หน้าหลัก / โรแมนติก / ซ่อนเสน่หา / ๑๑ เราไม่เข้าใจกัน

แชร์

๑๑ เราไม่เข้าใจกัน

๑๑

เราไม่เข้าใจกัน

เสี่ยหนุ่มยืนส่งยิ้มให้บุลลาที่ออกจากรถแล้วพยายามหลบสายตาที่กำลังมองมา บรรยากาศที่เคยโอบล้อมไปด้วยความสุขก็ถูกทำลายทันทีเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาและดูท่าจะเป็นคนก่อพายุลูกโตอีกเสียด้วย

ร่างสูงของหนุ่มชาวไร่เดินมาหยุดข้างภรรยาดึงให้หล่อนไปหลบข้างหลังตนเอง

"เราจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับคุณเอิร์ธ"

คำพูดแสนสุภาพถูกปั้นแต่งจนคนฟังแสยะยิ้มเพราะรู้สึกระคายหู

"กูไม่ได้สนิทกับมึงจนต้องทักทาย"ถึงอายุจะห่างกันเกือบรอบแต่พณณกรกลับไม่เคารพผู้ชายตรงหน้าแม้แต่น้อย ใครจะไปอยากเสวนาคนที่ส่งลูกน้องมาซ้อมเขาเกือบตายพอไปแจ้งความมันดันรอดและทางตำรวจก็จับแพะเข้ากรงขังแทนคนที่บัญชาการอยู่เบื้องหลัง

เจ็บใจจนต้องเอาคืนด้วยการจับผู้หญิงของมันมาขังไว้อีกรอบ

"ดีเหมือนกันเพราะผมก็ไม่ได้มาทักทายคุณ คนที่ผมมาหาคือบัวต่างหาก"เขาเบนสายตาไปจ้องมองผู้หญิงที่หลบอยู่ข้างหลังสามีพลางส่งแววตาหวานให้อย่างไม่ปิดบังทำเอาเลือดร้อนขึ้นหน้าสัตวแพทย์หนุ่มจนต้องกำมือเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไรและที่สำคัญไปกว่านั้นคือรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว..

"บัวลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านครับผมเลยเก็บมาคืนให้"หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติทั้งจากคำพูดที่สุภาพเกินไปของกรรชัยและอารมณ์ร้อนของพณณกรจนไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเครื่องมือสื่อสารนั้นไว้ได้ทั้งใจก็นึกสงสัยว่ามันไปอยู่กับชายหนุ่มได้อย่างไร

"ที่จริงว่าจะคืนตั้งแต่ช่วงเย็นแต่พอดีเห็นคุณชื่นชมห้องผมอยู่ก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ"จงใจพูดจากำกวมให้หนุ่มหน้าคมคิดไปไกล

และเขาก็รีบหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาออกจากมือของชายที่นึกชังอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เอื้อมไปจับมือเล็กพร้อมทั้งบีบแน่น หลังจากนี้คงมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว

"จะรีบกลับกันใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นก็กลับดีๆ นะครับ ระวังเมียมึงเอาไว้ให้ดี"ประโยคหลังเขาเดินมากระซิบข้างหูให้ได้ยินกันสองคน

พอดีกับเสียงรถขับผ่านบุลลาที่แม้อยู่ใกล้ก็ไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่กรรชัยพูดกับสามีตนเอง เธอมีสีหน้าเหยเกเพราะแรงบีบเพิ่มมากขึ้น

"เจอกันพรุ่งนี้นะครับบัว"ทอดเสียงหวานก่อนหันหลังเดินไปยังรถยนต์ของตนเองปล่อยให้ความเงียบปกคลุม

และเมื่อเครื่องยนต์ของอีกฝ่ายแล่นออกไปก็เหมือนว่าเมฆหมอกหนาจะถาโถมมาที่เธอมากขึ้น

"นาย..คือว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ"ถึงไม่พูดแต่พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มคงกล่าวหาเธออยู่ในใจ

ร่างสูงหันมองคนตัวเล็กด้วยแววตาเย็นเยียบทำเอาหล่อนหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

"บอกฉันมาว่าที่มันพูดเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องจริง บอกฉันว่าเธอไม่ได้ไปห้องมัน บอกฉันมาสิ!"เขาปาโทรศัพท์ของหล่อนลงพื้นจนหน้าจอแตกเพราะอารมณ์โกรธรุนแรง

เห็นอย่างนั้นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว ทั้งยังเสียใจ น้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังความจริงและตัดสินทุกอย่างโดยเชื่อเพียงสิ่งที่ได้ยิน

"มันไม่ใช่ทั้งหมด ฉันไปห้องเขาก็เพราะต้องพูดเรื่องสัญญา"พูดเสียงอ่อนก่อนจะไปจับแขนแกร่งหวังให้เขาระงับสติอารมณ์ทว่าโดนปัดออกอย่างไม่ใยดีพร้อมแววตาเย็นยะเยือกที่ส่งมาให้

“เห็นมันรวยเลยคิดจะไปกับมันใช่ไหม สัญญาบ้าบออะไรนั่นโกหกทั้งเพ เธอชอบมันใช่ไหมบัว ใช่ไหม!” จับไหล่เล็กมาเขย่าจนศีรษะสั่นคลอน คนที่อยู่ภายในร้านเริ่มออกมาดูเพราะเห็นท่าไม่ดีและก่อนที่จะได้เข้ามาห้ามร่างสูงก็ตัดสินใจกระชากหล่อนให้ขึ้นไปบนรถอย่างไม่ปรานี

“กลับไปคุยกันที่บ้าน” กดเสียงต่ำบอกหล่อน

“โอ๊ย” หัวเธอโขกที่โครงประตูอย่างแรงจนต้องเอามือมากุมไว้ น้ำตาปริ่มจะไหลออกมาด้วยอารมณ์เจ็บและน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นเขาได้ตัดสินใจไปตามที่ได้เห็นเป็นที่เรียบร้อย

ชายหนุ่มเดินขึ้นมานั่งประจำด้านคนขับก่อนเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วจนล้อบดถนนเป็นรอย

“ขับช้าๆ หน่อยสิ” ตะโกนบอกแล้วจับประตูแน่น ตอนนี้เขาเหยียบกว่าร้อยสี่สิบทั้งใบหน้าขึงขังแววตาดุดันสร้างความหวาดกลัวให้ผู้โดยสารมาด้วยยิ่งนัก ไร้การตอบกลับไม่มีประโยคสนทนา

ต่อจากนั้นบุลลารับรู้เพียงแค่ว่าไม่กี่นาทีต่อมารถยนต์ก็จอดลงที่หน้าบ้านหลังเล็ก

..เธอปลอดภัย

ถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ไม่นานประตูฝั่งที่นั่งของหล่อนก็ถูกเปิดออกพร้อมมือหนาที่เอื้อมมาจับแขนแล้วดึงเธอลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย เขากลายร่างเป็นใครอีกคนซึ่งไม่คุ้นเคยพยายามขืนตัวแต่ไม่อาจสู้แรงมหาศาลจากสัตวแพทย์หนุ่มได้จนในที่สุดก็ต้องยอมก้าวขาตามจนแทบจะพันกัน

เมื่อเข้ามาภายในบ้านหลังเล็กเขามุ่งตรงไปยังห้องนอนเปิดประตูอย่างแรงก่อนจะปิดเสียงดังทำเอาคนตัวเล็กดุ้งโหยง ขณะที่ไม่ทันตั้งตัวร่างหนาก็ผลักหล่อนลงบนเตียงกว้างแล้วตามมาคร่อมเอาไว้เพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้

“เธอไปอยู่กับไอ้บ้านั่นได้ยังไง เอากันลับหลังฉันกี่ครั้งแล้ว”

ถ้อยคำหยาบคายและสายตากล่าวหาสร้างความปวดใจแก่หญิงสาว

“ฉันไม่ได้มีอะไรกับเขา เป็นแค่นายจ้างกับลูกน้อง” พยายามอธิบายทั้งที่อีกคนไม่เปิดใจรับฟัง

“เธอเห็นหัวฉันมีเขางอกออกมาหรือไง ทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้เสี่ยนั่นจ้องจะจับเธอแล้วผู้หญิงเห็นแก่เงินที่ยอมอ้าขาให้ผู้ชายอย่างเธอคงไม่รักนวลสงวนตัวหรอก สนุกกับมันมากี่รอบแล้วล่ะ” ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากราวสะใจที่ได้เห็นใบหน้าหวานซีดเผือด

และเมื่อชายหนุ่มกำลังจะสาดถอยคำร้ายกาจใส่ใบหน้าคมก็หันไปตามแรงตบที่โกรธเคืองกับการกล่าวหาซึ่งไม่มีมูลความจริงสักนิด ผู้หญิงตัวเล็กใช้แรงทั้งหมดที่มีถีบเข้าที่หน้าท้องของพณณกรเพื่อให้หลุดพ้นจากการกักตัว

“คนจิตใจสกปรกแบบนายมันก็คิดได้แต่เรื่องต่ำๆ แบบนี้แหละ เสี่ยกรรชัยเขามีดีกว่าที่นายคิดเยอะ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” ในเมื่อไม่เคยคิดจะฟังกันคนตัวเล็กจึงตอบโต้กลับด้วยแรงอารมณ์ โกรธที่ถูกตราหน้าจากชายที่เป็นสามี ทั้งน้อยใจกับความคิดที่ตัดสินว่าหล่อนใจง่าย

ไม่รู้เลยหรือไงว่าแม้แต่ขาอ่อนของเธอก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้จับนอกจากเขา

ปาดน้ำตาที่ไหลลงมาแล้วหันหลังวิ่งไปที่ประตูไม่อยากอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายที่มีแต่ความคิดสกปรกในหัวแต่ยังไม่ทันที่มือจะจับประตูเอวก็ถูกคว้าไว้แล้วโยนร่างเล็กลงบนที่นอนอีกครั้ง ใบหน้าคมแดงก่ำเพราะความโมโหอยากจะฉีกทึ้งคนบนเตียงให้แหลกเป็นชิ้น

“ใช่ ฉันมันก็แค่ผู้ชายเฮงซวยที่มีดีแค่เซ็กซ์ ส่วนเธอก็แค่ผู้หญิงหิวเงินไม่เหมาะจะเป็นคุณนายนั่งบนหอคอยงาช้างหรอก” ก้าวขึ้นบนเตียงแล้วคร่อมร่างเล็กล็อกมือของเธอไว้แน่น “อย่างมากก็เป็นได้แค่เมียของไอ้คนไร่จนๆ แบบฉัน”ใบหน้าคมก้มลงซุกไซร้ลำคอขาวผ่องก่อนจะขบกัดจนมันเป็นรอยแดง

“ปล่อยฉัน อย่าทำแบบนี้ อย่า!” ตะโกนพร้อมกับหันหน้าหนีการรุกรานจากร่างสูง พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากคนตรงหน้าแต่ก็ดูไร้ผลเพราะเหมือนกำลังต่อสู้กับสิ่งที่ไม่อาจต้านแรงได้ ดวงหน้าหวานมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน

หัวใจเจ็บปวดที่ชายซึ่งคิดจะฝากชีวิตเอาไว้ไม่เชื่อคำพูดของตนเองสักนิดและเพิ่งรู้วินาทีนี้เองว่าเขามองเธอเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินมาโดยตลอด

ใช่..เงินมันสำคัญแต่ทุกวันนี้พณณกรสำคัญกว่า

หากไม่รู้สึกดีด้วยจะยอมอยู่กับเขาหลายเดือนหรือ หากไม่รู้สึกรักจะยอมมอบร่างกายที่หวงแหนให้เขาหรือ

เธอรักเขาเข้าเสียแล้ว รักผู้ชายที่กำลังทำร้ายตนเองอยู่ในตอนนี้

“อื้อ” ปากที่ตะโกนบอกให้หยุดถูกปิดเอาไว้ด้วยจูบกระแทกกระทั้น เขาใช้มือเพียงข้างเดียวจับที่ข้อมือเล็กเอาไว้ในขณะที่อีกข้างก็เลื่อนมาดึงเสื้อยืดตัวเล็กในขึ้นมาเหนืออกก่อนดันชุดชั้นในขึ้นไปกองไว้ที่เนินบัวตูมเผยให้เห็นทรวงสล้าง

ร่างสูงลงโทษด้วยการบีบมันอย่างแรงจนคนตัวเล็กรู้สึกเจ็บ ไม่มีอารมณ์พิศวาส กลับมีเพียงความเสียใจและเจ็บทั่วกาย เขาไม่ปรานีเธอเลยสักนิดใช้ความโกรธขับเคลื่อนทุกอย่าง มือหนาบีบเค้นไปทั่วจนเกิดรอยแดงและยิ่งผิวขาวที่บอบบางก็กลายเป็นรอยมือชัดเจน

“จำไว้ว่าผัวเธอคือฉันคนเดียว” กระซิบที่ข้างหูเพื่อให้มันฝังลงไปกลางใจของคนตัวเล็ก เขาโน้มมาจุมพิตเธออีกครั้งก่อนจะรับรู้ถึงรสเค็มปร่าจากน้ำตาของอีกฝ่าย ความคิดทุกอย่างหยุดชะงักทันที สบดวงตากลมโตท่ามกลางความมืด

ไร้ชีวิตชีวาราวกับยอมจำนนต่อทุกอย่าง

“ฮึก ถ้านายทำ ฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิต” ทุกครั้งที่ร่วมรักกันเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจและหากครั้งนี้เขาใช้กำลังขืนใจเธอก็ไม่ต่างจากพวกพนักงานเสิร์ฟกลุ่มนั้นเลยสักนิด ร่างบางสั่นด้วยความกลัวเมื่อภาพเหล่านั้นย้อนเข้ามาในหัว

วันนี้คนที่ทำร้ายเธอกลับเป็นชายหนุ่มผู้ที่เธอหวังให้เขามาช่วยยามกำลังตกที่นั่งลำบาก สร้อยคอสีทองส่องกระทบดวงตาคมตอกย้ำให้สติที่หายไปเริ่มกลับมา มือหนาผ่อนแรงก่อนจะปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระ ก่อนก้าวลงเตียงเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วไม่หันมามองร่างบางที่นอนหมดแรงพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลพรากสักนิด

เมื่อพ้นจากคนใจร้ายก็รีบลุกขึ้นนั่งดึงเสื้อผ้าลงปิดหน้าร้องไห้เสียงดังระงม ความสุขที่เคยมีถูกพัดจากไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของสัตวแพทย์หนุ่ม

“อ้าวนาย ทำไมวันนี้มาร่วมวงได้ครับ เมียไม่ว่าเหรอ” ลูกน้องที่กำลังตั้งวงอยู่บนแคร่หน้าบ้านพักคนงานเอ่ยทักทันทีเมื่อพบว่าเจ้านายที่ปัจจุบันกลายเป็นคนติดเมียว่างมาสังสรรค์กับพวกตนได้

“เอาเหล้ามา” ไม่ตอบคำถามกลับคว้าเหล้าต้มจากโอ้มากรอกปากทันทีราวคนหิวโหย

จนคนงานมองตามพลางส่งเสียงปรบมือกันเกรียวกราว พณณกรไม่ได้สนใจเขาหยิบขวดเหล้าที่ชาวบ้านพากันต้มด้วยตนเองขึ้นดื่ม มันแสบคอไปหมด ออกร้อนทั่วกายแต่กลับทำให้สมองโล่งอย่างน่าประหลาด

อยากลืมใบหน้าหวานที่ส่งยิ้มให้เสี่ยกรรชัย ลืมเรื่องราวที่ตนจินตนาการระหว่างสองคนนั้นคงมีความสุขด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง เขามันก็แค่ไอ้ควายโง่ที่ให้เมียสวมเขา ไม่คิดสงสัยสักนิดว่าเหตุใดบุลลาจึงอยากไปทำงานไกลหูไกลตานัก

หึ..ที่แท้ก็อยากหาผัวรวยนี่เอง

ยิ่งนึกก็โกรธจนต้องหยิบเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากไม่สนบทสนทนาที่เกิดขึ้นในวงเหล้าถึงแม้มันจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุลลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม

สายของวันใหม่ชลธีตรงมายังบ้านพักคนงานหลังได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนสนิทและก็ต้องส่ายศีรษะนึกระอาเมื่อพบว่าร่างสูงนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนแคร่ที่ดื่มเหล้าเมื่อวานโดยมีโอ้และอาร์ตมองอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง

“พวกผมปลุกแล้วครับแต่โดนนายด่า จะสาดน้ำใส่ก็ไม่กล้าเลยทำได้แค่ปล่อยให้นอนแบบนี้” โอ้รายงานพลางมองไปที่เจ้านายซึ่งหมดสภาพของหนุ่มผู้น่าเกรงขาม เหลือเพียงคนขี้เหล้าผู้น่าสมเพช

จนชลธียังต้องเบนสายตาหนีเหลือบเห็นถังน้ำเปล่าอยู่ก็คิดแผนการแก้เผ็ดออก

“คุณธีจะทำอะไรครับ” อาร์ตเอ่ยถามขณะมองร่างสูงปราดเปรียวเดินไปยกถังน้ำแล้วสาดลงไปที่แคร่ จนคนนอนหลับสะดุ้งขึ้นตื่นสีหน้าเครียดเขม็งลืมตาขึ้นมองโดยรอบราวหมาบ้า

“ไอ้เหี้ยใครสาดน้ำใส่กู” มองไปเห็นลูกน้องสองคนยืมกอดกันแน่นเพราะกลัวเจ้านายจะเข้ามาทำร้าย ก็ลุกขึ้นหวังไปตะบันหน้าคนที่บังอาจมาปลุกให้ลุกก่อนจะถูกคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน

ไม่รอช้าพณณกรปล่อยหมัดอย่างรวดเร็วแต่เพราะเรี่ยวแรงอ่อนล้าเกินไปจึงถูกอีกฝ่ายหลบได้ส่งผลให้ร่างสูงเสียหลักเซล้มลงกับพื้น

“เมาอย่างกับหมาจะจัดการใครได้ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

สัตวแพทย์หนุ่มสะบัดศีรษะเพราะรู้สึกวิงเวียนไหนจะอาการพะอืดพะอมที่เกิดขึ้น

“อึก อ้วก” ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นไปอาเจียนที่ข้างต้นมะม่วง

โดยมีสายตาสามคู่จ้องมอง เจ้าของไร่ผิวขาวยกมือขึ้นกอดไม่เข้าไปลูบหลังอย่างที่เคยทำปล่อยให้อีกฝ่ายปล่อยของเสียในร่างกายออกมาจนหมดแล้วนั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง

“น้ำ ขอน้ำหน่อย” เอ่ยขึ้นอย่างหมดแรง

จนอาร์ตต้องรีบกุลีกุจอหาน้ำให้ลูกพี่ของตนเอง

“น้ำครับนาย ค่อยๆ ดื่มครับ” บรรยากาศยามสายร้อนจนเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ตอนที่นอนก็ไม่รับรู้ถึงไอความร้อน ทว่าพอตื่นกลับสัมผัสได้ถึงแดดในช่วงนี้ที่แสบผิวเหลือเกิน แก้วถูกยื่นให้เจ้านายก่อนคนเมาจะรับแล้วดื่มอย่างรวดเร็วจนน้ำไหลลงคอกระฉอกออกปากเพราะคนตัวสูงยกขึ้นกรอกไม่ระมัดระวังสักนิด

“หมดสภาพแบบนี้จะไปทำงานได้เหรอ” ชลธีเอ่ยถามเสียงเครียด ไม่บ่อยนักที่เพื่อนสนิทจะดื่มจนเมามายเสียงานเสียการ

..คงมีเรื่องกระทบจิตใจ

“ใครว่ากูจะทำ วันนี้ลาเว้ย คนจะหลับจะนอนยังให้ไปทำงานอีก มึงบ้าหรือเปล่า”

โดนกล่าวหาทั้งที่เพียงถามด้วยความเป็นห่วง หนุ่มผู้ดีเมืองกรุงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วหันไปมองสองคู่หูฝากดูเพื่อนสนิท ส่วนตนก็เดินออกจากตรงนี้

คร้านจะคุยกับคนพูดไม่รู้เรื่อง

ฝั่งบุลลาก็เก็บเสื้อผ้าแต่เช้าแล้วเดินด้วยระยะทางหนึ่งกิโลเมตรไปทางเข้าไร่เพื่อขึ้นรถรับส่งพนักงานหวังกลับบ้านของตน ไม่อยู่ให้เขากลับมาพูดจาถากถางอีก

บานเย็นที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จออกมารอรถของทางไร่ก็ตกใจเมื่อเห็นดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้มาทั้งคืนบุตรสาว

“เป็นอะไรน่ะบัว” นางถามเสียงตื่นขณะที่ร่างบางเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน

“หนูขออยู่ด้วยนะแม่” บอกเสียงสั่นเครือไม่อาจระงับความเสียใจเอาไว้ได้เพียงเห็นใบหน้าของมารดา ความอ่อนแอก่อตัวขึ้นก่อนเดินไปกอดผู้หญิงที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กราวต้องการหาที่พึ่ง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

คำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงห่วงใยทำให้บ่อน้ำตาของบุลลาแตกทันที หล่อนร้องไห้ราวเด็กน้อย กอดผู้หญิงตรงหน้าเอาไว้แน่น ปล่อยกระเป๋าให้ร่วงกองที่พื้นจนบานเย็นไม่ทันตั้งรับกับอารมณ์อ่อนไหวของร่างบาง

“หนูไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว ไม่เอาแล้ว”

จับต้นชนปลายไม่ถูกแต่เท่าที่เดาได้คงเพราะทะเลาะกับพณณกรมา แล้วดูเหมือนว่าครั้งนี้จะรุนแรงมากเสียด้วย

นางกอดปลอบลูกอยู่พักใหญ่จนอีกฝ่ายสงบลงจึงพาเข้าบ้านมาหาน้ำท่าให้ดื่ม ไม่ถามอะไรรอให้หญิงสาวเล่าออกมาเองซึ่งดูเหมือนว่าหล่อนก็พยายามเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้ไม่ยอมบอกว่าเป็นมาอย่างไร

“วันนี้จะไปทำงานไหมล่ะ” ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรจึงต้องถามเรื่องงานแทน

“ไปสิแม่ หยุดบ่อยไม่ได้เงินพอดี” ค่าใช้จ่ายเยอะจนไม่อาจทำตามแต่ใจได้ถึงความจริงจะอยากอยู่บ้านไม่ต้องการพบเจอผู้คนมากแค่ไหนก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวแม่พาขับมอ’ไซต์ไปไร่” ค่อยตะล่อมถามถึงเหตุการณ์ที่ทำให้บุตรสาวหอบเสื้อผ้ากลับบ้าน แต่ตอนนี้จะต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงชีพก่อน

บุลลานึกเสียดายโทรศัพท์ของตนเองที่ถูกทิ้งไว้หน้าร้านอาหารด้วยสภาพหน้าจอแตกละเอียด ถึงไม่ได้หยิบขึ้นมามองแต่ก็เห็นกระจกจอที่พังยับเยินจากการกระทำของสามีซึ่งไม่สนใจฟังคำพูดใดๆ เอาอารมณ์ตนเองเป็นที่ตั้งจนเรื่องราวบานปลาย

ระหว่างทำงานคัดเมล็ดพันธ์ หล่อนก็ยกมือขึ้นจับสร้อยบ่อยครั้ง มันมีค่าทางจิตใจต่อเธอแต่ดูเหมือนว่าคนให้จะผู้ทำลายความรู้สึกนั้นลงเพียงเพราะความหูเบา

แคร่หน้าที่พักคนงานกลายเป็นที่ประจำของสัตวแพทย์หนุ่ม ตะวันยังไม่ตกดินด้วยซ้ำเขาก็ไปยกไหเหล้าขาวที่คนงานทำเอาไว้มานั่งดื่มเพียงลำพังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้สักราย ขนาดคู่หูดูโอ้ยังทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ

“กูว่านายท่าจะอาการหนักแล้วนะ” พูดกันเสียงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“นั่นสิ ดูจากอาการแล้วกูว่าทะเลาะกับเมียชัวร์” ฟันธงแทบไม่ต้องคิด

ช่วงหลังพณณกรดูเจ้าอารมณ์มากขึ้น หากเรื่องนั้นเกี่ยวกับบุลลา แม้แต่คนงานที่พูดจาลับหลังใส่หญิงสาวแบบล่วงเกินยังเกือบโดนต่อยมาแล้ว

“แล้วเราจะช่วยนายยังไงวะ”

“อย่างแรกมึงต้องรู้ก่อนว่าเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร” ไม่ใช่เพียงแค่อยากทำให้ความสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณดีขึ้น แต่พวกเขาไม่อยากตกเป็นกระโถนท้องพระโรงที่คอยรองรับอารมณ์ยามร่างสูงโมโหอีกแล้ว

“เราจะเริ่มสืบจากไหน” นักสืบจำเป็นหันมองหน้ากันทันที

“คนใกล้ตัวก่อนแล้วกัน”

แผนการช่วยหัวหน้าและช่วยตนเองให้รอดพ้นจากฝ่าเท้าของนายสัตวแพทย์หนุ่มจึงเริ่มขึ้น โดยคนเมาไม่ได้รับรู้ด้วยเพราะกำลังดื่มด่ำไปกับรสชาติหวานบาดคอของเหล้าต้มในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง

บุลลายังคงทำมาทำงานช่วงเย็นเหมือนเดิมแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสิร์ฟผิดจนโดนหัวหน้าเรียกมาตั้งเตือนจึงพยายามเรียกขวัญกำลังใจกลับมาแล้วเพ่งสมาธิไปยังงานที่สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง

เสี่ยกรรชัยต้องไปประชุมในจังหวัดจึงไม่ได้มาสืบข่าวรักร้าวฉานของคู่สามีภรรยา แม้จะเสียดายแต่ก็คิดว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะที่จะทำให้ความสัมพันธ์สะบั้นลง

สามวันผ่านไปที่พณณกรทำตัวเหมือนชายโสด นอนบ้านคนงานอาบน้ำที่นั่นใส่เสื้อผ้าตัวเดิมซ้ำๆ เหตุผลก็เพราะยังไม่อยากกลับไปเจอหน้าภรรยา โดยไม่รู้สักนิดว่าตอนนี้ไร้ผู้คนอยู่ที่นั่น มีเพียงเจ้าตูบซึ่งเฝ้าหน้าบ้านด้วยสีหน้าเหงาหงอย

“ไม่ได้ความเลยครับคุณธี ทะเลาะกันเรื่องอะไรก็ไม่มีใครรู้”

สองสามีภรรยาปิดเงียบแม้กระทั่งบานเย็นก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่บุตรสาวกลับมาอยู่บ้าน

ชลธีนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร ทั้งที่จริงมันไม่ใช่เรื่องของตนเองด้วยซ้ำแต่ไม่อาจทนมองเพื่อนสนิททำตัวเหลวไหลได้อีก

“ผมคิดว่าต้องเกิดจากความหึงหวงครับ นายน่ะหวงเมียจะตายแค่ผู้ชายมองหน่อยเดียวแทบจะเอาเท้าไปประเคนหน้าแล้ว”

เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันในไร่จนแทบไม่มีผู้ชายคนไหนกล้ามองหน้าบุลลาเกินห้าวินาทีเพราะกลัวจะเจอหมัดของหนุ่มผิวเข้ม

“ก็อาจเป็นไปได้” คนที่เคยผิดหวังจากความรักมักกลัวว่าปัจจุบันจะซ้ำรอยเดิม จึงพยายามทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนหลายปีก่อน โดยลืมว่าผู้หญิงทุกคนไม่เหมือนกัน

คิดอย่างกลัดกลุ้มต้องถอนหายใจออกมา

“ขอบใจพวกนายมาก มีอะไรก็ไปทำเถอะ”

สองหนุ่มจึงเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ปล่อยเจ้าของไร่เอาไว้เพียงลำพังในห้องรับแขก

จากที่เป็นเพียงเพื่อนร่วมคณะกลับกลายเป็นหุ้นส่วนและตอนนี้ดูเหมือนว่าชลธีจะต้องจัดการชีวิตของร่างหนาด้วย ยกมือขึ้นกุมขมับ การถางหญ้ากลางแดดยังไม่หนักหนาเท่าต้องมาดูแลคนดื้อรั้นที่เอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่งอย่างพณณกรเลย

“จะไม่ไปคุยกับคุณเอิร์ธหน่อยเหรอ”ระหว่างนั่งรับประทานอาหารเช้าบานเย็นก็เอ่ยถามบุลลาเนื่องจากได้ยินเรื่องราวของลูกเขยที่เอาแต่กินเหล้าเมาหัวราน้ำทุกเย็น

“ไปทำไมแม่ บัวไม่ใช่คนผิดสักหน่อย” ใบหน้าหวานบึ้งตึงทันทีก่อนจะรวบช้อนทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ รู้สึกตื้อเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่มที่คิดถึงทุกค่ำคืน

ใช่..เธอคิดถึงเขา แม้จะโดนทำร้ายจิตใจมากแค่ไหนก็ตาม ทำไมเป็นคนรักใครเร็วแบบนี้บุลลา..

‘ฉันไดร์ให้ไหม’ ยามค่ำคืนที่เลิกจากงานถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหนแต่ร่างบางก็ยังคงสระผมแล้วต้องมานั่งถ่างตาเป่าให้แห้ง ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพราะผมที่ยาวกลางหลังทั้งยังหนาอีกด้วย

‘ทำเป็นเหรอ’

ร่างสูงอาสาเข้าช่วยก่อนจะโดนถามราวดูถูก

‘คอยดูฝีมือได้เลยครับคุณผู้หญิง’ หยิบเครื่องเป่าแล้วจับผมแบ่งเป็นสองฝ่ายเขาเริ่มไดร์ข้างขวาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น

โดยมีสายตากลมโตมองผ่านกระจก หล่อนรู้สึกอบอุ่นหัวใจเพราะไม่เคยมีใครเอาใจใส่ถึงขนาดนี้ มองความตั้งใจของเขาที่สะท้อนให้เห็นก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้

..คนปากร้ายเวลาทำอะไรแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน

หรือว่าจะเป็นตอนที่ร่างสูงพยายามทำอาหารเช้าเพียงเพราะคืนนั้นก่อนหน้าเขารังแกเธอหนักไปส่งผลให้ตื่นสาย

ร่างบางยืนมองสามีหยิบจับเครื่องครัวอย่างเก้กังก็อดขำไม่ได้ คนที่ดูสมบูรณ์แบบก็มีมุมที่ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน

ทุกภาพทุกความทรงจำวนเวียนเข้ามาจนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาขณะล้างจานข้าวของตนเอง กลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกจากครัวจนมารดาได้ยิน

“น้า หนูว่าพี่บัวเขาเสียใจแน่เลย เมื่อคืนก็ได้ยินเสียงร้องไห้” มะลิเขยิบไปหาน้าสาวแล้วเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินเพียงสองคน

“เป็นเด็กเป็นเล็กรู้เรื่องกับเขาด้วยเหรอ รีบกินเร็วเข้าเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย” เอ็ดไม่จริงจังนักแล้วตักอาหารเข้าปากพลางมองไปยังห้องครัว นึกสงสารบุตรสาวทั้งอยากรู้ใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ครานี้บุลลากลับปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงอีก

เหมือนกับชายหนุ่มที่กำลังให้อาหารม้าไม่มีผิด ใบหน้าคมเคร่งขรึมไม่เอ่ยวาจากับลูกน้อง ทำเพียงสั่งงานแล้วเดินตรวจเท่านั้น หลายคนกลัวว่าจะทำพลาดจนโดนด่า แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานและสัตวแพทย์หนุ่มกำลังจะกลับบ้านก็มีรถจิ๊ปวิลลีคันใหญ่สีส้มมาขวางทางไว้เสียก่อน

คนที่ก้าวลงมาเป็นชลธีซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นจนรู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

“ว่ามา กูไม่มีเวลามากหรอกนะ” เดินไปยืนพิงรถที่ไม่ค่อยได้นำออกมาใช้ แล้วกอดอกหันมองร่างปราดเปรียวคอยว่าจะพูดอะไร

“จะรีบไปกินเหล้าหรือไง”

ยักไหล่แล้วหันไปมองทิวทัศน์ทางอื่นไม่อยากเห็นสายตาที่กล่าวโทษ

“เรื่องของกู มีไรก็รีบพูด”

บางทีเพื่อนก็น่าหมั่นไส้จนอยากตะบันหน้าเสียแต่ว่ากลัวมันสวนคืนแล้วเขาจะเละเป็นโจ๊ก หมัดของพณณกรไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ใครโดนมีสิทธิ์หน้าช้ำหวิดเสียโฉมได้

“นายรู้เรื่องที่คุณบัวเกือบโดนข่มขืนจากพวกผู้ชายที่ร้านอาหารหรือเปล่า”

จากสายตาที่ไม่ได้โฟกัสที่ใด ใบหน้าคมก็หันมามองเพื่อนสนิททันทีพร้อมเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว คว้าไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมดวงตาที่แฝงไปด้วยความใคร่รู้

“มึงหมายความว่ายังไงไอ้ธี ที่มึงพูดมาหมายความว่าไงวะ ตอบกูสิ!” ความใจร้อนของสัตวแพทย์ผิวเข้ม

ทำให้ตอนนี้เจ้าของไร่ตัวขาวตกที่นั่งลำบาก

เขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้พณณกรรู้และไม่มีใครกล่าวถึงอีกเนื่องจากเจ้าตัวมาขอร้องด้วยตนเองพร้อมใบหน้าซึมเศร้า อีกอย่างอาจเพราะอำนาจของเสี่ยกรรชัยที่สั่งปิดปากทุกคนในอำเภอจึงไม่ได้แพร่งพรายพร้อมจะลืมเลือนตามกาลเวลา

“คุณบัวโดนพวกพนักงานชายจะฉุดไปข่มขืนวันที่นายไปกรุงเทพฯ พอดีเสี่ยกรรชัยอยู่ที่นั่นเลยช่วยเอาไว้ได้ ตอนนี้พวกมันติดคุก อ้าว ไอ้เอิร์ธ จะไปไหน”

ฟังยังไม่ทันจบก็ปล่อยให้เพื่อนเป็นอิสระก่อนวิ่งไปควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล้วขับออกไปทันที ปล่อยให้คนที่มาหามองตามด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะยกยิ้มเพราะรู้ว่าตนเองจี้ถูกจุด

อาจเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ทะเลาะกัน..ขอให้คืนดีกันไวๆ นะ คนในฟาร์มจะได้ทำงานเป็นสุขสักที

ร่างสูงขับรถคู่ใจไปด้วยความเร็ว จุดหมายคือทางออกของไร่หวังว่าหล่อนจะยังไม่ไปไหนไกลหรอกนะ เวลานี้บุลลาต้องไปทำงานในตัวอำเภอ ถ้าเขาคำนวณเวลาถูกนุ่มนิ่มคงยังขับไปไม่ถึงไหนอย่างมากก็ทางแยกระหว่างไร่กับฟาร์ม

ความคิดของชายหนุ่มไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้เพราะเขาเห็นแผ่นหลังเล็กซึ่งไม่ได้มองมาหลายวันทันใดนั้นก็เร่งเครื่องแล้วขับไปปาดหน้าจนฝ่ายที่ขับมาต้องรีบเบรกจนหัวเกือบทิ่ม ดีที่ไม่ได้ขับเร็วเท่าไหร่และเมื่อคนซ้อนท้ายอย่างร่างบางได้สบดวงตาคมก็เบิกกว้างขึ้น

“ลงมาคุยกันหน่อย” น้ำเสียงที่เคยขึงขังถูกลดลงมากลายเป็นเพียงราบเรียบ ระหว่างทางก็คิดมาตลอดว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกเช่นไรแต่ก็ไม่อาจตอบได้

ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าหวานที่ซูบตอบแถมใต้ตาคล้ำใจก็รู้สึกผิด

..เขาทำเกินไปหรือเปล่า

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย นิ่มไปกันเถอะ” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยด้วยการหันหน้าหนี

จนคนที่มาง้อทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยง้อผู้หญิงเลยสักคนนอกจากมารดาหรือพี่สาวซึ่งก็น้อยครั้งที่จะได้ทำอย่างนั้น

“ฉันไม่ให้ไป เราต้องคุยกันก่อน” จับข้อมือเล็กเอาไว้ทันทีทั้งที่เป็นช่วงเลิกงานและรถราวิ่งสัญจรไปมา จนกระทั่งได้ยินเสียงบีบแตรจากรถยนต์ที่ใช้รับส่งคนงาน

“ปล่อยนะ ไม่เห็นเหรอว่าทำให้รถมันติด” ใบหน้าหวานเริ่มอับอายจึงบอกเขาเสียงเข้มพร้อมทั้งพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม

“ไม่ปล่อยจนกว่าเราจะพูดกันรู้เรื่อง” ร่างสูงไม่พูดพร่ำทำเพลงในเมื่อเธอไม่อยากคุย แต่เขาต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากเธอ จึงใช้ความได้เปรียบในเรื่องส่วนสูงและพละกำลัง อุ้มคนตัวเล็กขึ้นบ่าอีกครั้งท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของคนงาน

“ไอ้บ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ร่างบางโวยวายเสียงดังเมื่อเขาวางเธอลงบนเบาะก่อนจะขึ้นคร่อมโดยใช้แขนของตนขังเธอเอาไว้

“ถ้าไม่อยากอายคนมากกว่านี้ก็เงียบ ไม่อย่างนั้นฉันจูบโชว์แน่” กระซิบเสียงเบาข้างหูแล้วสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ขับออกไปทันที

ปล่อยนุ่มนิ่มมองตามตาละห้อย

..แล้วอย่างนี้เธอจะทำอย่างไรเล่า

คนงานที่เห็นเหตุการณ์ก็จับกลุ่มคุยกันเป็นคุ้งเป็นแคว คงมีเรื่องสนุกให้พูดกันไปอีกหลายวัน

ฟ้ามุ่ยที่มองดูด้วยความเจ็บใจก็กระทืบเท้าบนรถ ตอนแรกก็ว่าจะบอกพณณกรเรื่องที่เห็นบุลลาเข้าโรงแรมกับเสี่ยกรรชัย แต่ชายหนุ่มเอาแต่ดื่มเหล้าไม่ต่างกับน้ำ จึงกลัวว่าจะโดนลูกหลงจำต้องเงียบเอาไว้ แล้วอีกอย่างก็นึกว่าขาเตียงกำลังจะหักเพราะร่างสูงเอาแต่เมาเหล้าอยู่บ้านพักคนงาน

ใครจะไปคิดว่าฝ่ายชายจะมาลักพาตัวภรรยาจนเป็นที่เอิกเกริกเห็นกันทั้งไร่อย่างนี้ คิดแล้วก็เจ็บใจ

..ทำไมผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เธอนะ จะไม่ร้องดีดดิ้นแบบนั้นเด็ดขาดจะยอมเดินตามเขาไปสวยๆ เลย

ระหว่างทางกลับบ้านหล่อนไม่พูดอะไรอีกยังคงนั่งเงียบทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ

ทั้งเรื่องที่เขาทำวันนี้และเมื่อหลายวันก่อน คำพูดจาดูถูกถากถางยังตามหลอกหลอนไม่หายจนต้องร้องไห้อยู่ทุกคืน คนพูดอาจไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังนั่นเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ เพิ่งรับรู้วันนั้นเองว่าสามีที่อยู่ด้วยกันมามองเธอเป็นผู้หญิงหิวเงินตลอดเวลา

เมื่อถึงบ้านหลังเล็กที่กลายเป็นเรือนหอ ร่างบางก็รีบหนีจากอ้อมกอดนั่น เจ้าตูบที่นอนเฝ้าหน้าบ้านรีบวิ่งมาหานายผู้หญิงด้วยความคิดถึง มันกระโดดใส่จนร่างบางต้องลูบหัวแล้วบอกให้หยุดด้วยท่าทีอ่อนโยน

“พอก่อนเจ้าตูบ จะคิดถึงอะไรขนาดนั้น” สัตวแพทย์ผิวเข้มมองตามด้วยแววตาอ่อนโยนจนกระทั่งเธอหันมามองหน้าเขาใบหน้าคมจึงเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง

“ฉันจะกลับบ้าน” บอกเจตจำนงของตนเอง

“ก็นี่ไงบ้าน” ชี้ไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวที่เข้ามาอยู่ร่วมสองเดือน มีความทรงจำที่ดีและเลวร้ายโดยเฉพาะวันที่เขาทำร้ายเธอ

“นายต้องการอะไรกันแน่ หรือที่ด่าฉันวันนั้นมันยังไม่สาแก่ใจ อยากด่าอีกเหรอ ว่ามาสิ ด่าฉันมาเลย ด่ามาสิ ด่าฉันมา” น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

จนพณณกรต้องคว้าร่างบางมากอดเอาไว้

“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” คำขอโทษอย่างจริงใจทำเอาหัวใจดวงนี้อ่อนลงราวขี้ผึ้งลนไฟ แต่ก็ยังไม่ลืมความเจ็บช้ำที่เกิดจากน้ำมือของผู้ชายคนนี้ได้ จึงทุบที่หน้าอกเขาเต็มแรงหวังระบายอารมณ์โดยร่างสูงก็ยอมโดนกระทำเต็มที่ไม่ขัดขืน

“คิดว่าฉันจะยกโทษให้หรือไง นายรู้หรือเปล่าว่าฉันเจ็บแค่ไหน ฮึก ไอ้บ้า ทำไมถึงกล้าทำแบบนั้นกับฉัน ทำกันได้ยังไง” คนเสียใจพูดไม่รู้เรื่องเพราะมีความรู้สึกมากมายตีกันจนแยกไม่ออกว่าตอนนี้เธอหายโกรธหรือยังคงโมโหเขาอยู่

แต่ที่ชัดคือความอบอุ่นที่เข้ามาโอบล้อมหัวใจอีกครั้ง

“เจ็บมากไหม ขอโทษที่วันนั้นฉันไม่ยอมรับฟังเธอ ขอโทษนะบัว” จุมพิตที่ขมับอย่างแผ่วเบาแล้วโอบกอดเธอไว้เหมือนเดิม

คนตัวเล็กร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน กลืนคำพูดที่จะพ่นออกมากลับไปเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อของตนเอง

หัวใจสั่นไหวราวเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น เธอไม่สามารถต้านทานแรงที่พุ่งเข้าชนโดยเกิดจากคำพูดอ่อนโยนของร่างสูงได้เลยสักครั้ง

“ทำไมไม่บอกฉันว่าวันนั้นเธอโดนอะไรบ้าง ไม่คิดจะบอกฉันสักคำเลยเหรอ” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม เขารู้สึกผิดและคิดมาตลอดทางว่าเพราะเหตุใดเรื่องที่เกือบโดนทำมิดีมิร้ายหล่อนจึงต้องปิดบัง ไม่ไว้ใจขนาดไม่บอกเลยหรือ แต่นอกเหนือจากนั้นเขารู้สึกสงสารหล่อน

วันที่พยายามขัดขืนคงคิดว่าตนเองกำลังจะโดนข่มขืน เขากลายเป็นผู้ร้ายในคราบของสามีไปแล้ว

“นายหมายถึงอะไร” พยายามเค้นเสียงถามทั้งที่ยังสะอื้น

“วันที่ฉันไปกรุงเทพฯ แล้วเธอเกือบโดนข่มขืน ทำไมไม่บอกฉันสักคำ ไม่เชื่อใจฉันสักนิดเลยเหรอ” ตัดพ้ออย่างน้อยใจ จนร่างบางรู้สึกผิด ชายหนุ่มผละออกเพื่อจ้องเข้าไปในแววตากลมโตรอฟังคำตอบจากปากของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ

“ฉันกลัวนายไม่ให้ไปทำงานอีก” สารภาพผิดแล้วก้มหน้านิ่ง อันที่จริงเรื่องนี้เธอก็ผิดที่ปิดบังเขา คนเป็นสามีภรรยาไม่ควรมีความลับต่อกัน ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วยแล้ว หากเธอเป็นเขาก็คงจะน้อยใจเช่นเดียวกัน

“ส่วนเรื่องเสี่ยกรรชัยมันไม่มีอะไรจริงๆ เขามาช่วยฉันเอาไว้แล้วเสนอให้ไปทำงานที่โรงแรมแทน มันมีแค่นั้น นายเชื่อฉันนะ”

บอกความจริงที่เก็บเอาไว้ให้เขารับรู้ ในความคิดของบุลลาเสี่ยใหญ่เป็นผู้มีพระคุณที่เข้ามาช่วยจากเรื่องร้าย

แต่ในทางของพณณกรเขากลับมองว่าอีกฝ่ายคือศัตรูที่จ้องจะเล่นงานตนเองและบางทีหล่อนอาจจะเป็นหมากก็ได้

“อือ ฉันเชื่อ” เพียงเท่านั้นใบหน้าหวานก็ยิ้มออกแล้วอ้าแขนกอดเอวร่างสูงเอาไว้ลืมความโกรธความน้อยใจที่เคยมีจนสิ้น

ไม่ต่างกับสัตวแพทย์ที่โอบตอบ เรื่องนี้เขาจะปล่อยไปเพราะสงสารที่หล่อนโดนรังแกแล้ววันนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย

..แต่เรื่องของเสี่ยกรรชัยไม่มีทางปล่อยไปแน่ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status