แชร์

๙ คนที่เหมาะสม

คนที่เหมาะสม

การได้พบปลายฟ้าสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่พณณกรยิ่งนัก หวนนึกถึงอดีตระหว่างกันไม่ได้อันที่จริงเขารู้จักเธอตั้งแต่อนุบาลเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกัน กระทั่งขึ้นมัธยมจึงได้ห่างกันบ้างก่อนพบกันอีกทีที่สถานเริงรมย์ แม้จะอายุไม่ถึงสิบแปดปีแต่อำนาจเงินก็บันดาลได้ทุกอย่าง

เขาชอบใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งยังดูไร้เดียงสาแต่เรื่องบนเตียงร้อนแรงของอีกฝ่ายจนตกลงคบหากัน แต่ความหวานก็มีเพียงสามเดือนแรกเท่านั้นเพราะจากนั้นพณณกรก็แอบไปนอนกับคนอื่น เหมือนกับที่ปลายฟ้าเองก็ทำเช่นเดียวกันแต่ทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนอกใจ กระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัยเขาจึงเลิกนอกใจหันมาให้ความสำคัญกับแฟนสาว ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดีก่อนทุกอย่างพังทลายชั่วข้ามคืนเพราะมือที่สามคือเพื่อนสนิท

แค่คิดก็กำมือแน่น เขาโกรธมัน เกลียดมัน แต่ก็คิดถึงมันเช่นเดียวกัน ช่วงเวลายากลำบากมีกองทัพเคียงข้างเสมอ เคยพูดกันเล่นๆ ว่าจะแบกเป้เที่ยวรอบโลกหลังเรียนจบแต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะมีเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์แตกหัก

มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะปล่อยวางอดีตที่เคยทำร้ายใจ แล้วลองเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ถึงเวลาหรือยัง..

งานเลี้ยงวันนั้นเขาไปช้ากว่าเพื่อนแล้วตรงเข้าไปสวัสดีเจ้าของงานอย่างอาภราดรที่ยังคงความสง่าก่อนมาร่วมโต๊ะกับพวกพี่น้อง ตอนนั้นเองที่ได้สบตากับเพื่อนสนิทที่ทรยศก่อนเขาจะเมินหน้าหนี เก้าอี้เหลือเพียงที่เดียวคือข้างกองทัพร่างสูงจึงจำใจต้องนั่งตรงนั้นไม่สามารถเลี่ยงได้

เขาแอบมองบรรยากาศโดยรอบด้วยความคิดถึง กี่ปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาบ้านใหญ่เลยเพราะมัวแต่มุ่งทำงานสร้างอาชีพเป็นของตนเองจนมันเติบใหญ่มาถึงทุกวันนี้ ทุกคนยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน พี่ชายของเขาและน้องชายของกองทัพที่แย่งกันร้องเพลงมีคุณพสุธาร่วมทัพตะโกนจนหลายคนต้องยกมือปิดหู

คิดถึง..เขาคิดถึงบรรยากาศเหล่านี้

มองพี่สาวฝาแฝดที่ส่งยิ้มมาก่อนหันไปส่งซิกแก่กันจนเขาแอบขำ

..คงวางแผนอยากให้เขาคืนดีกับเพื่อนสนิทสินะแล้วไอ้คนข้างๆ ก็ดูเหมือนต้องการชวนคุยเสียด้วย

ลองปล่อยวางดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย คิดดังนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแล้วเดินมายังสวนข้างบ้านมองลีลาวดีส่งกลิ่นหอมเย็นชวนขนลุก มันโตขึ้นมากจากเมื่อก่อนจำได้ว่าเคยปีนป่ายจนตกต้นไม้โดนแม่ตีไปหลายที เขาไม่ร้องไห้แต่โกรธท่าน ทว่าผ่านไปไม่นานก็หาย

เป็นดังที่คาดเมื่อกองทัพเดินตามเข้ามา หลังจากนั้นพวกเขาก็เคลียร์กันโดยอีกฝ่ายโดนไปหลายหมัดจนใบหน้าบอบช้ำ สร้างความสะใจแก่สัตวแพทย์หนุ่มยิ่งนัก

ความบาดหมางในใจเริ่มคลายและอีกไม่นานมันคงหมด เขากลับมาต่อปากต่อคำกับกองทัพอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่หากให้กลับไปเป็นแบบเดิมก็คงต้องขอเวลาอีกสักหน่อย การใช้ผู้หญิงร่วมกับเพื่อนเขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดอย่างยิ่ง เรื่องที่ผ่านมาจะกลายเป็นบทเรียนเตือนใจให้แก่พณณกร

และเขาจะไม่มีทางใช้ผู้หญิงร่วมกับใครเด็ดขาด!

กลับจากบ้านวิจิตรประภาก็มุ่งตรงไปยังคอนโดมิเนียมที่ซื้อไว้ แม้มารดาจะบอกให้กลับไปนอนบ้านแต่เขาก็ปฏิเสธเพราะเบื่อจะตอบคำถามของครอบครัวถึงเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องต่างๆ ที่ขนมาถามไม่รู้จบสิ้น จึงตัดสินใจว่าพักที่คอนโดน่าจะดีกว่า ถึงจะไม่ค่อยได้มาอยู่แต่ก็สั่งให้แม่บ้านทำความสะอาดตลอดจึงไม่กังวลเรื่องฝุ่นจับหรือหยากไย่เต็มห้องสักเท่าไหร่ มีบางครั้งที่ได้ลงมาเจรจาธุรกิจก็พักที่นี่ไม่ได้กลับบ้านหรือบอกใคร

มือหนาจับกลอนประตูเตรียมผลักเข้าไปหลังกดรหัสก่อนขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแสงไฟลอดออกจากห้อง

ที่พักมีความปลอดภัยขนาดนี้จะมีโจรได้อย่างไร อย่าเพ้อเจ้อน่า..

เปิดประตูกว้างก่อนจะปิดลงอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อร่างกายโดนสวมกอดจากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว กลิ่นหอมจากเทียนทั้งยังเสียงเพลงที่บรรเลงแผ่วเบา ทำให้สมองประมวลผลทันทีว่าบุคคลที่ทำอย่างนี้ได้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาหันไปสบตากับเธอภายใต้แสงไฟนวล

“หนึ่ง”

..ไปรยา รักษาชัยสิทธิ์นั่นเอง

“คิดถึงจังเลยค่ะ” เพียงแค่คำพูดยังไม่อาจแสดงให้เขารู้ว่าเธอคิดถึงมากแค่ไหนจึงเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตแก้มสากก่อนผละออกมายิ้มให้ทั้งดวงตาเป็นประกาย ไม่ได้เจอตั้งนานเขาก็ยังคงหล่อไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม

วันนี้เธอลางานช่วงบ่ายเพื่อเข้าร้านเสริมสวยทั้งทำผม สปาตัวก่อนจะให้ช่างแต่งหน้าชื่อดังเนรมิตความสวยพร้อมเจอคู่เดทสุดหล่อ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เตรียมตัวมาเท่าไหร่ ใบหน้าคมมีหนวดขึ้นบดบังใบหน้าที่หล่อเหลาจนหญิงสาวทั่วมหาวิทยาลัยต่างแย่งชิง

และเธอก็ได้ครอบครองถึงไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ก็ตาม

“ไม่ได้เจอตั้งนาน คุณไม่คิดถึงหนึ่งเหรอคะ” ถามเสียงออดอ้อนพร้อมทั้งบดเบียดตนเองเข้าหาร่างหนา จงใจเลือกชุดเกาะอกสีดำรัดรูปเพื่อง่ายต่อการถอดโดยเฉพาะ อาจดูเหมือนผู้หญิงหน้าไม่อายแต่เธอก็มีเพียงร่างกายที่รั้งเขาเอาไว้ได้และอีกไม่นานพณณกรก็จะมองเห็นถึงความดีของผู้หญิงคนนี้จนตกหลุมรักเธอเอง

..อีกไม่นานหรอก

ได้แต่พร่ำบอกตนเองอย่างนี้มานานนับหกปีแต่สถานะก็ไม่ขยับเลย

“คุณอยากให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ” ได้กลิ่นน้ำหอมที่จงใจฉีดมาเพิ่มยั่วโดยเฉพาะ เขาก็ลืมไปชั่วขณะว่าตนเองแต่งงานมีพันธะแล้ว

“หนึ่งอยาก.” มือบางวนเวียนอยู่ที่แผงอกล่ำก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดจนเผยให้เห็นหน้าท้องแกร่งที่เป็นลอนสวยงาม ใช้มือลูบมันไปมาแล้วช้อนตาที่มีความต้องการมองเขาอย่างอ้อยอิ่ง

ดูเหมือนตอนนี้ร่างสูงก็รู้สึกไม่ต่างกันมากนักเพราะเขาดันเธอไปชิดประตูหน้าห้อง

“ให้คุณบอกด้วยร่างกาย ได้ไหมคะ”

ริมฝีปากหนายกยิ้มก่อนจะฉกลงมาจุมพิตเธออย่างรวดเร็วแต่คนที่ตั้งรับก็ตอบโต้ทันทีทั้งถอดเสื้อออกจากร่างกายให้เขา

ความคุ้นเคยที่มีมานานทำให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปอย่างเป็นธรรมชาติ มือหนารั้งชุดเกาะอกลงไปกองที่ท้องแบนราบ เผยให้เห็นทรวงอกที่มีบราปกปิด

เขาถอดมันออกทันทีแล้วก้มลงไปชิมความหวานของดอกบัวคู่งาม เสียงครางดังระงมทั่วห้องไม่นานสองร่างก็เปลือยเปล่า ความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศไม่สะท้านผิวกายสักนิดเพราะมีเพียงความร้อนแรงที่ถูกขับออกจากผิวหนัง เหงื่อเกาะเต็มกายหนาขณะที่ขยับร่างกายไปตามแรงอารมณ์

ลืมใบหน้าหวานที่รอคอยอยู่บ้านไปสิ้นโดยมีความรู้สึกฝ่ายมืดนำทางให้เขาไปถึงจุดฝั่งฝัน

บุลลาทำงานด้วยจิตใจเหม่อลอย เผลอมองนอกร้านอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่พบรถยนต์ที่คุ้นเคยหรือร่างสูงของสามี เธอคงจะบ้าไปแล้วแน่เพราะเขาไปกรุงเทพฯ จะมารอได้อย่างไรกันเล่า เรียกสติตนเองอีกครั้งพร้อมนำอาหารไปเสิร์ฟลูกค้า กระทั่งถึงเวลาเลิกงานจึงถอนหายใจด้วยความเหนื่อย

“คิดถึงคุณเอิร์ธเหรอบัว” นุ่มนิ่มเดินมาถามขณะเริ่มเก็บของเพื่อกลับบ้าน วันนี้คงต้องอาศัยเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเสียแล้ว

“เปล่าสักหน่อย” ปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่ใจก็โหยหาเขา อีกฝ่ายไม่โทรมาเลยสักสายทั้งที่ย้ำหนักหนาหากถึงเมืองหลวงให้โทรบอกกันบ้าง

..คงจะลืมเธอไปแล้วล่ะมั้ง

“คิดถึงก็โทรหาเขาสิ คุณเอิร์ธคงกำลังรอโทรศัพท์จากบัวอยู่นะ”

..อย่างอีตานั่นหรือจะรอเธอ ไม่มีทางเสียหรอก

ทั้งที่คิดอย่างนั้นแต่ก็อดหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วกดโทรออกหาคนห่างไกลไม่ได้

..ยอมเสียหน้าหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขารับก็ถามแค่ถึงยังเท่านั้นเองบัว

ทว่ารอแล้วรอเล่าชายหนุ่มก็ไม่รับสาย ราวหายเข้าไปในกลีบเมฆ

“ไม่โทรแล้ว” ลองกดโทรออกรอบที่สามแล้วเขาไม่รับจึงตัดสินใจวางสายพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง หัวใจดวงน้อยสั่นไหวก่อนน้ำตาจะร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ยบัวร้องไห้ทำไม” เช็ดน้ำตาออกทันทีเมื่อโดนท้วงก่อนจะรีบส่งยิ้มกลับไปให้นุ่มนิ่ม ช่วงนี้อารมณ์เธอชักอ่อนไหวมากเกินไปแล้วกับแค่สามีไม่รับโทรศัพท์ก็ร้องไห้ราวเด็กน้อยถูกพ่อทิ้ง

..ไม่เอาน่าบัว อย่าทำตัวเป็นคนขี้แยสิ เขาไม่รับสายก็ช่างปะไรไม่ได้อยากคุยด้วยเสียหน่อย ย้ำกับตนเองอีกครั้งก่อนชวนเพื่อนกลับบ้าน

“ฝุ่นเข้าตาน่ะ เรากลับกันเถอะเดี๋ยวทางจะมืดกว่านี้”

สองสาวพากันใช้ทางหลังร้านเดินไปที่โรงรถสำหรับพนักงานมีมอเตอร์ไซค์ของนุ่มนิ่มจอดอยู่ทว่ายังไม่ทันจะถึงก็มีมือปริศนาคว้าที่ข้อมือเล็กของร่างบางเอาไว้เสียก่อน

“จะรีบไปไหนล่ะ วันนี้ผัวไม่มารับเหรอจ๊ะ” รุ่นพี่ผู้ชายที่ทำงานด้วยกันเอ่ยถามด้วยท่าทีคุกคามทั้งกลิ่นเหล้าโชยจากร่าง

ทำให้บุลลารู้สึกกลัวพยายามบิดมือออกจากการจับกุม

“ฉันว่าพี่เมาแล้วนะ ปล่อยเถอะ” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาเวลาไหนไปกินเหล้าจนกลิ่นหึ่งขนาดนี้แต่สถานการณ์ที่เจอกำลังร้องตะโกนให้รู้ว่าเธอตกอยู่ในที่นั่งลำบากเสียแล้ว

นุ่มนิ่มเองก็รีบเข้าไปช่วยเพื่อนจนโดนผลักกระเด็นโดยมีผู้ชายภายในร้านอีกสามคนเข้ามาสมทบ

พวกมันตีวงล้อมเข้ามาอย่างน่ากลัวต้อนสองสาวจนมุม หล่อนกลัวตัวสั่นไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนสักครั้งในชีวิต ถึงเป็นพริตตี้ก็ไม่เคยมีใครกระทำหยาบช้าอย่างที่เผชิญอยู่สักนิด ดวงตากลมโตเหลือบมองโดยรอบเพื่อหาทางหนีทีรอดไม่เช่นนั้นคงได้สังเวยพวกใจบาป

“ปล่อยได้ไง พี่รอเวลานี้มานานแล้ว มีผัวคนเดียวจะไปสนุกอะไร มีหลายคนสิสนุกกว่า” ไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดมือรีบผลักร่างบางลงบนพื้นสกปรกแล้วตามไปคร่อมเอาไว้

วินาทีหัวใจดวงน้อยเต้นราวจะหลุดออกมาจากอก ใบหน้าของพณณกรผุดขึ้นมาพยายามดิ้นรนต่อสู้ขณะที่พวกที่เหลือก็เดินไปหานุ่มนิ่มซึ่งส่งเสียงร้องไม่แพ้กัน และก่อนเหตุการณ์จะบานปลายมากกว่านี้ก็มีเสียงปืนดังขึ้นทำให้คนเมาสร่างทันทีพร้อมปล่อยร่างบางออก

ปัง

“ใครก้าวออกจากตรงนี้กูยิงไส้แตก” ร่างสูงยกปืนใส่หัวหน้ากลุ่มมองด้วยดวงตานิ่งทว่าทรงอำนาจจนหนุ่มที่กระทำการอุกอาจขาสั่น มันรู้สึกเหมือนวันนี้คือวันสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่บนโลก ปลายกระบอกปืนหันไปที่ลูกน้องซึ่งผละจากนุ่มนิ่มไปรวมกลุ่มกันพลางยกมือขึ้นขึ้นไหว้เหนือหัว

“ขะ ขอโทษครับเสี่ย ผมไม่เกี่ยว พี่โต้มันสั่งครับ อย่าทำอะไรพวกผมเลย" รีบโยนความผิดให้คนอายุเยอะทันที

จนใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากที่เห็นแต่ละคนตัวสั่นงันงก เขาหันไปมองลูกน้องที่ค้อมศีรษะแล้วเดินออกจากสถานการณ์ตรงนี้

บุลลาและเพื่อนรีบลุกขึ้นวิ่งมาหลบข้างหลังคนมาใหม่แม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ตาม ร่างบางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ยังคงหยัดยืนไว้ได้พลางโอบกอดนุ่มนิ่มที่เหมือนจะเป็นลมเอาไว้

“พวกเธอเข้าไปในร้านก่อน” หันมาสั่งซึ่งสองคนรับคำพยุงกันเข้าร้านเหลือเพียงร่างสูงที่ยืนนิ่ง

“กูไม่ชอบให้ใครมาทำเรื่องแบบนี้ที่ร้านกู พวกมึงรู้ใช่ไหม "ปืนถูกทิ้งลงบนพื้นก่อนจะหักนิ้วตนเองแล้วเริ่มวอร์มร่างกายด้วยการเอนศีรษะไปทางซ้ายแล้วเปลี่ยนข้างขวา บรรดาพนักงานเริ่มรวมกลุ่มกันสัมผัสได้ถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดกับตนเองพยายามส่งคนอายุมากสุดไปเจรจา

“พวกเราไม่ได้ตั้งใจครับ”

วินาทีนี้เขาไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เริ่มปล่อยหมัดไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายจนมันน็อกทันที วันนี้ไม่ได้ออกกำลังกายได้มาขยับร่างกายก็ดีเหมือนกัน คิดแล้วก็จัดการไปทีละคนใช้เวลาเพียงห้านาทีพวกนั้นก็นอนโอดครวญบนพื้นก่อนตำรวจจะเข้ามาเคลียร์พื้นที่

หากเขาไม่เข้ามาตรวจร้านและเอะใจว่าพนักงานหายไปไหนหมดทั้งที่เพิ่งปิดร้านยังไม่ถึงเวลากลับแท้ๆ หล่อนคงได้กลายเป็นเหยื่อพวกตัณหาหนาไปแล้ว

ทุกอย่างเรียบร้อยเสี่ยกรรชัยจึงเดินเข้าไปข้างในร้านเห็นตำรวจกำลังสอบปากคำบุลลาและพนักงานอีกคน

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”

หล่อนยกมือไหว้ผู้พิทักษ์สันติราชก่อนหันมาเห็นผู้มีพระคุณจึงรีบลุกขึ้นมองใบหน้าคมที่มีส่งยิ้มให้ตนเอง

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยพวกเรา” ยกมือไหว้ทั้งยังโค้งไปหลายรอบ หากไม่ได้ผู้ชายคนนี้ศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี เธอจะกล้าสู้หน้าพณณกรได้อย่างไรหากมีราคีติดตัว เขาโบกมือพลางยกยิ้มอย่างคนใจดี ต่างจากท่าทางเหี้ยมโหดเมื่อสักครู่ยิ่งนัก

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงพวกเธอก็เป็นพนักงานร้านฉัน”

สองสาวหันมองหน้ากันทันที ไม่รู้มาก่อนเลย นึกว่าคุณศิริพรรณเป็นเจ้าของร้านนี้เสียอีก

“ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นฉันจะจ่ายค่าทำขวัญให้ แล้วก็คงเปลี่ยนพวกเธอไปทำงานที่ภัตตาคารของโรงแรมแทน กันไว้ดีกว่าแก้ว่าไหม เผื่อพวกมันแค้นแล้วมาทำร้ายอีก”

บุลลารู้สึกเหมือนเห็นพระมาโปรดแสงเรืองรองออกจากลำตัวของเขา ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดีจึงจะเหมาะสม ทำได้เพียงยกมือไหว้ทั้งน้ำตานองหน้า

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการพบกันระหว่างบุลลาและเสี่ยกรรชัยอันจะนำมายังเรื่องราววุ่นวายสร้างความเจ็บปวดไปอีกแสนนาน

เสียงม่านเปิดออกเผยให้เห็นแสงจากภายนอกจนคนที่หลับใหลต้องยกมือขึ้นมาปิดความสว่างที่ลอดเข้าม่านตา เขานอนคว่ำหน้ายกผ้าห่มคลุมตั้งแต่หัวจนใบหน้าหวานต้องหัวเราะอย่างนึกเอ็นดู นั่งลงบนเตียงใกล้ร่างหนา เลิกผ้าห่มออกก่อนกดจมูกลงที่แก้มสากของอีกฝ่ายด้วยท่าทางมีความสุข

“ตื่นได้แล้วค่ะเจ้าชาย” กระซิบเสียงหวานแต่ดูเหมือนเจ้าชายนิทราจะไม่ตื่นเสียที หากเป็นเช่นนั้นคงต้องทำตามที่เขาเล่าลือต่อกันมาเสียแล้ว

หล่อนโน้มไปจุมพิตที่ริมฝีปากเขา แช่ค้างไว้อย่างนั้นแล้วผละออกพร้อมดวงตาคมที่ลืมขึ้นอย่างช้าๆ มองใบหน้าสวยซึ้งเป็นที่หมายปองของบรรดาชายหนุ่ม ทว่าหญิงผู้นี้ไม่เคยชายตามองใครเพราะในสายตาของเธอมีเพียงพณณกรเพียงผู้เดียวเท่านั้น มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว

“เจ้าชายตื่นจริงด้วย สงสัยต้องจูบทุกเช้าแล้ว”

เขาส่ายหน้านึกขำแล้วลุกขึ้นจนผ้าห่มไปกองที่หน้าตักเผยให้เห็นหน้าท้องแข็งแกร่งชวนลูบไล้

“กี่โมงแล้ว” หันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างผนังก็พบว่าเจ็ดโมงครึ่ง ยังมีเวลานอนอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาไปเป็นวิทยากรให้แก่นักศึกษาคณะสัตวแพทย์

“สายแล้วค่ะ อย่าลืมว่ากรุงเทพฯ รถติดกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่า รีบลุกเลยอย่างอแง” คว้าแขนหนาแล้วใช้แรงดึงให้เขาลุก

จนกระทั่งร่างสูงถอนหายใจลุกตามแรงดึงหันไปคว้าชุดคลุมมาสวมเพราะร่างกายของเขาเปลือยเปล่าจากกิจกรรมเมื่อคืน

..ไม่เข้าใจเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าตื่นเช้าได้ไงเพราะกว่าเขาจะปล่อยให้เธอได้นอนก็ล่วงเข้าวันใหม่แล้ว

บางทีห้องหรูหราก็กว้างเกินไปในความรู้สึกของเขา ออกจากห้องน้ำก็เดินไปแต่งตัว ใบหน้าที่เคยมีหนวดเคราก็เกลี้ยงเกลาจากการโกน เขาไม่อยากถูกรุ่นน้องมองดูแล้วนึกว่าเป็นโจรห้าร้อยหรอกนะ หยิบเน็กไทมาผูกแล้วจับสูทมาสวม ไม่ลืมนาฬิกาเรือนละแสนก่อนจะมองดูตนเองอีกครั้ง

..แปลกตาเกินไป ไม่คุ้นกับเสื้อผ้าพวกนี้สักนิด

เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ปิดเสียงและการสั่นเอาไว้ขึ้นมากดดูก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะไม่ได้รับสายจากภรรยา รีบเดินไปเปิดประตูระเบียงห้องนอนโทรกลับไปหาหล่อนอย่างรวดเร็ว

..ไม่รู้จะงอนหรือเปล่า

รอสายแล้วแล้วสายเล่าอีกฝ่ายก็ไม่รับ เข้าอีหรอบนี้คงโดนโกรธเข้าให้แล้วละ เขาถอนหายใจนึกกลุ้มกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ หากไม่หลงระเริงกับรสรักจากไปรยาก็คงได้รับสายของบุลลาแล้ว

..ตายแน่ไอ้เอิร์ธ กลับไปคงไม่ได้ผุดได้เกิด

“เอิร์ธคะ มากินข้าวเช้าได้แล้วมัวทำอะไรอยู่” ร่างบางเดินเข้ามาตามชายหนุ่มภายในห้องนอนหลังจากที่บริกรนำอาหารเช้าขึ้นมาเสิร์ฟบนห้องตามคำสั่งของคุณผู้หญิงซึ่งเปรียบเป็นเจ้าของห้องอีกคนอย่างถือสิทธิ์

“ครับ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” จำต้องเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบของสำคัญเดินตามหล่อนออกไป

ขณะที่มือเล็กยกขึ้นมากอดแขนล่ำเอาไว้พลางส่งยิ้มแสนหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้าให้

ไม่ได้สัมผัสความสุขอย่างนี้มาหลายเดือน การอยู่ห่างไกลจากชายที่หมายปองสร้างความเหงาภายในใจของหญิงวัยใกล้เลขสามยิ่งนัก ทำได้เพียงโทรศัพท์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเท่านั้น บางครั้งเขาก็ไม่รับสาย

เคยคิดจะปิดกิจการของตนเองตามไปอยู่ที่ไร่กับเขาแต่เพราะติดความสะดวกสบายในเมืองกรุงไม่อาจตัดใจไปใช้ชีวิตอยู่กลางป่ากลางดงได้

อาหารเช้าแม้จะดูธรรมดาแต่เพราะทางคอนโดจัดใส่จานพร้อมตกแต่งอย่างพิถีพิถันจึงทำให้หน้าตาดูน่ารับประทาน ทว่าใจของพณณกรกลับไปถึงฝีมือกับข้าวของภรรยา หล่อนทำอร่อยจนต้องขอสองจานทุกวัน บางครั้งก็ห่อไปกินที่ฟาร์ม

เขาชอบอ้อนให้หล่อนทำปอเปี๊ยะทอดจนคนโดนคะยั้นคะยอจะต้องมองตาเขียวใส่อยู่ร่ำไป รสมือของบุลลาแม้แต่แม่บ้านตระกูลวิจิตรประภาก็เทียบไม่ติด คิดพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข

จนไปรยาอดแซวไม่ได้

“ได้มากินอาหารในเมืองบ้างดูมีความสุขดีนะคะ หนึ่งบอกแล้วให้คุณกลับมาทำงานที่นี่ก็ไม่เชื่อ”

ร่างสูงไม่ตอบอะไรทำเพียงยิ้มมุมปากแล้วจัดการอาหารตรงหน้า

บทสนทนาส่วนมากร่างบางจะเป็นคนชวนคุยพร้อมพูดถึงเรื่องการทำงานของตนและแผนที่บิดาจะเปิดโรงพยาบาลรักษาสัตว์ขนาดใหญ่ อยากทาบทามชายหนุ่มมาทำงานด้วยซึ่งเขาก็บอกปัดเนื่องจากยังไม่อยากกลับเข้ากรุง งานที่ไร่ก็มากจนทำแทบไม่ไหวอยู่แล้ว

“ไร่ก็ให้ธีดูแลสิคะ คุณกลับมาอยู่กับหนึ่งเถอะนะ”

เมื่อได้พูดเรื่องนี้ก็วนอีหรอบเดิมคือหล่อนขอร้องให้เขาละทิ้งไร่ที่สร้างมากับมือ จนหมดอารมณ์จะรับประทานอาหารเช้า จึงวางช้อนยกผ้าขึ้นมาเช็ดปากหลังดื่มน้ำเสร็จ

“ผมว่าเราพูดกันรู้เรื่องแล้วนะหนึ่ง”

แค่ดวงตาคมมองครั้งเดียวหล่อนก็ปิดปากที่กำลังจะเอ่ยทันที ถึงจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้ใกล้ร่างสูงทว่ากลับรู้สึกเข้าไม่ถึงใจของเขาเสียที มันมีกำแพงหนาขวางกั้นเอาไว้และไม่รู้เมื่อไหร่เธอจะทำลายได้เสียที

“ค่ะ ไม่กลับก็ไม่กลับ”

อารมณ์เสียแต่เช้าทำให้ใบหน้าคมเรียบนิ่ง เขาเป็นคนขับรถโดยมีเพื่อนสนิทนั่งข้างกาย

สถานะที่ไม่หล่อนเคยยอมรับสักครั้งเพราะต้องการเป็นมากกว่านั้น

รถเลี้ยวเข้ามาในคณะสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ไม่ได้มาหลายปีดูเหมือนทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแต่ก็พัฒนาขึ้นบ้าง ริมฝีปากหนาแต้มยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปทักทายอาจารย์ที่สอนมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ท่านดูแก่ตัวลงทว่ายังดูกระฉับกระเฉงไม่เปลี่ยน

งานวันนี้คือแนะแนวนักเรียนที่ต้องการเข้ามาศึกษาในคณะนี้ จำนวนคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วอาจเพราะมีผู้แนะนำหน้าตาดี สาวๆ จึงแวะเวียนมาไม่ขาด คำถามจำนวนมากถูกส่งมาให้พณณกรซึ่งเขาก็ยิ้มแย้มตอบอย่างยาวเหยียดกระทั่งมาถึงประโยคเด็ดซึ่งไม่เกี่ยวกับคณะนี้แม้แต่น้อย

“ไม่ทราบว่าพี่มีแฟนรึยังคะ” เด็กนักเรียนหน้าสวยคนหนึ่งยกมือขึ้นถามทำเอาคนในห้องส่งเสียงฮือฮายกใหญ่

ร่างสูงเงียบไปสักพักอย่างใช้ความคิดก่อนจะยกไมค์ขึ้นใกล้ปาก

“เรื่องนี้...ความลับครับ”

มีเสียงโอดครวญดังขึ้นก่อนงานจะสิ้นสุดลงเมื่อเวลาเที่ยง ไปรยาซึ่งนั่งอยู่กับบรรดาอาจารย์ก็มองคนบนเวทีด้วยความชื่นชม ก่อนสะดุ้งเมื่อมีมือหนามาจับบ่าตนเองจนต้องเงยหน้าขึ้นมองพลันใบหน้าก็เรียบสนิท

“มาไม่เห็นบอกเลย คนคุ้นเคยกันแท้ๆ”

ร่างบางเขยิบตัวออกห่างก่อนจับมือเขาออกจากร่างกาย นึกรังเกียจคนตรงหน้าจนไม่อยากเสวนาด้วย ก่อนรีบลุกขึ้นเมื่อพณณกรเดินลงจากเวทีตรงมาหาตนเองจึงฉีกยิ้มกว้างให้เขา เดินไปควงแขนอย่างสนิทสนมไม่สนใจคนที่เอ่ยทักแม้แต่น้อย

“ขอบคุณมากนะพณณกรที่มาวันนี้” อาจารย์เอ่ยพร้อมถามไถ่เพียงครู่เดียวจึงขอตัวไปหาลูกศิษย์คนอื่น จึงเหลือเพียงหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน

“ว่าไงเอิร์ธ ไม่เจอนานเลย” คนมาใหม่มองใบหน้าคมที่นึกอิจฉา ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีเขาก็ไม่เคยชนะผู้ชายคนนี้ได้เลย

“ก็กูอยู่ต่างจังหวัดมึงจะเห็นได้ไง” กล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ

“แล้วมึงล่ะได้ดิบได้ดีเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่นี่ไปแล้ว เก่งไม่เปลี่ยน”

ชนาธิปไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

“ไปกันเถอะค่ะ หนึ่งหิวแล้ว” รีบตัดบทสนทนาเนื่องจากกลัวว่าคนมาใหม่จะเอ่ยอะไรที่ไม่ควรออกมา

และร่างสูงก็ไม่อยากขัดจึงยอมทำตามคำขอของร่างบาง เขาบอกลาอาจารย์คนใหม่ของมหาวิทยาลัยแล้วเดินไปพร้อมกับไปรยา โดยมีดวงตาคมมองตามอย่างวาวโรจน์

ที่ตรงนั้นมันควรจะเป็นของเขาไม่ใช่เหรอ..

ห้างสรรพสินค้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะหลังรับประทานอาหารจะได้เดินดูของอย่างอื่นด้วยทั้งที่ใจจริงสัตวแพทย์หนุ่มอยากกินร้านตามสั่งข้างทางด้วยซ้ำ เขาเดินตามคนที่บ่นว่าหิว แต่เมื่อมาถึงก็เอาแต่เดินดูเสื้อผ้าราคาหลายหมื่นเป็นว่าเล่น

“ตัวนี้สวยจังเลยเอิร์ธว่าเหมาะกับหนึ่งไหมคะ”

คนที่มาด้วยทำเพียงนั่งอยู่โซฟาเพื่อรอร่างบางเลือกชุดสำหรับใส่เล่น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลยหรือ

“ก็ดี” เงยหน้าขึ้นตอบก่อนจะก้มกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาภรรยาสาวซึ่งเงียบหายไปตั้งแต่เช้าจนนึกเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

“ยังไม่ได้ดูเลย เงยหน้ามาดูหน่อยสิคะ”

ตอนนี้เขาเริ่มรำคาญจนแสดงออกทางสีหน้า ไม่สามารถระงับอาการเอาไว้ได้และไปรยาก็รับรู้ถึงความไม่ชอบใจนั้นจึงเลือกจะตัดบทด้วยการยื่นชุดที่เลือกให้พนักงานสาวที่ยืนรอท่าทันที

“เอาชุดนี้ค่ะ แล้วก็ชุดนี้ด้วยนะคะ” การควบคุมผู้ชายชื่อพณณกรไม่ง่ายสักนิด เธออาจจะทำให้เขาอยู่กับตัวเองนานเพราะไม่เรื่องมากยังยอมตามใจไม่แสดงอาการหึงหวงออกนอกหน้าซึ่งมันก็สะสมมานานจนอยากระเบิดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่ต้อง เดี๋ยวผมจ่ายให้” เมื่อเห็นว่าหล่อนจะหยิบบัตรเครดิตออกมาเขาจึงยื่นของตนแก่พนักงานเสียก่อน สิ่งหนึ่งที่ชอบในตัวเขาคือไปไหนมาไหนด้วยกันอีกฝ่ายจะชอบจ่ายตลอดแสดงความเป็นสุภาพบุรุษถึงบางทีเธออยากจ่ายเองก็ตาม

“ขอบคุณนะคะ” เอื้อมมือมาคว้าแขนเขาไปกอด

“แล้วก็ผมขอตัวนี้ด้วย” เขาหยิบชุดเดรสสีหวานแขนตุ๊กตาส่งให้พนักงานทันที ลอบมองหลายครั้งพร้อมทั้งจินตนาการถึงร่างเล็กของบุลลาหากอยู่ในชุดนี้คงน่ารักน่าชังจนอยากจับถอดเป็นแน่

“หือ ซื้อให้หนึ่งอีกเหรอคะ แต่ว่ามันไม่ใช่สไตล์ของหนึ่งเลยนะ” ชุดสีหวานทั้งยังดูแบ๊วขนาดนั้นไม่ใช่แนวที่หล่อนชอบสักนิด สำหรับไปรยาจะต้องเป็นสาวมั่นและดูทะมัดทะแมงมากกว่า

“เปล่าหรอก ผมจะซื้อไปเป็นของขวัญคนรู้จัก”

เธอไม่ได้ถามอีกเพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีคนอื่นนอกจากตัวเอง ไม่เคยระแวงเลยสักครั้ง รู้ดีว่ากำแพงในใจของเขาสูงแค่ไหน ขนาดเธอเองก็ยังไม่สามารถข้ามมันไปได้ ทว่าทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป

หัวใจที่เคยแข็งแกร่งของพณณกรกำลังถูกกะเทาะโดยผู้หญิงร่างเล็กนามว่าบุลลา

เมื่อรับของทั้งหมดมาเขาก็ตรงไปร้านอาหารสัญชาติญี่ปุ่นทันที สั่งจนเต็มโต๊ะก่อนจะเริ่มรับประทานด้วยความหิวโหยทำเอาคนที่มาด้วยมองอย่างเอ็นดู ยามกินเขาแทบไม่พูดอะไรกับเธอ ราวอยู่คนละโลกด้วยซ้ำ

“ก่อนกลับหนึ่งขอไปรับสร้อยข้อมือที่สั่งทำได้ไหมคะ” ขณะจ่ายเงินจึงเอ่ยถามเขา

ซึ่งคนไม่มีธุระที่ไหนก็พยักหน้าตอบ วันนี้เขาไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วคาดว่าคงกลับคอนโดไปนอนส่วนพรุ่งนี้ก็คิดว่าจะกลับแต่เช้า จากที่วางแผนจะอยู่สามวันคงไม่สามารถทำได้ใจร่ำๆอยากกลับเสียวันนี้ นึกเป็นห่วงคนไกลที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที

เมื่อถึงร้านเขาก็ปล่อยเธอไปทำธุระ ส่วนตนเองก็ดูของไปเรื่อยก่อนสายตาจะไปสะดุดยังสร้อยคอที่มีแหวนสองวงคล้องกันเอาไว้ สมองยังไม่ทันสั่งการเท้าก็ก้าวไปยืนมองอยู่ใกล้ก่อนจะบอกพนักงานหยิบขึ้นมาให้ดู

สร้อยคอสีทองสวยสะดุดตา ตัวแหวนมีจี้เพชรประดับอยู่รอบ

..หากมันไปอยู่บนลำคอขาวของบุลลาจะสวยขนาดไหนนะ..

“ผมเอาเส้นนี้” ตัดสินใจอย่างรวดเร็วพร้อมยื่นบัตรเครดิตให้ เขายิ้มมุมปากแทบอดใจไม่ไหวหากร่างบางเห็นแล้วจะกรีดร้องเข้ามาขอบคุณเขาอย่างไร อารมณ์ที่เคยนิ่งสนิทก็เบิกบาน

จนคนที่เดินออกมาหันมองด้วยความสงสัย

“มีอะไรเหรอคะ” มองร่างสูงก่อนจะเลิกคิ้วเห็นพนักงานยื่นถุงให้ยิ่งเพิ่มความอยากรู้

“พอดีเพื่อนผมฝากซื้อ คุณเสร็จหรือยังล่ะรีบไปกันเถอะ” คว้าข้อมือเล็กแล้วจูงไปทันทีไม่เปิดโอกาสให้ถามอะไรอีก

ไปรยาเริ่มไม่ไว้วางใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พณณกรมีเพื่อนน้อยส่วนมากก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น แล้วเพื่อนน่ะหรือจะฝากซื้อเครื่องประดับของผู้หญิง

แปลก..อยากถามแต่ก็กลัวเขาหาว่าละลาบละล้วง จำต้องเก็บเอาไว้ในใจไม่เอ่ยถึงมันอีก

บุลลาไม่ได้กลับไปนอนบ้านเพราะรู้สึกหวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เจอจึงต้องมาอาศัยบ้านมารดาอยู่ระหว่างรอสามีกลับมา ทั้งวันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลืมเอาโทรศัพท์และกระเป๋าเงินมาด้วย หลังเลิกงานจึงกลับพร้อมบานเย็นเพราะเสี่ยกรรชัยอนุญาตให้หยุดงานหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยมาเริ่มงานที่ภัตตาคารของโรงแรม

แสนจะเกรงใจ แต่คนตัวสูงก็ทำเอ่ยเพียงว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของตน อีกทั้งหล่อนเป็นผู้เสียหายคงยังตกใจ หยุดงานเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจเสียก่อนค่อยมาก็ยังไม่สายพร้อมมอบเงินค่าทำขวัญให้ด้วยหนึ่งหมื่นบาท

กลับจากโรงเรียนเด็กหญิงก็วิ่งเอากระเป๋าเข้ามาไว้ภายในบ้านแล้วเอ่ยถามพี่สาวซึ่งนั่งตำน้ำพริกอยู่ในครัวเสียงดัง

“พี่บัวจ๋า วันนี้มะลิไม่มีการบ้านขอไปเล่นกับน้อยหน่าเลยได้ไหมจ๊ะ”

“อย่ากลับดึกนักล่ะ” ตะโกนออกมาก่อนหันมาทำอาหารเย็น พยายามทำจิตใจให้สงบทั้งที่ว้าวุ่นไม่รู้ว่าทำโทรศัพท์หายไปตอนไหน คิดว่าอยู่ที่บ้านแต่เมื่อกลับมาลองค้นหาก็ไม่พบ เครื่องนั้นซื้อตั้งสามหมื่นเคยจะนำไปขายแต่ก็ตัดใจทำไม่ลง

แล้วดูสิตอนนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม คงต้องหาซื้อเครื่องใหม่เสียแล้วยามไม่มีเครื่องมือสื่อสารใจมันจะขาดให้ได้ ถึงจะไม่เล่นอินเทอร์เน็ตแต่แค่มีถือไว้ให้อุ่นใจก็พอแล้ว คืนนี้ก็คงต้องนอนบ้านหลังนี้ก่อน นึกแล้วก็คิดถึงเจ้าตูบป่านนี้จะมีอะไรกินหรือเปล่า

ไหนจะพณณกรอีกหากเขาติดต่อเธอไม่ได้เล่า..หึ คิดแล้วก็นึกโมโหให้อีกฝ่าย โทรไปหลายสายก็ไม่รับ เธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรคงไม่สนสินะ ได้กลับไปถิ่นฐานบ้านเกิดคงสนุกเต็มที่

บุลลาเพิ่มแรงตำครกจนเสียงดังออกไปนอกบ้านเพราะความโกรธที่มีต่อสามี

..กลับมาเมื่อไหร่เธอจะจับเขามาใส่ครกแล้วตำให้แหลกกันไปข้างเลยคอยดู!

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status