๑๔
ฉันสู้อะไรได้
ร่างบางพยายามกรีดร้องสุดเสียงหวังให้มีคนช่วยจากเหตุการณ์ตรงหน้าหรือไม่มันอาจดังเข้าไปข้างในใจของชายคนรักซึ่งกำลังจะทำร้ายกัน
ใบหน้าคมจัดการปิดปากเล็กด้วยริมฝีปากของตนเองดูดดึงอย่างรุนแรงเอาแต่ใจในขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนไปฉีกทึ้งเสื้อของหล่อนด้วยมือเพียงข้างเดียวจนมันขาดจากแรงดึง
เมฆสีดำปกคลุมทั่วเรือนหลังเล็กเจ้าตูบซึ่งได้ยินเสียงนายของมันร้องก็เห่าพลางตะกุยประตูหวังเปิดเข้าไปช่วยแต่ก็ไร้ผล
พณณกรเหมือนซาตานร้ายที่ไม่สนใจจะฟังความใดทั้งสิ้นภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของบุลลาและเสี่ยกรรชัยบอกทุกอย่างแล้ว
เขาไม่อยากเป็นไอ้งั่งโดนสวมเขาอีก เงินหลายแสนที่เสียให้เธอจะต้องไม่หายเปล่า อย่างน้อยก็ขอเล่นกับเรือนร่างบอบบางจนสาแก่ใจ
"อย่าทำบัวเลยนะคะพี่เอิร์ธ"ร้องไห้เสียงสะอื้นแล้วพยายามห้ามเขาทว่ามันไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของร่างสูงที่ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก
"ฉันจะทำให้มากกว่าที่ไอ้เสี่ยนั่นทำ จำฉันเอาไว้นะบัว จำไว้อย่าลืม"เน้นย้ำก่อนซุกลงที่ทรวงอกนุ่มผละมือที่เคยพันธนาการหล่อนให้เป็นอิสระก่อนจะขย้ำตามร่างขาวผ่องจนเกิดรอยแดงถึงแม้จะมีการขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล แรงอารมณ์บอกกับความแข็งแกร่งของร่างสูงทำให้คนไร้เรี่ยวแรงไม่อาจสู้ได้
เขาฉีกเสื้อผ้าสวยจนขาดเป็นริ้วก่อนโยนลงเตียงอย่างไม่สนใจ หลังจากนั้นทั้งห้องก็เหมือนตกอยู่ในสงครามขนาดย่อมที่มีผู้นำเป็นสัตวแพทย์ร่างแกร่งกำลังโจมตีข้าศึกไม่ปล่อยให้ได้หนีรอดจนกระทั่งเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจึงสงบลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
คนถูกย่ำยีหันหลังให้ชายหนุ่มซึ่งนอนอยู่ข้างกาย หัวใจบอบช้ำด้วยการกระทำที่เขายัดเยียดทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด เธอไม่เคยทอดกายให้ใครได้เชยชมนอกจากเขา ไม่แม้แต่มีใจปฏิพัทธ์ต่อผู้ใดแล้วทำไมจึงต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้จากชายหนุ่มที่รัก..
เธอรักเขาอย่างเต็มหัวใจทั้งที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน
เม้มปากแน่นเพื่อกั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอดจนคนข้างกายได้ยิน เหนื่อยทั้งกายและใจจนต้องหลับตาหวังลบเลือนเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ฝันที่เกิดขึ้นจริง
ท้องฟ้าถูกทาด้วยสีดำโดยมีไฟจากข้างนอกเปิดให้ความสว่าง ห้องนอนที่เคยอบอวลไปด้วยความสุขเปลี่ยนเป็นสนามรบที่มีเพียงความเจ็บปวด ร่างบางที่ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบจนแดงจ้ำค่อยยันกายลุกขึ้นก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้งเมื่อรู้สึกวิงเวียน หล่อนเหลือบมองไปข้างกายซึ่งเคยมีร่างสูงนอนอยู่แต่ตอนนี้กลับไร้ร่องรอย
เหลือเพียงความเย็นชืดจากที่นอน และไม่นานน้ำตาที่เหือดแห้งไปก็ไหลลงมาอีกครั้ง ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เวลาสองทุ่มครึ่งบนโต๊ะอาหารบ้านเรือนไทยหลังงามมีผู้ร่วมโต๊ะทั้งหมดสามคนอันได้แก่เจ้าของบ้านอย่างชลธี แขกสาวคือไปรยาและชายหนุ่มซึ่งไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นทั้งที่อยู่ไร่เดียวกันอย่างพณณกร ไม่มีใครพูดอะไรทำให้บรรยากาศเงียบเต็มไปด้วยความเครียด กระทั่งชลธีทำลายความอึดอัดนั่น
"แล้วหนึ่งจะอยู่ที่นี่นานไหมครับ"
อาหารรสชาติอร่อยไม่ทำให้เจริญอาหารสักนิดเพราะคนผิวเข้มเอาแต่จ้องมองแทบไม่ได้ตักเข้าปาก
"สองสัปดาห์ค่ะ กลับไปก็ทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์ของคุณพ่อ" บอกกำหนดการคร่าวๆ ให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้วพูดถึงโรงพยาบาลสำหรับสัตว์ที่กำลังจะเปิดตัวในอีกไม่ช้า
"คุณลุงท่านเก่งนะ มีทั้งโรงพยาบาลรักษาคนแล้วก็รักษาสัตว์ อย่างนี้จะมีเวลาให้ครอบครัวเหรอ"
ใบหน้าหวานส่งยิ้มนึกชื่นชมบิดาของตนเอง
"มีสิ เดี๋ยวนี้ยิ่งมีเวลาเยอะเพราะให้คนอื่นดูแลหมด ถ้าเราเข้าไปก็คงได้ทำตำแหน่งผู้บริหารด้วย ธีสนใจไปเป็นสัตวแพทย์ในเมืองไหม สมัครได้นะเรารับพิจารณาเป็นพิเศษ"
เจ้าของไร่รีบส่ายหน้าทันที
"เรื่องสัตว์ลืมไปหมดแล้ว แทบจะเอาวิชาคืนอาจารย์ ถ้าจะถามเชิญคนโน้นเลยครับ" ผายมือไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งเงียบไม่พูดจา
ไปรยาพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ใจพังจากการแนะนำให้รู้จักภรรยาของเขาเมื่อช่วงเย็น นั่งร้องไห้เป็นชั่วโมงจนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์และรับรู้การมาของคนที่รักจึงคลายความเศร้า
อย่างน้อยเขาก็ไม่ลืมเธอ
"สำหรับเอิร์ธค่อนข้างพิเศษค่ะเพราะต้องเข้ารับตำแหน่งผู้บริหาร"
คนฟังไม่ดีใจสักนิดทำเพียงหันไปมองใบหน้าหวานที่ส่งยิ้มมาให้ทว่านัยตากลับเศร้าจนรู้สึกสงสาร
"ว่าไงคะ สนใจตำแหน่งนี้ไหม" เอ่ยย้ำทำให้บรรยากาศยิ่งขมุกขมัวมากกว่าเดิม
"ผมขอคิดดูก่อนแล้วกัน" แบ่งรับแบ่งสู้ไม่ได้ตัดเยื่อใยไปเสียทีเดียว ก่อนทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง
จนชลธีรู้สึกไม่เจริญอาหาร หากเผชิญเหตุการณ์แบบนี้ทุกวันเขาคงได้ผอมเหลือแต่กระดูก
"อ๋อ หนึ่งเกือบลืมเลย ยินดีด้วยนะคะ"
พณณกรหันไปมองไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไรก่อนได้รับการเฉลย
"เรื่องที่คุณมีภรรยาน่ะค่ะ ไม่เห็นส่งข่าวมาบอกเลย ไปแต่งงานกันตอนไหนเหรอ"
หากทำได้ชลธีอยากหายตัวจากตรงนี้ไปเสีย ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาคุยเรื่องเครียดบนโต๊ะอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารซึ่งสำคัญต่อร่างกาย เหตุใดจึงไม่รอให้กินเสร็จแล้วค่อยพูดคุยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
"สักพักแล้ว"
เมื่อได้รู้ก็ยิ่งเจ็บกว่าเดิมจนต้องรีบยิ้มทั้งที่น้ำตากำลังจะไหล มือเล็กรวบช้อนทันทีแล้วลุกออกจากห้องอาหารอย่างเสียมารยาท ทั้งที่ไม่เคยทำเพราะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
ชลธีมองตามแผ่นหลังบางก็นึกสงสารเพราะรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
"นายไม่ตามหนึ่งไปเหรอ" เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนร่วมคณะ
"อือ"
ตอบรับเสียงเบาแล้วลุกออกจากห้องอาหารเหลือเพียงเจ้าของบ้านที่ถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ ไม่คิดว่าตนเองต้องเผชิญอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จะเชียร์เพื่อนร่วมคณะก็สงสารบุลลาที่เป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือหากจะเข้าข้างคนงานสาวสวยก็รู้สึกผิดต่อไปรยาที่มีเพียงพณณกรมาโดยตลอด
แล้วอย่างนี้เขาจะทำอะไรได้นอกจากมองเหตุการณ์รักสามเส้าอยู่เงียบๆ ปล่อยให้คนต้นเหตุจัดการเรื่องทั้งหมดเอาเอง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนเสียใจจากความรักครั้งนี้
หลังบ้านชลธีได้จัดเป็นสวนดอกไม้ซึ่งมีหลากหลายชนิดไว้ใช้ประดับแจกันหรือร้อยถวายพระ เหล่าดอกไม้ต่างส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวจนรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้สูดเข้าไป มีซุ้มนั่งตั้งไว้โดยใช้ไม้เลื้อยในการให้ร่มเงา
"หนึ่ง"
ร่างบางหลบมานั่งอยู่สวนดอกไม้หลังบ้านตรงซุ้มดอกเฟื่องฟ้าจนคนที่ตามออกมาต้องเรียก ทำให้หล่อนรีบเช็ดน้ำตาออกรวดเร็ว พยายามเข้มแข็งต่อหน้าชายที่รักแต่ช่างยากเย็นเหลือเกินเพราะความจริงที่ได้รู้มันเหมือนธนูด้ามแหลมที่พุ่งตรงมายังกลางใจจนไม่อาจทนต่อความเจ็บได้
"ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ" นั่งลงข้างกายแล้วพูดอย่างรู้สึกผิดทั้งที่จริงมีเวลามากมายจะพูดและตัดความสัมพันธ์ที่ยืนยาวครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำ
"นานแค่ไหนแล้วคะ" กลั้นใจถามเสียงสั่นทั้งที่ลำคอตีบตัน ไม่กล้าแม้จะหันไปมองใบหน้าคมเพราะกลัวจะแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น
"เกือบสามเดือนแล้ว"
ไปรยารู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อรับรู้ถึงระยะเวลาที่ยาวนานในความรู้สึก อย่างนี้เองเขาถึงซื้อเสื้อผ้าและสร้อยกลับไร่มาด้วย เพื่อมอบให้ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าภรรยา ตลอดเวลาที่หล่อนโทรหาพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ชายหนุ่มก็มีผู้หญิงคนนั้นเคียงข้างกาย แค่คิดก็เจ็บจนไม่อาจบรรยายได้ ต้องสูดลมหายใจแล้วปล่อยออกอย่างช้าๆ
เห็นแววตากลมโตทอประกายแห่งความโศกเศร้าก็ตัดสินใจบอกความจริงทว่าก็เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
"เราไม่ได้แต่งงานกันเพราะความรักหรอก มันเป็นเรื่องที่..พูดยากน่ะ"
"คุณหมายความว่า คุณไม่ได้รักเธอเหรอคะ" ถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
จนร่างสูงนิ่งไป
รักอย่างนั้นหรือ..การที่อยากอยู่ใกล้ อยากกอด อยากเห็นหน้าตลอดเวลา ไปทำงานก็คิดถึง ห่างไกลก็โหยหา หึงหวงทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้าใกล้มันเรียกว่ารักหรือเปล่า บางทีมันอาจเป็นเพียงความหลงที่เห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นได้ บุลลาเหมือนดอกไม้สวยเรียกเหล่าภมรเข้าดอมดมก่อนจะตายเพราะพิษของมัน
และเขาคือหนึ่งในนั้น แต่จะไม่ยอมตายเด็ดขาด ในเมื่อหล่อนกล้าหักหลังผู้ชายคนนี้ก็จะตอบแทนให้สาสม
ต่อจากนี้เธอจะต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็น!
"ใช่ ผมไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นเลย"
ทิฐิภายในใจเอาชนะความรู้สึกที่ตอบอย่างชัดเจนว่ารักบุลลา คนส่วนมากมักใช้หัวใจนำทางรักและคนเหล่านั้นก็ตายเมื่อผิดหวัง ต่างจากเขาที่ใช้สมอง ในเมื่อพบว่าผู้หญิงทรยศมันก็ไม่ยากที่จะเดินออกมาแต่ก่อนที่จะหันหลังให้ก็ขอทรมานหล่อนให้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดหน่อยเถอะ
พณณกรเดินขึ้นไปส่งไปรยาหน้าห้องหลังจากพูดคุยกันสักพักและใบหน้าหวานมีแววสดใสขึ้นมาเมื่อได้รู้ความจริงว่าใจของชายหนุ่มยังไม่มีใคร ทั้งที่ตนเองก็พอจะดูออกว่าคงมีเรื่องเกิดขึ้นกับสองสามีภรรยา แต่มันก็ดีต่อเธอไม่ใช่หรือ
"เอิร์ธนอนที่ไหนคะ" หันมาถามขณะเปิดประตูจะเข้านอน
ใบหน้าคมชะงักไปชั่วครู่หากเป็นเมื่อก่อนคงกลับบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
"คงไปนอนเรือนคนงาน"ตอบอย่างจนใจ
"แคบแย่เลย ถ้าไม่รังเกียจ..นอนกับหนึ่งไหมคะ" มือเล็กเอื้อมไปคว้าแขนเขาเอาไว้พลางเดินไปซบอย่างเอาใจ วินาทีนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อดึงร่างสูงกลับมาหาตนเอง จะไม่ปล่อยให้เขาไปเป็นของใครอีกแล้วจากนี้ไปพณณกรคือผู้ชายของหล่อนแต่เพียงคนเดียว
แผนการจะดึงอีกฝ่ายกลับมาค่อยร่างขึ้นในหัวอย่างช้าๆ
"ไม่ดีกว่า" ปฏิเสธเสียงนิ่ง
ทว่าคนตัวเล็กก็ยังเอ่ยอ้อน
"นอนด้วยกันนะคะ แค่นอนเองไม่เป็นไรหรอก" ดวงตากลมโตจ้องมาที่เขาส่งความจริงใจให้
จนหนุ่มผิวเข้มต้องถอนหายใจไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
"ก็ได้" ไปรยาฉีกยิ้มกว้างแล้วดึงร่างสูงเข้ามาภายในห้องนอนทันทีพร้อมปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา
คืนนี้หล่อนจะทำให้เขาลืมเลือนผู้หญิงจืดชืดดูไร้ราคาคนนั้นจนสิ้น จดจำแต่เพียงไปรยาบุตรสาวคนเล็กของคุณมนตรีผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติเหมาะสมกับชายหนุ่มมากกว่าผู้หญิงทุกคน
บุลลาลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสวมก่อนเดินไปห้องน้ำด้วยความเจ็บปวดที่กาย ทว่าไม่เท่าหัวใจที่ถูกฉีกขาดด้วยฝีมือของบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าสามี มองร่องรอยที่อีกฝ่ายฝากเอาไว้เต็มร่างกายแทบไม่เหลือเนื้อผิวที่แท้จริง คราแรกหล่อนก็ขัดขืนแต่เมื่อเวลาผ่านไปโอนอ่อนให้เขาอย่างคนคุ้นเคย จนได้ยินวาจาดูถูกจากสัตวแพทย์ผิวเข้ม
"หึ ง่ายแบบนี้สินะไอ้เสี่ยนั่นมันถึงติดใจ"
จากที่เคยนึกดีใจว่าตนคือคนแรกของหล่อนเขา กลับเจ็บปวดที่ร่างบางยอมมอบกายให้คนอื่นได้เชยชมจึงย้ำความจำด้วยการเคลื่อนตัวเข้าไปในกายสาวอย่างแรงจนคนใต้ร่างร้องเสียงลั่น
"ฮือ ฉันไม่ได้มีใครสักหน่อย ไอ้บ้า"
ขณะที่ล้างตัวอยู่ใต้ฝักบัวก็เอ่ยขึ้นอย่างนึกเจ็บใจกับคำกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งสงสัยว่าใครเป็นทำให้ชายหนุ่มซึ่งไม่มีวี่แววโกรธเคืองถึงทำร้ายตนเองได้ขนาดนี้
หลังชำระกายเสร็จก็เดินไปสวมชุดนอนอันได้แก่เสื้อยืดตัวหนาของพณณกรกับกางเกงขาสั้นของตนก่อนออกไปเก็บซากปอเปี๊ยะมองมันด้วยความเสียดาย อุตส่าห์ต่อแถวรอตั้งนานสุดท้ายมันก็ต้องตกไปอยู่ในถังขยะ เหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลซึ่งตั้งอยู่โต๊ะทีวีพบว่าสองทุ่มแล้ว
"หายไปไหนของเขา" ถึงจะโกรธที่อีกฝ่ายกระทำการย่ำยีแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หากการที่หล่อนยอมเขาแล้วจะทำให้ร่างสูงหายโกรธ แล้วกลับมาเป็นพี่เอิร์ธจอมกวนคนเดิมบุลลาก็เต็มใจจะทอดกายให้เพราะอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันอีกอย่างพณณกรคือคนแรกของเธอก็อยากอยู่กันไปตลอด
หล่อนเปิดประตูบ้านเห็นเจ้าตูบนอนอยู่ใต้ต้นไม้ก็เดินออกไปเอาอาหารให้มันก่อนปิดบ้านแล้วนั่งรออยู่ตรงโซฟาเปิดโทรทัศน์เพื่อไม่ให้เกิดความเงียบ ละครที่กำลังฉายไม่เข้าหัวสักนิดเพราะมัวแต่นึกถึงใบหน้าสวยหวานของผู้หญิงที่อยู่บ้านชลธี
หรือจะเป็นแฟนเจ้าของไร่..ไม่ใช่แน่นอน ความรู้สึกส่วนลึกร้องเตือนว่าอีกฝ่ายอันตราย ไหนจะสายตาที่มองมายังพณณกรอีก ไม่น่าไว้ใจสักนิด ความกลัวเริ่มเกาะกินใจจนยกนิ้วขึ้นมากัดเล่นก่อนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเจ้าตูบเห่าพอลุกขึ้นเปิดประตูหวังว่าคนที่มาเยือนจะเป็นสามีก็ต้องผิดหวังเพราะมันเพียงกัดกระดูกเล่นเท่านั้น
เสียงท้องร้องทำให้นึกได้ว่าตนเองยังไม่กินข้าวจึงรีบมายังโซนครัวเลือกทำอาหารเย็นที่มีแคลอรี่น้อยเพื่อไม่ให้อ้วนมากกว่านี้ ไม่รู้ทำไมคนอื่นชอบทักว่ามีน้ำมีนวลขึ้นจับตรงไหนก็ดูเต็มมือ แล้วก็รู้สึกว่าหน้าอกขยายใหญ่ขึ้นหรืออาจเพราะโดนขย้ำบ่อยจากฝีมือของคู่ชีวิตตามคำบอกเล่าของรุ่นพี่พริตตี้
ก็อาจจะเป็นไปได้...
บุลลาเลือกทำอาหารสำหรับสองที่ถึงจะไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับมาหรือเปล่าก็ตาม บางทีอาจไปดื่มเหล้าที่บ้านพักคนงานก็เป็นได้ หากกลับมาคงต้องคุยกันเสียแล้วว่าถ้ามีอะไรก็ให้ถามอย่างตรงไปตรงมา แต่แล้วความคิดก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็ไม่ได้บอกเขาเรื่องไปทำงาน
ถ้าจะถามว่าใครผิดก็คงทั้งคู่นั่นแหละเพราะฉะนั้นจะต้องคุยกันให้เคลียร์จะได้ไม่ผิดใจกัน
โดยที่หล่อนไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชายคนรักกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงกว้างซึ่งเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำมีร่างเล็กนอนกอดเพิ่มความอบอุ่นจนต้องคว้าไปโอบเอาไว้ ใบหน้าหวานยิ้มมีความสุขแล้วซุกลงที่แผงอกล้ำจุมพิตลงอย่างแผ่วเบา
แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ขอแค่เขาอยู่ข้างเธอ..
เช้าวันต่อมาบุลลายังคงนั่งสัปหงกอยู่โซฟาหน้าทีวีพร้อมสลัดปลาดอลลี่ที่เย็นชืด เสียงเคาะประตูปลุกให้ร่างเล็กตื่นจากนิทรารีบเดินไปเปิดประตูหวังเห็นใบหน้าคมทว่าความคิดก็พังทลายเนื่องจากคนที่อยู่ตรงหน้าคือหญิงสาวคนสวยซึ่งใส่ชุดแบรนด์เนมทั้งตัว
"สวัสดีค่ะ บ้านเอิร์ธใช่ไหมคะ" ถึงจะมาที่ไร่ไม่กี่ครั้งแต่ไปรยาก็รู้ว่าชายหนุ่มแยกบ้านกับชลธีมาอยู่เรือนหลังเล็กที่แคบจนหายใจไม่ออก
"ค่ะ" แววตาหวานมีความสงสัยปนหวาดระแวงจนผู้มาเยือนต้องส่งยิ้มให้เป็นการผูกมิตร
"ฉันชื่อไปรยานะคะ เรียกสั้นๆ ว่าหนึ่งก็ได้ ขอโทษนะคะที่เมื่อวานลืมแนะนำตัวกับคุณบัว ถ้าคุณเป็นเมียของเอิร์ธ ฉันก็คงเป็นคนรู้ใจเพราะเราเข้ากันได้ดีมานานมากแล้ว"
ยิ้มที่แฝงความนัยบางอย่างสร้างความหงุดหงิดใจให้ภรรยาที่ถูกต้องยิ่งนัก ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ย
"ค่ะ"ตอบรับเสียงแข็ง
"หนึ่งว่าจะมาเอาเสื้อผ้าของเอิร์ธน่ะค่ะ พอดีเขาไม่มีชุดใส่ไปทำงาน ขออนุญาตเข้าไปข้างในได้ไหมคะ" ไม่รอให้เจ้าของบ้านอนุญาต ไปรยาก็เดินผ่านร่างบางที่ตัวเล็กกว่าเข้ามาสำรวจภายในทันที ไม่ต่างจากที่มาครั้งล่าสุดแต่ก็เป็นระเบียบมากกว่าเดิม กระทั่งดวงตาเหลือบเห็นอาหารที่วางอยู่โต๊ะเล็กหน้าโซฟาคาดว่าคงทำตั้งแต่เมื่อคืนเพราะดูจากภายนอกก็รู้ว่าเย็นชืดหมดแล้ว
"ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะคะ" ว่ากลับทั้งมองคนที่เสียมารยาทไม่เป็นมิตร
"แต่หนึ่งเป็นคนพิเศษของเอิร์ธสามารถเข้าออกได้ตามสบายอยู่แล้วคงไม่ต้องรอให้คุณอนุญาต"ถ้าพูดแบบนี้แล้วจะขอตั้งแต่แรกทำไมกัน บุลลากำมือแน่นข่มอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น ใครว่าพณณกรหึงคนเดียวตอนนี้เธอก็ไม่ต่างกับเขานักยิ่งเห็นคนรูปร่างโปร่งเดินสำรวจอย่างลอยหน้าลอยตาก็อยากเข้าไปจิกผมแล้วผลักออกนอกบ้านเหลือเกิน
"คุณคงไม่รู้ว่าระหว่างเราไม่เคยมีความลับต่อกัน เรื่องที่คุณแต่งงานกับเขาเพราะความจำเป็นฉันก็รู้" หันมากอดอกมองผู้หญิงใบหน้าจิ้มลิ้มก็นึกขัดใจ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีพณณกรก็มีความชอบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
บุลลานิ่งไปทันที คลายแรงที่กำมือออก ไม่คิดว่าเรื่องที่มีเพียงคนในรับรู้จะแพร่งพรายให้ไปรยาทราบ ความน้อยใจเข้าครอบงำจนเม้มปากแน่น ไม่ตอบอะไรกลับ
..ผู้หญิงคนนี้คงสำคัญกับเขามากถึงขนาดยอมบอกว่าแต่งงานกันเพราะความกดดันจากคนรอบข้างหาใช่ความรัก
"คุณจะรู้อะไร เราแต่งงานเพราะรักกันต่างหาก" เถียงกลับสีหน้าบึ้งตึง
จนผู้หญิงที่มากประสบการณ์กว่าหัวเราะร่วน
"จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นบอกฉันหน่อยสิว่าผู้ชายที่รักเมียทำไมเมื่อคืนถึงต้องไปนอนบนเตียงกับฉันแค่สองคน นี่ไม่นับรวมกิจกรรมที่เราเล่นด้วยกันก่อนหลับนะ" แววตาสมเพชกึ่งเยาะเย้ยถูกส่งมาให้
จนร่างบางของสาวชาวไร่สั่นไปทั่วกาย
..นอนด้วยกันอย่างนั้นเหรอ ที่เขาหายไปไม่ใช่ไปดื่มเหล้าที่เรือนคนงาน ทว่ากลับไปร่วมหลับนอนกับผู้หญิงคนนี้..
หัวใจมีรอยร้าวกลับมีรอยแผลเกิดขึ้นจากคมมีดคือวาจาร้ายกาจของไปรยา
"ไม่จริง" ส่ายศีรษะปฏิเสธการรับรู้
"จริงค่ะ ต้องการให้ฉันแสดงหลักฐานด้วยไหม" คนใส่เสื้อสีขาวคอเต่าทำเหมือนจะดึงเสื้อที่ปกปิดลำคอให้เห็นหลักฐานที่จะบอกได้ว่าเมื่อวานผ่านค่ำคืนอันร้อนแรงกับเขามากแค่ไหน
แต่บุลลากลับหันหน้าหนี ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นจนกระบอกตาร้อนผ่าว
"อ้าว ไม่ดูเหรอคะ คุณจะได้เห็นว่าเอิร์ธร้อนแรงกับฉันมากแค่ไหน" ได้มองความกลัวที่ส่งมาทางแววตาคุณหมอคนสวยก็ยกยิ้มสมใจ ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่เปราะบางกันเหลือเกิน ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจหรือเชื่อมั่นมอบให้กันเลยสักนิดและแน่นอนว่ามันง่ายต่อการทำลายความสัมพันธ์
"เธอโกหก" พยายามค้านทั้งที่ใจเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว
ไปรยายิ้มหวานแต่อาบไปด้วยยาพิษ
"ฉันพูดความจริง จะให้ร่ายด้วยไหมว่าเราได้กันท่าไหน" จ้องเข้าไปในดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำสีใสก่อนมันจะไหลลงมาเพื่อประจานความอ่อนแอของคู่ต่อสู้
จนคุณหนูของบ้านรักษาชัยสิทธิ์ต้องยิ้มเยือนเย็น ต่อจากนี้เธอจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียพณณกรไป แม้มันจะเป็นวิธีสกปรกหรือแกมโกงมากแค่ไหนก็ตาม
"คุณเป็นแค่คนมาทีหลังแล้วเอิร์ธก็ไม่ได้รักคุณด้วย ถอยเสียเถอะค่ะ ถอยตั้งแต่ตอนนี้ที่ฉันยังปรานีอยู่"
คำว่าไม่ได้รัก ตอกย้ำลงกลางใจจนต้องยกมือขึ้นปิดหูแล้วส่ายหน้าไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ความเจ็บปวดจากเมื่อคืนหลอมรวมกับสิ่งที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้รัก ทำให้ร่างบางทรุดลงนั่งกับพื้นจนคนมองสมเพช
"เขารักฉัน" และการที่อีกฝ่ายนั่งลงทำให้ไปรยาได้เห็นสร้อยราคาแพงสวมอยู่บนลำคอระหงจนต้องขบฟันแน่น รู้วินาทีนี้เองว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันคือใคร
เขาไม่ได้ซื้อให้เพื่อนอย่างที่กล่าวอ้าง กลับซื้อมาให้ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายต่างหาก ยิ่งคิดก็ปวดไปทั่วหัวใจจนต้องกำจัดเสี้ยนหนามออกไป จะร้ายให้ถึงที่สุดเพื่อแย่งคนรักกลับมา
"สร้อยเส้นนั้น มันเคยเป็นของฉันมาก่อนแต่พอดีเขาซื้อเส้นใหม่ให้ฉันก็เลยทิ้งเส้นนี้ไป ไม่คิดว่าเอิร์ธจะเอาให้คุณนะคะ"
มือเล็กยกขึ้นจับสร้อยทองที่หวงนักหนาทันที คำพูดของเขาย้อนเขามาอีกครั้ง
'ฉันซื้อต่อจากเพื่อน' ความจริงแล้วมันมาจากผู้หญิงคนนี้เองสินะ มันเป็นแค่สร้อยมือสองที่ไร้ค่าทั้งที่สำหรับบุลลาแล้วมันมีผลต่อจิตใจเหลือเกิน
ร่างบางสะอื้นจนตัวโยนไม่สามารถมองภาพตรงหน้าได้อีกมีเพียงความเลือนรางจนต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาหยัดกายขึ้นยืนเผชิญหน้าอีกครั้ง
"คนที่เป็นของเก่าคือเธอต่างหาก ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องของเขาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย ได้ยินไหมว่าฉันคือเมียของเขา!" ผลักคนตรงหน้าออกไปด้วยเรี่ยวแรงน้อยนิดจนแทบไม่กระเทือน
"อยากเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้รักคุณเลย" ไปรยาย้ำความจริง หวังให้มันทำลายความมั่นใจที่มีเพียงน้อยนิดของบุลลาพังไม่เป็นท่า
"ถ้าเขารักคุณทำไมเมื่อคืนถึงไปหาฉันล่ะ ตอบตัวเองให้ได้ก่อนเถอะค่ะเพราะดูแล้วแม้แต่คุณเองยังไม่เชื่อว่าเอิร์ธรักคุณเลย"
เหมือนถูกจี้ใจดำเพราะหล่อนเองก็ยังกังขาในความรู้สึกของชายผู้เป็นสามี เขาไม่เคยเอ่ยคำรัก มีเพียงความต้องการทางร่างกายเท่านั้น
"ออกไปจากบ้านฉัน ออกไป" ย้ำเสียงหนักแน่น
ซึ่งไปรยาก็ไม่อยากจะเหยียบที่นี่สักเท่าไหร่หรอกถ้าไม่ใช่เพราะต้องการมาดูน้ำหน้าผู้หญิงที่กำลังจะถูกทิ้ง
"ค่ะ ฉันไปแน่แต่ขอเอาเสื้อให้เอิร์ธก่อนนะ เมื่อคืนฉันรุนแรงไปหน่อยเลยทำเสื้อเขากระดุมหลุด คงต้องหาตัวใหม่" ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในห้องนอนแขนก็ถูกคว้าจากเจ้าของบ้านลากเธอออกมาข้างนอกด้วยใบหน้าแดงก่ำตามอารมณ์โกรธที่ถูกสุมขึ้นโดยสัตวแพทย์สาวสวย
"ออกไปจากบ้านของฉัน!" ปิดประตูใส่หน้าทันทีแล้วทรุดลงนั่งหน้าประตูอย่างคนอ่อนแรง ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาไม่กักเก็บเอาไว้อีกต่อไปเพราะเจ็บจนต้องระบาย ยกเข่าขึ้นมากอดหวังเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแต่มันกลับหนาวเย็นกว่าเดิม ความเดียวดายที่ได้รับและความจริงที่รู้ว่าพณณกรนอนกับไปรยา ปล่อยเธอรอคอยเพียงลำพัง คอยตอกย้ำให้แผลสดใหม่เหวอะหวะยิ่งขึ้น
ขณะที่หล่อนนั่งรอเขาอย่างหนาวเหน็บแต่ร่างสูงกลับหลับสบายใต้ผ้าห่มโดยข้างกายมีหญิงสาวข้างกาย..และผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เธอ
"ฮึก เจ็บ"
ทุบหน้าอกหวังให้มันคลายความเจ็บที่ใจลงแต่กลับไม่มีผลเลยสักนิด เธอยิ่งปวดมากขึ้นมันเหมือนมีเข็มนับพันพุ่งเข้าไปปักที่หัวใจจนเลือดสีแดงสดไหลท่วมทั่วกาย ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถบรรเทาได้เลย
..เขาไม่เคยรักเธอ แล้วที่ผ่านมาคืออะไร การที่เอาแต่อยู่ติดกายทั้งยามหลับยามตื่น พูดจาหวานอ้อนให้ของขวัญเป็นสร้อยคอไหนจะแหวนหมั้นอีก เขาไม่รู้สึกกับเธอแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ
ยิ่งคิดก็ต้องกำมือแน่นเพราะความจริงที่ได้รับรู้ว่าเจ้าของสร้อยที่แท้จริงคือไปรยา
ส่วนเธอก็แค่ตัวสำรองเท่านั้น แต่ถึงจะรู้ก็ไม่อาจตัดใจถอดสร้อยออกได้ ยามได้เห็นแววตาคมที่เปล่งประกายด้วยความดีใจเมื่อเห็นเธอชื่นชอบมันก็ทำเพียงกำสร้อยคาเทียร์เอาไว้ ขอให้เรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไม่เป็นจริง มันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น แค่ฝันร้ายเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว มันจะผ่านไป..
นุ่มนิ่มเห็นเพื่อนหายเงียบจึงขับรถมอเตอร์ไซค์มาหาที่บ้านเพราะวันนี้ต้องไปทำงานที่โรงแรมอีกทั้งสายมากแล้วบุลลากลับไม่มาตามนัดก็เกิดเป็นห่วง พอจอดรถที่เรือนหอหลังน้อยก็เห็นเพียงเจ้าตูบนอนหลับเงยหน้ามามองแขกก่อนจะเอนกายลงตามเดิน
"บัว อยู่ไหม บัว" เคาะประตูไม่มีวี่แววคนข้างในจะมาเปิดก็เดินอ้อมไปหลังบ้านลองหมุนลูกบิดก็พบว่าไม่ได้ล็อกจึงรีบเข้าไป พบร่างเล็กนอนสลบอยู่กลางบ้าน "บัว!" นุ่มนิ่มวิ่งเข้าไปประคองศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะตกใจเพราะตัวร้อนผ่าวรีบประคองให้ไปนอนบนเตียง ไม่ลืมโทรศัพท์ลางานแล้วจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เพื่อน ทว่าเมื่อถอดเสื้อก็พบว่าภายในมีร่องรอยการทำรักเต็มไปหมดจนนึกสงสารทั้งยังเจ็บใจเพราะรู้ว่าคนต้นเหตุคือใคร "บ้าเอ้ย ทำไมโหดขนาดนี้" เพื่อนเธอก็ตัวเล็กเพียงเท่านี้แค่ลมพัดก็คล้ายจะปลิวแล้วแต่ร่างสูงกลับรังแกจนทำให้ไม่สบายทั้งใบหน้าหวานปื้อนน้ำตาเป็นทางยาว
"ฮึก ไม่จริง พี่เอิร์ธรักบัว ใช่ไหม" เพ้อเพราะพิษไข้
จนนุ่มนิ่มต้องจับมือเอาไว้แน่นอาการแบบนี้ไม่น่าจะดี ถ้าจะให้เธอพาไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้ด้วยเพราะรถคันเล็ก อย่างนั้นคงต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วก็ให้กินยาพอทุเลาลงบ้าง
ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงคนไม่สบายก็นอนหลับสบายหลังจากกินข้าวและกินยาเป็นที่เรียบร้อย ใครจะคิดว่าจากคนไม่สนิท ทักทายกันเพราะบ้านใกล้จะกลายเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจเสียยิ่งกว่ามารดาเสียอีก
นุ่มนิ่มนั่งเฝ้าบุลลาจนกระทั่งเที่ยงวันเจ้าของบ้านอีกคนก็ไม่โผล่มาจนนึกก่นด่าในใจ
"เมียเจ็บขนาดนี้ยังไม่คิดมาดูดำดูดีอีก ใจดำจริงๆ" ถอนหายใจพลางมองใบหน้าหวานที่เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง
ร่างหนาของสัตวแพทย์ประจำฟาร์มสายรุ้งมุ่งมานะทำงานอย่างแข็งขันเพื่อขับไล่ความคิดที่อยากกลับไปหาบุลลาโดยมีไปรยาอยู่ข้างกาย หล่อนเข้ามาทักทายคนงานอย่างเป็นกันเอง จนหลายคนนึกชื่นชม ยกเว้นแต่โอ้และอาร์ตคู่หูตัวป่วนซึ่งมองผู้หญิงของนายอย่างไม่นึกชอบ
"กูว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นตัวร้าย" โอ้เอ่ยทักขณะตักหญ้าออกจากคอกม้าเพื่อทำความสะอาดคอก
"กูเห็นด้วย ถึงหน้าสวยแต่มาเพื่อทำให้พระเอกนางเอกทะเลาะกันชัวร์" อาร์ตโผล่หน้าจากคอกใกล้กันมาตอบโต้
"เราต้องช่วยกันขับไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไป"
สองคนพยักหน้าให้กันอย่างขยันขันแข็งจนกระทั่งร่างบางเดินถือน้ำมาแจกจ่ายจึงรับมาอย่างเกรงใจ
"น้ำจ้ะ ชื่อโอ้กับอาร์ตใช่ไหม เอิร์ธเล่าให้ฉันฟังบ่อยๆ หน้าตาดีกว่าที่คิดนะ"
คำเยินยอนั่นสร้างรอยยิ้มให้สองหนุ่มที่โสดสนิทเพราะสาวไม่เหลียวแลทันที ยิ่งมองใบหน้าหวานก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับคำชม ไหนจะกริยาเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วนั่นอีก คำที่เคยพูดด้วยกันเหมือนจะมลายเมื่อเจอพลังทำลายล้างคือรอยยิ้มแสนหวาน
"ขอบคุณนะครับ หน้าตาสวยแล้วยังน้ำใจงามอีก"
หลังจากนั้นเรื่องของไปรยาก็ถูกกล่าวขานไปทั่วไร่ว่าหล่อนคือผู้หญิงที่คู่ควรกับพณณกรมากกว่าบุลลาและคนกระจายข่าวก็คือฟ้ามุ่ยซึ่งต้องการทำลายคู่อริทุกทาง
"นังบัวมันนอกใจคุณเอิร์ธจ้ะป้า ฉันเห็นไปกินข้าวกับเสี่ยกรรชัยกระหนุงกระหนิงเชียว" คว้าโทรศัพท์ที่ตนเองไปซื้อใหม่แต่ใช้เมมโมรี่เดิมให้คนงานที่ไร่ดูต่างพากันตาโตแล้วพูดเรื่องของบุลลาอย่างสนุกปาก
"โห มันกล้าขนาดนี้เลยเหรอ สมแล้วที่คุณเอิร์ธไม่เอามันแล้วไปคว้าคุณผู้หญิงคนนั้น" ป้าที่ทำงานไร่ส้มเอ่ยเสียงเขียว โกรธแทนสัตวแพทย์ที่โดนสวมเขา ทั้งที่ตนยังไม่รู้ความจริงทั้งหมดด้วยซ้ำ
"ใช่ป้า ฉันรู้มาว่าคุณหนึ่งเขาไม่ใช่ไก่กานา เป็นถึงลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาล แม่รับราชการใหญ่โตในกระทรวงเกษตร ร่ำรวยของแท้เลย" แม่บ้านร่างอวบยังชื่นชมผู้หญิงคนใหม่ออกหน้าออกตาเพียงเพราะได้รับเงินค่าจ้างจากการช่วยถือกระเป๋าเท่านั้น
"คุณเอิร์ธก็หนูตกถังข้าวสารเลยสิวะ โอ๊ยเป็นข้าก็เอาคุณหนึ่งดีกว่านังบัวตั้งเยอะ"
ทุกคนเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกัน ไม่นึกถึงจิตใจของภรรยาถูกต้องตามกฎหมายสักนิดที่มาทำงานด้วยใบหน้าซีดเซียวยังไม่หายดีจากอาการป่วย
จนบานเย็นเอ่ยทักบุตรสาว
"เหนื่อยก็ไปพักนะบัวไม่ต้องทำหรอก"
ร่างบางส่ายหน้าเล็กน้อย
"ทำไหวแม่ ไม่เป็นไรหรอก"ฝืนร่างกายแล้วทำงานจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน จึงได้ขับมอเตอร์ไซค์กลับมาที่บ้านหวังว่าจะเห็นร่างสูงของสามียืนอยู่หรือไม่แค่เห็นประตูหน้าบ้านเปิดก็ยังดี แต่แล้วก็ไม่สมหวังเมื่อมีเพียงเจ้าตูบวิ่งหางลู่หูตั้งมาหา จึงทำเพียงส่งยิ้มพลางลูบหัวมันนึกเอ็นดู
"สุดท้ายก็มีแค่แกกับฉันใช่ไหม" พึมพำเสียงเบาก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
ข่าวลือที่เกิดขึ้นทำไมจะไม่รู้แต่พยายามไม่สนใจมากกว่า หลายคนมองเธอด้วยแววตาสมเพชบางคนก็สงสาร จนไม่กล้ามองหน้าใคร จำต้องก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนของตนเองทั้งที่ตะโกนร้องไห้ภายในใจ
แค่มาหากันเพื่อยืนยันว่าเรื่องที่ได้ยินไม่จริงก็ยังดี แต่พณณกรกลับหายเข้ากลีบเมฆทั้งที่อยู่ไร่เดียวกันแท้ๆ
๑๕ความแตกต่างหลายวันผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของสามีแต่เรื่องของเขายังเข้าหูเธอตลอดเวลา และบุคคลที่คาบข่าวมาบอกคือผู้หวังดีประสงค์ร้ายอย่างฟ้ามุ่ยซึ่งต้องการเห็นความย่อยยับของคู่อริ สาวร่างอวบละจากงานแม่บ้านมานั่งคุยกับป้าที่อยู่ไร่พืชผักขณะที่กำลังคัดแยกพืชพันธุ์“ตอนเช้าฉันเห็นคุณเอิร์ธลุกมาวิ่งกับคุณหนึ่ง โอ๊ย ยืนข้างกันแล้วเหมาะสมเหลือเกินป้า เหมือนกิ่งทองใบหยก”พูดเสียงดังหวังให้ประโยคนี้ไปเข้าหูของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของสัตวแพทย์สุดหล่อแห่งฟาร์มสายรุ้ง“อ้าว เขาจะไปด้วยกันได้ยังไง คุณเอิร์ธนอนที่ไหน”บุลลาทำนิ่งเฉยทั้งที่ใจสั่นไหวไม่อาจหักห้ามได้“เขาก็นอนที่บ้านคุณธีสิ เอ๊ะ แต่คุณหนึ่งก็นอนที่บ้านคุณธีนะ หรือว่าเขาจะนอนด้วยกัน”ว่าจบก็ปรบมือดีใจยกใหญ่ทำให้บานเย็นที่ทนนั่งฟังมานานต้องลุกขึ้นยืนชี้หน้าสาวรุ่นลูกอย่างโกรธเคือง“เอ็งไม่มีการมีงานทำเหรอนังฟ้ามาเม้าเรื่องเจ้านายอยู่ได้ ข้าจะฟ้องคุณดนัยให้หักเงินเดือนเอ็ง”ตะโกนก้องนึกแค้นใจเมื่ออีกฝ่ายกัดไม่ปล่อยจนแม่บ้านอายุน้อยต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้แต่เมื่อมองใบหน้าซึมเศร้าของร่างบางก็ยิ้มสมใจ“ไปก็ได้ป้า ไม่อยู่กวนแล้วจ้า”พาร่า
๑๖สิ่งที่กำลังจะเกิดไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ก็พบว่านุ่มนิ่มวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโอบกอดเอาไว้และไออุ่นจากเพื่อนก็ทำให้น้ำตาที่เคยหยุดไหลออกมาอีกครั้ง แล้วกอดตอบพลางสะอื้นจนตัวโยนเป็นที่น่าเวทนาแก่คนพบเห็นยิ่งนัก"เกิดอะไรขึ้นบัว" เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายได้ร้องไห้จนพอใจ หล่อนโทรศัพท์มาหาก็ไม่มีการตอบรับ ด้วยความเป็นห่วงจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมแต่กลับได้ความว่าบุลลาโดนพณณกรลากตัวกลับบ้านยิ่งมาเห็นสภาพก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงทะเลาะกัน"เขาไม่เคยรักฉันเลยนิ่ม เขาทิ้งฉันไปแล้ว ฮึก ฉันจะทำยังไงดี"คนไม่เคยมีความรักก็จนปัญญาจะตอบ ทำได้เพียงลูบหลังปลอบปะโลมให้คลายจากอาการเศร้าลงบ้าง"เขาไม่เคยเชื่อฉันเลย หาว่าฉันเป็นปลิงดูดเงินเขา ฮือ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่มีอะไรกับเสี่ยด้วย ทะ ทำไมเขาไม่เชื่อกันบ้าง" ระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาหมด ภายในหัวมีแต่ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น ซ้ำจิตใจยังโดนย่ำยีจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของผู้ชายเพียงคนเดียวความรักที่เคยคิดว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้ายแต่กลับไม่เป็นอย
๑๗พร้อมจะไปบุลลารีบเก็บของทุกอย่างแล้วซ่อนไว้ภายในห้องนอนตนเอง พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ตกเย็นก็ช่วยมารดาทำอาหาร ไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว จากที่จะอธิบายความจริงกับเขาก็ปิดตายความคิดนั้นทันที ในเมื่อเขาไม่เห็นค่า ทำไมจะต้องไปลดคุณค่าตนเองง้อก่อนด้วยส่วนเรื่องลูก..คงต้องดูก่อนว่าควรจะบอกดีหรือไม่ในเมื่อทางข้างหน้าเหมือนจะลงเหว เธอยังจะพาตนเองไปอยู่ที่ตรงนั้นอีกหรือ คิดสะระตะ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นชื่อของนุ่มนิ่มโชว์จึงออกไปรับพูดคุยเพียงเล็กน้อยไม่ได้เจาะจงรายละเอียดมากนักหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็รีบเข้าห้องเพื่อวางแผนในการหาเงิน การมีลูกค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงลำพังเงินเดือนไม่กี่พันคงไม่พอใช้และถึงจะเอาเงินเดือนของพณณกรมารวมด้วยก็ไม่แน่ใจว่าสามารถใช้จ่ายเพียงพอในหนึ่งเดือน การลาออกจากพนักงานเสิร์ฟไม่ใช่ทางดีสักนิดในเมื่องานนั้นให้เงินดีไม่แน่ถ้าเธอขยันจนได้เลื่อนตำแหน่งอาจมีเงินเดือนหลายหมื่นแต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหนสุดแท้แต่จะคาดเดา คงต้องใช้ความพยายามเข้าช่วย กว่าคืนนั้นจะผ่านไปบุลลาก็ใช้เวลากว่าค่อนคืนเพื่อวาดแผนอนาคตของตนและเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดยามเ
๑๘เส้นขนานมันไม่ง่ายสักนิดที่ต้องมองคนคนรักไปกับผู้หญิงคนอื่น หัวใจเหมือนโดนพรากไปพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาทันที อาบใบหน้าจนเปรอะเปื้อน ไม่เคยคิดว่าตนเองจะโดนทิ้งในวันที่เริ่มตั้งครรภ์ อยากเอ่ยปากบอกเขาทุกอย่าง แต่เพราะทิฐิทำให้จำเงียบเอาไว้ถึงจะรั้งไว้แค่ไหนถ้าเลือกจะไป เขาก็ทิ้งหล่อนอยู่ดีอย่าทำอะไรให้ตนเองต้องอับอายไปมากกว่านี้เลย แค่เกาะเขากินทั้งยังให้ใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อก็หน้าอายเกินทนแล้ว เขาดูถูกจนไม่เหลือศักดิ์ศรีให้ภาคภูมิใจ พอได้แล้วบัว..เขาไม่ใช่ผู้ชายเธออีกต่อไปแล้วเย็นวันนั้นบุลลาบอกแม่ว่าตนเองจะหย่าและบานเย็นก็ไม่ได้คัดค้านลูก ทำเพียงกอดปลอบบุตรสาวทั้งยังเอ่ยขอโทษที่ทำให้ชีวิตของบุลลายุ่งยาก หากนางไม่ขอให้รับผิดชอบ งานแต่งก็คงไม่เกิดบางทีบัวอาจได้ใช้ชีวิตปกติและข่าวลืออาจซาไปเอง ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งหมด"แม่ขอโทษนะบัว แม่ผิดเอง"ใบหน้าหวานส่ายเป็นพัลวันแล้วกอดมารดาเอาไว้แน่น"แม่ไม่ผิด บัวมันไม่ดีเองที่หาเหาใส่หัว อยากได้ผัวรวยจนตัวสั่น สุดท้ายก็โดนเขาทิ้ง" สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของบานเย็นจนบุรณีที่มองอยู่ห่างๆ เริ่มเบะปาก ค่อยเขยิบมากอดพี่สาวจากทางด้านหลัง"พี่บัวมี
๑๙เส้นทางที่ต่างหลายเดือนผ่านไปร่างที่เคยบอบบางกลับมีหน้าท้องยื่นออกมาและดูเหมือนว่าขนาดจะใหญ่กว่าปกติจนหลายคนทักท้วงเสี่ยกรรชัยเองที่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่โรงแรมเพราะกลับไปดูแลธุรกิจอยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากสาวใช้ที่คิดว่าเป็นของตายกลับหนีไปไม่ว่าจะควานหาตัวจนแทบพลิกแผ่นดินแค่ไหนกลับไม่เจอเลย ราวกับว่าเธอเป็นเพียงวิญญาณที่มีเพียงยมทูตเท่านั้นจะพบเจอ"บัว..ทำไมเธอ" วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังโรงแรมและเห็นพนักงานเสิร์ฟกลายเป็นคุณแม่จึงเอ่ยด้วยใบหน้าตกตะลึง"อ๋อ บัวท้องค่ะ" ตอบอย่างฉะฉานทั้งที่เมื่อก่อนเคยนึกอายแต่ละคนมองมาที่เธอทั้งสมเพช สงสารจนไม่กล้าสู้สายตาใครแต่เมื่อได้กำลังใจจากคนรอบข้างก็ตัดความคิดของผู้อื่นออก ตอนนี้เธอจะต้องมีความสุขเพื่อลูกในท้องจะได้สุขภาพจิตดีไปด้วย"ตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมฉันไม่รู้เลย" ล็อบบีโรงแรมกลายเป็นสถานที่พูดคุยชั่วคราวและเสี่ยใหญ่ก็นั่งลงตรงข้ามพนักงานของตนเองรอฟังเรื่องราวจากปากเล็ก"บัวท้องได้ห้าเดือนแล้วค่ะ เสี่ยจะรู้ได้ยังไงคะก็ไม่ค่อยอยู่โรงแรม"นั่นสินะ..เขามัวแต่ไปทำงานและตระเวนตามหาผู้หญิงที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าคมสลดลงทันที"
๒๐ตอกย้ำความเจ็บปวดหนึ่งปีผ่านไปถึงเวลาจะเปลี่ยนแปลงแต่เมืองหลวงของประเทศไทยก็แทบไม่เปลี่ยนจากครั้งที่มาล่าสุด สัตวแพทย์หนุ่มที่ตอนนี้มีใบปริญญาทางด้านบริหารเพิ่มอีกหนึ่งใบพร้อมตำแหน่งใน บริษัทวิจิตร จำกัด (มหาชน) ซึ่งถึงแม้ไม่เข้าประชุมแต่ก็ส่งทนายเป็นตัวแทนไปทุกครั้ง เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกและมันสร้างเงินให้เขาพอจะซื้อเพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางกรุงสำหรับพักผ่อนแทนคอนโดเก่าร่างหนาที่เคยคล้ำแดดจากการตรากตรำทำงานกลางแจ้งเริ่มขาวขึ้นเนื่องจากนั่งอยู่ในห้องแอร์อ่านเอกสารทั้งวันจนปวดกระบอกตาไปหมด ไม่เข้าใจตนเองทำไมจึงต้องมานั่งทรมานทำในสิ่งที่ไม่ชอบสักนิด ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินดูห้องใหม่ที่พึ่งซื้อในราคาร้อยล้าน เขาแค่อยากผลาญเงินตนเองเล่นเผื่อมันจะเป็นข้ออ้างไม่ต้องแต่งงาน..ใช่..อีกไม่กี่วันเขาต้องหมั้นกับไปรยาหัวใจหนักอึ้งจนอยากให้มันหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้นแต่สวรรค์คงไม่เห็นด้วยเพราะทุกวันนี้เขายังหายใจและกินอิ่มนอนหลับ สุขสบายเหลือเกินพร้อมทั้งคำรบเร้าจากผู้คนรอบข้างอยากให้กลับไปทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์รักษาชัยสิทธิ์ทว่าก็ทำได้เพียงผัดวันประกันพรุ่งแค่นั้น ไม่กล้าปฏิเสธอย่า
๒๑งานแต่งของเขาบุลลากลับมาบ้านด้วยความเหนื่อยล้าจนมารดาสังเกตเห็น ทว่าไม่อาจพูดหรือทักท้วงอะไรเนื่องจากบุตรสาวรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านอย่างรวดเร็ว ส่วนเจ้าแฝดก็โดนเสี่ยกรรชัยมารับตัวไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วซึ่งคาดว่าผู้จัดการสาวคงทราบดี“พี่บัวเป็นอะไรเหรอน้า” บุรณีเดินมาถามบานเย็นด้วยใบหน้ากังวล ผ่านมาสี่ปีแล้วไม่คิดว่าพี่สาวตนจะยังคงเศร้ากับเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริงมีชายหนุ่มแวะเวียนมาจีบไม่ขาดสาย หากตอบรับใครสักคนก็คงจะลืมผู้ชายคนนั้นอย่างง่ายดาย“ไม่รู้เหมือนกัน เฮ้อ” ส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจนึกโทษตนเองมาถึงทุกวันนี้ที่นำพณณกรเข้ามาในชีวิตของลูก หากย้อนเวลากลับไปได้นางจะไม่ทำอย่างนั้น จะไม่ขอร้องผู้ชายใจร้ายให้รับผิดชอบอย่างเด็ดขาดร่างบางนอนลงบนเตียงพลางกำสร้อยที่ตนใส่ไว้แน่น ดีเหลือเกินที่เขาไม่เห็นว่าหล่อนยังเหลือเยื่อใย ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ไม่เคยลืมวันที่ได้รับสร้อยว่าดีใจมากแค่ไหน แม้ภายหลังจะได้รู้ว่ามันคือของมือสองที่ไปรยาไม่ต้องการร่างสูงตอบแทนความรักของเธอด้วยการโกหก ทั้งฐานะที่แท้จริงของเขา ยิ่งนึกถึงก็สร้างความอับอายให้ยิ่งนัก คงคิดว่าหล่อนจะไปปอกลอกจึงเก็บงำเอาไว้ไม่ย
๒๒บุกงานแต่งหลังผ่านวันงานอันแสนขมขื่นทั้งที่ควรจะมีข่าวหน้าหนังสือพิมพ์หรือในนิตยสารซุบซิบไฮโซกลับหายเงียบ เรื่องนั้นถูกปกปิดไว้จนไม่กล้ามีใครเอ่ยถึง อาจเพราะตำแหน่งใหญ่ของคุณมนตรีที่สามารถใช้อำนาจสั่งการสื่อได้อย่างมิดชิดจนแม้แต่พณณกรเองยังอดทึ่งไม่ได้ หากเป็นที่ไร่ป่านนี้ข่าวคงกระจายไปทั่วอำเภอภายในวันเดียวถึงจะใช้อำนาจของเงินก็ไม่สามารถปิดปากใครได้ร่างสูงจิบกาแฟขณะเหม่อมองสระน้ำภายในบ้านของตน เพนท์เฮ้าส์ที่คิดจะใช้เป็นเรือนหอถูกเปลี่ยนเป็นสตูดิโอของบิดา เขาไม่ได้ให้ฟรีแต่ขายขาดให้จนคุณพสุธาบ่นเช้าบ่นเย็นไม่คิดว่าลูกจะหน้าเลือดขนาดนี้น้ำสีฟ้าเคลื่อนไหวตามแรงลมแต่ก็ไม่มากพอจะให้เกิดคลื่นใหญ่เพราะมันคืออ่างน้ำจำลองไม่ใช่ทะเลที่พร้อมจะมีพายุเสมอถึงคลื่นลมจะสงบก็ตาม"มึงไม่คิดจะทำงานทำการเลยหรือไง นั่งหายใจทิ้งเป็นอาทิตย์แล้วนะ" แขกประจำของบ้านคือกองทัพที่หมั่นแวะเวียนมาหาบ่อยครั้งพ่วงด้วยภรรยาที่ท้องโตใกล้คลอด ส่งสายตาเอือมระไปให้แล้วก้าวมานั่งยังโต๊ะกลมที่มีเก้าอี้เพียงสองตัวเท่านั้น"วันนี้เมียมึงไม่มาด้วยเหรอ" เอ่ยถามเสียงเรียบไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นแต่คนฟังกลับทำสีหน้าไม่ชอบ