๑๐
เปิดหัวใจ
วันที่ไร้พณณกรมันช่างเหงาเหลือเกิน เตียงที่เคยเล็กกลับกว้างอย่างน่าใจหาย ยกแขนขึ้นมาโอบกอดหมอนข้างซึ่งไม่ได้ให้ความอบอุ่นเท่าอ้อมแขนของเขาแม้แต่น้อย
..ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ อีกตั้งหนึ่งวันกว่าชายหนุ่มจะกลับคิดแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยว หากโทรศัพท์ไม่หายป่านนี้คงพอคลายความคิดถึงลงได้บ้าง
ถ้าเขากลับมาเธอจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นดีไหม..
อยากให้ชายหนุ่มปลอบปะโลมโอบกอดเอาไว้ทว่าก็กลัวเจอคำสั่งเด็ดขาดไม่อนุญาตให้ไปทำงานที่นั่นอีก ถึงจะเปลี่ยนเป็นภัตตาคารก็ตาม จำต้องเงียบเอาไว้ ไม่ลืมกำชับนุ่มนิ่มและคนที่รู้เรื่องให้สงบปากอย่าได้แพร่งพรายจนสามีหล่อนจับได้เป็นอันขาด งานนี้สร้างเงินเป็นกอบเป็นกำจะทิ้งไปก็แสนเสียดาย
ร่างบางพลิกกายไปมาคิดเห็นเพียงใบหน้าคมจนต้องลุกขึ้นนั่งมองดูรูปคู่แต่งงานซึ่งมารดาอัดกรอบมาไว้ในห้องนอนของหล่อนตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว จะว่าไปก็เกือบสองเดือนที่อยู่ในสถานะสามีภรรยาไม่รู้สึกอึดอัดใจอย่างที่คิด ยังสามารถเป็นตัวของตัวเองทำอะไรตามใจได้บ้างในบางเรื่องแต่ก็ยังมีสิ่งที่เขาห้ามเด็ดขาดคือยิ้มให้ผู้ชายคนอื่น
พณณกรเป็นบุคคลที่ขี้หึงมาก แค่มีผู้ชายเขาใกล้หรือมองหน้าหล่อนเกินห้าวินาทีก็โดนเขม่นจนต้องหลีกกายหนีให้ไกลก่อนใบหน้าคมจะหันมาดุเธอที่อ่อยเรี่ยราด ซึ่งบางครั้งตนยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้ทะเลาะกันหลายรอบมาก แต่สุดท้ายก็จบด้วยการที่บุลลาทำอาหารง้อจึงคลายบรรยากาศมาคุลงได้
ยามเช้ามีเสียงไก่ขันตั้งแต่ตีสี่ ทำเอาคนพึ่งนอนหลับต้องลุกมาหุงหาอาหารสำหรับครอบครัวเล็กของตน โดยมีมารดารดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านและเมื่อดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าส่องแสงสว่างปลุกผู้อยู่ในห้วงนิทราต้องตื่นเพื่อรับวันใหม่ หญิงต่างวัยทั้งสามออกไปหน้าบ้านเพื่อใส่บาตรรับพรก่อนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
"วันนี้จะนอนไหนล่ะบัว" ก่อนไปทำงานบานเย็นก็หันมาถามบุตรสาวที่กำลังถูบ้านอย่างขะมักเขม้น
"คงกลับไปนอนบ้านเขาแหละแม่" ไม่มีใครดูแลเจ้าตูบก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้ ถึงไม่ใช่สุนัขของตนเองก็เลี้ยงดูมาเป็นเดือนจากผอมโซเริ่มอ้วนพีเดินแทบไม่ไหว
"นอนคนเดียวได้เหรอให้แม่ไปนอนเป็นเพื่อนไหม" อดเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวไม่ได้ บ้านหลังนั้นก็ห่างไกลผู้คนหากเกิดอะไรขึ้นมาจะร้องให้ใครช่วยได้
"ไม่เป็นไรหรอกแม่ หนูนอนคนเดียวได้ไม่ต้องเป็นห่วง มีไอ้ตูบอยู่ด้วยทั้งตัว" ว่าพลางยิ้มแย้มเพื่อให้บานเย็นสบายใจ
แต่คนแก่วัยก็นึกเป็นห่วงอยู่ดี
"แต่แม่ว่ารอให้คุณเอิร์ธกลับมาก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ยังไงบัวก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวพึ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาด้วย นอนที่บ้านอีกสักวันเถอะนะลูก"
เห็นดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความห่วงใยก็นึกซาบซึ้ง ก่อนจะพยักหน้ารับคำของผู้ให้กำเนิดจนฝ่ายคะยั้นคะยอรู้สึกสบายใจ
"ก็ได้จ้ะ"
"ถ้าอย่างนั้นแม่ไปทำงานก่อนแล้วกัน เอ้อ แม่ไม่ได้เอารถไปนะ บัวจะขับไปที่บ้านหลังนั้นทำความสะอาดรอคุณเอิร์ธก็ได้"
..นั่นสิไม่รู้ป่านนี้บ้านจะฝุ่นจับแค่ไหน
มองตามแผ่นหลังเล็กของบานเย็นก่อนถอนหายใจ เธอได้รับอภิสิทธิ์ให้หยุดงานอีกครั้งโดยประกาศิตจากคุณชลธีที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด
ภายใต้เรื่องเลวร้ายก็มีเรื่องที่ดีซ่อนอยู่ ทำให้เธอได้รับรู้ถึงความหวังดีและมิตรภาพจากผู้คนรอบข้าง
เมื่อทำความสะอาดบ้านของตนเองจนครบทุกห้อง ก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปยังเรือนหอหลังเล็กซึ่งรายล้อมด้วยธรรมชาติอันสวยงามจนตอนนี้เธอตกหลุมรักมันเสียแล้ว เสียงน้ำไหลเอื่อยอยู่หลังบ้านทำให้ตัดสินใจเดินมาดูผักที่ปลูกเอาไว้ซึ่งเริ่มโตแล้วในบางแปลง บุลลานำถังเล็กไปตักน้ำลำธารมารดต้นไม้ก่อนได้ยินเสียงเห่าของเจ้าตูบ
มันวิ่งมาหาแล้วเลียขา กระดิกหางดีใจยกใหญ่
"พอแล้ว จะดีใจอะไรขนาดนั้น ไม่เจอกันแค่สองวันเอง" สัตว์แสนรู้จึงหมอบลงก่อนร่างบางจะเดินไปหน้าบ้าน เปิดประตูแล้วหาของกินสำหรับสุนัขตัวเล็ก
หลังจากให้อาหารแล้วจึงเริ่มทำงานบ้าน เริ่มจากนำผ้าปูที่นอนและผ้าห่มไปซัก ยกเสื้อผ้าเต็มตะกร้าลงเครื่องค่อยเข้ามากวาดพื้นแล้วถูจนสะอาด ใบหน้าหวานมีเหงื่อเกาะเต็มจึงเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าดีที่บ้านหลังนี้มีเครื่องทำน้ำอุ่นจึงค่อนข้างเป็นที่พอใจสำหรับผู้หญิงที่ไม่ชอบน้ำเย็นยิ่งนัก
หล่อนออกไปตากเสื้อผ้าก่อนเข้าห้องนอนหยิบผ้าปูอีกผืนออกมาคลุมเตียงแล้วนำผ้าห่มมาคลุมทับ ไม่ลืมเปลี่ยนปลอกหมอนจนเสร็จสิ้นทุกอย่าง จึงล้มตัวลงนอนเพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยลืมความหิวไปหมดสิ้นแม้จะล่วงเลยเข้าสู่เที่ยงวันแล้วก็ตาม ไม่ได้ยินเสียงท้องที่ร้องครวญครางและไม่ได้ยินแม้แต่เสียงรถยนต์ที่ขับมาจอดหน้าบ้าน
ร่างสูงเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของบ้านบุลลาจอดหน้าบ้าน ก่อนมองไปที่เจ้าตูบซึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งประตูหน้าบ้านยังเปิดเอาไว้จนกว้างอีก
"ไม่ไปทำงานเหรอ" พึมพำเสียงเบาแล้วเปิดท้ายรถ นำถุงเสื้อผ้าที่ซื้อให้บุลลามาถือ เดินเสียงเบาเข้าไปภายในบ้านก่อนจะค่อยเปิดประตูห้องนอน ริมฝีปากหนาได้รูปค่อยยกขึ้นอย่างมีความสุข เมื่อเห็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าภรรยานอนหลับใหลอยู่กลางเตียง เขาวางถุงทั้งหลายลงที่พื้นก่อนเดินย่องไปนอนลงข้างกายเล็ก โอบกอดหล่อนเอาไว้จากทางด้านหลัง
ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังทำให้บุลลาต้องพลิกกายแล้วหันหน้าโอบกอดไออุ่นนั้นเอาไว้เพราะคิดว่าเป็นหมอนข้าง ทว่าเมื่อวาดวงแขนไปมันกลับแข็งจนต้องขมวดคิ้ว
..ไม่ใช่หมอนข้างแต่เป็นคนต่างหาก!
ดวงตากลมโตลืมขึ้นพบแผงอกหนาที่ถูกทับด้วยเสื้อเชิ้ตเนื้อดี กลิ่นกายที่นึกโหยหาทุกค่ำคืนตอกย้ำให้รู้ว่าบัดนี้ชายที่คิดถึงได้กลับมาแล้ว หล่อนเงยหน้าขึ้นจนกระทั่งได้สบตากับเขา แล้วน้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลก็ถูกปล่อยออกมาราวก๊อกแตก สร้างความตกใจให้ร่างสูงจนต้องเอ่ยถามเสียงสั่น
"เฮ้ย เป็นอะไร เธอร้องไห้ทำไม" มือหนายกขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าหวานทันที
"ไอ้บ้า นายมันคนเห็นแก่ตัวฉันโทรไปก็ไม่รับ ฮือ ไม่โทรกลับมาหาฉันเลย รู้ไหมว่าฉันคิดถึงมากแค่ไหน ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้คนเลว คนชั่ว..อื้อ" ขณะที่กำลังจะพ่นคำด่ามาอีกระลอกใหญ่
เขาก็ทำการปิดปากเธอเอาไว้ด้วยจุมพิตแสนหวาน เพียงแค่ได้ยินคำว่าคิดถึงหัวใจของเขาก็พองโตคับอกจนแทบจะหลุดออกมาแล้ว
ผละจากริมฝีปากเล็กก็จูบซับน้ำตาให้อีกฝ่ายทันทีก่อนจะแช่ค้างไว้ที่เปลือกตาแล้วปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระ
"ฉันก็คิดถึงเธอ"
เพียงเท่านั้นบุลลาก็โผเข้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่นอีกครั้ง ซบหน้าเข้าที่อกหนาจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะของเขา
แค่นี้ก็รู้สึกถึงความปลอดภัยแล้ว
"อีกอย่างฉันก็โทรกลับหาเธอเหมือนกันแล้วทำไมไม่รับสาย เกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งแล้วขับรถมาหาเลยนะ" ลูบศีรษะมนนึกเอ็นดูพลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้ต้องการหาเรื่องทว่าก็สัมผัสได้ถึงความคุกรุ่นในประโยคนั้น
จนหล่อนชะงักไปชั่วครู่
"ทำหายน่ะ ไม่รู้ไปตกอยู่ที่ไหน"
ได้ยินอย่างนั้นก็มะเหงกใส่คุณภรรยาจอมเซ่อไปหนึ่งทีไม่ได้ จนเธอร้องด้วยความเจ็บ
"โอ๊ย เจ็บนะ" เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าคมที่เกลี้ยงเกลาทั้งที่ก่อนใบหนวดเครายังครึ้มอยู่เลย
"ก็ลงโทษไง คนอะไรไม่รู้จักรักษาของเลยแล้วมาโทษว่าฉันไม่รับโทรศัพท์" ส่ายหน้านึกระอาปล่อยให้ความเงียบโอบล้อม กระทั่งชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่ามีของจะให้จึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตน
ร่างบางไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มเธอยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น คงต้องยอมรับกับตนเองว่าเธอติดสัมผัสของเขาไปแล้ว ทั้งอ้อมกอดแข็งแกร่ง กลิ่นกายเย็นสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ เสื้อยืดตัวโคร่งที่ชอบเอาของอีกฝ่ายมาใส่นอนประจำ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าต้องแยกกันอีกจะเป็นอย่างไร
"ลุกขึ้นหน่อยสิ ฉันมีของฝากจากกรุงเทพฯ ให้เธอ" ผละออกจากร่างบางจึงสั่งเสียงนิ่ง
ทำเอาคนตัวเล็กจำต้องลุกขึ้นตามแบบงงๆ ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นกับของฝากแต่ก็พยายามรักษาใบหน้าเอาไว้ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นของราคาแพงเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาชายหนุ่มค่อนข้างประหยัดในเรื่องเสื้อผ้า แต่จะทุ่มไม่อั้นกับเหล้าเบียร์จนต้องปรามไปหลายครั้ง
"อะไรน่ะ" มองลูกบอลกลมขนาดเล็กที่อยู่ในตู้ของเล่นเด็กซึ่งมักจะเห็นบ่อยยามไปหน้าร้านมินิมาร์ท ของข้างในคงไม่พ้นแหวนปลอมไม่ก็ตุ๊กตาขนาดจิ๋ว ใบหน้าหวานไม่สามารถปิดบังความผิดหวังเอาไว้ได้
จนเขาต้องหลุดหัวเราะ
"เอาไปเปิดดูสิ"
จำต้องรับของฝากที่เขาให้มาแล้วหมุนมันออกช้าๆ เผยให้เห็นของข้างในทำเอาด้วงตากลมโตเบิกกว้างเพราะมันคือสร้อยคาเทียร์สีทองอย่างที่เคยนึกอยากได้
"นะ นี่นายไปเอาเงินมาจากไหน!" ถามเสียงสั่นพลางหยิบสร้อยออกมาดูอย่างสำรวจ ของแท้แน่นอนไม่ได้ลอกเลียนแบบ เธอเคยเมียงมองหลายครั้งเพราะอยากได้แต่จำต้องอดใจเอาไว้ ราคาหลักแสนของมันทำให้ไม่สามารถทำใจซื้อได้ เพราะซื้อสร้อยคอนี้เส้นเดียวสามารถดาวน์รถได้ด้วยซ้ำ
"ค่าจ้างเป็นวิทยากรไง” คำตอบที่ถูกเตรียมมาอย่างดียังไม่ทำให้คลายความสงสัยได้
"อย่ามาโกหกนะเส้นนี้ตั้งแสนกว่า ใครเขาจะจ้างนายเยอะขนาดนั้นกัน"
"แค่ห้าพันเอง เธอเอาจากไหนมาบอกว่าแสน" เขาลดราคาสร้อยคอลงมาจนแทบไม่เหลือเค้าความจริง
บุลลาส่ายหน้าปฏิเสธทันที
"ฉันไม่ได้โง่นะ เส้นนี้ของแท้แน่นอน"
"ไม่รู้สิ ฉันซื้อต่อเพื่อนในราคานี้ ว่าแต่..เธอชอบไหม" จากร้านดังสู่ของมือสอง แต่หล่อนก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ความสงสัยคลายไปได้บ้าง แม้จะคิดว่าใครเขาจะขายคาเทียร์ที่ซื้อมาแสนกว่าในราคาห้าพันกัน หรือว่าตาเธออาจจะเบลอมองของก๊อปปี้เป็นของแท้
..ช่างเถอะ แค่เขามีน้ำใจซื้อให้ก็ดีแล้ว
"ชอบสิ ชอบมากเลย"
ได้ยินอย่างนั้นคนที่ตั้งใจซื้อก็ยิ้มแก้มปริ หยิบสร้อยออกจากลูกบอลกลมมาสวมที่ลำคอขาวอย่างเชื่องช้าก่อนจะจุมพิตที่หลังคอเป็นการตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนี้เขาได้จับจองเอาไว้แล้วด้วยสร้อยทองที่มีแหวนคล้องกัน
"ฉันจองเธอแล้วนะ ห้ามมีใคร ไม่อย่างนั้นฉันเอาตายทั้งเธอทั้งมัน" คนขี้หวงเอ่ยด้วยสายตาข่มขู่
จนหล่อนต้องขึ้นไปนั่งบนตักแล้วหอมแก้มเขาอย่างเอาใจ
"ไม่มีใครหรอกน่า นายก็ห้ามมีใครเหมือนกัน"
สองสามีภรรยาสบตากัน พลันใจของชายหนุ่มก็นึกรู้สึกผิดที่การลงไปเมืองหลวงครั้งนี้ทำให้เขามีสัมพันธ์ทางกายกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่หล่อน
"อือ ไม่มีหรอก"
บุลลายิ้มให้เขาแล้วก้มมองสร้อยคอสีทอง หยิบมันดูอย่างชื่นชม ชอบของฝากครั้งนี้ของเขาเหลือเกิน
ในขณะที่ร่างสูงก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เรื่องราวที่เหมือนจะดำเนินไปด้วยดีกลับต้องสะดุดลงเพราะความจริงที่เขาไม่ได้บอกหล่อน
เอาไว้ก่อนแล้วกัน ยังมีเวลาอีกมาก..ตอนนี้ขอพิสูจน์ความจริงใจของเธออีกหน่อยจะบอกความจริงทุกอย่างที่ปิดบังเอาไว้
วันต่อมาทั้งคู่ต่างแยกย้ายไปทำงานโดยเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุลลาไม่ใครพูดถึงสักคน พณณกรจึงไม่รู้เรื่องของหญิงสาว กระทั่งตกเย็นกลับมาบ้านเห็นคนตัวเล็กทำอาหารรอก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ"
มือที่กำลังผัดผักก็ชะงักก่อนจะหันมายิ้มหวานกว่าปกติให้ร่างสูง พยายามไม่แสดงพิรุธออกไป
"พอดีร้านเขาปิดปรับปรุง อีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะเปิด"
ใบหน้าคมพยักหน้าพลันยกยิ้มอย่างดีใจ อันที่จริงปิดไปถาวรเลยก็ดี เมียเขาจะได้ไม่ต้องลำบากไปทำงานทุกเย็นให้เหนื่อยกายเปล่า เอาเวลามาออกกำลังกายในร่มผ้าร่วมกันท่าจะสนุกกว่า
ขณะที่เขาตกอยู่ในความคิดของตนเองกลิ่นกะเทียมจากกระทะก็ลอยเข้าจมูก ทำเอาสัตวแพทย์หนุ่มรีบปิดจมูกแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
"อ้วก อ้วก"
โก่งคออาเจียนลงชักโครก ทำให้ร่างบางเป็นห่วงต้องปิดแก๊สเดินมาลูบหลังให้เขาด้วยสีหน้ากังวล
"เป็นอะไรทำไมอยู่ดีๆ ก็อ้วก" เมื่อชายหนุ่มอาเจียนออกจนหมดพร้อมเดินไปล้างหน้าล้างปากที่อ่างล้างหน้าก็เอ่ยถามขึ้น ทั้งที่เข้ามาก็ปกติดีทุกอย่างแท้ๆ
"ก็กลิ่นกะเทียมของเธอนั่นแหละตีเข้าจมูกเลย มันเน่าหรือเปล่าทำไมเหม็นขนาดนี้" หันไปมองก็แทบจะพุ่งไปอาเจียนอีกรอบจนต้องหันหน้าหนี
"จะบ้าเหรอฉันเพิ่งซื้อมันจะเน่าได้ยังไง ปกติก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้" ประคองคนที่ตัวใหญ่กว่านั่งลงโซฟาหน้าทีวี คว้าหนังสือที่อยู่ใกล้มาพัดพร้อมยื่นยาดมซึ่งวางไว้แถวนั้นให้เขาทันที
"ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเพิ่งเป็นวันนี้วันแรก" เหนื่อยจนหอบหายใจถี่ ถึงจะอาเจียนจากการเมาค้างบ่อยแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าหมดเรี่ยวแรงขนาดนี้มาก่อน
"เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเมนูให้แล้วกัน เอาเป็นสลัดผักใส่อกไก่ฉีกกับสเต๊กปลาแซลมอนดีไหม" จากที่จะทำผัดกระเพรากับต้มข่าไก่ จำต้องเปลี่ยนเมนูกะทันหันเพราะเห็นอาการของสามีคงต้องบำรุงด้วยพืชผักเยอะหน่อย
"ตามใจเลย" ปล่อยให้ร่างบางจัดการเพราะเขาคิดไม่ออกว่าอยากกินอะไร คู่ของตนไม่เคยมีปัญหาเรื่องการถามว่าเย็นนี้กินอะไรสักทีเพราะหล่อนจัดการเองหมด เมนูทั้งไทยและเทศถูกปรุงแต่งราวแม่ครัวมือเอก จนนึกอยากพาบุลลาไปอวดเพื่อนสมัยเรียนเหลือเกิน
..งานบ้านไม่มีขาดงานบนเตียงไม่มีหย่อนแบบนี้เขาจะไปไหนได้
ถึงจะไม่ได้กลิ่นกระเทียมแต่อารมณ์เขาค่อนข้างแปรปรวนง่าย หากวันไหนดีลูกน้องก็สบายไปแต่วันไหนทะเลาะกับเมียมาหน้าหงิกจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เขานำชุดที่ซื้อมาให้หล่อนซึ่งคืนนั้นคนตัวเล็กก็ขอบคุณโดยการขึ้นคร่อมร่างสูงมอบความสุขให้กว่าค่อนคืน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและบุลลาก็ต้องไปทำงานที่ภัตตาคารเป็นวันแรกแต่ยังไม่ได้บอกชายหนุ่มว่าเปลี่ยนสถานที่ทำงานหากเย็นนี้เขาไปรอที่เดิมจะทำอย่างไร ความลับที่ปิดเอาไว้ได้แตกกันพอดี นึกกังวลขณะที่นำอาหารออกไปตั้งไว้โต๊ะหน้าบ้าน
"วันนี้เธอไปทำงานที่ร้านใช่ไหม"
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรชายหนุ่มก็ถามขึ้นเสียแล้ว รู้สึกเหมือนกำลังโดนครูปกครองสอบสวนอากาศเริ่มเย็นทั้งที่ไม่มีลมสักนิด
"อืม" ถ้าจะบอกว่าไม่ต้องไปรับเธอก็กังวลว่าจะเจอคนพวกนั้นอีกทั้งที่รู้ว่าเสี่ยกรรชัยเอาทุกคนเข้าคุกแล้วก็ตามแต่อีกไม่นานก็คงได้ออกมา หากมันมาแก้แค้นเธอจะทำอย่างไร แสดงออกถึงความกังวลจนร่างสูงจับสังเกตได้
"เป็นอะไร ไม่อยากไปทำงานเหรอ"
มองเขาแล้วส่ายศีรษะจนผมสะบัดไปตามแรง
"เปล่า แค่ไม่ค่อยชินน่ะ หยุดไปตั้งนาน"
สัตวแพทย์ตักข้าวต้มปลามากินพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข อาหารที่หล่อนทำอร่อยทุกอย่างเลย
"เอ่อ คือฉัน" ขณะที่จับช้อนคนข้าวเพื่อให้ไอร้อนระเหยก็ตัดสินใจจะบอกเรื่องสถานที่ทำงานใหม่แก่เขา ทว่าก็กลัวอีกฝ่ายจะสงสัยถึงเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนงาน ความคิดตีกันยุ่งไปหมดจนอยากพูดความจริงให้หมดทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่พณณกรไม่อยู่
"มีอะไรจะบอกหรือเปล่า" เห็นอ้ำอึ้งจึงถามพลางมองตากลมโตนิ่ง
แค่นั้นใจของหล่อนก็แฟบลงราวจะหมดลม
"อ๋อ จะบอกว่าฉันเลิกงานห้าทุ่มครึ่ง แค่นั่นแหละพอดีต้องเก็บโต๊ะช่วยปิดร้านด้วยน่ะ เห็นว่าได้เงินเพิ่ม" เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักแต่หากพูดอะไรมากก็จะมีแต่ทะเลาะกัน
"ถ้าเธอเหนื่อยก็เลิกทำเถอะ ฉันมีเงินเลี้ยงเมียคนเดียวเอง" หากบุลลารู้ว่าเขาคือพณณกร วิจิตรประภาคงไม่ต้องหาเงินให้วุ่นแบบนี้หรอกแต่เพราะหล่อนไม่รู้จึงทำเพียงหัวเราะราวจะเยาะคำพูดของอีกฝ่าย
"อย่างกับมีเงินเยอะ เก็บเงินของนายไว้เถอะฉันจะทำงานหาเอง"
บรรยากาศขมุกขมัวมาเยือนอีกครั้งหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรทำเพียงรับประทานข้าวเช้าไปเงียบๆ เขาขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งเธอที่ไร่ก่อนจะเลยไปยังฟาร์มของตน
ลูกน้องเห็นเจ้านายใบหน้าเคร่งขรึมก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปทัก ยกเว้นคู่หูที่เดินเข้าไปเหยียบรังแตนอย่างไม่นึกกลัว
"หน้าบึ้งมาทำงานเลยนะนาย เมียไม่ทำการบ้านให้เหรอครับ" โอ้เอ่ยขึ้น
"หรือนกเขาไม่ขันเมียเลยจะทิ้ง ฮิ้ว"
สองคนตอบรับกันเป็นอย่างดีก่อนจะล้มลงกับพื้นเพราะโดนสัตวแพทย์หนุ่มถีบเต็มแรง ร้องโอดโอยไปตามกัน
"โหนาย ไม่ผ่อนแรงบ้างเลย เจ็บนะครับ" อาร์ตหันมาโวยเสียงไม่จริงจัง
ถึงจะโดนทำร้ายร่างกายบ่อยแค่ไหน สองคนก็ไม่เคยโกรธเจ้านายเลยสักครั้ง อาจเพราะครั้งหนึ่งเมื่อพวกเขาติดยาเสพติด ชายหนุ่มผู้นี้ไปฉุดให้ขึ้นจากขุมนรกแล้วสอนงานในไร่ จึงทำให้โอ้กับอาร์ตนับถือพณณกรเสียยิ่งกว่าพ่อแม่อีก
"รำคาญ พวกมึงไปให้พ้นหน้ากูเลยนะ ไม่อย่างนั้นจะเจอยิ่งกว่าถีบ" ชี้หน้าแล้วดุเสียงเข้มก่อนหันไปเริ่มทำงานโดยการผสมอาหารให้ม้าพันธุ์ดีที่ไปแข่งวิ่งข้ามสิ่งกีดขวางจนได้รางวัลมาให้คนเป็นนายเชยชม เสร็จจากคอกม้าก็มุ่งสู่คอกวัวตักอาหารลงรางพร้อมทั้งอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้มัน
งานทางฟาร์มมีมากพอกับไร่รุ่งอรุณแต่จำนวนคนงานค่อนข้างน้อยเนื่องจากสัตวแพทย์หนุ่มคุมทุกอย่าง ใครที่เกียจคร้านหรือทำงานพอเอาหน้า เขาไล่ตะเพิดออกหมด เคยมีผู้หญิงมาลองดีก็เจอคำด่าไปเป็นกระบุง จนต้องร้องไห้เดินออกมาทั้งน้ำตา ไม่กล้าจะเหยียบย่างมาที่ฟาร์มสายรุ้งอีกเลย
ใครก็ว่านายหล่อแต่ปากหมา ผู้หญิงคนไหนได้ไปซวยทั้งชาติ..และบุลลาคือคนนั้น
"ไม่บอกนายแบบนี้จะดีเหรอบัว" ขณะที่มาถึงโรงแรมหรูของอำเภอ นุ่มนิ่มก็หันไปถามด้วยความกังวล กิตติศัพท์ความร้ายของพณณกรเป็นที่เลื่องลือจนอดกลัวไม่ได้ว่าเพื่อนจะโดนหนักแค่ไหน
"ดีสิ ขืนบอกไปฉันคงไม่ได้ทำงานหรอก" ไม่ใช่ว่าไม่กลัวเขาแต่เพราะอำนาจเงินมันหอมหวานกว่าบุลลาจึงตัดสินใจจะปิดบังแล้วมุ่งหาเงินใช้หนี้ธนาคาร บางเรื่องถ้าบอกแล้วทำให้ทะเลาะกันจนเสียการเสียงานก็ควรเก็บเงียบเอาไว้อาจดีต่อทั้งสองฝ่าย
"สวัสดีค่ะเสี่ยกรรชัย "ก่อนจะได้พูดอะไรกันมากกว่านี้ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของเสี่ยกรรชัยผู้เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้เดินมาเสียก่อน ร่างบางจึงรีบยกมือขึ้นไหว้มองผู้มีพระคุณด้วยความซาบซึ้ง
"มากันเร็วดีนะ เดี๋ยวฉันจะพาพวกเธอเข้าไปคุยรายละเอียดแล้วก็เริ่มงานวันนี้ ดีไหม"
สองสาวพยักหน้าพร้อมกันเดินตามเสี่ยใหญ่เข้าไปในโรงแรมโดยมีสายตาของฟ้ามุ่ยมองตามพลางนึกสงสัย
"จอดก่อนๆ" สาวร่างอวบที่ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่สำนักงานไร่บอกวินมอเตอร์ไซค์ให้จอดหน้าโรงแรมชื่อดังของอำเภอ เห็นแผ่นหลังคุ้นเคยของบุลลา โดยสายตาไม่สังเกตนุ่มนิ่มที่อยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยสักนิด ข้างกันนั้นมีผู้ชายร่างสูงเดินแนบชิดราวจะติดเป็นเนื้อเดียวกัน
หรือว่าจะเป็นชู้..
แค่คิดริมฝีปากก็แต้มยิ้ม ถ้าพณณกรรู้เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ขาเตียงคงได้หักก็คราวนี้แหละ
"เข้ามาก่อนสิ" ห้องทำงานที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมถูกเปิดต้อนรับทั้งสองทำเอาต้องมองด้วยความตกตะลึง
ชายหนุ่มเนรมิตชั้นนี้ให้เป็นที่พักอาศัยของตนโดยมีทั้งห้องนอน ห้องทำงาน ห้องออกกำลังกายและห้องภาพยนตร์ ความหรูหราสมฐานะสร้างความตื่นเต้นแก่บุลลายิ่งนัก
ภายในห้องทำงานมีเอกสารวางบนชั้นอย่างเป็นระเบียบโดยเรียงตามตัวอักษร โต๊ะไม้สีดำเงางามตัวใหญ่ตั้งไว้กลางห้องโดยผนังเป็นกระจกทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของอำเภอที่มีภูเขาซ้อนกันบนยอดถูกเมฆปกคลุมเอาไว้สวยจับตา จนต้องเดินไปยืนมองก่อนรีบหันมาขอโทษเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำเป็นการเสียมารยาท
"ดูก่อนก็ได้ มันสวยใช่ไหมล่ะ" เหมือนนุ่มนิ่มกลายเป็นส่วนเกินสำหรับสองคนเพราะสายตาของเสี่ยใหญ่เอาแต่มองใบหน้าหวานของคนตัวเล็ก
"ค่ะ สวยมากเลย"
ห้องที่กว้างปูด้วยพื้นพรมด้านขวามีโซฟารูปตัวแอลวางตั้งเอาไว้ยังไม่สามารถลดทอนความใหญ่โตของห้องนี้ได้ เคยนึกฝันว่าจะมีเพนท์เฮาส์หรูหราเป็นของตนเองบ้างแต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นในเมื่อชีวิตของเธอไม่สามารถเอื้อมถึงได้
ฟ้าคงลิขิตไว้แล้วและคนอย่างบุลลาก็ไม่สามารถขัดบัญชาสวรรค์ได้เสียด้วย
"อะ ขอโทษค่ะ" ประตูห้องถูกเปิดออกก่อนสาวใช้จะพยายามปิด ทว่าช้ากว่าเจ้าของห้องที่เดินไปจับประตูไม้หนาเอาไว้แล้วดึงข้อมือเล็กให้เข้ามาภายในห้อง บุลลาและนุ่มนิ่มหันไปมองคนมาใหม่แล้วนึกชื่นชมในความสวยของอีกฝ่าย ถึงจะอยู่ในชุดแม่บ้านที่เป็นเดรสแขนตุ๊กตาสีดำกระโปรงฟูฟ่องยาวเท่าเข่าก็น่ารักจับใจไม่เหมือนแม่บ้านสักนิด
"ฉันว่าตรงนั้นยังไม่สะอาดนะ เข้าไปทำใหม่" แววตาที่เคยอ่อนโยนดุดันขึ้นจนแม่บ้านสาวตัวสั่นเดินไปยังโซฟาสีเบจแล้วเริ่มทำความสะอาดอีกครั้ง "ผมว่าเราเอาตามสัญญาเก่าของที่ร้านก็ได้ครับ ส่วนเวลาเลิกงานก็ห้าทุ่มไม่มีเลทไปกว่านี้ เรื่องเงินเดือนฉันให้หมื่นห้าไม่รวมทิป หยุดงานได้หนึ่งวันตกลงกันนะครับว่าจะหยุดวันไหนแล้วค่อยมาบอกฉัน" รวบรัดอย่างรวดเร็วทำเอาสองสาวมองหน้ากัน
..ถ้าเขาจะพูดปากเปล่า แล้วจะพาพวกเธอขึ้นมาชั้นบนเพื่ออะไร
ร่างสูงเดินไปหาบุลลาพร้อมแตะเข้าที่เอวบาง ดึงเข้ามาใกล้ตัวเล็กน้อย
"คุณหายตกใจหรือยังครับ"ถามเสียงเบาพร้อมโน้มเข้ามากระซิบที่ข้างหู
"เอ่อ ค่ะ ดีแล้วค่ะ" ขืนตัวออกเล็กน้อย นอกจากสามีแล้วหล่อนก็ไม่สนิทใจจะให้ใครใกล้ชิดจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับการกระทำของเสี่ยกรรชัย
นุ่มนิ่มมองทั้งสองอย่างเลิ่กลั่กอยากเข้าไปช่วยบุลลาก็ไม่กล้าเพราะอีกฝ่ายเป็นนายจ้างจนกระทั่งร่างสูงยอมปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระเพราะได้ยินเสียงแจกันแตก
เพล้ง
"ขอโทษค่ะ ดิฉันจะรีบเก็บให้นะคะ" สาวใช้ก้มลงไปหวังเก็บเศษแก้วที่แตกจนโดนบาดเข้าที่มือเนื่องจากไม่ระมัดระวัง ดวงตากลมโตมีน้ำใสคลอต้องพยายามอดกลั้นไม่ให้มันไหล
"ซุ่มซ่ามจริงๆ ออกไปให้พ้นหน้าฉัน" ขึ้นเสียงเล็กน้อย
แต่นั่นก็ทำเอาผู้หญิงทั้งสามคนที่อยู่ในห้องสะดุ้งไปตามกัน
"ค่ะ" หล่อนก้มหน้ารับคำ กำมือตนเองแน่นไม่ให้เขาเห็นว่าเลือดไหลแล้วรีบเดินออกไปพร้อมหัวใจที่เจ็บปวด
เสี่ยกรรชัยมองตามเพียงครู่แล้วหันมาบอกให้พวกเธอลงไปทำงานได้เพราะใกล้เวลาเข้างานแล้วพร้อมจัดการเรื่องชุดใหม่โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อเอง
เมื่อทุกคนออกไปทั้งห้องก็เหลือเพียงเสี่ยหนุ่มซึ่งเดินไปนั่งลงบนโซฟายาวยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ แล้วหยิบโทรศัพท์ของบุลลาออกมาจากกระเป๋ากางเกง สายเรียกเข้านับสิบที่ขึ้นชื่อว่า 'หมอหมา' เขาเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร
..แต่ถ้าเปิดเผยตัวตอนนี้ทุกอย่างก็ไม่สนุกน่ะสิ
รอเวลาอีกสักหน่อยแล้วกัน ให้สาสมกับที่มันแย่งผู้หญิงของเขาไป ถึงแม้ว่าเธอคนนั้นจะเป็นเพียงแค่คนขัดดอกที่ตนไม่ต้องการก็ตาม!
งานวันแรกดำเนินไปด้วยดีและเมื่อถึงห้าทุ่มบุลลาก็บอกให้เพื่อนไปส่งที่ร้านอาหารเดิมที่เคยทำงานต้องรอพณณกรไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ ทว่ายังไม่ทันจะได้ออกไปไหนร่างสูงของเสี่ยกรรชัยก็เดินมาดักทางเอาไว้เสียก่อน สร้างความขัดใจแก่หล่อนยิ่งนักแต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า
"เป็นอย่างไรบ้างงานวันแรก" ถึงแม้จะเป็นเวลาดึกทว่าเจ้าของโรงแรมกลับอยู่ในชุดสูทเต็มยศเหมือนเดิม
จนอดคิดไม่ได้ว่า
..เขาคงจะนอนทั้งอย่างนี้
"ดีค่ะ" ตอบน้อยคำทั้งที่จริงเธออยากจะบอกว่ามันดีกว่าร้านอาหารมากเหลือเกิน ลูกค้าก็มีมารยาทไม่ได้เล้าโลมเธอทางสายตา งานก็ไม่หนักมีเพียงเสิร์ฟอาหาร รับรายการ เก็บโต๊ะยกมือขอบคุณพร้อมรอยยิ้มหวานเท่านั้น งานง่ายแถมได้เงินเยอะอีก
"เห็นอย่างนี้ก็เบาใจ พวกเธอไม่ต้องกังวลเรื่องพนักงานชายนะส่วนมากคัดนิสัยด้วย ไม่มีเหมือนที่เดิมหรอก" บอกให้สบายใจก่อนหันไปมองนุ่มนิ่มที่ขยับตัวไปมา
"เป็นอะไรนิ่ม" บุลลาถามเพื่อน
"มันดึกแล้วฉันกลัวถึงบ้านค่ำ เรากลับกันเถอะ"
ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเธอจึงต้องหันมาหาเสี่ยกรรชัย
"พวกเราต้องกลับแล้วค่ะ ถ้ามืดกว่านี้กลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบวันนั้นอีก" เขาพยักหน้าเข้าใจไม่ได้รั้งปล่อยให้สองสาวเดินไปที่รถก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของบุลลาออกมา
"ว้า ลืมเลยว่าต้องเอาคืน จะทำยังไงดีล่ะ.." พึมพำเสียงเบาทั้งที่ภายในหัวคิดถึงแผนร้าย ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนก็เห็นร่างเล็กในครรลองสายตาก่อนเขาจึงเดินตรงไปหาผู้หญิงที่ถูกตราว่าตัวขัดดอกทันทีคว้าข้อมือเล็กเอาไว้จนร่างนั้นปลิวมากระทบแผงอก "ค่ำมืดแล้วจะไปไหน เดินอ่อยผู้ชายไปทั่วถ้าท้องไม่มีพ่อจะทำยังไง"
วาจาแสนร้ายกาจออกมาจากปากของชายที่เคยนึกชื่นชม แววตาเศร้าเงยขึ้นสบตาเขาพยายามขืนตัวออกมาเพื่อให้มีช่องว่างระหว่างกันแม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี
"แก้วแค่จะไปมินิมาร์ทค่ะ"
"หึ นัดใครเอาไว้อีกล่ะ หรือจะกลับไปคั่วกับไอ้เอิร์ธอีกแต่เสียใจด้วยนะ เธอคงไม่รู้ว่ามันมีเมียแล้ว ถ้าไปอยู่กับมันก็คงเป็นได้แค่เมียน้อย"
คนพูดไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าความสะใจและอยากเห็นผู้หญิงตรงหน้าเจ็บปวดอย่างที่เขาเคยรู้สึกบ้าง แต่เธอกลับนิ่งเฉยดุจน้ำแข็งทั้งที่หัวใจกำลังร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่มองไม่เห็น
"ไม่ได้นัดใครค่ะ และเรื่องคุณเอิร์ธแก้วก็รับรู้แล้วก็ยินดีกับเขาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น คุณจะปล่อยได้หรือยังคะ" ตอบเสียงอ่อนพยายามใจเย็นไม่สติแตกเหมือนที่ผ่านมา การอยู่กับกรรชัยทำให้รู้ว่าหากร้อนเข้าใส่ ก็จะมีแต่ความย่อยยับเหมือนที่เคยพานพบ ลองเอาน้ำเย็นเข้าลูบทุกอย่างอาจจะดีขึ้น
เพื่อให้ผ่านพ้นไปแต่ละวันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน..และอีกไม่นานจะได้หลุดพ้นจากเขาเสียที
"จะไปไหนก็ไป ฉันไม่ได้อยากเห็นหน้าเธอเท่าไหร่หรอก" จ้องดวงตากลมโตก็ผลักหล่อนออกห่างกายแล้วค่อยเดินออกไปจากโรงแรม
ปล่อยให้น้ำตาของหญิงสาวไหลช้าๆ
อดทนไว้ อีกไม่นานหรอกลูกแก้ว อีกไม่นาน..
บุลลากำลังรอสามีของตนอยู่ร้านเดิมทั้งที่คนภายในร้านยังอยู่เต็ม หล่อนเริ่มร้อนรนกลัวเขาจะรู้ความจริง คำแก้ตัวจึงผุดขึ้นมากระทั่งรถยนต์คุ้นตาแล่นมาจอดที่เดิมพร้อมทั้งร่างสูงซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนเดินลงมามองเข้าไปภายในร้านก่อนขมวดคิ้ว
"ทำไมร้านยังเปิดอยู่ล่ะ"
ร่างบางยิ้มให้แล้วเดินไปกอดแขนหนา
"เขากำลังจะปิดแล้วล่ะ พอดีฉันได้เปลี่ยนกะหยุดเร็วกว่าเดิม เคยบอกไปแล้วนะนายจำไม่ได้เหรอ"หล่อนเปลี่ยนให้สถานการณ์กลายเป็นชายหนุ่มผิดก่อนปล่อยแขนออกแล้วเดินหน้านิ่งเข้าไปนั่งรอในรถใจเต้นตุ้มต่อมกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อในคำโกหก
"ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลย แล้ว..หิวข้าวไหม แวะกินอะไรก่อนดีไหม"
ถึงจะไม่ได้น้ำเสียงหวานแต่ก็รับรู้ได้ว่าร่างสูงกำลังง้ออยู่สร้างรอยยิ้มให้แก่คนตัวเล็ก
"หิว แต่กลับไปกินที่บ้านดีกว่า"
สัตวแพทย์หนุ่มไม่ขัด ลืมเรื่องบาดหมางเมื่อเช้าไปจนหมดแค่ได้เห็นแววตาเหนื่อยล้าของหญิงสาวจนนึกสงสาร เขาจะใจแข็งไปได้อีกสักแค่ไหนเพราะเพียงเห็นภรรยาตรากตรำทำงานก็นึกอยากโอนเงินทั้งหมดเขาบัญชีเธอเสียแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ยังไม่ทันจะได้ออกรถ กระจกฝั่งเบาะข้างคนขับก็ถูกเคาะจนทั้งสองหันไปมอง ถึงภายในจะมืดแต่ข้างนอกที่เปิดไฟจนสว่างทำให้เห็นใบหน้าคมของผู้มาเยือน
สัตวแพทย์หนุ่มกัดฟันแน่นเปิดประตูรถลงไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่ได้มาด้วยความไม่ตั้งใจ ขณะที่บุลลาก็หน้าซีดค่อยเปิดประตูอย่างเชื่องช้า
วินาทีนั้นเธอรับรู้ได้ถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
๑๑เราไม่เข้าใจกันเสี่ยหนุ่มยืนส่งยิ้มให้บุลลาที่ออกจากรถแล้วพยายามหลบสายตาที่กำลังมองมา บรรยากาศที่เคยโอบล้อมไปด้วยความสุขก็ถูกทำลายทันทีเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาและดูท่าจะเป็นคนก่อพายุลูกโตอีกเสียด้วยร่างสูงของหนุ่มชาวไร่เดินมาหยุดข้างภรรยาดึงให้หล่อนไปหลบข้างหลังตนเอง"เราจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับคุณเอิร์ธ"คำพูดแสนสุภาพถูกปั้นแต่งจนคนฟังแสยะยิ้มเพราะรู้สึกระคายหู"กูไม่ได้สนิทกับมึงจนต้องทักทาย"ถึงอายุจะห่างกันเกือบรอบแต่พณณกรกลับไม่เคารพผู้ชายตรงหน้าแม้แต่น้อย ใครจะไปอยากเสวนาคนที่ส่งลูกน้องมาซ้อมเขาเกือบตายพอไปแจ้งความมันดันรอดและทางตำรวจก็จับแพะเข้ากรงขังแทนคนที่บัญชาการอยู่เบื้องหลังเจ็บใจจนต้องเอาคืนด้วยการจับผู้หญิงของมันมาขังไว้อีกรอบ"ดีเหมือนกันเพราะผมก็ไม่ได้มาทักทายคุณ คนที่ผมมาหาคือบัวต่างหาก"เขาเบนสายตาไปจ้องมองผู้หญิงที่หลบอยู่ข้างหลังสามีพลางส่งแววตาหวานให้อย่างไม่ปิดบังทำเอาเลือดร้อนขึ้นหน้าสัตวแพทย์หนุ่มจนต้องกำมือเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไรและที่สำคัญไปกว่านั้นคือรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว.."บัวลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านครับผมเลยเก็บมาคืนให
๑๒นิรันดรไม่มีอยู่จริงเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจจะคุยกับบุลลาให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดใจกันอีกครั้ง ผละออกจากร่างเล็กแล้วมองใบหน้าหวานที่มีคราบน้ำตาก็ยกมือขึ้นเช็ดให้อย่างแผ่วเบา ดวงหน้าคมคลายความกังวลเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขลงไปบ้างแล้ว"นายห้ามทำแบบนั้นอีกนะ ถึงจะโกรธกันแค่ไหนแต่อย่าใช้กำลังบังคับนะ"ภาพเหตุการณ์วันนั้นยังตามมาหลอกหลอน หากพณณกรใช้กำลังกับเธอจริงไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังให้อภัยเขาหรือเปล่า การร่วมรักควรเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ"ไม่ทำอีกแล้ว"ลูบศีรษะเล็กก่อนจะยิ้มให้เพียงเล็กน้อยแต่กลับส่งผลให้อุ่นไปทั่วหัวใจ"ส่วนเธอก็ไปลาออกจากที่ทำงานซะ"สิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นจริงเมื่อร่างสูงพูดกึ่งบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้สวยและรายได้ดี ใบหน้าหวานนิ่งไปอย่างใช้ความคิด หากเธอตัดสินใจทำตามที่ชายหนุ่มบอกแต่ละเดือนก็แทบไม่มีเงินใช้หนี้ด้วยซ้ำ ทว่าถ้าไม่ทำก็จะมีแต่ปัญหาระหว่างกันตามมาไม่จบสิ้นควรเลือกทางไหนดี"ฉันมีหนี้ต้องใช้อีกเป็นแสนเลยนะ ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา"ยอมเอ่ยเรื่องที่ปกปิดเอาไว้เพราะอับอายแต่
๑๓รุนแรงสัตวแพทย์สาวสวยเดินออกจากคลินิกของตนเองเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งหลังหมดเวลาตรวจ ใบหน้าหวานมีแววครุ่นคิดตลอดการเดินทางกลับบ้านเนื่องจากมีคนมาเล่าให้ฟังว่าพบพณณกรเดินควงกับผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่จตุจักรเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาจึงทำให้จิตใจของหล่อนว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็นไม่มีทางที่ร่างสูงจะมาเมืองหลวงแล้วไม่โทรบอกเธอแน่ บางทีคนนั้นอาจตาฝาดทว่าเมื่อโทรศัพท์ไปหวังถามไถ่ก็ไม่มีการตอบรับจากชายที่เธอแอบรัก เพียรกดกว่ายี่สิบสายก็เหมือนเดิมยิ่งคิดมือก็สั่นเพราะความกลัวเริ่มคืบคลานมาช้าๆ ถ้าเขามีคนอื่นเธอจะทำอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาพณณกรอยู่ตัวคนเดียว อาจมีบางครั้งที่นอนกับคนอื่น ทว่ามันก็แค่ชั่วคราว ไม่ได้จริงจังถึงขั้นลงหลักปักฐาน แล้วคนนี้จะเหมือนกันไหมทำไมถึงพาไปเดินจตุจักรทั้งที่ปกติหากมาบ้านเกิด ถ้าเธอไม่ชวนเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่คอนโดหรือไม่ก็ทำธุระเกี่ยวกับไร่เท่านั้น ไหนจะครั้งที่เห็นอีกฝ่ายซื้อสร้อยคอโดยอ้างว่าเพื่อนฝากซื้อ คิดแล้วก็รู้สึกหายใจไม่ออก ต้องทุบที่อกหวังระบายความอึดอัดที่เหมือนมีหมอกมาคลุมทั่วรถ"ฮัลโหลธี ว่างคุยหรือเปล่า" ในเมื่อติดต่อคนเป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องเจ็บปวดไม่ได
๑๔ฉันสู้อะไรได้ร่างบางพยายามกรีดร้องสุดเสียงหวังให้มีคนช่วยจากเหตุการณ์ตรงหน้าหรือไม่มันอาจดังเข้าไปข้างในใจของชายคนรักซึ่งกำลังจะทำร้ายกันใบหน้าคมจัดการปิดปากเล็กด้วยริมฝีปากของตนเองดูดดึงอย่างรุนแรงเอาแต่ใจในขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนไปฉีกทึ้งเสื้อของหล่อนด้วยมือเพียงข้างเดียวจนมันขาดจากแรงดึงเมฆสีดำปกคลุมทั่วเรือนหลังเล็กเจ้าตูบซึ่งได้ยินเสียงนายของมันร้องก็เห่าพลางตะกุยประตูหวังเปิดเข้าไปช่วยแต่ก็ไร้ผลพณณกรเหมือนซาตานร้ายที่ไม่สนใจจะฟังความใดทั้งสิ้นภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของบุลลาและเสี่ยกรรชัยบอกทุกอย่างแล้วเขาไม่อยากเป็นไอ้งั่งโดนสวมเขาอีก เงินหลายแสนที่เสียให้เธอจะต้องไม่หายเปล่า อย่างน้อยก็ขอเล่นกับเรือนร่างบอบบางจนสาแก่ใจ"อย่าทำบัวเลยนะคะพี่เอิร์ธ"ร้องไห้เสียงสะอื้นแล้วพยายามห้ามเขาทว่ามันไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของร่างสูงที่ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก"ฉันจะทำให้มากกว่าที่ไอ้เสี่ยนั่นทำ จำฉันเอาไว้นะบัว จำไว้อย่าลืม"เน้นย้ำก่อนซุกลงที่ทรวงอกนุ่มผละมือที่เคยพันธนาการหล่อนให้เป็นอิสระก่อนจะขย้ำตามร่างขาวผ่องจนเกิดรอยแดงถึงแม้จะมีการขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล แรงอารมณ์บอกก
๑๕ความแตกต่างหลายวันผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของสามีแต่เรื่องของเขายังเข้าหูเธอตลอดเวลา และบุคคลที่คาบข่าวมาบอกคือผู้หวังดีประสงค์ร้ายอย่างฟ้ามุ่ยซึ่งต้องการเห็นความย่อยยับของคู่อริ สาวร่างอวบละจากงานแม่บ้านมานั่งคุยกับป้าที่อยู่ไร่พืชผักขณะที่กำลังคัดแยกพืชพันธุ์“ตอนเช้าฉันเห็นคุณเอิร์ธลุกมาวิ่งกับคุณหนึ่ง โอ๊ย ยืนข้างกันแล้วเหมาะสมเหลือเกินป้า เหมือนกิ่งทองใบหยก”พูดเสียงดังหวังให้ประโยคนี้ไปเข้าหูของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของสัตวแพทย์สุดหล่อแห่งฟาร์มสายรุ้ง“อ้าว เขาจะไปด้วยกันได้ยังไง คุณเอิร์ธนอนที่ไหน”บุลลาทำนิ่งเฉยทั้งที่ใจสั่นไหวไม่อาจหักห้ามได้“เขาก็นอนที่บ้านคุณธีสิ เอ๊ะ แต่คุณหนึ่งก็นอนที่บ้านคุณธีนะ หรือว่าเขาจะนอนด้วยกัน”ว่าจบก็ปรบมือดีใจยกใหญ่ทำให้บานเย็นที่ทนนั่งฟังมานานต้องลุกขึ้นยืนชี้หน้าสาวรุ่นลูกอย่างโกรธเคือง“เอ็งไม่มีการมีงานทำเหรอนังฟ้ามาเม้าเรื่องเจ้านายอยู่ได้ ข้าจะฟ้องคุณดนัยให้หักเงินเดือนเอ็ง”ตะโกนก้องนึกแค้นใจเมื่ออีกฝ่ายกัดไม่ปล่อยจนแม่บ้านอายุน้อยต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้แต่เมื่อมองใบหน้าซึมเศร้าของร่างบางก็ยิ้มสมใจ“ไปก็ได้ป้า ไม่อยู่กวนแล้วจ้า”พาร่า
๑๖สิ่งที่กำลังจะเกิดไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ก็พบว่านุ่มนิ่มวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโอบกอดเอาไว้และไออุ่นจากเพื่อนก็ทำให้น้ำตาที่เคยหยุดไหลออกมาอีกครั้ง แล้วกอดตอบพลางสะอื้นจนตัวโยนเป็นที่น่าเวทนาแก่คนพบเห็นยิ่งนัก"เกิดอะไรขึ้นบัว" เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายได้ร้องไห้จนพอใจ หล่อนโทรศัพท์มาหาก็ไม่มีการตอบรับ ด้วยความเป็นห่วงจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมแต่กลับได้ความว่าบุลลาโดนพณณกรลากตัวกลับบ้านยิ่งมาเห็นสภาพก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงทะเลาะกัน"เขาไม่เคยรักฉันเลยนิ่ม เขาทิ้งฉันไปแล้ว ฮึก ฉันจะทำยังไงดี"คนไม่เคยมีความรักก็จนปัญญาจะตอบ ทำได้เพียงลูบหลังปลอบปะโลมให้คลายจากอาการเศร้าลงบ้าง"เขาไม่เคยเชื่อฉันเลย หาว่าฉันเป็นปลิงดูดเงินเขา ฮือ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่มีอะไรกับเสี่ยด้วย ทะ ทำไมเขาไม่เชื่อกันบ้าง" ระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาหมด ภายในหัวมีแต่ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น ซ้ำจิตใจยังโดนย่ำยีจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของผู้ชายเพียงคนเดียวความรักที่เคยคิดว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้ายแต่กลับไม่เป็นอย
๑๗พร้อมจะไปบุลลารีบเก็บของทุกอย่างแล้วซ่อนไว้ภายในห้องนอนตนเอง พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ตกเย็นก็ช่วยมารดาทำอาหาร ไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว จากที่จะอธิบายความจริงกับเขาก็ปิดตายความคิดนั้นทันที ในเมื่อเขาไม่เห็นค่า ทำไมจะต้องไปลดคุณค่าตนเองง้อก่อนด้วยส่วนเรื่องลูก..คงต้องดูก่อนว่าควรจะบอกดีหรือไม่ในเมื่อทางข้างหน้าเหมือนจะลงเหว เธอยังจะพาตนเองไปอยู่ที่ตรงนั้นอีกหรือ คิดสะระตะ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นชื่อของนุ่มนิ่มโชว์จึงออกไปรับพูดคุยเพียงเล็กน้อยไม่ได้เจาะจงรายละเอียดมากนักหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็รีบเข้าห้องเพื่อวางแผนในการหาเงิน การมีลูกค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงลำพังเงินเดือนไม่กี่พันคงไม่พอใช้และถึงจะเอาเงินเดือนของพณณกรมารวมด้วยก็ไม่แน่ใจว่าสามารถใช้จ่ายเพียงพอในหนึ่งเดือน การลาออกจากพนักงานเสิร์ฟไม่ใช่ทางดีสักนิดในเมื่องานนั้นให้เงินดีไม่แน่ถ้าเธอขยันจนได้เลื่อนตำแหน่งอาจมีเงินเดือนหลายหมื่นแต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหนสุดแท้แต่จะคาดเดา คงต้องใช้ความพยายามเข้าช่วย กว่าคืนนั้นจะผ่านไปบุลลาก็ใช้เวลากว่าค่อนคืนเพื่อวาดแผนอนาคตของตนและเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดยามเ
๑๘เส้นขนานมันไม่ง่ายสักนิดที่ต้องมองคนคนรักไปกับผู้หญิงคนอื่น หัวใจเหมือนโดนพรากไปพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาทันที อาบใบหน้าจนเปรอะเปื้อน ไม่เคยคิดว่าตนเองจะโดนทิ้งในวันที่เริ่มตั้งครรภ์ อยากเอ่ยปากบอกเขาทุกอย่าง แต่เพราะทิฐิทำให้จำเงียบเอาไว้ถึงจะรั้งไว้แค่ไหนถ้าเลือกจะไป เขาก็ทิ้งหล่อนอยู่ดีอย่าทำอะไรให้ตนเองต้องอับอายไปมากกว่านี้เลย แค่เกาะเขากินทั้งยังให้ใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อก็หน้าอายเกินทนแล้ว เขาดูถูกจนไม่เหลือศักดิ์ศรีให้ภาคภูมิใจ พอได้แล้วบัว..เขาไม่ใช่ผู้ชายเธออีกต่อไปแล้วเย็นวันนั้นบุลลาบอกแม่ว่าตนเองจะหย่าและบานเย็นก็ไม่ได้คัดค้านลูก ทำเพียงกอดปลอบบุตรสาวทั้งยังเอ่ยขอโทษที่ทำให้ชีวิตของบุลลายุ่งยาก หากนางไม่ขอให้รับผิดชอบ งานแต่งก็คงไม่เกิดบางทีบัวอาจได้ใช้ชีวิตปกติและข่าวลืออาจซาไปเอง ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งหมด"แม่ขอโทษนะบัว แม่ผิดเอง"ใบหน้าหวานส่ายเป็นพัลวันแล้วกอดมารดาเอาไว้แน่น"แม่ไม่ผิด บัวมันไม่ดีเองที่หาเหาใส่หัว อยากได้ผัวรวยจนตัวสั่น สุดท้ายก็โดนเขาทิ้ง" สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของบานเย็นจนบุรณีที่มองอยู่ห่างๆ เริ่มเบะปาก ค่อยเขยิบมากอดพี่สาวจากทางด้านหลัง"พี่บัวมี
ตอนพิเศษ...พี่ตะวันกับน้องกระต่าย กำหนดการงานแต่งของลูกสาวเจ้าของไร่มีขึ้นสองเดือนข้างหน้า หล่อนตื่นเต้นยกใหญ่เตรียมงานแต่เนิ่นโดยมีมารดาคอยให้คำแนะนำ ต่างจากบิดาที่มักพูดว่าถ้ามันยากมากก็ไม่ต้องแต่งหรอกลูก พ่อไม่ได้อับอายสักนิดถ้าจะยกเลิก ทำเอาทั้งลูกทั้งแม่ต้องเล่นงานคนเป็นพ่อจนแทบไม่สามารถเข้าบ้านได้ ภูตะวันออกมาทำงานแต่เช้า เห็นว่าวันนี้มีกองละครมาถ่ายทำที่ไร่ ระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ จึงได้จองทั้งไร่รุ่งอรุณและรีสอร์ทของไร่ที่สร้างมาสิบกว่าปี เป็นบ้านหลังเล็กอยู่ได้ประมาณสี่ถึงห้าคน ยาวเรียงกันกว่าสิบหลังทำให้เพียงพอต่อความต้องการ ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อม่อฮ่อมและกางเกงขาดเข่า หมวกสานปีกกว้างป้องกันใบหน้าคมจากแดดทำเอาคนมองแทบไม่รู้ว่าเป็นลูกชายเจ้าของไร่ที่จะมารับกิจการต่อจากบิดา การต้อนรับคนจากข้างนอกไม่ใช่งานของตนเองอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจคนที่มาจากกองละครมากนัก ช่วงนี้ส้มกำลังออกผลเต็มต้นต้องเร่งตัดส่ง ส่วนมากจะวางขายในห้างสรรพสินค้าและส่งออกต่างประเทศ มีขายหน้าไร่บ้างและก็นำไปแปรรูป จะไม่มีผลไม้ตกค้างในสวนให้เน่าทิ้งหรือเสียเปล่า
ตอนพิเศษ...ตะวันและหนูจันทร์เสริมทัพด้วยคีรินทร์ เอกสารขออนุญาตถ่ายละครที่ไร่รุ่งอรุณถูกยื่นให้ร่างสูงซึ่งก้าวเข้ามาในสำนักงาน มือหนาคว้าไปอ่านอย่างละเอียดค่อยจรดปลายปากกาลงไปแล้วส่งกลับพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาสาวเจ้าเขินม้วนไม่ชินกับความอบอุ่นที่ลูกชายเจ้าของไร่มอบให้สักที ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน ช่างแตกต่างจากคนเป็นพ่อเหลือเกิน ราวกับว่าได้ลุงธีมาเต็มๆ เสียแต่ว่าการแต่งตัวที่ออกจะมอซอไปสักเล็กน้อย หากเป็นคนนอกก็คงคิดว่าชายหนุ่มคือคนงานทั่วไป ไม่ใช่ทายาทเจ้าของไร่แสนใหญ่โตแห่งนี้ เดินไปหยิบเอกสารสำหรับจัดงานฉลองประจำปีของไร่ เขาต้องไปพูดคุยกับนายอำเภอ ทั้งไปหาเกษตรอำเภอสอบถามเกี่ยวกับการปลูกผลไม้เมืองหนาวทั้งที่อากาศจังหวัดนี้ร้อนแทบทั้งปี “พี่ตะวัน!” สะดุ้งเมื่อมีมือมาจับที่ไหล่พร้อมตะโกนเสียงดังข้างหู พอหันไปก็พบน้องชายตัวแสบที่ยิ้มหน้าแป้นแล้น ภูตะวัน วิจิตรประภา ชายหนุ่มรูปงามแห่งไร่รุ่งอรุณ ใบหน้าคมคายได้พ่อมาเต็มๆ ส่วนนิสัยนั้นอ่อนโยนจนคนงานผู้หญิงพากันทอดสะพานให้เต็มที่ หวังเป็นนายหญิงของไร่แห่งนี้ โดนขายขนมจีบไม่เว้นวันก
พิเศษ...ไปรยา ชนาธิปความรักสำหรับคนอื่นคือใครเขาไม่รู้ แต่สำหรับผู้ชายที่ไม่เคยมีใครมองจนได้เพียงแค่หวังว่าวันหนึ่งจะมีผู้หญิงมองเห็นตัวเองบ้าง และวันที่เข้ากิจกรรมของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ครั้งแรกหัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นร่างบางเดินผ่านวินาทีนั้นเหมือนมีแสงสว่างส่องไปทั่วร่างของเธอจนสายตาเขาพร่าไปหมด ออร่าที่แสบตาจนไม่อาจมองได้ต้องหันหน้าไปทางอื่น พลันหล่อนกลับเดินมานั่งข้างเขาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง“สวัสดี อืม ชื่อฟลุ๊คเหรอ เราหนึ่งนะ” ใบหน้าหวานก้มมองป้ายชื่อของเขาแล้วส่งยิ้มทักทาย“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หลังจากนั้นเธอก็หันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นปล่อยเขาแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว และสังเกตเห็นว่าดวงตากลมโตมักจะชอบวนเวียนอยู่ที่ผู้ชายมาใหม่คนหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอและเป็นชายซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เป็นที่หมายปองของหญิงสาวคนอื่นพณณกร วิจิตรประภาทายาทตระกูลดัง นอกจากจะหน้าตาดียังฐานะร่ำรวยอีกต่างหาก เขาได้แต่เก็บความอิจฉาไว้ภายในใจเฝ้ามองไปรยาที่แอบรักข้างเดียวด้วยความเสียใจ อยากจะเข้าไปปลอบยามหญิงสาวร้องไห้ก็ไม่กล้าจนกระทั่งฟ้าเป็นใจงานเลี้ยงสายรหัส
๗หลังจากที่ผ่านค่ำคืนแสนหวานคู่สามีภรรยาก็นอนกอดกันอยู่ภายในมุ้ง แขนแกร่งกระชับเอวบางจนแผ่นหลังเธอชิดอกเขา ดมความหอมจากกลุ่มผมนุ่มสลวยก่อนที่บุลลาจะพลิกตัวมาเพื่อซบใบหน้าที่แผงอกหนาพร้อมพรมจูบไปทั่วและนั่นทำให้สัญชาตญาณเสือร้ายผุดออกมาทันที เขาขึ้นคร่อมเธอเอาไว้จับกดพร้อมกับพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นผืนน้ำ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่ชายหญิงคู่นี้กลับผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่ยอมแพ้กันและกันไม่บ่อยนักที่จะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ปลดปล่อยอารมณ์โดยไม่ต้องกลัวลูกได้ยินหรือตื่นตอนดึก พวกเขาทำตามใจปรารถนาไม่สนว่าใครจะได้ยินหรือไม่ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้เก็บเสียง ยิ่งเมื่อคืนที่พณณกรโยกตัวจนเตียงเกือบหัก บ้านแทบพังทำเอาบุลลาต้องตีเขาไปหลายรอบในความบ้าระห่ำ จนชายหนุ่มถามกลับว่าใครเล่าที่เรียกร้องหล่อนจึงปิดปากเงียบก็เธอเป็นคนร้องขอให้เขาเพิ่มแรงขึ้นอีกแท้ๆ จะว่าได้อย่างไรเล่า“อือ พอแล้วค่ะ” ลุกขึ้นมาทำอาหารยามสายไว้รับประทานกันสองคนโดยมีร่างสูงคลอเคลียอยู่ด้านหลังไม่ห่าง เสื้อยืดตัวเล็กและกางเกงขาสั้นที่เตรียมมาถูกสวมบนร่างกายทว่าไม่มีชั้นในปกปิดเลยสักชิ้นและตอนนี้มือหนาก็กำลังเลื้อยเข้าไปภายใต
๖การไปพักผ่อนครั้งนี้แม้แต่ตัวหญิงสาวเองก็ยังไม่รู้จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบท่าเรือก่อนคุณลุงคนขับรถจะลงไปยกกระเป๋าด้านหลังออกมา ดวงตากลมโตมองเรือที่เทียบท่าก็ตาลุกวาวเพราะเคยเห็นจากในละครเท่านั้นไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ด้วยตาของตนเอง แถมที่หัวเรือยังเขียนชื่อของบริษัทใหญ่ ตระกูลดังเอาไว้อีกด้วย พณณกรถือกระเป๋าเดินมาคว้ามือภรรยาเอาไว้แล้วบังคับให้เดินตามมาไม่บอกกล่าวอะไรสักนิด“มีแต่เรือหรูๆ ทั้งนั้นเลย” พึมพำเสียงเบาขณะที่คิดได้ว่าสามีของตัวเองก็เป็นคนในตระกูลดังเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีเรือของบ้านเขาจอดไว้น่ะสิคิดพลางยิ้มกริ่มเมื่อวาดภาพว่าตัวเองจะต้องได้นั่งจิบไวน์อยู่บนเรือหรู มองท้องฟ้าสีคราม ผืนน้ำสีน้ำเงินด้วยความสุขแน่นอุรา ยอมเดินตามแรงดึงจนกระทั่งผ่านพ้นเรือหรูมาลำแล้วลำเล่าก็เหมือนจะไม่ถึงสักที ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งตามอารมณ์“จะเดินไปถึงมาเลเซียเลยไหมคะ” อดประชดไม่ได้จนคนนำหน้าหันมายิ้มที่ภรรยาเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะตั้งเมื่อคืนหล่อนเอาแต่กอดเขาแน่นทั้งยังตอนเช้าที่มองตามตาละห้อย ต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลากลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายอย่างไม่
๕บุลลากำลังเล่นกับฝาแฝดทั้งสองโดยมีเหล่าแม่บ้านคอยช่วยเหลือเนื่องจากหลงเสน่ห์ของเด็กน้อย อันที่จริงคุณดาริกาก็ชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เมืองกรุงแต่เพราะงานรัดตัวที่ไร่ ทั้งยังเป็นห่วงมารดาที่เริ่มแก่ตัวลงทุกวันจำต้องปฏิเสธไป ตอนนี้เธอติดไร่มากกว่าแสงสีในเมืองหลวงเสียแล้วแต่ถ้าพณณกรจะกลับมาอยู่ที่นี่หล่อนก็คงตามมาด้วยเพราะไม่สามารถแยกจากสามีได้อีกแล้ว ในขณะที่กำลังมองดูบุตรสาวสิ่งไล่กับพี่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เบอร์แปลกที่โชว์หราทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที หลังจากที่ลาออกจากงานก็ไม่ค่อยมีใครโทรมาทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่าปลายสายคือใครร่างบางแยกตัวออกไปรับโทรศัพท์ "สวัสดีค่ะ"'ว่าไงบัว ไม่เจอกันนานสบายดีไหม' เสียงเข้มที่เอ่ยทักทายทำเอาหล่อนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมเพราะจำน้ำเสียงไม่ได้"เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ" ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หรือจะเป็นลูกน้องเก่าที่โรงแรม ไม่อย่างนั้นก็น่าจะเป็นคุณรวี ทว่าฝ่ายนั้นแทบไม่ได้ติดต่อมาเลยตอนนี้เห็นว่าโดนทางบ้านจับแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย'อะไรกัน จำเสียงแฟนเก่าไม่ได้หรือไง' เอ่ยเพียงเท่านั้นใบหน้าคมก็ชัดวาบ
๔ท้องฟ้าทาทับด้วยสีดำสองร่างที่นอนกอดก่ายกันจึงตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงโทรศัพท์แผดดังลั่นห้อง มือหนาควานหาเสียงเจ้าปัญหาพบว่ามารดาเป็นคนโทรมา หากเป็นคนอื่นคงโดนสัตวแพทย์หนุ่มด่าเปิงแล้วแต่เพราะเป็นมารดาที่เคารพจึงค่อยยันกายลุกขึ้นนั่งปล่อยให้ร่างเล็กนอนหลับ"ครับแม่" เขาลุกขึ้นสวมกางเกงชั้นในก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่างแล้วค่อยรับสายพลางเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ'วันนี้กลับบ้านไหม' ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว"คงไม่กลับครับ ยังไงฝากเด็กแฝดด้วยนะแม่" เขากะจะพาภรรยาไปเดินเล่มริมหาดแล้วใช้เวลาด้วยกันสองคนสักหน่อย'เดี๋ยวแม่ดูให้' ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงเล็กแทรกขึ้นมาก่อนจนเผลอยกยิ้มอย่างเอ็นดู ท่าทางศศินาจะป่วนบ้านเสียแล้ว'พ่อขา ไหนบอกจะพาไปเคเค' โวยวายทันทีหากอยู่ตรงหน้าคาดว่าบุตรสาวคงกำลังยกมือขึ้นกอดอกแล้วยู่ปากทำท่าทางขัดใจเป็นแน่"พ่อขอโทษนะลูก เดี๋ยวกลับไปจะไถ่โทษนะ" พยายามทำให้ปลายสายอารมณ์ดีซึ่งจันทร์เจ้าก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกทันที'ค่ะ กลับมาต้องพาไปเคเคนะ' "ครับ" คุยกันอีกสักพักจึงวางสาย ร่างสูงเดินไป
๓แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาภายในห้องที่เคยมืดทึบให้สว่างจนคนที่กำลังหลับใหลต้องลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองที่ข้างกายซึ่งว่างเปล่าและเย็นชืดทำให้รู้ว่าหล่อนคงลุกจากเตียงนอนไปนานแล้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีพลางมองหาโทรศัพท์ที่บุลลามักจะเอาไว้บนห้องเสมอก็ไม่พบไหนจะกระเป๋าหรือของสำคัญบางอย่างกลับสูญหาย"ไปไหนวะ" เกาศีรษะด้วยความเครียดแล้วรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวโดยใช้เวลาเร็วที่สุดในชีวิต เมื่อคืนพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันเลยและร่างบางยังนอนหันหลังให้ไม่สนใจสักนิดว่าสามีต้องนอนตาแข็งทั้งคืนเพราะได้แต่มองทว่าจับต้องไม่ได้เลย"พ่อจ๋า" ร่างสูงของสัตวแพทย์หนุ่มเดินลงมาข้างล่างลูกสาวก็โผเข้ากอดขาทันทีจนต้องย่อตัวลงไปอุ้มขึ้นมา แก้มกลมมีซอสเลอะจนต้องเอามือเช็ดออกให้พลางอมยิ้มอย่างเอ็นดู ไม่เคยคิดว่าจะรักเด็กกระทั่งวันที่มีลูกเขาเลยรู้ว่าอีกครึ่งชีวิตที่เหลือนอกจากให้บุลลาแล้วก็มอบให้ลูกสาวและลูกชายจนหมดอานุภาพของคำว่าพ่อช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน"ว่าไงคะ" เอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน หากเป็นแต่ก่อนไม่มีเสียหรอกที่คนอย่างนายพณณกรจะมาพูดจาคะขากับผู้หญิง แต่ตอนนี้เห็นจะมียกเว้นก็คือบุตรสาวคนเดียวเนี่ยแหละ ต่อให้จะ
๒และแล้ววันงานเลี้ยงรุ่นก็มาถึง สองแฝดอยู่ในความดูแลของคุณปู่คุณย่าทำให้เบาใจไปได้เปราะหนึ่งทว่าคนเป็นแม่ก็อดจะห่วงลูกไม่ได้ กว่าจะออกจากบ้านก็ใช้เวลาพอสมควรในขณะที่ใบหน้าคมก็จ้องภรรยาไม่วางตาเนื่องด้วยความสวยที่ยิ่งอายุเยอะกลับผุดผ่องยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีกคิดแล้วก็หวงหนักกว่าเดิมไม่อยากให้ใครได้มองหรือเชยชม บางทีเขาอาจจะต้องคิดเรื่องให้บุลลาอยู่แต่บ้านอย่างเดียวเสียแล้ว ระหว่างติดอยู่บนถนนหล่อนก็เอ่ยถามเรื่องสมัยเรียนของเขาบ้างจึงได้รู้ว่าพณณกรเข้าศึกษาที่โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังของประเทศ“พี่ฉลาดขนาดนั้นเลยเหรอ” มองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักจนเขาต้องเพิ่มความมั่นใจด้วยคำบอกเล่า“เกรดเฉลี่ยพี่ไม่เคยต่ำกว่าสามจุดห้านะครับ สอบเข้ามหาวิทยาลัยคะแนนก็ติดท็อปสามนะ” อวดจนหล่อนต้องส่ายหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง“อะไร ไม่เชื่อเหรอ”“มันเหลือเชื่อยิ่งกว่านาซ่าส่งคนไปดาวอังคารอีก” ร่างสูงโคลงศีรษะแล้วยกมือขึ้นโยกหัวอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผมเสียทรง“ดูถูกกันเกินไปแล้ว” การกระทำเล็กน้อยแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นทำเอาบุลลาแอบใจเต้นแรงทั้งที่เป็นสามีภรรยาอันที่จริงพวกเขาใช้ชีวิตด้วยกันเพียงแค่สามเดือน