึ้นโดยไม่สนใจสักนิดว่าคนที่นั่งมาด้วยจะรู้สึกเวียนหัวคล้ายจะอาเจียนก่อนรถจะหยุดที่เรือนหลังเล็ก

ร่างสูงเดินไปเปิดประตูข้างคนขับอย่างรวดเร็วดึงมือเล็กให้เข้าบ้าน ใช้กุญแจเปิดประตูผลักเสียงดังแล้วปิดพร้อมลงกลอน กลายเป็นห้องปิดตายทันที

“เธอไปเจอไอ้เสี่ยกรรชัยมาใช่ไหม” ไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาเริ่มเข้าเรื่องทันที

จนคนมีชนักติดหลังลนลานส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่านะ ฉันไม่ได้เจอเสี่ย”

ยิ่งได้ยินสรรพนามที่ใช้เรียกผู้บริหารหนุ่มใหญ่ก็นึกโมโหเพราะมันคล้ายว่าเมียของเขาเป็นอีหนูในสต็อกของผู้ชายคนนั้น

“เลิกเรียกมันว่าเสี่ยได้ไหม! เป็นเมียมันหรือไง” เขาเริ่มพาลโดยไม่สนว่าทุกคนก็เรียกกรรชัยว่าเสี่ยกันหมด

บุลลาเริ่มทำตัวไม่ถูกพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบด้วยการกอดแขนเขาไว้แม้ตนเองจะกลัวมากแค่ไหนก็ตาม

“ไม่ใช่ ฉันเป็นเมียนายคนเดียว”

ใบหน้าคมแสยะยิ้มก่อนจะผลักหล่อนออกห่างราวรังเกียจนักหนา เขาคว้าถุงอาหารเวียดนามที่หล่อนอุตส่าห์ไปต่อแถวซื้อทั้งที่เหนื่อยจากงานมาทั้งวัน

บุลลายิ้มอย่างดีใจนึกว่าร่างสูงลดความโกรธลง ทว่าสิ่งที่หวังไม่เป็นจริงเพราะเขาขว้างปอเปี๊ยะไปกระแทกผนังจนมันหล่นลงมายังพื้น

“แล้วที่เธอไปนั่งหัวเราะต่อกระซิกกับไอ้เสี่ยนั่นหมายความว่ายังไง บอกฉันหน่อยสิ! ฉันให้โอกาสเธอสวมเขาให้ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหมดโอกาส ตอบมา!” คว้าแขนเล็กเข้าหาตนพลางบีบจนใบหน้าหวานเหยเก

“นายพูดเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจ” ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอเต็มหน่วยก่อนจะไหลลงมาในที่สุด

“อย่ามาแสร้งบีบน้ำตา วิธีสำออยแบบนี้ใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอก” กัดฟันบอกเสียงเข้มไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะเค้นเอาความจริงจากหล่อนให้ได้

“ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ” ยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธ

จนเขาแสยะยิ้มนึกสมเพช หากไม่ได้เห็นวิดีโอคงจะหลงเชื่ออีกครั้ง

“รู้ไหมว่าผู้หญิงอย่างเธอมันก็เหมือนอีตัวที่เอาร่างกายเข้าแลก ใครให้เงินเยอะก็เร่ไปหาคนนั้น น่าสมเพชสิ้นดี!” มือหนาคว้าแก้วที่อยู่ใกล้เขวี้ยงบนพื้นระบายความโกรธ

จนร่างบางตัวสั่นหลับตาแน่น

“นายเป็นบ้าอะไร ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย” ลืมตามองพื้นที่มีแต่เศษแก้วก็ถามกลับ ถึงจะกลัวแต่ความโมโหก็มีไม่น้อยเลย ทำงานมาเหนื่อยยังต้องเจอสามีที่จ้องจะหาเรื่องตลอดเวลาก็ทำให้เกิดความไม่พอใจ มองไปยังอาหารซึ่งอุตส่าห์ซื้อมาให้ ทว่าเขากลับโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี

“แล้วเธอล่ะ ไปอยู่กับไอ้เสี่ยนั่นมาทั้งวันเป็นไงบ้าง” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะจับทุกเรื่องมาโยงใส่กัน

“ฉันไปทำงาน ไม่ได้เจอใครทั้งนั้นแหละ” ตอบกลับโดยลืมเสียสนิทที่ตนเองโกหกเขาเอาไว้

และพณณกรเมื่อได้ยินก็ยกยิ้มมุมปาก

“หึ งานอย่างนั้นเหรอ งานอะไรล่ะ อ้าขาให้ไอ้กรรชัยใช่ไหม” ถามเสียงยียวนพลางทำหน้าตากวนประสาทอีกทั้งแววตาดูถูก

ทำให้ใบหน้าหวานโกรธจัดจนยกมือขึ้นหมายจะฟาดลงบนหน้าคมแต่ก็ถูกขัดเมื่อเขายกมือขึ้นจับเอาไว้

“อย่าคิดว่าจะได้ทำร้ายฉัน ผู้หญิงอย่างเธอมันก็หาซื้อได้ตามตลาด แค่มีเงินก็วิ่งตามไปทั่ว น่าสมเพชสิ้นดี”

คำพูดกล่าวหาทั้งที่ไม่รู้ความจริงทำให้บุลลาเลือดเข้าตา

“ใช่ ฉันเห็นแก่เงินใครเงินหนาก็ไปหา ฉันนอนกับเสี่ยกรรชัยเพราะเขารวย พอใจนายแล้วใช่ไหมนี่หรือเปล่าสิ่งที่อยากได้ยิน” ในเมื่อไม่เชื่อความจริงที่เธอพูด ก็ตอบในสิ่งที่เขาต้องการได้ยิน เผื่อจะเลิกเป็นหมาบ้าเสียที แต่ร่างบางไม่รู้เลยว่านั่นกลับไปกระตุ้นความโกรธให้เพิ่มขึ้นไป

จนร่างสูงร่างคนตัวเล็กไปที่ห้องนอนแล้วโยนลงบนเตียงเหมือนครั้งนั้นไม่มีผิด

“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

“อ๋อ เอากับฉันมันบ้า แต่ไปอ้าขาให้คนที่ไม่ใช่ผัว เธอนี่มันเมียดีเด่นจริงๆ”

ร่างเล็กที่อยู่บนเตียงพยายามจะลุกหนีแต่เขาก็เร็วกว่าคว้ามาจับกดไม่ผ่อนแรงสักนิดล็อกแขนเล็กไว้ด้วยมือข้างเดียวยกขึ้นเหนือหัว

“ถ้านายทำ ฉันจะไม่ยกโทษให้” เอ่ยเสียงสั่นขณะที่มองร่างสูงถอดเสื้อตนเองออกอย่างรวดเร็วจนกายข้างบนเปลือยเปล่า

“คิดว่าฉันกลัวหรือไง หมดเงินไปกับผู้หญิงแบบเธอหลายแสนก็ขอเอาคืนให้คุ้มทุนหน่อยสิ” แสยะยิ้มราวตัวร้ายในละครก่อนก้มลงไซ้ซอกคอขาวผ่องจนเกิดรอยแดงจากการถูเพราะหนวดของเขาที่ขึ้นเป็นตอ

หล่อนพยายามหลบสัมผัสหยาบที่เกิดจากคนรัก

“ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้นะ” ร้องสุดเสียงทั้งดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุม

“รู้ไหมว่าฉันเกลียดผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกแบบเธอที่สุด” จ้องเข้าไปในแววตากลมโตย้ำความรู้สึกจนเสียงที่กำลังจะเปล่งออกมาหายไปในลำคออีกครั้ง

วันนี้เธอได้รู้แล้วว่าเขาไม่ได้รักตนเองเลยสักนิด..ที่อยู่ด้วยกันก็เพราะเซ็กซ์เท่านั้น แม้แต่คำว่ารักก็ไม่เคยได้ยิน

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status