๑๑
เราไม่เข้าใจกัน
เสี่ยหนุ่มยืนส่งยิ้มให้บุลลาที่ออกจากรถแล้วพยายามหลบสายตาที่กำลังมองมา บรรยากาศที่เคยโอบล้อมไปด้วยความสุขก็ถูกทำลายทันทีเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาและดูท่าจะเป็นคนก่อพายุลูกโตอีกเสียด้วย
ร่างสูงของหนุ่มชาวไร่เดินมาหยุดข้างภรรยาดึงให้หล่อนไปหลบข้างหลังตนเอง
"เราจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับคุณเอิร์ธ"
คำพูดแสนสุภาพถูกปั้นแต่งจนคนฟังแสยะยิ้มเพราะรู้สึกระคายหู
"กูไม่ได้สนิทกับมึงจนต้องทักทาย"ถึงอายุจะห่างกันเกือบรอบแต่พณณกรกลับไม่เคารพผู้ชายตรงหน้าแม้แต่น้อย ใครจะไปอยากเสวนาคนที่ส่งลูกน้องมาซ้อมเขาเกือบตายพอไปแจ้งความมันดันรอดและทางตำรวจก็จับแพะเข้ากรงขังแทนคนที่บัญชาการอยู่เบื้องหลัง
เจ็บใจจนต้องเอาคืนด้วยการจับผู้หญิงของมันมาขังไว้อีกรอบ
"ดีเหมือนกันเพราะผมก็ไม่ได้มาทักทายคุณ คนที่ผมมาหาคือบัวต่างหาก"เขาเบนสายตาไปจ้องมองผู้หญิงที่หลบอยู่ข้างหลังสามีพลางส่งแววตาหวานให้อย่างไม่ปิดบังทำเอาเลือดร้อนขึ้นหน้าสัตวแพทย์หนุ่มจนต้องกำมือเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไรและที่สำคัญไปกว่านั้นคือรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว..
"บัวลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านครับผมเลยเก็บมาคืนให้"หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติทั้งจากคำพูดที่สุภาพเกินไปของกรรชัยและอารมณ์ร้อนของพณณกรจนไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเครื่องมือสื่อสารนั้นไว้ได้ทั้งใจก็นึกสงสัยว่ามันไปอยู่กับชายหนุ่มได้อย่างไร
"ที่จริงว่าจะคืนตั้งแต่ช่วงเย็นแต่พอดีเห็นคุณชื่นชมห้องผมอยู่ก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ"จงใจพูดจากำกวมให้หนุ่มหน้าคมคิดไปไกล
และเขาก็รีบหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาออกจากมือของชายที่นึกชังอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เอื้อมไปจับมือเล็กพร้อมทั้งบีบแน่น หลังจากนี้คงมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว
"จะรีบกลับกันใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นก็กลับดีๆ นะครับ ระวังเมียมึงเอาไว้ให้ดี"ประโยคหลังเขาเดินมากระซิบข้างหูให้ได้ยินกันสองคน
พอดีกับเสียงรถขับผ่านบุลลาที่แม้อยู่ใกล้ก็ไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่กรรชัยพูดกับสามีตนเอง เธอมีสีหน้าเหยเกเพราะแรงบีบเพิ่มมากขึ้น
"เจอกันพรุ่งนี้นะครับบัว"ทอดเสียงหวานก่อนหันหลังเดินไปยังรถยนต์ของตนเองปล่อยให้ความเงียบปกคลุม
และเมื่อเครื่องยนต์ของอีกฝ่ายแล่นออกไปก็เหมือนว่าเมฆหมอกหนาจะถาโถมมาที่เธอมากขึ้น
"นาย..คือว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ"ถึงไม่พูดแต่พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มคงกล่าวหาเธออยู่ในใจ
ร่างสูงหันมองคนตัวเล็กด้วยแววตาเย็นเยียบทำเอาหล่อนหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ
"บอกฉันมาว่าที่มันพูดเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องจริง บอกฉันว่าเธอไม่ได้ไปห้องมัน บอกฉันมาสิ!"เขาปาโทรศัพท์ของหล่อนลงพื้นจนหน้าจอแตกเพราะอารมณ์โกรธรุนแรง
เห็นอย่างนั้นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว ทั้งยังเสียใจ น้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังความจริงและตัดสินทุกอย่างโดยเชื่อเพียงสิ่งที่ได้ยิน
"มันไม่ใช่ทั้งหมด ฉันไปห้องเขาก็เพราะต้องพูดเรื่องสัญญา"พูดเสียงอ่อนก่อนจะไปจับแขนแกร่งหวังให้เขาระงับสติอารมณ์ทว่าโดนปัดออกอย่างไม่ใยดีพร้อมแววตาเย็นยะเยือกที่ส่งมาให้
“เห็นมันรวยเลยคิดจะไปกับมันใช่ไหม สัญญาบ้าบออะไรนั่นโกหกทั้งเพ เธอชอบมันใช่ไหมบัว ใช่ไหม!” จับไหล่เล็กมาเขย่าจนศีรษะสั่นคลอน คนที่อยู่ภายในร้านเริ่มออกมาดูเพราะเห็นท่าไม่ดีและก่อนที่จะได้เข้ามาห้ามร่างสูงก็ตัดสินใจกระชากหล่อนให้ขึ้นไปบนรถอย่างไม่ปรานี
“กลับไปคุยกันที่บ้าน” กดเสียงต่ำบอกหล่อน
“โอ๊ย” หัวเธอโขกที่โครงประตูอย่างแรงจนต้องเอามือมากุมไว้ น้ำตาปริ่มจะไหลออกมาด้วยอารมณ์เจ็บและน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นเขาได้ตัดสินใจไปตามที่ได้เห็นเป็นที่เรียบร้อย
ชายหนุ่มเดินขึ้นมานั่งประจำด้านคนขับก่อนเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วจนล้อบดถนนเป็นรอย
“ขับช้าๆ หน่อยสิ” ตะโกนบอกแล้วจับประตูแน่น ตอนนี้เขาเหยียบกว่าร้อยสี่สิบทั้งใบหน้าขึงขังแววตาดุดันสร้างความหวาดกลัวให้ผู้โดยสารมาด้วยยิ่งนัก ไร้การตอบกลับไม่มีประโยคสนทนา
ต่อจากนั้นบุลลารับรู้เพียงแค่ว่าไม่กี่นาทีต่อมารถยนต์ก็จอดลงที่หน้าบ้านหลังเล็ก
..เธอปลอดภัย
ถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ไม่นานประตูฝั่งที่นั่งของหล่อนก็ถูกเปิดออกพร้อมมือหนาที่เอื้อมมาจับแขนแล้วดึงเธอลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย เขากลายร่างเป็นใครอีกคนซึ่งไม่คุ้นเคยพยายามขืนตัวแต่ไม่อาจสู้แรงมหาศาลจากสัตวแพทย์หนุ่มได้จนในที่สุดก็ต้องยอมก้าวขาตามจนแทบจะพันกัน
เมื่อเข้ามาภายในบ้านหลังเล็กเขามุ่งตรงไปยังห้องนอนเปิดประตูอย่างแรงก่อนจะปิดเสียงดังทำเอาคนตัวเล็กดุ้งโหยง ขณะที่ไม่ทันตั้งตัวร่างหนาก็ผลักหล่อนลงบนเตียงกว้างแล้วตามมาคร่อมเอาไว้เพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้
“เธอไปอยู่กับไอ้บ้านั่นได้ยังไง เอากันลับหลังฉันกี่ครั้งแล้ว”
ถ้อยคำหยาบคายและสายตากล่าวหาสร้างความปวดใจแก่หญิงสาว
“ฉันไม่ได้มีอะไรกับเขา เป็นแค่นายจ้างกับลูกน้อง” พยายามอธิบายทั้งที่อีกคนไม่เปิดใจรับฟัง
“เธอเห็นหัวฉันมีเขางอกออกมาหรือไง ทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้เสี่ยนั่นจ้องจะจับเธอแล้วผู้หญิงเห็นแก่เงินที่ยอมอ้าขาให้ผู้ชายอย่างเธอคงไม่รักนวลสงวนตัวหรอก สนุกกับมันมากี่รอบแล้วล่ะ” ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากราวสะใจที่ได้เห็นใบหน้าหวานซีดเผือด
และเมื่อชายหนุ่มกำลังจะสาดถอยคำร้ายกาจใส่ใบหน้าคมก็หันไปตามแรงตบที่โกรธเคืองกับการกล่าวหาซึ่งไม่มีมูลความจริงสักนิด ผู้หญิงตัวเล็กใช้แรงทั้งหมดที่มีถีบเข้าที่หน้าท้องของพณณกรเพื่อให้หลุดพ้นจากการกักตัว
“คนจิตใจสกปรกแบบนายมันก็คิดได้แต่เรื่องต่ำๆ แบบนี้แหละ เสี่ยกรรชัยเขามีดีกว่าที่นายคิดเยอะ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” ในเมื่อไม่เคยคิดจะฟังกันคนตัวเล็กจึงตอบโต้กลับด้วยแรงอารมณ์ โกรธที่ถูกตราหน้าจากชายที่เป็นสามี ทั้งน้อยใจกับความคิดที่ตัดสินว่าหล่อนใจง่าย
ไม่รู้เลยหรือไงว่าแม้แต่ขาอ่อนของเธอก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้จับนอกจากเขา
ปาดน้ำตาที่ไหลลงมาแล้วหันหลังวิ่งไปที่ประตูไม่อยากอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายที่มีแต่ความคิดสกปรกในหัวแต่ยังไม่ทันที่มือจะจับประตูเอวก็ถูกคว้าไว้แล้วโยนร่างเล็กลงบนที่นอนอีกครั้ง ใบหน้าคมแดงก่ำเพราะความโมโหอยากจะฉีกทึ้งคนบนเตียงให้แหลกเป็นชิ้น
“ใช่ ฉันมันก็แค่ผู้ชายเฮงซวยที่มีดีแค่เซ็กซ์ ส่วนเธอก็แค่ผู้หญิงหิวเงินไม่เหมาะจะเป็นคุณนายนั่งบนหอคอยงาช้างหรอก” ก้าวขึ้นบนเตียงแล้วคร่อมร่างเล็กล็อกมือของเธอไว้แน่น “อย่างมากก็เป็นได้แค่เมียของไอ้คนไร่จนๆ แบบฉัน”ใบหน้าคมก้มลงซุกไซร้ลำคอขาวผ่องก่อนจะขบกัดจนมันเป็นรอยแดง
“ปล่อยฉัน อย่าทำแบบนี้ อย่า!” ตะโกนพร้อมกับหันหน้าหนีการรุกรานจากร่างสูง พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากคนตรงหน้าแต่ก็ดูไร้ผลเพราะเหมือนกำลังต่อสู้กับสิ่งที่ไม่อาจต้านแรงได้ ดวงหน้าหวานมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน
หัวใจเจ็บปวดที่ชายซึ่งคิดจะฝากชีวิตเอาไว้ไม่เชื่อคำพูดของตนเองสักนิดและเพิ่งรู้วินาทีนี้เองว่าเขามองเธอเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินมาโดยตลอด
ใช่..เงินมันสำคัญแต่ทุกวันนี้พณณกรสำคัญกว่า
หากไม่รู้สึกดีด้วยจะยอมอยู่กับเขาหลายเดือนหรือ หากไม่รู้สึกรักจะยอมมอบร่างกายที่หวงแหนให้เขาหรือ
เธอรักเขาเข้าเสียแล้ว รักผู้ชายที่กำลังทำร้ายตนเองอยู่ในตอนนี้
“อื้อ” ปากที่ตะโกนบอกให้หยุดถูกปิดเอาไว้ด้วยจูบกระแทกกระทั้น เขาใช้มือเพียงข้างเดียวจับที่ข้อมือเล็กเอาไว้ในขณะที่อีกข้างก็เลื่อนมาดึงเสื้อยืดตัวเล็กในขึ้นมาเหนืออกก่อนดันชุดชั้นในขึ้นไปกองไว้ที่เนินบัวตูมเผยให้เห็นทรวงสล้าง
ร่างสูงลงโทษด้วยการบีบมันอย่างแรงจนคนตัวเล็กรู้สึกเจ็บ ไม่มีอารมณ์พิศวาส กลับมีเพียงความเสียใจและเจ็บทั่วกาย เขาไม่ปรานีเธอเลยสักนิดใช้ความโกรธขับเคลื่อนทุกอย่าง มือหนาบีบเค้นไปทั่วจนเกิดรอยแดงและยิ่งผิวขาวที่บอบบางก็กลายเป็นรอยมือชัดเจน
“จำไว้ว่าผัวเธอคือฉันคนเดียว” กระซิบที่ข้างหูเพื่อให้มันฝังลงไปกลางใจของคนตัวเล็ก เขาโน้มมาจุมพิตเธออีกครั้งก่อนจะรับรู้ถึงรสเค็มปร่าจากน้ำตาของอีกฝ่าย ความคิดทุกอย่างหยุดชะงักทันที สบดวงตากลมโตท่ามกลางความมืด
ไร้ชีวิตชีวาราวกับยอมจำนนต่อทุกอย่าง
“ฮึก ถ้านายทำ ฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิต” ทุกครั้งที่ร่วมรักกันเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจและหากครั้งนี้เขาใช้กำลังขืนใจเธอก็ไม่ต่างจากพวกพนักงานเสิร์ฟกลุ่มนั้นเลยสักนิด ร่างบางสั่นด้วยความกลัวเมื่อภาพเหล่านั้นย้อนเข้ามาในหัว
วันนี้คนที่ทำร้ายเธอกลับเป็นชายหนุ่มผู้ที่เธอหวังให้เขามาช่วยยามกำลังตกที่นั่งลำบาก สร้อยคอสีทองส่องกระทบดวงตาคมตอกย้ำให้สติที่หายไปเริ่มกลับมา มือหนาผ่อนแรงก่อนจะปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระ ก่อนก้าวลงเตียงเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วไม่หันมามองร่างบางที่นอนหมดแรงพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลพรากสักนิด
เมื่อพ้นจากคนใจร้ายก็รีบลุกขึ้นนั่งดึงเสื้อผ้าลงปิดหน้าร้องไห้เสียงดังระงม ความสุขที่เคยมีถูกพัดจากไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของสัตวแพทย์หนุ่ม
“อ้าวนาย ทำไมวันนี้มาร่วมวงได้ครับ เมียไม่ว่าเหรอ” ลูกน้องที่กำลังตั้งวงอยู่บนแคร่หน้าบ้านพักคนงานเอ่ยทักทันทีเมื่อพบว่าเจ้านายที่ปัจจุบันกลายเป็นคนติดเมียว่างมาสังสรรค์กับพวกตนได้
“เอาเหล้ามา” ไม่ตอบคำถามกลับคว้าเหล้าต้มจากโอ้มากรอกปากทันทีราวคนหิวโหย
จนคนงานมองตามพลางส่งเสียงปรบมือกันเกรียวกราว พณณกรไม่ได้สนใจเขาหยิบขวดเหล้าที่ชาวบ้านพากันต้มด้วยตนเองขึ้นดื่ม มันแสบคอไปหมด ออกร้อนทั่วกายแต่กลับทำให้สมองโล่งอย่างน่าประหลาด
อยากลืมใบหน้าหวานที่ส่งยิ้มให้เสี่ยกรรชัย ลืมเรื่องราวที่ตนจินตนาการระหว่างสองคนนั้นคงมีความสุขด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง เขามันก็แค่ไอ้ควายโง่ที่ให้เมียสวมเขา ไม่คิดสงสัยสักนิดว่าเหตุใดบุลลาจึงอยากไปทำงานไกลหูไกลตานัก
หึ..ที่แท้ก็อยากหาผัวรวยนี่เอง
ยิ่งนึกก็โกรธจนต้องหยิบเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากไม่สนบทสนทนาที่เกิดขึ้นในวงเหล้าถึงแม้มันจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุลลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม
สายของวันใหม่ชลธีตรงมายังบ้านพักคนงานหลังได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนสนิทและก็ต้องส่ายศีรษะนึกระอาเมื่อพบว่าร่างสูงนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนแคร่ที่ดื่มเหล้าเมื่อวานโดยมีโอ้และอาร์ตมองอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง
“พวกผมปลุกแล้วครับแต่โดนนายด่า จะสาดน้ำใส่ก็ไม่กล้าเลยทำได้แค่ปล่อยให้นอนแบบนี้” โอ้รายงานพลางมองไปที่เจ้านายซึ่งหมดสภาพของหนุ่มผู้น่าเกรงขาม เหลือเพียงคนขี้เหล้าผู้น่าสมเพช
จนชลธียังต้องเบนสายตาหนีเหลือบเห็นถังน้ำเปล่าอยู่ก็คิดแผนการแก้เผ็ดออก
“คุณธีจะทำอะไรครับ” อาร์ตเอ่ยถามขณะมองร่างสูงปราดเปรียวเดินไปยกถังน้ำแล้วสาดลงไปที่แคร่ จนคนนอนหลับสะดุ้งขึ้นตื่นสีหน้าเครียดเขม็งลืมตาขึ้นมองโดยรอบราวหมาบ้า
“ไอ้เหี้ยใครสาดน้ำใส่กู” มองไปเห็นลูกน้องสองคนยืมกอดกันแน่นเพราะกลัวเจ้านายจะเข้ามาทำร้าย ก็ลุกขึ้นหวังไปตะบันหน้าคนที่บังอาจมาปลุกให้ลุกก่อนจะถูกคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
ไม่รอช้าพณณกรปล่อยหมัดอย่างรวดเร็วแต่เพราะเรี่ยวแรงอ่อนล้าเกินไปจึงถูกอีกฝ่ายหลบได้ส่งผลให้ร่างสูงเสียหลักเซล้มลงกับพื้น
“เมาอย่างกับหมาจะจัดการใครได้ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
สัตวแพทย์หนุ่มสะบัดศีรษะเพราะรู้สึกวิงเวียนไหนจะอาการพะอืดพะอมที่เกิดขึ้น
“อึก อ้วก” ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นไปอาเจียนที่ข้างต้นมะม่วง
โดยมีสายตาสามคู่จ้องมอง เจ้าของไร่ผิวขาวยกมือขึ้นกอดไม่เข้าไปลูบหลังอย่างที่เคยทำปล่อยให้อีกฝ่ายปล่อยของเสียในร่างกายออกมาจนหมดแล้วนั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง
“น้ำ ขอน้ำหน่อย” เอ่ยขึ้นอย่างหมดแรง
จนอาร์ตต้องรีบกุลีกุจอหาน้ำให้ลูกพี่ของตนเอง
“น้ำครับนาย ค่อยๆ ดื่มครับ” บรรยากาศยามสายร้อนจนเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ตอนที่นอนก็ไม่รับรู้ถึงไอความร้อน ทว่าพอตื่นกลับสัมผัสได้ถึงแดดในช่วงนี้ที่แสบผิวเหลือเกิน แก้วถูกยื่นให้เจ้านายก่อนคนเมาจะรับแล้วดื่มอย่างรวดเร็วจนน้ำไหลลงคอกระฉอกออกปากเพราะคนตัวสูงยกขึ้นกรอกไม่ระมัดระวังสักนิด
“หมดสภาพแบบนี้จะไปทำงานได้เหรอ” ชลธีเอ่ยถามเสียงเครียด ไม่บ่อยนักที่เพื่อนสนิทจะดื่มจนเมามายเสียงานเสียการ
..คงมีเรื่องกระทบจิตใจ
“ใครว่ากูจะทำ วันนี้ลาเว้ย คนจะหลับจะนอนยังให้ไปทำงานอีก มึงบ้าหรือเปล่า”
โดนกล่าวหาทั้งที่เพียงถามด้วยความเป็นห่วง หนุ่มผู้ดีเมืองกรุงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วหันไปมองสองคู่หูฝากดูเพื่อนสนิท ส่วนตนก็เดินออกจากตรงนี้
คร้านจะคุยกับคนพูดไม่รู้เรื่อง
ฝั่งบุลลาก็เก็บเสื้อผ้าแต่เช้าแล้วเดินด้วยระยะทางหนึ่งกิโลเมตรไปทางเข้าไร่เพื่อขึ้นรถรับส่งพนักงานหวังกลับบ้านของตน ไม่อยู่ให้เขากลับมาพูดจาถากถางอีก
บานเย็นที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จออกมารอรถของทางไร่ก็ตกใจเมื่อเห็นดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้มาทั้งคืนบุตรสาว
“เป็นอะไรน่ะบัว” นางถามเสียงตื่นขณะที่ร่างบางเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน
“หนูขออยู่ด้วยนะแม่” บอกเสียงสั่นเครือไม่อาจระงับความเสียใจเอาไว้ได้เพียงเห็นใบหน้าของมารดา ความอ่อนแอก่อตัวขึ้นก่อนเดินไปกอดผู้หญิงที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กราวต้องการหาที่พึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
คำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงห่วงใยทำให้บ่อน้ำตาของบุลลาแตกทันที หล่อนร้องไห้ราวเด็กน้อย กอดผู้หญิงตรงหน้าเอาไว้แน่น ปล่อยกระเป๋าให้ร่วงกองที่พื้นจนบานเย็นไม่ทันตั้งรับกับอารมณ์อ่อนไหวของร่างบาง
“หนูไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว ไม่เอาแล้ว”
จับต้นชนปลายไม่ถูกแต่เท่าที่เดาได้คงเพราะทะเลาะกับพณณกรมา แล้วดูเหมือนว่าครั้งนี้จะรุนแรงมากเสียด้วย
นางกอดปลอบลูกอยู่พักใหญ่จนอีกฝ่ายสงบลงจึงพาเข้าบ้านมาหาน้ำท่าให้ดื่ม ไม่ถามอะไรรอให้หญิงสาวเล่าออกมาเองซึ่งดูเหมือนว่าหล่อนก็พยายามเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้ไม่ยอมบอกว่าเป็นมาอย่างไร
“วันนี้จะไปทำงานไหมล่ะ” ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรจึงต้องถามเรื่องงานแทน
“ไปสิแม่ หยุดบ่อยไม่ได้เงินพอดี” ค่าใช้จ่ายเยอะจนไม่อาจทำตามแต่ใจได้ถึงความจริงจะอยากอยู่บ้านไม่ต้องการพบเจอผู้คนมากแค่ไหนก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวแม่พาขับมอ’ไซต์ไปไร่” ค่อยตะล่อมถามถึงเหตุการณ์ที่ทำให้บุตรสาวหอบเสื้อผ้ากลับบ้าน แต่ตอนนี้จะต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงชีพก่อน
บุลลานึกเสียดายโทรศัพท์ของตนเองที่ถูกทิ้งไว้หน้าร้านอาหารด้วยสภาพหน้าจอแตกละเอียด ถึงไม่ได้หยิบขึ้นมามองแต่ก็เห็นกระจกจอที่พังยับเยินจากการกระทำของสามีซึ่งไม่สนใจฟังคำพูดใดๆ เอาอารมณ์ตนเองเป็นที่ตั้งจนเรื่องราวบานปลาย
ระหว่างทำงานคัดเมล็ดพันธ์ หล่อนก็ยกมือขึ้นจับสร้อยบ่อยครั้ง มันมีค่าทางจิตใจต่อเธอแต่ดูเหมือนว่าคนให้จะผู้ทำลายความรู้สึกนั้นลงเพียงเพราะความหูเบา
แคร่หน้าที่พักคนงานกลายเป็นที่ประจำของสัตวแพทย์หนุ่ม ตะวันยังไม่ตกดินด้วยซ้ำเขาก็ไปยกไหเหล้าขาวที่คนงานทำเอาไว้มานั่งดื่มเพียงลำพังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้สักราย ขนาดคู่หูดูโอ้ยังทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ
“กูว่านายท่าจะอาการหนักแล้วนะ” พูดกันเสียงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“นั่นสิ ดูจากอาการแล้วกูว่าทะเลาะกับเมียชัวร์” ฟันธงแทบไม่ต้องคิด
ช่วงหลังพณณกรดูเจ้าอารมณ์มากขึ้น หากเรื่องนั้นเกี่ยวกับบุลลา แม้แต่คนงานที่พูดจาลับหลังใส่หญิงสาวแบบล่วงเกินยังเกือบโดนต่อยมาแล้ว
“แล้วเราจะช่วยนายยังไงวะ”
“อย่างแรกมึงต้องรู้ก่อนว่าเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร” ไม่ใช่เพียงแค่อยากทำให้ความสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณดีขึ้น แต่พวกเขาไม่อยากตกเป็นกระโถนท้องพระโรงที่คอยรองรับอารมณ์ยามร่างสูงโมโหอีกแล้ว
“เราจะเริ่มสืบจากไหน” นักสืบจำเป็นหันมองหน้ากันทันที
“คนใกล้ตัวก่อนแล้วกัน”
แผนการช่วยหัวหน้าและช่วยตนเองให้รอดพ้นจากฝ่าเท้าของนายสัตวแพทย์หนุ่มจึงเริ่มขึ้น โดยคนเมาไม่ได้รับรู้ด้วยเพราะกำลังดื่มด่ำไปกับรสชาติหวานบาดคอของเหล้าต้มในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง
บุลลายังคงทำมาทำงานช่วงเย็นเหมือนเดิมแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสิร์ฟผิดจนโดนหัวหน้าเรียกมาตั้งเตือนจึงพยายามเรียกขวัญกำลังใจกลับมาแล้วเพ่งสมาธิไปยังงานที่สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง
เสี่ยกรรชัยต้องไปประชุมในจังหวัดจึงไม่ได้มาสืบข่าวรักร้าวฉานของคู่สามีภรรยา แม้จะเสียดายแต่ก็คิดว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะที่จะทำให้ความสัมพันธ์สะบั้นลง
สามวันผ่านไปที่พณณกรทำตัวเหมือนชายโสด นอนบ้านคนงานอาบน้ำที่นั่นใส่เสื้อผ้าตัวเดิมซ้ำๆ เหตุผลก็เพราะยังไม่อยากกลับไปเจอหน้าภรรยา โดยไม่รู้สักนิดว่าตอนนี้ไร้ผู้คนอยู่ที่นั่น มีเพียงเจ้าตูบซึ่งเฝ้าหน้าบ้านด้วยสีหน้าเหงาหงอย
“ไม่ได้ความเลยครับคุณธี ทะเลาะกันเรื่องอะไรก็ไม่มีใครรู้”
สองสามีภรรยาปิดเงียบแม้กระทั่งบานเย็นก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่บุตรสาวกลับมาอยู่บ้าน
ชลธีนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร ทั้งที่จริงมันไม่ใช่เรื่องของตนเองด้วยซ้ำแต่ไม่อาจทนมองเพื่อนสนิททำตัวเหลวไหลได้อีก
“ผมคิดว่าต้องเกิดจากความหึงหวงครับ นายน่ะหวงเมียจะตายแค่ผู้ชายมองหน่อยเดียวแทบจะเอาเท้าไปประเคนหน้าแล้ว”
เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันในไร่จนแทบไม่มีผู้ชายคนไหนกล้ามองหน้าบุลลาเกินห้าวินาทีเพราะกลัวจะเจอหมัดของหนุ่มผิวเข้ม
“ก็อาจเป็นไปได้” คนที่เคยผิดหวังจากความรักมักกลัวว่าปัจจุบันจะซ้ำรอยเดิม จึงพยายามทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนหลายปีก่อน โดยลืมว่าผู้หญิงทุกคนไม่เหมือนกัน
คิดอย่างกลัดกลุ้มต้องถอนหายใจออกมา
“ขอบใจพวกนายมาก มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
สองหนุ่มจึงเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ปล่อยเจ้าของไร่เอาไว้เพียงลำพังในห้องรับแขก
จากที่เป็นเพียงเพื่อนร่วมคณะกลับกลายเป็นหุ้นส่วนและตอนนี้ดูเหมือนว่าชลธีจะต้องจัดการชีวิตของร่างหนาด้วย ยกมือขึ้นกุมขมับ การถางหญ้ากลางแดดยังไม่หนักหนาเท่าต้องมาดูแลคนดื้อรั้นที่เอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่งอย่างพณณกรเลย
“จะไม่ไปคุยกับคุณเอิร์ธหน่อยเหรอ”ระหว่างนั่งรับประทานอาหารเช้าบานเย็นก็เอ่ยถามบุลลาเนื่องจากได้ยินเรื่องราวของลูกเขยที่เอาแต่กินเหล้าเมาหัวราน้ำทุกเย็น
“ไปทำไมแม่ บัวไม่ใช่คนผิดสักหน่อย” ใบหน้าหวานบึ้งตึงทันทีก่อนจะรวบช้อนทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ รู้สึกตื้อเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่มที่คิดถึงทุกค่ำคืน
ใช่..เธอคิดถึงเขา แม้จะโดนทำร้ายจิตใจมากแค่ไหนก็ตาม ทำไมเป็นคนรักใครเร็วแบบนี้บุลลา..
‘ฉันไดร์ให้ไหม’ ยามค่ำคืนที่เลิกจากงานถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหนแต่ร่างบางก็ยังคงสระผมแล้วต้องมานั่งถ่างตาเป่าให้แห้ง ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพราะผมที่ยาวกลางหลังทั้งยังหนาอีกด้วย
‘ทำเป็นเหรอ’
ร่างสูงอาสาเข้าช่วยก่อนจะโดนถามราวดูถูก
‘คอยดูฝีมือได้เลยครับคุณผู้หญิง’ หยิบเครื่องเป่าแล้วจับผมแบ่งเป็นสองฝ่ายเขาเริ่มไดร์ข้างขวาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น
โดยมีสายตากลมโตมองผ่านกระจก หล่อนรู้สึกอบอุ่นหัวใจเพราะไม่เคยมีใครเอาใจใส่ถึงขนาดนี้ มองความตั้งใจของเขาที่สะท้อนให้เห็นก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
..คนปากร้ายเวลาทำอะไรแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน
หรือว่าจะเป็นตอนที่ร่างสูงพยายามทำอาหารเช้าเพียงเพราะคืนนั้นก่อนหน้าเขารังแกเธอหนักไปส่งผลให้ตื่นสาย
ร่างบางยืนมองสามีหยิบจับเครื่องครัวอย่างเก้กังก็อดขำไม่ได้ คนที่ดูสมบูรณ์แบบก็มีมุมที่ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
ทุกภาพทุกความทรงจำวนเวียนเข้ามาจนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาขณะล้างจานข้าวของตนเอง กลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกจากครัวจนมารดาได้ยิน
“น้า หนูว่าพี่บัวเขาเสียใจแน่เลย เมื่อคืนก็ได้ยินเสียงร้องไห้” มะลิเขยิบไปหาน้าสาวแล้วเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินเพียงสองคน
“เป็นเด็กเป็นเล็กรู้เรื่องกับเขาด้วยเหรอ รีบกินเร็วเข้าเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย” เอ็ดไม่จริงจังนักแล้วตักอาหารเข้าปากพลางมองไปยังห้องครัว นึกสงสารบุตรสาวทั้งอยากรู้ใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ครานี้บุลลากลับปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงอีก
เหมือนกับชายหนุ่มที่กำลังให้อาหารม้าไม่มีผิด ใบหน้าคมเคร่งขรึมไม่เอ่ยวาจากับลูกน้อง ทำเพียงสั่งงานแล้วเดินตรวจเท่านั้น หลายคนกลัวว่าจะทำพลาดจนโดนด่า แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานและสัตวแพทย์หนุ่มกำลังจะกลับบ้านก็มีรถจิ๊ปวิลลีคันใหญ่สีส้มมาขวางทางไว้เสียก่อน
คนที่ก้าวลงมาเป็นชลธีซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นจนรู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“ว่ามา กูไม่มีเวลามากหรอกนะ” เดินไปยืนพิงรถที่ไม่ค่อยได้นำออกมาใช้ แล้วกอดอกหันมองร่างปราดเปรียวคอยว่าจะพูดอะไร
“จะรีบไปกินเหล้าหรือไง”
ยักไหล่แล้วหันไปมองทิวทัศน์ทางอื่นไม่อยากเห็นสายตาที่กล่าวโทษ
“เรื่องของกู มีไรก็รีบพูด”
บางทีเพื่อนก็น่าหมั่นไส้จนอยากตะบันหน้าเสียแต่ว่ากลัวมันสวนคืนแล้วเขาจะเละเป็นโจ๊ก หมัดของพณณกรไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ใครโดนมีสิทธิ์หน้าช้ำหวิดเสียโฉมได้
“นายรู้เรื่องที่คุณบัวเกือบโดนข่มขืนจากพวกผู้ชายที่ร้านอาหารหรือเปล่า”
จากสายตาที่ไม่ได้โฟกัสที่ใด ใบหน้าคมก็หันมามองเพื่อนสนิททันทีพร้อมเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว คว้าไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมดวงตาที่แฝงไปด้วยความใคร่รู้
“มึงหมายความว่ายังไงไอ้ธี ที่มึงพูดมาหมายความว่าไงวะ ตอบกูสิ!” ความใจร้อนของสัตวแพทย์ผิวเข้ม
ทำให้ตอนนี้เจ้าของไร่ตัวขาวตกที่นั่งลำบาก
เขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้พณณกรรู้และไม่มีใครกล่าวถึงอีกเนื่องจากเจ้าตัวมาขอร้องด้วยตนเองพร้อมใบหน้าซึมเศร้า อีกอย่างอาจเพราะอำนาจของเสี่ยกรรชัยที่สั่งปิดปากทุกคนในอำเภอจึงไม่ได้แพร่งพรายพร้อมจะลืมเลือนตามกาลเวลา
“คุณบัวโดนพวกพนักงานชายจะฉุดไปข่มขืนวันที่นายไปกรุงเทพฯ พอดีเสี่ยกรรชัยอยู่ที่นั่นเลยช่วยเอาไว้ได้ ตอนนี้พวกมันติดคุก อ้าว ไอ้เอิร์ธ จะไปไหน”
ฟังยังไม่ทันจบก็ปล่อยให้เพื่อนเป็นอิสระก่อนวิ่งไปควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล้วขับออกไปทันที ปล่อยให้คนที่มาหามองตามด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะยกยิ้มเพราะรู้ว่าตนเองจี้ถูกจุด
อาจเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ทะเลาะกัน..ขอให้คืนดีกันไวๆ นะ คนในฟาร์มจะได้ทำงานเป็นสุขสักที
ร่างสูงขับรถคู่ใจไปด้วยความเร็ว จุดหมายคือทางออกของไร่หวังว่าหล่อนจะยังไม่ไปไหนไกลหรอกนะ เวลานี้บุลลาต้องไปทำงานในตัวอำเภอ ถ้าเขาคำนวณเวลาถูกนุ่มนิ่มคงยังขับไปไม่ถึงไหนอย่างมากก็ทางแยกระหว่างไร่กับฟาร์ม
ความคิดของชายหนุ่มไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้เพราะเขาเห็นแผ่นหลังเล็กซึ่งไม่ได้มองมาหลายวันทันใดนั้นก็เร่งเครื่องแล้วขับไปปาดหน้าจนฝ่ายที่ขับมาต้องรีบเบรกจนหัวเกือบทิ่ม ดีที่ไม่ได้ขับเร็วเท่าไหร่และเมื่อคนซ้อนท้ายอย่างร่างบางได้สบดวงตาคมก็เบิกกว้างขึ้น
“ลงมาคุยกันหน่อย” น้ำเสียงที่เคยขึงขังถูกลดลงมากลายเป็นเพียงราบเรียบ ระหว่างทางก็คิดมาตลอดว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกเช่นไรแต่ก็ไม่อาจตอบได้
ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าหวานที่ซูบตอบแถมใต้ตาคล้ำใจก็รู้สึกผิด
..เขาทำเกินไปหรือเปล่า
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย นิ่มไปกันเถอะ” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยด้วยการหันหน้าหนี
จนคนที่มาง้อทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยง้อผู้หญิงเลยสักคนนอกจากมารดาหรือพี่สาวซึ่งก็น้อยครั้งที่จะได้ทำอย่างนั้น
“ฉันไม่ให้ไป เราต้องคุยกันก่อน” จับข้อมือเล็กเอาไว้ทันทีทั้งที่เป็นช่วงเลิกงานและรถราวิ่งสัญจรไปมา จนกระทั่งได้ยินเสียงบีบแตรจากรถยนต์ที่ใช้รับส่งคนงาน
“ปล่อยนะ ไม่เห็นเหรอว่าทำให้รถมันติด” ใบหน้าหวานเริ่มอับอายจึงบอกเขาเสียงเข้มพร้อมทั้งพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม
“ไม่ปล่อยจนกว่าเราจะพูดกันรู้เรื่อง” ร่างสูงไม่พูดพร่ำทำเพลงในเมื่อเธอไม่อยากคุย แต่เขาต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากเธอ จึงใช้ความได้เปรียบในเรื่องส่วนสูงและพละกำลัง อุ้มคนตัวเล็กขึ้นบ่าอีกครั้งท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของคนงาน
“ไอ้บ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ร่างบางโวยวายเสียงดังเมื่อเขาวางเธอลงบนเบาะก่อนจะขึ้นคร่อมโดยใช้แขนของตนขังเธอเอาไว้
“ถ้าไม่อยากอายคนมากกว่านี้ก็เงียบ ไม่อย่างนั้นฉันจูบโชว์แน่” กระซิบเสียงเบาข้างหูแล้วสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ขับออกไปทันที
ปล่อยนุ่มนิ่มมองตามตาละห้อย
..แล้วอย่างนี้เธอจะทำอย่างไรเล่า
คนงานที่เห็นเหตุการณ์ก็จับกลุ่มคุยกันเป็นคุ้งเป็นแคว คงมีเรื่องสนุกให้พูดกันไปอีกหลายวัน
ฟ้ามุ่ยที่มองดูด้วยความเจ็บใจก็กระทืบเท้าบนรถ ตอนแรกก็ว่าจะบอกพณณกรเรื่องที่เห็นบุลลาเข้าโรงแรมกับเสี่ยกรรชัย แต่ชายหนุ่มเอาแต่ดื่มเหล้าไม่ต่างกับน้ำ จึงกลัวว่าจะโดนลูกหลงจำต้องเงียบเอาไว้ แล้วอีกอย่างก็นึกว่าขาเตียงกำลังจะหักเพราะร่างสูงเอาแต่เมาเหล้าอยู่บ้านพักคนงาน
ใครจะไปคิดว่าฝ่ายชายจะมาลักพาตัวภรรยาจนเป็นที่เอิกเกริกเห็นกันทั้งไร่อย่างนี้ คิดแล้วก็เจ็บใจ
..ทำไมผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เธอนะ จะไม่ร้องดีดดิ้นแบบนั้นเด็ดขาดจะยอมเดินตามเขาไปสวยๆ เลย
ระหว่างทางกลับบ้านหล่อนไม่พูดอะไรอีกยังคงนั่งเงียบทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ
ทั้งเรื่องที่เขาทำวันนี้และเมื่อหลายวันก่อน คำพูดจาดูถูกถากถางยังตามหลอกหลอนไม่หายจนต้องร้องไห้อยู่ทุกคืน คนพูดอาจไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังนั่นเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ เพิ่งรับรู้วันนั้นเองว่าสามีที่อยู่ด้วยกันมามองเธอเป็นผู้หญิงหิวเงินตลอดเวลา
เมื่อถึงบ้านหลังเล็กที่กลายเป็นเรือนหอ ร่างบางก็รีบหนีจากอ้อมกอดนั่น เจ้าตูบที่นอนเฝ้าหน้าบ้านรีบวิ่งมาหานายผู้หญิงด้วยความคิดถึง มันกระโดดใส่จนร่างบางต้องลูบหัวแล้วบอกให้หยุดด้วยท่าทีอ่อนโยน
“พอก่อนเจ้าตูบ จะคิดถึงอะไรขนาดนั้น” สัตวแพทย์ผิวเข้มมองตามด้วยแววตาอ่อนโยนจนกระทั่งเธอหันมามองหน้าเขาใบหน้าคมจึงเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง
“ฉันจะกลับบ้าน” บอกเจตจำนงของตนเอง
“ก็นี่ไงบ้าน” ชี้ไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวที่เข้ามาอยู่ร่วมสองเดือน มีความทรงจำที่ดีและเลวร้ายโดยเฉพาะวันที่เขาทำร้ายเธอ
“นายต้องการอะไรกันแน่ หรือที่ด่าฉันวันนั้นมันยังไม่สาแก่ใจ อยากด่าอีกเหรอ ว่ามาสิ ด่าฉันมาเลย ด่ามาสิ ด่าฉันมา” น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
จนพณณกรต้องคว้าร่างบางมากอดเอาไว้
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” คำขอโทษอย่างจริงใจทำเอาหัวใจดวงนี้อ่อนลงราวขี้ผึ้งลนไฟ แต่ก็ยังไม่ลืมความเจ็บช้ำที่เกิดจากน้ำมือของผู้ชายคนนี้ได้ จึงทุบที่หน้าอกเขาเต็มแรงหวังระบายอารมณ์โดยร่างสูงก็ยอมโดนกระทำเต็มที่ไม่ขัดขืน
“คิดว่าฉันจะยกโทษให้หรือไง นายรู้หรือเปล่าว่าฉันเจ็บแค่ไหน ฮึก ไอ้บ้า ทำไมถึงกล้าทำแบบนั้นกับฉัน ทำกันได้ยังไง” คนเสียใจพูดไม่รู้เรื่องเพราะมีความรู้สึกมากมายตีกันจนแยกไม่ออกว่าตอนนี้เธอหายโกรธหรือยังคงโมโหเขาอยู่
แต่ที่ชัดคือความอบอุ่นที่เข้ามาโอบล้อมหัวใจอีกครั้ง
“เจ็บมากไหม ขอโทษที่วันนั้นฉันไม่ยอมรับฟังเธอ ขอโทษนะบัว” จุมพิตที่ขมับอย่างแผ่วเบาแล้วโอบกอดเธอไว้เหมือนเดิม
คนตัวเล็กร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน กลืนคำพูดที่จะพ่นออกมากลับไปเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อของตนเอง
หัวใจสั่นไหวราวเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น เธอไม่สามารถต้านทานแรงที่พุ่งเข้าชนโดยเกิดจากคำพูดอ่อนโยนของร่างสูงได้เลยสักครั้ง
“ทำไมไม่บอกฉันว่าวันนั้นเธอโดนอะไรบ้าง ไม่คิดจะบอกฉันสักคำเลยเหรอ” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม เขารู้สึกผิดและคิดมาตลอดทางว่าเพราะเหตุใดเรื่องที่เกือบโดนทำมิดีมิร้ายหล่อนจึงต้องปิดบัง ไม่ไว้ใจขนาดไม่บอกเลยหรือ แต่นอกเหนือจากนั้นเขารู้สึกสงสารหล่อน
วันที่พยายามขัดขืนคงคิดว่าตนเองกำลังจะโดนข่มขืน เขากลายเป็นผู้ร้ายในคราบของสามีไปแล้ว
“นายหมายถึงอะไร” พยายามเค้นเสียงถามทั้งที่ยังสะอื้น
“วันที่ฉันไปกรุงเทพฯ แล้วเธอเกือบโดนข่มขืน ทำไมไม่บอกฉันสักคำ ไม่เชื่อใจฉันสักนิดเลยเหรอ” ตัดพ้ออย่างน้อยใจ จนร่างบางรู้สึกผิด ชายหนุ่มผละออกเพื่อจ้องเข้าไปในแววตากลมโตรอฟังคำตอบจากปากของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ
“ฉันกลัวนายไม่ให้ไปทำงานอีก” สารภาพผิดแล้วก้มหน้านิ่ง อันที่จริงเรื่องนี้เธอก็ผิดที่ปิดบังเขา คนเป็นสามีภรรยาไม่ควรมีความลับต่อกัน ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วยแล้ว หากเธอเป็นเขาก็คงจะน้อยใจเช่นเดียวกัน
“ส่วนเรื่องเสี่ยกรรชัยมันไม่มีอะไรจริงๆ เขามาช่วยฉันเอาไว้แล้วเสนอให้ไปทำงานที่โรงแรมแทน มันมีแค่นั้น นายเชื่อฉันนะ”
บอกความจริงที่เก็บเอาไว้ให้เขารับรู้ ในความคิดของบุลลาเสี่ยใหญ่เป็นผู้มีพระคุณที่เข้ามาช่วยจากเรื่องร้าย
แต่ในทางของพณณกรเขากลับมองว่าอีกฝ่ายคือศัตรูที่จ้องจะเล่นงานตนเองและบางทีหล่อนอาจจะเป็นหมากก็ได้
“อือ ฉันเชื่อ” เพียงเท่านั้นใบหน้าหวานก็ยิ้มออกแล้วอ้าแขนกอดเอวร่างสูงเอาไว้ลืมความโกรธความน้อยใจที่เคยมีจนสิ้น
ไม่ต่างกับสัตวแพทย์ที่โอบตอบ เรื่องนี้เขาจะปล่อยไปเพราะสงสารที่หล่อนโดนรังแกแล้ววันนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย
..แต่เรื่องของเสี่ยกรรชัยไม่มีทางปล่อยไปแน่ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!
๑๒นิรันดรไม่มีอยู่จริงเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจจะคุยกับบุลลาให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดใจกันอีกครั้ง ผละออกจากร่างเล็กแล้วมองใบหน้าหวานที่มีคราบน้ำตาก็ยกมือขึ้นเช็ดให้อย่างแผ่วเบา ดวงหน้าคมคลายความกังวลเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขลงไปบ้างแล้ว"นายห้ามทำแบบนั้นอีกนะ ถึงจะโกรธกันแค่ไหนแต่อย่าใช้กำลังบังคับนะ"ภาพเหตุการณ์วันนั้นยังตามมาหลอกหลอน หากพณณกรใช้กำลังกับเธอจริงไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังให้อภัยเขาหรือเปล่า การร่วมรักควรเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ"ไม่ทำอีกแล้ว"ลูบศีรษะเล็กก่อนจะยิ้มให้เพียงเล็กน้อยแต่กลับส่งผลให้อุ่นไปทั่วหัวใจ"ส่วนเธอก็ไปลาออกจากที่ทำงานซะ"สิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นจริงเมื่อร่างสูงพูดกึ่งบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้สวยและรายได้ดี ใบหน้าหวานนิ่งไปอย่างใช้ความคิด หากเธอตัดสินใจทำตามที่ชายหนุ่มบอกแต่ละเดือนก็แทบไม่มีเงินใช้หนี้ด้วยซ้ำ ทว่าถ้าไม่ทำก็จะมีแต่ปัญหาระหว่างกันตามมาไม่จบสิ้นควรเลือกทางไหนดี"ฉันมีหนี้ต้องใช้อีกเป็นแสนเลยนะ ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา"ยอมเอ่ยเรื่องที่ปกปิดเอาไว้เพราะอับอายแต่
๑๓รุนแรงสัตวแพทย์สาวสวยเดินออกจากคลินิกของตนเองเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งหลังหมดเวลาตรวจ ใบหน้าหวานมีแววครุ่นคิดตลอดการเดินทางกลับบ้านเนื่องจากมีคนมาเล่าให้ฟังว่าพบพณณกรเดินควงกับผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่จตุจักรเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาจึงทำให้จิตใจของหล่อนว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็นไม่มีทางที่ร่างสูงจะมาเมืองหลวงแล้วไม่โทรบอกเธอแน่ บางทีคนนั้นอาจตาฝาดทว่าเมื่อโทรศัพท์ไปหวังถามไถ่ก็ไม่มีการตอบรับจากชายที่เธอแอบรัก เพียรกดกว่ายี่สิบสายก็เหมือนเดิมยิ่งคิดมือก็สั่นเพราะความกลัวเริ่มคืบคลานมาช้าๆ ถ้าเขามีคนอื่นเธอจะทำอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาพณณกรอยู่ตัวคนเดียว อาจมีบางครั้งที่นอนกับคนอื่น ทว่ามันก็แค่ชั่วคราว ไม่ได้จริงจังถึงขั้นลงหลักปักฐาน แล้วคนนี้จะเหมือนกันไหมทำไมถึงพาไปเดินจตุจักรทั้งที่ปกติหากมาบ้านเกิด ถ้าเธอไม่ชวนเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่คอนโดหรือไม่ก็ทำธุระเกี่ยวกับไร่เท่านั้น ไหนจะครั้งที่เห็นอีกฝ่ายซื้อสร้อยคอโดยอ้างว่าเพื่อนฝากซื้อ คิดแล้วก็รู้สึกหายใจไม่ออก ต้องทุบที่อกหวังระบายความอึดอัดที่เหมือนมีหมอกมาคลุมทั่วรถ"ฮัลโหลธี ว่างคุยหรือเปล่า" ในเมื่อติดต่อคนเป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องเจ็บปวดไม่ได
๑๔ฉันสู้อะไรได้ร่างบางพยายามกรีดร้องสุดเสียงหวังให้มีคนช่วยจากเหตุการณ์ตรงหน้าหรือไม่มันอาจดังเข้าไปข้างในใจของชายคนรักซึ่งกำลังจะทำร้ายกันใบหน้าคมจัดการปิดปากเล็กด้วยริมฝีปากของตนเองดูดดึงอย่างรุนแรงเอาแต่ใจในขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนไปฉีกทึ้งเสื้อของหล่อนด้วยมือเพียงข้างเดียวจนมันขาดจากแรงดึงเมฆสีดำปกคลุมทั่วเรือนหลังเล็กเจ้าตูบซึ่งได้ยินเสียงนายของมันร้องก็เห่าพลางตะกุยประตูหวังเปิดเข้าไปช่วยแต่ก็ไร้ผลพณณกรเหมือนซาตานร้ายที่ไม่สนใจจะฟังความใดทั้งสิ้นภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของบุลลาและเสี่ยกรรชัยบอกทุกอย่างแล้วเขาไม่อยากเป็นไอ้งั่งโดนสวมเขาอีก เงินหลายแสนที่เสียให้เธอจะต้องไม่หายเปล่า อย่างน้อยก็ขอเล่นกับเรือนร่างบอบบางจนสาแก่ใจ"อย่าทำบัวเลยนะคะพี่เอิร์ธ"ร้องไห้เสียงสะอื้นแล้วพยายามห้ามเขาทว่ามันไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของร่างสูงที่ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก"ฉันจะทำให้มากกว่าที่ไอ้เสี่ยนั่นทำ จำฉันเอาไว้นะบัว จำไว้อย่าลืม"เน้นย้ำก่อนซุกลงที่ทรวงอกนุ่มผละมือที่เคยพันธนาการหล่อนให้เป็นอิสระก่อนจะขย้ำตามร่างขาวผ่องจนเกิดรอยแดงถึงแม้จะมีการขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล แรงอารมณ์บอกก
๑๕ความแตกต่างหลายวันผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของสามีแต่เรื่องของเขายังเข้าหูเธอตลอดเวลา และบุคคลที่คาบข่าวมาบอกคือผู้หวังดีประสงค์ร้ายอย่างฟ้ามุ่ยซึ่งต้องการเห็นความย่อยยับของคู่อริ สาวร่างอวบละจากงานแม่บ้านมานั่งคุยกับป้าที่อยู่ไร่พืชผักขณะที่กำลังคัดแยกพืชพันธุ์“ตอนเช้าฉันเห็นคุณเอิร์ธลุกมาวิ่งกับคุณหนึ่ง โอ๊ย ยืนข้างกันแล้วเหมาะสมเหลือเกินป้า เหมือนกิ่งทองใบหยก”พูดเสียงดังหวังให้ประโยคนี้ไปเข้าหูของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของสัตวแพทย์สุดหล่อแห่งฟาร์มสายรุ้ง“อ้าว เขาจะไปด้วยกันได้ยังไง คุณเอิร์ธนอนที่ไหน”บุลลาทำนิ่งเฉยทั้งที่ใจสั่นไหวไม่อาจหักห้ามได้“เขาก็นอนที่บ้านคุณธีสิ เอ๊ะ แต่คุณหนึ่งก็นอนที่บ้านคุณธีนะ หรือว่าเขาจะนอนด้วยกัน”ว่าจบก็ปรบมือดีใจยกใหญ่ทำให้บานเย็นที่ทนนั่งฟังมานานต้องลุกขึ้นยืนชี้หน้าสาวรุ่นลูกอย่างโกรธเคือง“เอ็งไม่มีการมีงานทำเหรอนังฟ้ามาเม้าเรื่องเจ้านายอยู่ได้ ข้าจะฟ้องคุณดนัยให้หักเงินเดือนเอ็ง”ตะโกนก้องนึกแค้นใจเมื่ออีกฝ่ายกัดไม่ปล่อยจนแม่บ้านอายุน้อยต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้แต่เมื่อมองใบหน้าซึมเศร้าของร่างบางก็ยิ้มสมใจ“ไปก็ได้ป้า ไม่อยู่กวนแล้วจ้า”พาร่า
๑๖สิ่งที่กำลังจะเกิดไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ก็พบว่านุ่มนิ่มวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโอบกอดเอาไว้และไออุ่นจากเพื่อนก็ทำให้น้ำตาที่เคยหยุดไหลออกมาอีกครั้ง แล้วกอดตอบพลางสะอื้นจนตัวโยนเป็นที่น่าเวทนาแก่คนพบเห็นยิ่งนัก"เกิดอะไรขึ้นบัว" เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายได้ร้องไห้จนพอใจ หล่อนโทรศัพท์มาหาก็ไม่มีการตอบรับ ด้วยความเป็นห่วงจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมแต่กลับได้ความว่าบุลลาโดนพณณกรลากตัวกลับบ้านยิ่งมาเห็นสภาพก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงทะเลาะกัน"เขาไม่เคยรักฉันเลยนิ่ม เขาทิ้งฉันไปแล้ว ฮึก ฉันจะทำยังไงดี"คนไม่เคยมีความรักก็จนปัญญาจะตอบ ทำได้เพียงลูบหลังปลอบปะโลมให้คลายจากอาการเศร้าลงบ้าง"เขาไม่เคยเชื่อฉันเลย หาว่าฉันเป็นปลิงดูดเงินเขา ฮือ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่มีอะไรกับเสี่ยด้วย ทะ ทำไมเขาไม่เชื่อกันบ้าง" ระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาหมด ภายในหัวมีแต่ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น ซ้ำจิตใจยังโดนย่ำยีจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของผู้ชายเพียงคนเดียวความรักที่เคยคิดว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้ายแต่กลับไม่เป็นอย
๑๗พร้อมจะไปบุลลารีบเก็บของทุกอย่างแล้วซ่อนไว้ภายในห้องนอนตนเอง พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ตกเย็นก็ช่วยมารดาทำอาหาร ไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว จากที่จะอธิบายความจริงกับเขาก็ปิดตายความคิดนั้นทันที ในเมื่อเขาไม่เห็นค่า ทำไมจะต้องไปลดคุณค่าตนเองง้อก่อนด้วยส่วนเรื่องลูก..คงต้องดูก่อนว่าควรจะบอกดีหรือไม่ในเมื่อทางข้างหน้าเหมือนจะลงเหว เธอยังจะพาตนเองไปอยู่ที่ตรงนั้นอีกหรือ คิดสะระตะ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นชื่อของนุ่มนิ่มโชว์จึงออกไปรับพูดคุยเพียงเล็กน้อยไม่ได้เจาะจงรายละเอียดมากนักหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็รีบเข้าห้องเพื่อวางแผนในการหาเงิน การมีลูกค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงลำพังเงินเดือนไม่กี่พันคงไม่พอใช้และถึงจะเอาเงินเดือนของพณณกรมารวมด้วยก็ไม่แน่ใจว่าสามารถใช้จ่ายเพียงพอในหนึ่งเดือน การลาออกจากพนักงานเสิร์ฟไม่ใช่ทางดีสักนิดในเมื่องานนั้นให้เงินดีไม่แน่ถ้าเธอขยันจนได้เลื่อนตำแหน่งอาจมีเงินเดือนหลายหมื่นแต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหนสุดแท้แต่จะคาดเดา คงต้องใช้ความพยายามเข้าช่วย กว่าคืนนั้นจะผ่านไปบุลลาก็ใช้เวลากว่าค่อนคืนเพื่อวาดแผนอนาคตของตนและเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดยามเ
๑๘เส้นขนานมันไม่ง่ายสักนิดที่ต้องมองคนคนรักไปกับผู้หญิงคนอื่น หัวใจเหมือนโดนพรากไปพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาทันที อาบใบหน้าจนเปรอะเปื้อน ไม่เคยคิดว่าตนเองจะโดนทิ้งในวันที่เริ่มตั้งครรภ์ อยากเอ่ยปากบอกเขาทุกอย่าง แต่เพราะทิฐิทำให้จำเงียบเอาไว้ถึงจะรั้งไว้แค่ไหนถ้าเลือกจะไป เขาก็ทิ้งหล่อนอยู่ดีอย่าทำอะไรให้ตนเองต้องอับอายไปมากกว่านี้เลย แค่เกาะเขากินทั้งยังให้ใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อก็หน้าอายเกินทนแล้ว เขาดูถูกจนไม่เหลือศักดิ์ศรีให้ภาคภูมิใจ พอได้แล้วบัว..เขาไม่ใช่ผู้ชายเธออีกต่อไปแล้วเย็นวันนั้นบุลลาบอกแม่ว่าตนเองจะหย่าและบานเย็นก็ไม่ได้คัดค้านลูก ทำเพียงกอดปลอบบุตรสาวทั้งยังเอ่ยขอโทษที่ทำให้ชีวิตของบุลลายุ่งยาก หากนางไม่ขอให้รับผิดชอบ งานแต่งก็คงไม่เกิดบางทีบัวอาจได้ใช้ชีวิตปกติและข่าวลืออาจซาไปเอง ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งหมด"แม่ขอโทษนะบัว แม่ผิดเอง"ใบหน้าหวานส่ายเป็นพัลวันแล้วกอดมารดาเอาไว้แน่น"แม่ไม่ผิด บัวมันไม่ดีเองที่หาเหาใส่หัว อยากได้ผัวรวยจนตัวสั่น สุดท้ายก็โดนเขาทิ้ง" สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของบานเย็นจนบุรณีที่มองอยู่ห่างๆ เริ่มเบะปาก ค่อยเขยิบมากอดพี่สาวจากทางด้านหลัง"พี่บัวมี
๑๙เส้นทางที่ต่างหลายเดือนผ่านไปร่างที่เคยบอบบางกลับมีหน้าท้องยื่นออกมาและดูเหมือนว่าขนาดจะใหญ่กว่าปกติจนหลายคนทักท้วงเสี่ยกรรชัยเองที่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่โรงแรมเพราะกลับไปดูแลธุรกิจอยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากสาวใช้ที่คิดว่าเป็นของตายกลับหนีไปไม่ว่าจะควานหาตัวจนแทบพลิกแผ่นดินแค่ไหนกลับไม่เจอเลย ราวกับว่าเธอเป็นเพียงวิญญาณที่มีเพียงยมทูตเท่านั้นจะพบเจอ"บัว..ทำไมเธอ" วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังโรงแรมและเห็นพนักงานเสิร์ฟกลายเป็นคุณแม่จึงเอ่ยด้วยใบหน้าตกตะลึง"อ๋อ บัวท้องค่ะ" ตอบอย่างฉะฉานทั้งที่เมื่อก่อนเคยนึกอายแต่ละคนมองมาที่เธอทั้งสมเพช สงสารจนไม่กล้าสู้สายตาใครแต่เมื่อได้กำลังใจจากคนรอบข้างก็ตัดความคิดของผู้อื่นออก ตอนนี้เธอจะต้องมีความสุขเพื่อลูกในท้องจะได้สุขภาพจิตดีไปด้วย"ตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมฉันไม่รู้เลย" ล็อบบีโรงแรมกลายเป็นสถานที่พูดคุยชั่วคราวและเสี่ยใหญ่ก็นั่งลงตรงข้ามพนักงานของตนเองรอฟังเรื่องราวจากปากเล็ก"บัวท้องได้ห้าเดือนแล้วค่ะ เสี่ยจะรู้ได้ยังไงคะก็ไม่ค่อยอยู่โรงแรม"นั่นสินะ..เขามัวแต่ไปทำงานและตระเวนตามหาผู้หญิงที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าคมสลดลงทันที"
ตอนพิเศษ...พี่ตะวันกับน้องกระต่าย กำหนดการงานแต่งของลูกสาวเจ้าของไร่มีขึ้นสองเดือนข้างหน้า หล่อนตื่นเต้นยกใหญ่เตรียมงานแต่เนิ่นโดยมีมารดาคอยให้คำแนะนำ ต่างจากบิดาที่มักพูดว่าถ้ามันยากมากก็ไม่ต้องแต่งหรอกลูก พ่อไม่ได้อับอายสักนิดถ้าจะยกเลิก ทำเอาทั้งลูกทั้งแม่ต้องเล่นงานคนเป็นพ่อจนแทบไม่สามารถเข้าบ้านได้ ภูตะวันออกมาทำงานแต่เช้า เห็นว่าวันนี้มีกองละครมาถ่ายทำที่ไร่ ระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ จึงได้จองทั้งไร่รุ่งอรุณและรีสอร์ทของไร่ที่สร้างมาสิบกว่าปี เป็นบ้านหลังเล็กอยู่ได้ประมาณสี่ถึงห้าคน ยาวเรียงกันกว่าสิบหลังทำให้เพียงพอต่อความต้องการ ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อม่อฮ่อมและกางเกงขาดเข่า หมวกสานปีกกว้างป้องกันใบหน้าคมจากแดดทำเอาคนมองแทบไม่รู้ว่าเป็นลูกชายเจ้าของไร่ที่จะมารับกิจการต่อจากบิดา การต้อนรับคนจากข้างนอกไม่ใช่งานของตนเองอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจคนที่มาจากกองละครมากนัก ช่วงนี้ส้มกำลังออกผลเต็มต้นต้องเร่งตัดส่ง ส่วนมากจะวางขายในห้างสรรพสินค้าและส่งออกต่างประเทศ มีขายหน้าไร่บ้างและก็นำไปแปรรูป จะไม่มีผลไม้ตกค้างในสวนให้เน่าทิ้งหรือเสียเปล่า
ตอนพิเศษ...ตะวันและหนูจันทร์เสริมทัพด้วยคีรินทร์ เอกสารขออนุญาตถ่ายละครที่ไร่รุ่งอรุณถูกยื่นให้ร่างสูงซึ่งก้าวเข้ามาในสำนักงาน มือหนาคว้าไปอ่านอย่างละเอียดค่อยจรดปลายปากกาลงไปแล้วส่งกลับพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาสาวเจ้าเขินม้วนไม่ชินกับความอบอุ่นที่ลูกชายเจ้าของไร่มอบให้สักที ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน ช่างแตกต่างจากคนเป็นพ่อเหลือเกิน ราวกับว่าได้ลุงธีมาเต็มๆ เสียแต่ว่าการแต่งตัวที่ออกจะมอซอไปสักเล็กน้อย หากเป็นคนนอกก็คงคิดว่าชายหนุ่มคือคนงานทั่วไป ไม่ใช่ทายาทเจ้าของไร่แสนใหญ่โตแห่งนี้ เดินไปหยิบเอกสารสำหรับจัดงานฉลองประจำปีของไร่ เขาต้องไปพูดคุยกับนายอำเภอ ทั้งไปหาเกษตรอำเภอสอบถามเกี่ยวกับการปลูกผลไม้เมืองหนาวทั้งที่อากาศจังหวัดนี้ร้อนแทบทั้งปี “พี่ตะวัน!” สะดุ้งเมื่อมีมือมาจับที่ไหล่พร้อมตะโกนเสียงดังข้างหู พอหันไปก็พบน้องชายตัวแสบที่ยิ้มหน้าแป้นแล้น ภูตะวัน วิจิตรประภา ชายหนุ่มรูปงามแห่งไร่รุ่งอรุณ ใบหน้าคมคายได้พ่อมาเต็มๆ ส่วนนิสัยนั้นอ่อนโยนจนคนงานผู้หญิงพากันทอดสะพานให้เต็มที่ หวังเป็นนายหญิงของไร่แห่งนี้ โดนขายขนมจีบไม่เว้นวันก
พิเศษ...ไปรยา ชนาธิปความรักสำหรับคนอื่นคือใครเขาไม่รู้ แต่สำหรับผู้ชายที่ไม่เคยมีใครมองจนได้เพียงแค่หวังว่าวันหนึ่งจะมีผู้หญิงมองเห็นตัวเองบ้าง และวันที่เข้ากิจกรรมของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ครั้งแรกหัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นร่างบางเดินผ่านวินาทีนั้นเหมือนมีแสงสว่างส่องไปทั่วร่างของเธอจนสายตาเขาพร่าไปหมด ออร่าที่แสบตาจนไม่อาจมองได้ต้องหันหน้าไปทางอื่น พลันหล่อนกลับเดินมานั่งข้างเขาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง“สวัสดี อืม ชื่อฟลุ๊คเหรอ เราหนึ่งนะ” ใบหน้าหวานก้มมองป้ายชื่อของเขาแล้วส่งยิ้มทักทาย“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หลังจากนั้นเธอก็หันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นปล่อยเขาแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว และสังเกตเห็นว่าดวงตากลมโตมักจะชอบวนเวียนอยู่ที่ผู้ชายมาใหม่คนหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอและเป็นชายซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เป็นที่หมายปองของหญิงสาวคนอื่นพณณกร วิจิตรประภาทายาทตระกูลดัง นอกจากจะหน้าตาดียังฐานะร่ำรวยอีกต่างหาก เขาได้แต่เก็บความอิจฉาไว้ภายในใจเฝ้ามองไปรยาที่แอบรักข้างเดียวด้วยความเสียใจ อยากจะเข้าไปปลอบยามหญิงสาวร้องไห้ก็ไม่กล้าจนกระทั่งฟ้าเป็นใจงานเลี้ยงสายรหัส
๗หลังจากที่ผ่านค่ำคืนแสนหวานคู่สามีภรรยาก็นอนกอดกันอยู่ภายในมุ้ง แขนแกร่งกระชับเอวบางจนแผ่นหลังเธอชิดอกเขา ดมความหอมจากกลุ่มผมนุ่มสลวยก่อนที่บุลลาจะพลิกตัวมาเพื่อซบใบหน้าที่แผงอกหนาพร้อมพรมจูบไปทั่วและนั่นทำให้สัญชาตญาณเสือร้ายผุดออกมาทันที เขาขึ้นคร่อมเธอเอาไว้จับกดพร้อมกับพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นผืนน้ำ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่ชายหญิงคู่นี้กลับผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่ยอมแพ้กันและกันไม่บ่อยนักที่จะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ปลดปล่อยอารมณ์โดยไม่ต้องกลัวลูกได้ยินหรือตื่นตอนดึก พวกเขาทำตามใจปรารถนาไม่สนว่าใครจะได้ยินหรือไม่ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้เก็บเสียง ยิ่งเมื่อคืนที่พณณกรโยกตัวจนเตียงเกือบหัก บ้านแทบพังทำเอาบุลลาต้องตีเขาไปหลายรอบในความบ้าระห่ำ จนชายหนุ่มถามกลับว่าใครเล่าที่เรียกร้องหล่อนจึงปิดปากเงียบก็เธอเป็นคนร้องขอให้เขาเพิ่มแรงขึ้นอีกแท้ๆ จะว่าได้อย่างไรเล่า“อือ พอแล้วค่ะ” ลุกขึ้นมาทำอาหารยามสายไว้รับประทานกันสองคนโดยมีร่างสูงคลอเคลียอยู่ด้านหลังไม่ห่าง เสื้อยืดตัวเล็กและกางเกงขาสั้นที่เตรียมมาถูกสวมบนร่างกายทว่าไม่มีชั้นในปกปิดเลยสักชิ้นและตอนนี้มือหนาก็กำลังเลื้อยเข้าไปภายใต
๖การไปพักผ่อนครั้งนี้แม้แต่ตัวหญิงสาวเองก็ยังไม่รู้จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบท่าเรือก่อนคุณลุงคนขับรถจะลงไปยกกระเป๋าด้านหลังออกมา ดวงตากลมโตมองเรือที่เทียบท่าก็ตาลุกวาวเพราะเคยเห็นจากในละครเท่านั้นไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ด้วยตาของตนเอง แถมที่หัวเรือยังเขียนชื่อของบริษัทใหญ่ ตระกูลดังเอาไว้อีกด้วย พณณกรถือกระเป๋าเดินมาคว้ามือภรรยาเอาไว้แล้วบังคับให้เดินตามมาไม่บอกกล่าวอะไรสักนิด“มีแต่เรือหรูๆ ทั้งนั้นเลย” พึมพำเสียงเบาขณะที่คิดได้ว่าสามีของตัวเองก็เป็นคนในตระกูลดังเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีเรือของบ้านเขาจอดไว้น่ะสิคิดพลางยิ้มกริ่มเมื่อวาดภาพว่าตัวเองจะต้องได้นั่งจิบไวน์อยู่บนเรือหรู มองท้องฟ้าสีคราม ผืนน้ำสีน้ำเงินด้วยความสุขแน่นอุรา ยอมเดินตามแรงดึงจนกระทั่งผ่านพ้นเรือหรูมาลำแล้วลำเล่าก็เหมือนจะไม่ถึงสักที ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งตามอารมณ์“จะเดินไปถึงมาเลเซียเลยไหมคะ” อดประชดไม่ได้จนคนนำหน้าหันมายิ้มที่ภรรยาเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะตั้งเมื่อคืนหล่อนเอาแต่กอดเขาแน่นทั้งยังตอนเช้าที่มองตามตาละห้อย ต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลากลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายอย่างไม่
๕บุลลากำลังเล่นกับฝาแฝดทั้งสองโดยมีเหล่าแม่บ้านคอยช่วยเหลือเนื่องจากหลงเสน่ห์ของเด็กน้อย อันที่จริงคุณดาริกาก็ชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เมืองกรุงแต่เพราะงานรัดตัวที่ไร่ ทั้งยังเป็นห่วงมารดาที่เริ่มแก่ตัวลงทุกวันจำต้องปฏิเสธไป ตอนนี้เธอติดไร่มากกว่าแสงสีในเมืองหลวงเสียแล้วแต่ถ้าพณณกรจะกลับมาอยู่ที่นี่หล่อนก็คงตามมาด้วยเพราะไม่สามารถแยกจากสามีได้อีกแล้ว ในขณะที่กำลังมองดูบุตรสาวสิ่งไล่กับพี่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เบอร์แปลกที่โชว์หราทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที หลังจากที่ลาออกจากงานก็ไม่ค่อยมีใครโทรมาทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่าปลายสายคือใครร่างบางแยกตัวออกไปรับโทรศัพท์ "สวัสดีค่ะ"'ว่าไงบัว ไม่เจอกันนานสบายดีไหม' เสียงเข้มที่เอ่ยทักทายทำเอาหล่อนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมเพราะจำน้ำเสียงไม่ได้"เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ" ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หรือจะเป็นลูกน้องเก่าที่โรงแรม ไม่อย่างนั้นก็น่าจะเป็นคุณรวี ทว่าฝ่ายนั้นแทบไม่ได้ติดต่อมาเลยตอนนี้เห็นว่าโดนทางบ้านจับแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย'อะไรกัน จำเสียงแฟนเก่าไม่ได้หรือไง' เอ่ยเพียงเท่านั้นใบหน้าคมก็ชัดวาบ
๔ท้องฟ้าทาทับด้วยสีดำสองร่างที่นอนกอดก่ายกันจึงตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงโทรศัพท์แผดดังลั่นห้อง มือหนาควานหาเสียงเจ้าปัญหาพบว่ามารดาเป็นคนโทรมา หากเป็นคนอื่นคงโดนสัตวแพทย์หนุ่มด่าเปิงแล้วแต่เพราะเป็นมารดาที่เคารพจึงค่อยยันกายลุกขึ้นนั่งปล่อยให้ร่างเล็กนอนหลับ"ครับแม่" เขาลุกขึ้นสวมกางเกงชั้นในก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่างแล้วค่อยรับสายพลางเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ'วันนี้กลับบ้านไหม' ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว"คงไม่กลับครับ ยังไงฝากเด็กแฝดด้วยนะแม่" เขากะจะพาภรรยาไปเดินเล่มริมหาดแล้วใช้เวลาด้วยกันสองคนสักหน่อย'เดี๋ยวแม่ดูให้' ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงเล็กแทรกขึ้นมาก่อนจนเผลอยกยิ้มอย่างเอ็นดู ท่าทางศศินาจะป่วนบ้านเสียแล้ว'พ่อขา ไหนบอกจะพาไปเคเค' โวยวายทันทีหากอยู่ตรงหน้าคาดว่าบุตรสาวคงกำลังยกมือขึ้นกอดอกแล้วยู่ปากทำท่าทางขัดใจเป็นแน่"พ่อขอโทษนะลูก เดี๋ยวกลับไปจะไถ่โทษนะ" พยายามทำให้ปลายสายอารมณ์ดีซึ่งจันทร์เจ้าก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกทันที'ค่ะ กลับมาต้องพาไปเคเคนะ' "ครับ" คุยกันอีกสักพักจึงวางสาย ร่างสูงเดินไป
๓แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาภายในห้องที่เคยมืดทึบให้สว่างจนคนที่กำลังหลับใหลต้องลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองที่ข้างกายซึ่งว่างเปล่าและเย็นชืดทำให้รู้ว่าหล่อนคงลุกจากเตียงนอนไปนานแล้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีพลางมองหาโทรศัพท์ที่บุลลามักจะเอาไว้บนห้องเสมอก็ไม่พบไหนจะกระเป๋าหรือของสำคัญบางอย่างกลับสูญหาย"ไปไหนวะ" เกาศีรษะด้วยความเครียดแล้วรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวโดยใช้เวลาเร็วที่สุดในชีวิต เมื่อคืนพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันเลยและร่างบางยังนอนหันหลังให้ไม่สนใจสักนิดว่าสามีต้องนอนตาแข็งทั้งคืนเพราะได้แต่มองทว่าจับต้องไม่ได้เลย"พ่อจ๋า" ร่างสูงของสัตวแพทย์หนุ่มเดินลงมาข้างล่างลูกสาวก็โผเข้ากอดขาทันทีจนต้องย่อตัวลงไปอุ้มขึ้นมา แก้มกลมมีซอสเลอะจนต้องเอามือเช็ดออกให้พลางอมยิ้มอย่างเอ็นดู ไม่เคยคิดว่าจะรักเด็กกระทั่งวันที่มีลูกเขาเลยรู้ว่าอีกครึ่งชีวิตที่เหลือนอกจากให้บุลลาแล้วก็มอบให้ลูกสาวและลูกชายจนหมดอานุภาพของคำว่าพ่อช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน"ว่าไงคะ" เอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน หากเป็นแต่ก่อนไม่มีเสียหรอกที่คนอย่างนายพณณกรจะมาพูดจาคะขากับผู้หญิง แต่ตอนนี้เห็นจะมียกเว้นก็คือบุตรสาวคนเดียวเนี่ยแหละ ต่อให้จะ
๒และแล้ววันงานเลี้ยงรุ่นก็มาถึง สองแฝดอยู่ในความดูแลของคุณปู่คุณย่าทำให้เบาใจไปได้เปราะหนึ่งทว่าคนเป็นแม่ก็อดจะห่วงลูกไม่ได้ กว่าจะออกจากบ้านก็ใช้เวลาพอสมควรในขณะที่ใบหน้าคมก็จ้องภรรยาไม่วางตาเนื่องด้วยความสวยที่ยิ่งอายุเยอะกลับผุดผ่องยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีกคิดแล้วก็หวงหนักกว่าเดิมไม่อยากให้ใครได้มองหรือเชยชม บางทีเขาอาจจะต้องคิดเรื่องให้บุลลาอยู่แต่บ้านอย่างเดียวเสียแล้ว ระหว่างติดอยู่บนถนนหล่อนก็เอ่ยถามเรื่องสมัยเรียนของเขาบ้างจึงได้รู้ว่าพณณกรเข้าศึกษาที่โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังของประเทศ“พี่ฉลาดขนาดนั้นเลยเหรอ” มองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักจนเขาต้องเพิ่มความมั่นใจด้วยคำบอกเล่า“เกรดเฉลี่ยพี่ไม่เคยต่ำกว่าสามจุดห้านะครับ สอบเข้ามหาวิทยาลัยคะแนนก็ติดท็อปสามนะ” อวดจนหล่อนต้องส่ายหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง“อะไร ไม่เชื่อเหรอ”“มันเหลือเชื่อยิ่งกว่านาซ่าส่งคนไปดาวอังคารอีก” ร่างสูงโคลงศีรษะแล้วยกมือขึ้นโยกหัวอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผมเสียทรง“ดูถูกกันเกินไปแล้ว” การกระทำเล็กน้อยแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นทำเอาบุลลาแอบใจเต้นแรงทั้งที่เป็นสามีภรรยาอันที่จริงพวกเขาใช้ชีวิตด้วยกันเพียงแค่สามเดือน