๘
แยกกันบ้าง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพณณกรก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นและเมื่อเขาหลุดจากกุญแจมือเหล็กก็จัดการทบต้นทบดอกภรรยาตัวแสบทำเอาวันต่อมาลุกขึ้นแทบไม่ไหว แต่ก็คุ้มเพราะชายหนุ่มอนุญาตให้ไปสมัครงานที่ตัวอำเภอพร้อมนุ่มนิ่ม เพียงแค่ไปสมัครก็ผ่านการสัมภาษณ์อย่างง่ายดายจนยิ้มแก้มปรินำมาบอกกล่าวสามีด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเหลือเกิน
การดำเนินชีวิตของคู่แต่งงานผ่านไปอย่างทุลักทุเล หลายเรื่องต้องปรับเข้าหากันนิสัยส่วนตัวที่ไม่พึงประสงค์ก็ต้องเปลี่ยนโดยเฉพาะการถอดเสื้อผ้าซึ่งร่างบางบ่นแทบทุกวัน
“มันยากนักหรือไงกับแค่เอาเสื้อไปลงตะกร้าเนี่ย” เดินไปหยิบเสื้อลายสก็อตแล้วโยนลงตะกร้าก่อนจะหันไปมองเขาตาเขียวเพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนเลย
“ก็เธอเก็บให้แล้วไง” เอนกายลงบนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ
จนหล่อนต้องรีบก้าวไปฉุดแขนหนาไว้เสียก่อนพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง แต่งงานกันมาเดือนกว่าแล้วชีวิตไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่
“ฉันไม่ใช่คนใช้ของนายนะ แล้วฉันก็บอกหลายรอบว่าถ้ายังไม่อาบน้ำห้ามนอนบนเตียงเดี๋ยวกลิ่นมันจะติดที่นอน ถามจริงเป็นเด็กสามขวบหรือไงต้องให้ย้ำตลอดเวลา” ทนไม่ไหวต้องร่ายยาวจนใบหน้าแดงก่ำ หายใจแทบไม่ทันนึกว่าตัวเองเป็นแร็ปเปอร์ที่ใช้ทักษะพูดเร็วมาบ่นสามีจอมขี้เกียจ
“บ่นมากจริง ถ้าอย่างนั้นมานอนด้วยกันดีกว่า” ใช้ข้อได้เปรียบในเรื่องพละกำลังดึงเธอจนมานั่งบนตักกว้างพร้อมวาดแขนกอดเอวเล็กเอาไว้ด้วยท่าทีสนิทสนม สูดดมความหอมที่แก้มนุ่มเสียงดัง
จนคนถูกล่วงเกินต้องตีเข้าที่แผงอกหนาพร้อมทำหน้างอใส่
“ไอ้บ้า หน้านายสกปรกมาหอมได้ไงเดี๋ยวฉันก็เป็นสิวหรอก”
พณณกรหัวเราะเล็กน้อยในความเรื่องมากของร่างเล็ก จุกจิกเสียเหลือเกินแต่แปลกที่เขากลับไม่นึกเบื่อสักนิดยามได้ฟังเสียงเล็กเจื้อยแจ้ว
จากที่เคยคิดว่าจะกลับบ้านดึก ตัดขาดจากผู้หญิงหน้าเงินทว่าพอได้สัมผัสกับความน่ารักที่แฝงอยู่สิ่งที่เคยนึกไว้ก็มลายหายไป เขากลับบ้านเร็วบางวันก็ไปรับบุลลาที่ไร่เพื่อรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน ชอบที่จะกอดหรือร่วมรักกับเธอทุกค่ำคืนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปฏิเสธการไปดื่มสุรายาดองกับกลุ่มคนงานจนบ่นระงมว่าเขาติดเมีย
ใครสนกันเล่า เมียเขาน่าเสน่หาขนาดนี้จะให้ไปดื่มเหล้าหรือ..เมินเสียเถอะ
“เดือนหน้าฉันต้องไปกรุงเทพฯ” ว่าแล้วก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
..ไม่อยากไปเลยสักนิดถ้าเบี้ยวอีกคราจะเป็นอะไรไหมนะ
“ไปนานไหม” จากที่คิดจะดิ้นออกก็หยุดนิ่งแล้วเอี้ยวตัวไปมองใบหน้าคมซึ่งส่งยิ้มเพียงเล็กน้อยมาให้ แค่ได้ยินว่าเขาจะห่างกายก็รู้สึกวูบโหวงในหัวใจแปลกๆ
“สามสี่วัน”
ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
..ก็ไม่นานเท่าไหร่
“อื้อ” แล้วทั้งห้องก็ต้องอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกราวตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หล่อนรู้สึกใจหายเพราะตั้งแต่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาก็แทบไม่เคยห่างกันเลย เตียงที่มองดูว่ากว้างกลับแคบลงยามเห็นร่างหนานอนอยู่ด้วย ความอบอุ่นจากอ้อมกอดแข็งแกร่งทำให้รู้สึกปลอดภัยจนต้องสอดกายเพื่อโอบกอดเขาทุกค่ำคืน
ถ้าหากพณณกรไม่อยู่..ก็รู้สึกแปลก
"ปล่อยได้แล้ว ฉันจะไปอาบน้ำ” การเคลื่อนไหวของมือหนาปลุกบุลลาให้ตื่นจากความคิด เขาลูบไล้เรียวขาสวยที่เปลี่ยนจากชุดทำงานมาเป็นเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นที่อวดเรียวขาขาวน่าหลงใหล
“อาบด้วยกันสิ ฉันก็อยากอาบพอดี”
หากอาบกับเขาก็คงไม่สิ้นสุดแค่การอาบน้ำหรอกคงลากยาวเป็นกิจกรรมโลดโผนมากกว่าจึงต้องส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่เอาหรอก นายมันเจ้าเล่ห์อาบกับนายเปลืองตัวตลอดเลย”
คุณหมอสุดหล่อยกยิ้มมุมปากแล้วกระซิบข้างหูเธอ
“แต่ดูเหมือนเธอเองก็ชอบนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่เรียกร้องตั้งหลายรอบหรอก”
ใบหน้าหวานแดงก่ำจากประโยคล้อเลียนของอีกฝ่ายจนต้องรีบดิ้นให้หลุดจากตักแกร่งจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนก่อนหันมามองร่างหนาที่เอาแต่ส่งยิ้มร้ายกาจมาให้
“ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นสักหน่อย ขี้ตู่” ว่าจบก็รีบวิ่งออกจากห้องนอนไปข้างนอกด้วยหัวใจสั่นระรัว ได้ยินเสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังมาจากในห้องก็ยกมือขึ้นปิดแก้มพลางส่ายหน้าไปมาไม่อยากยอมรับว่าตนเองเสพติดการสัมผัสทางร่างกายจากคุณสามีที่ขยันเสิร์ฟความหวานให้เหลือเกิน
จากที่ไม่เคยเรียกร้องบางครั้งเธอก็เอากายไปแนบชิดเขากระตุ้นอารมณ์ดิบให้เกิดก่อนทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมชาติ พณณกรมีเสน่ห์ล้นเหลือแค่มองตาก็อ่อนระทวยแล้ว และตอนนี้เขาทำให้เธอเสียคนเพราะเพียงแค่มองร่างกายหนาก็จินตนาการไปถึงค่ำคืนแสนหวานระหว่างกันเสียแล้ว
โฮ่ง
ดวงตากลมโตมองตามเสียงก็พบเจ้าตูบนั่งลิ้นห้อยอยู่หน้าบ้านจึงส่งยิ้มแล้วเดินออกไปหา เธอพึ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าคืนเข้าหอที่ได้ยินเสียงสุนัขก็มาจากเจ้าสี่ขาแสนรู้ซึ่งต้องการปลุกเจ้าของบ้านมาให้อาหาร และมันทำให้เธอเสียสาวครั้งแรกเพราะความกลัวโดยไม่มองหน้ามองหลังแท้ๆ
“ว่าไง อยากกินข้าวเหรอ” เธอลูบหัวเจ้าสุนัขหลังอานอย่างนึกเอ็นดู
“แฮ่ๆ” เจ้าสุนัขส่ายหางไปมา
ร่างบางจึงหัวเราะเล็กน้อยก่อนเข้าบ้านไปยังโซนครัว ล้างไม้ล้างมือเพื่อเตรียมอาหารสำหรับสุนัขหลังอาน พณณกรเดินออกจากห้องนอนเพื่อจะอาบน้ำเห็นภรรยาเตรียมวัตถุดิบก็ปล่อยให้หล่อนได้ทำโดยไม่รบกวน
แต่ละคนต่างทำธุระส่วนตัวกระทั่งชายหนุ่มได้กลิ่นหอมของอาหารจึงเดินมาดูพบว่าเป็นข้าวต้มใส่อกไก่สับของโปรดจึงยกยิ้มกอดเอวเล็กพลางสูดดมความหอมที่ผมยาวสวย
“รู้ได้ไงว่าฉันอยากกินข้าวต้มตอนเย็น” หล่อนหันมาเลิกคิ้วให้เขา
“อะไร ฉันไม่ได้ทำให้นาย อันนี้ของเจ้าตูบมัน”
คนฟังหุบยิ้มทันทีแล้วหันไปมองที่หน้าบ้านเห็นสุนัขพันธ์หลังอานนั่งกระดิกหางรอด้วยความหวังก็เกิดไม่สบอารมณ์
มันเป็นเพศผู้ซะด้วย
“ฉันไม่ให้มันกิน ถ้าจะกินก็ให้มันทำเองสิ”
ไม่นึกว่าร่างสูงจะพูดเอาแต่ใจขนาดนี้จนบุลลาต้องหันมามองเขาพลางถอนหายใจนึกระอากับอารมณ์แปรปรวนไม่สามารถคาดเดาได้
“มันเป็นหมานะนายจะให้ทำกินเองได้ยังไง นายนั่นแหละต้องทำเองมือก็มี สมองก็ไม่ได้ฝ่อ ลองเปิดกูเกิ้ลทำอาหารเองแล้วกัน” หล่อนว่าก่อนกลับไปจัดการยกหม้อข้าวต้มออกจากครัวเพื่อไปเทใส่ชามสำหรับสุนัขเพศผู้ มันส่ายหางดีใจยกใหญ่แต่เมื่อเห็นควันลอยคลุ้งจึงนั่งแลบลิ้นรอให้เย็นเสียก่อน
สัตวแพทย์หนุ่มเม้มปากแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์เขามองแผ่นหลังเล็กลูบหัวเจ้าตูบอย่างเอ็นดูก็เกิดความน้อยใจซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน จะว่าไปช่วงนี้เขาก็รู้สึกว่าตนเองค่อนข้างอ่อนไหวพอสมควร อะไรกระทบจิตใจหน่อยก็บ่อน้ำตาตื้นหวิดจะร้องไห้หลายครั้ง อีกทั้งมีความต้องการที่สูงกว่าปกติ ชอบกลิ่นกายของบุลลาจนอยากจะเอาเธอติดตัวไปด้วยทุกที่
เขาชักจะเป็นเอามากแล้ว..
“โอ๊ย” ด้วยความคิดอะไรเพลินไม่ทันระวังมือหนาก็ไปสัมผัสกับเตาแก๊สที่พึ่งถูกใช้งานจนต้องรีบเอามือออกห่าง
ภรรยาได้ยินเสียงคนตัวสูงก็รีบเข้ามาดูเห็นเขากุมมือก็นึกเป็นห่วง
“เป็นอะไรน่ะคุณ” จับมือหนาขึ้นมาดูพบว่ามันเริ่มพองและแดงจึงรีบพาเขาไปล้างน้ำสะอาด
“ไม่ต้อง ฉันดูแลตัวเองได้” จะเบี่ยงตัวหนีเพราะนึกน้อยใจ
แต่หล่อนก็ไม่ปล่อยให้เขาทำได้ตามต้องการยังคงจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะพาไปนั่งโซฟา คนตัวสูงก็ยื้อโดยใช้แรงเพียงน้อยนิดเพราะที่จริงใจก็อยากให้เธอดูแลเช่นเดียวกัน ยามใบหน้าหวานมองด้วยความตั้งใจทำให้หน้าอกข้างซ้ายทำงานแปลกๆ
มันเต้นเร็วขึ้นทั้งยังรู้สึกคันจนต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาเกา ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรแต่เขาไม่อยากยอมรับ..
ว่าตอนนี้ตนเองตกหลุมรักผู้หญิงหน้าเงินเข้าเสียแล้ว
“ทีหลังก็หัดระวังบ้าง ดูสิมือแดงไปหมดแล้ว”
มองริมฝีปากจิ้มลิ้มบ่นให้อย่างไม่ละสายตา ปากเล็กเผยอขึ้นเล็กน้อยยามที่พูดก่อนเสียงที่เอ่ยวาจาจะถูกปิดด้วยฝีมือของคนบาดเจ็บ
ร่างสูงช่วงชิงลมหายใจจากหล่อนแล้วเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจ เอียงองศาหน้าเพื่อให้ตอบรับสัมผัสได้อย่างถนัดโดยมีน้ำเชื่อมใสยืดออกยามผละห่างกัน จนกระทั่งทั้งคู่ละริมฝีปากออกจากการแต่หน้าผากยังแนบชิดอยู่ ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างมีความสุข ไม่คิดว่าชีวิตแต่งงานจะดีขนาดนี้
“ลองเรียกพี่เอิร์ธหน่อยสิ เหมือนที่เรียกวันนั้น” แค่เอ่ยถึงใบหน้าหวานก็แดงซ่านเพราะความเขินอาย จะเรียกเขาว่าพี่ยามที่ร่วมรักกันหรือไม่ก็ครั้งที่เคยแกล้งชายหนุ่มจนต้องยอมให้ไปทำงานพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหาร ทว่าเมื่ออยู่ในอารมณ์ปกติแทบไม่เรียกพณณกรว่าพี่เลย
“ไม่เอา” ปฏิเสธทั้งยังพยายามหันหน้าหนี
จนถูกชายหนุ่มจับใบหน้าเอาไว้ให้สบตากัน
“เรียกให้ฟังหน่อยนะ นะครับน้องบัว” เสียงทุ้มเอ่ยขอร้องพร้อมประโยคพิฆาตด้วยชื่อของหล่อน แม้จะอายแสนอายก็ต้องข่มความรู้สึกนั้นช้อนตาขึ้นมองเขาช้าๆ แล้วเอ่ยเรียกเสียงหวาน
“..พี่เอิร์ธ”
เพียงเท่านั้นร่างสูงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาอุ้มร่างบางขึ้นแล้วมุ่งตรงไปยังห้องนอนหลังจากนั้นก็จัดการมอบรางวัลให้แก่เด็กดีที่ยอมเรียกชื่อของสามีพร้อมน้ำเสียงออดอ้อนในความรู้สึกของเขา อาหารเย็นถูกปัดไปเพราะตอนนี้เจ้าของบ้านขอชิมของหวานก่อน
แล้วดูท่าว่าจะชิมทั้งคืนเสียด้วย..
หลังจากเลิกงานในไร่บุลลาก็เข้าไปในตัวอำเภอกับนุ่มนิ่มเพื่อทำงานในร้านอาหาร จากประสบการณ์ที่เคยผ่านงานในบริการช่วยให้ร่างบางค่อนข้างควบคุมอารมณ์ได้ยามถูกแขกหนุ่มลวนลามทางสายตาและวาจา เธอยังไม่อยากมีประวัติเสียหรือถูกไล่ออกเพราะต้องการเงินเพื่อหมุนในแต่ละเดือน
พณณกรมักจะมารับทุกวันหลังงานเสร็จสิ้น ใบหน้าคมนิ่งขรึมจนพนักงานหนุ่มที่คิดจะเกี้ยวเพื่อนร่วมงานจำต้องล่าถอยไม่อยากมีเรื่องกับสัตวแพทย์หนุ่มผู้มือหนักเป็นที่เลื่องลือ เขาเคยลงแข่งชกมวยการกุศลและชนะน็อกมาแล้วชื่อเสียงกระจายไปไกลจนไม่มีใครกล้าหาเรื่อง เว้นเสียแต่ว่า..
“นั่น ไอ้พณณกรหรือเปล่า” ร่างสูงในชุดสูทหรูหยุดเดินแล้วหันไปมองชายหนุ่มที่คุ้นหน้าค่าตาเป็นอย่างดีซึ่งยืนพิงรถยนต์อยู่ข้างนอกร้านอาหาร
เสี่ยกรรชัย เจริญประมุข ผู้มีอิทธิพลประจำอำเภอ กิจการกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ทั้งโรงแรมร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าล้วนแต่เป็นของเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงแค่ในตัวอำเภอแต่หมายรวมถึงทั้งจังหวัดชื่อของเสี่ยใหญ่ก็เลื่องลือไปไกล และอีกเรื่องที่ผู้คนต่างกล่าวขานเป็นเสียงเดียวกันคือความเจ้าชู้ แม้จะอายุขึ้นเลขสี่ทว่าไม่เคยมีหญิงเคียงกายเป็นตัวเป็นตน มีเล็กมีน้อยไปเรื่อยไม่ลงหลักปักฐานเสียที
“อ๋อ ครับ ภรรยาของเขาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นี่”
ร้านอาหารแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในกิจการของเขาเช่นกันแต่ให้อยู่ในชื่อของน้าสาวส่วนตนขอเป็นเพียงหุ้นส่วนก็พอ แค่โรงแรมก็บริหารไม่ไหวแล้ว
“อย่างนั้นเหรอ เอาประวัติของผู้หญิงคนนั้นมาให้ฉันด้วย” บอกผู้ติดตามของตนก่อนจะกอดอกมองผ่านผนังใสของร้านเห็นร่างบางเดินออกไปหาสามีก่อนรถจะเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว
..มันแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเขาไม่เคยรู้เลย สงสัยจะทำงานหนักเกินไปจนลืมศัตรูคู่อาฆาต มันบังอาจมาแตะต้องผู้หญิงของเขาคราวนี้จะเล่นให้รู้สึกบ้างว่าการถูกแย่งของรักของหวงมันเป็นอย่างไร แล้วเราจะได้เห็นดีกันแน่..ไอ้พณณกร!
บนรถยนต์ที่ชายหนุ่มไปยืมมาจากเพื่อนสนิทเพราะไม่อยากให้ร่างบางนั่งรถมอเตอร์ไซค์ยามมืดค่ำ ใจก็อดสงสารหล่อนไม่ได้ต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต หรือบางทีเขาควรจะบอกความจริงไปให้สิ้นเรื่อง ไม่ดีกว่าลองใจไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่านิสัยแท้จริงของกันและกันเป็นอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ หล่อนไม่ได้เข้าหาเขาเพราะเงินอย่างแน่นอน
“นายกินอะไรหรือยัง” หันไปมองใบหน้าคมที่ซีดเซียวก็เอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วง เมื่อเช้าเขาตัวรุมๆ จนต้องยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกายแล้วก็ต้องตกใจเพราะตัวเขาร้อนราวกับไฟ
“นี่นายกินยาหรือยัง ทำไมตัวร้อนกว่าเมื่อเช้า” ถามเสียงตื่นซึ่งร่างสูงก็ทำเพียงส่ายหัวแทนการบอกกล่าว “ฉันอุตส่าห์วางไว้ให้ที่โต๊ะกินข้าวตาไม่มีหรือไง เฮ้อ จอดร้านขายยาแถวนี้ก่อนเดี๋ยวไปซื้อแผ่นเจลลดไข้แล้วก็ยาแก้ปวดหัว ที่บ้านหมดแล้ว”
มองหาร้านขายยาก่อนเขาจะจอดตามที่ร่างบางต้องการ เมื่อรถหยุดหล่อนก็รีบลงไปเพื่อเลือกซื้อยาสามัญประจำบ้านเกิดฉุกเฉินจะได้มีใช้
เพียงไม่นานก็กลับมาขึ้นรถมองเห็นแววตาคมเหนื่อยล้าก็นึกสงสาร เขาต้องทำงานหนักไหนจะขับรถมารับในตัวอำเภอแทบทุกวัน ใจดวงน้อยอ่อนยวบเมื่อรับรู้ถึงความเอาใจใส่ที่ชายหนุ่มมีให้ ก่อนแต่งงานเขาดูปากเสียชอบหาเรื่องทั้งยังฐานะยากจนแต่เมื่อได้รู้จักกันก็เห็นถึงอีกด้านของพณณกร
ความอ่อนโยนที่มีให้เธอ บางครั้งก็อ้อนราวเด็กน้อยหรือบางทีกลับมีความเป็นผู้นำจนรู้สึกปลอดภัย เพียงแค่อยู่ด้วยกันสองเดือนหัวใจที่เคยตั้งกำแพงสูงก็ค่อยถูกเซาะจนแทบจะพังลงมา
..ดูท่าเธอจะตกหลุมเสน่หาของเขาเข้าเสียแล้ว
และเมื่อรถยนต์จอดลงที่หน้าบ้านหลังเล็กร่างสูงก็ถูกภรรยาประคองเข้ามาในบ้านพาเขาไปนอนบนเตียงโดยตนเองก็ออกไปหากะละมังใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูเพื่อเช็ดตัวให้คนไข้
“ก่อนไปนายอาบน้ำเหรอ” เห็นพื้นห้องน้ำยังเปียกจึงเอ่ยถามพลางบิดผ้าชุบน้ำให้หมาด
“อือ” ตอบขณะที่ยังหลับตาแน่น เขารู้สึกปวดหัวเหมือนมีคีมมาบีบขมับทั้งสองข้าง
“เป็นอะไร ปวดหัวมากเลยเหรอ” ขณะที่เอาผ้าเช็ดใบหน้าคมก็เห็นอีกฝ่ายมีเหงื่อผุดขึ้นตามไรผมทั้งยังหลับตาแน่นราวกำลังต่อสู้กับอาการที่จู่โจมตนเอง
“อือ” เขาแทบไม่อยากตอบอะไรเพราะกลัวว่าจะเผลออารมณ์เสียใส่คนตรงหน้า
และดูเหมือนว่าหล่อนจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาจึงไม่ถามอะไรอีกนอกจากเช็ดตัวให้อย่างเงียบเชียบ ถอดเสื้อยืดออกอย่างง่ายดายพยายามถอดกางเกงผ้าลินินเนื้อนุ่มออกโดยคนหลับตาก็ให้ความร่วมมือยกสะโพกขึ้น หลังจากนั้นก็ห่มผ้านวมผืนใหญ่คลุมกายสูงค่อยออกไปข้างนอก ไม่ลืมเปิดประตูบานเลื่อนเพื่อรับลมธรรมชาติก่อนจะดึงประตูที่เป็นมุ้งลวดกันยุงเข้าปิดไว้อีกชั้น
กลิ่นอาหารลอยมากระทบจมูกจนคนนอนหลับต้องลืมตาตื่น
“กินข้าวก่อนสักคำสองคำนะ จะได้กินยา” หล่อนทำข้าวต้มปลามาให้เขาแม้เวลาจะเคลื่อนเข้าสู่วันใหม่แล้วก็ตาม
สัตวแพทย์ไม่ปฏิเสธลุกขึ้นมารับประทานอาหารโดยมีบุลลาป้อนจนจัดการไปได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องยกมือยอมแพ้ เขาขมคอไปหมดไม่สามารถยัดเข้าไปมากกว่านี้
“นี่น้ำ แล้วก็ยาลดไข้ แก้ปวดหัวกินเข้าไปเลยนะ” ดูท่าทางแล้วเขาคงเป็นจำพวกกินยายากจึงต้องจ้องมองทุกการกระทำ
ใบหน้าคมแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อพยายามกลั้นหายใจยัดยาลงไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าพึ่งนอน ใส่เสื้อผ้าก่อน” บังคับเขาพร้อมยื่นเสื้อยืดตัวใหญ่และกางเกงบอลให้ซึ่งนายพณณกรก็กลายร่างเป็นเด็กชายตัวน้อยเชื่อฟังคำสั่งภรรยาทุกอย่างก่อนจะปิดท้ายด้วยการติดเจลลดไข้ที่หน้าผากขณะที่มือหนาพยายามจะแกะออกเพราะรู้สึกรำคาญ
“ห้ามแกะออก ไม่อยากหายหรือไง” ขู่เสียงแข็ง
คนตัวใหญ่ถอนหายใจเอามือแนบลำตัวก่อนหลับตาเพื่อพักผ่อน
..ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นไข้เพียงโหมงานหนักนิดเดียวดันมาตัวร้อนไม่สบายเสียอย่างนั้น ร่างกายเขาคงแปรสภาพตามอายุที่มากขึ้นเสียแล้วละมั้ง
หลังดูแลเขาเรียบร้อยก็กลับมาเก็บกวาดครัวไม่ลืมปิดประตูหน้าบ้านตรวจตราทุกอย่างค่อยเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ใบหน้าหวานก้มมองหน้าท้องที่ยื่นออกมาเล็กน้อย ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองเจ้าเนื้อมากขึ้นจนมารดาทักอาจเพราะกินเยอะเนื่องจากสามีบังคับไม่อยากตามหาภรรยาหากพัดปลิวไปตามแรงลม
ผลที่ได้ก็คือเธออ้วนขึ้นจนอยากเฉ่งคนต้นเหตุ แต่เขาไม่สบายเนี่ยสิ รอให้หายก่อนเถอะจะบ่นให้หูชาเลย
หลังจากที่หายอาการไข้วันเสาร์สองหนุ่มสาวก็ช่วยกันปลูกพืชผักสวนครัวที่หลังบ้านตามคำสั่งของหญิงผู้ใหญ่สุดของบ้านหลังนี้ซึ่งก็คือบุลลา หล่อนปลุกเขาแต่เช้าให้มาขุดดินหลังบ้านติดกับลำธารเล็กส่วนตนเองก็ซักผ้า กวาดบ้าน วันพักผ่อนแทนที่จะได้นอนต้องมาใช้แรงงานตั้งแต่ตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า
“หิวข้าว อยากกินข้าวโว้ย” โวยวายเสียงดังจนคนที่กำลังตากผ้าหันมามอง"ได้ยินไหมว่าหิวข้าว” ถามทั้งที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อจากการใช้แรงขุดดินทำเป็นแปลงผัก ไม่รู้แม่คุณเกิดคึกอะไรอยากทำการเกษตรทั้งที่แทบไม่มีเวลาดูแล
“รู้แล้วค่า เดี๋ยวไปทำให้นะคะคุณสามี”
เมื่อจัดการผ้าเรียบร้อยจึงเดินเข้าบ้านเตรียมอาหารเช้าหลายอย่างเป็นการตอบแทนร่างสูงที่ต้องลุกมาทำงานแต่เช้า ดวงตากลมโตมองปฏิทินแล้วก็ถอนหายใจ สัปดาห์หน้าเขาต้องไปกรุงเทพฯ แล้วรู้สึกใจหายแปลกๆ เห็นหน้าทุกวันตัวแทบติดกันตลอดเวลาจะให้แยกห่างก็โหวงในอก
อย่าคิดมากน่าบัว แค่แปบเดียวเท่านั้นเอง
เรียกสติตนเองก่อนเริ่มนำวัตถุดิบออกมาและทำอาหารเช้าสำหรับสองที่แต่ดูแล้วราวกำลังจะจัดงานเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน ร่างหนากินจุหากทำหนึ่งหรือสองอย่างคงไม่อยู่ท้องเขาแน่เผลอๆ จะกินเธอเข้าไปด้วยนี่สิจึงต้องทำอาหารกว่าสี่อย่างสำหรับสองที่เท่านั้น
ตืด ตืด ตืด
เสียงโทรศัพท์ของพณณกรดังขึ้นโดยเขาวางไว้โต๊ะหน้าทีวี ใบหน้าหวานหันมามองก่อนตะโกนเรียกสามี
“โทรศัพท์นายดังมารับหน่อยสิ” แล้วหันไปสนใจอาหารตรงหน้าแทนแต่รอสักพักเจ้าของเครื่องก็ไม่มาจนต้องตัดสินใจปิดเตาแก๊สเดินไปล้างมือพร้อมเช็ดจนแห้งมาที่เครื่องมือสื่อสารยี่ห้อดัง
เคยถามเขาว่าเอาเงินอะไรไปซื้อก็ได้รับคำตอบเพียงว่าของตกทอดจากชลธีจึงไม่ได้ติดใจเอาความอะไร
“ไปรยาเหรอ” ชื่อที่โชว์บนหน้าจอสร้างความสงสัยให้แก่คนเป็นภรรยาจนต้องยกขึ้นมากดรับสาย
'กว่าจะรับนะคะ หนึ่งเกือบได้ขับรถไปหาที่ไร่แล้ว'
เสียงที่ตอบโต้หวานจนจินตนาการเห็นใบหน้าของปลายสายว่าต้องสวยอย่างแน่นอน หัวใจดวงน้อยสั่นไหวรุนแรงและก่อนตอบโต้ออกไปก็มีมือมาคว้าโทรศัพท์เอาไปก่อน
ร่างสูงมีสีหน้าเคร่งขรึมจนบุลลาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป เขาเดินเลี่ยงไปหลังบ้านจึงทำให้ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่
หล่อนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนต้องนั่งลงบนโซฟา มือสั่นจนต้องกุมเอาไว้บนหน้าตัก ความกลัวแล่นเข้ามาหอบกุมใจทั้งที่พยายามไม่คิดอะไรมาก
อาจเป็นแค่เพื่อนของเขาเท่านั้น แค่เพื่อนน่าบัวอย่าคิดมากเลย..
'ฮัลโหลเอิร์ธได้ยินไหมคะ ฮัลโหล'
หันไปมองประตูหลังบ้านก็ไม่เห็นร่างบางเดินตามออกมาจึงโล่งใจยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ครับ ได้ยิน”
'แล้วก็ไม่ตอบ หนึ่งจะโทรมาย้ำว่าสัปดาห์หน้าเรามีนัดกันนะคะ ห้ามเบี้ยวด้วย'อันที่จริงเขามีนัดกับทางมหาวิทยาลัยต่างหากไม่ใช่หญิงสาวปลายสาย
“ไม่เบี้ยวหรอก” ทั้งที่ใจพร้อมจะปฏิเสธตลอดเวลาก็ตาม ไม่อยากกลับไปยิ่งตอนนี้มีบุลลาอยู่ด้วยเขาก็อยากตัวติดกับหญิงสาวทั้งวัน
หรือจะพาไปด้วยดี..
ไม่ได้หรอก ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครหากทุกคนรู้เข้าเรื่องก็จะยุ่งไปกันใหญ่อีกทั้งเขาไม่พร้อมจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนให้หล่อนรู้ ขอเวลาอีกสักหน่อยแล้วกันให้เขาแน่ใจเสียก่อนว่าบุลลาไม่ได้หวังเงินและรักเขาอย่างจริงใจ และวันนั้นชายหนุ่มจะบอกเธอเองว่าสถานะที่แท้จริงใคร
'หนึ่งบอกแม่คุณเรื่องที่จะกลับมาแล้ว ท่านเลยฝากบอกให้เอิร์ธไปงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของคุณอาดลด้วย'
ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม เขาไม่อยากไปเลยสักนิดไม่อยากเห็นหน้าเพื่อนทรยศแม้บรรดาพี่ๆ จะเพียรโทรหาพร้อมทั้งหว่านล้อมให้ยกโทษแก่กองทัพก็ไร้การตอบรับจากน้องชาย
เวลาอาจผ่านไปหลายปีแต่เหตุการณ์ยังเหมือนพึ่งเกิด เขาจดจำถึงความเลวระยำนั้นได้แม่นยำ
'เอิร์ธได้ยินไหมคะ'
“ครับ”
หลังจากนั้นเธอพูดอะไรเขาก็ไม่อาจทราบจนกระทั่งวางสายไป ร่างสูงทิ้งมือข้างลำตัวก่อนก้าวไปภายในบ้านเห็นบุลลากำลังลำเลียงอาหารออกไปวางที่โต๊ะข้างนอกก็เดินเข้าไปช่วยโดยไร้การพูดคุย ไม่มีแม้คำถามจากริมฝีปากเล็กทั้งที่ดวงตาฉายแววใคร่รู้
บนโต๊ะอาหารมีเพียงความเงียบที่แสนอึดอัด เธอไม่ถามเขาก็ไม่พูดนั่งกินข้าวกันโดยมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เจ้าตูบวิ่งมานั่งที่ของมันเห็นอาหารวางอยู่ในชามก็ก้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
พณณกรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกและมีหมอกสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณจนต้องเอ่ยทำลายบรรยากาศนั้น
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เขาต้องไปงานที่มหาวิทยาลัยเหมือนกันเลยโทรบอก” ทั้งที่ยังไม่ได้ถามเขาก็บอกเป็นฉากราวรับรู้ความในใจของหล่อน
“"ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ถึงจะได้ยินอย่างนั้นแต่ความรู้สึกกลับไม่ได้คล้อยตามเท่าที่ควรราวกับว่ามีบางอย่างบอกเธอไม่ให้ไว้ใจผู้หญิงคนนั้น
..ใครจะเอ่ยทักเพื่อนเสียงหวานแบบนั้นกัน
“แต่หน้าบูดเป็นตูดเชียว” เอื้อมไปหยิกแก้มนุ่ม
จนเธอต้องปัดออกแล้วมองเขาตาเขียว
“ฮึ่ยบอกว่าอย่าเอามือมาจับหน้าเดี๋ยวเป็นสิว” ดุเสียงไม่จริงจังนัก
แล้วบรรยากาศที่เคยอึมครึมก็พลันเปลี่ยน ท้องฟ้าเริ่มสว่างมีเสียงนกร้องประสานลมพัด ได้กลิ่นอายดินและใบหน้าคมก็ยิ้มออกมาหลังเห็นคนตัวเล็กมีท่าทีผ่อนคลายกว่าเมื่อสักครู่
“ครับ เข้าใจแล้วครับคุณผู้หญิง”
อาหารมื้อเช้าผ่านพ้นด้วยดีแล้วไปช่วยกันปลูกผักโดยนำเมล็ดพันธ์จากไร่มาหว่าน บุลลาเขียนป้ายชัดเจนว่าแปลงนี้คือผัดชนิดไหนกลัวจำสับสน พณณกรช่วยไม่ห่างนำความรู้ที่เคยลงเรียนวิชาเลือกที่คณะเกษตรมาใช้และจากประสบการณ์ทำไร่ของตน
บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะโดยที่ทั้งสองก็ได้แต่คาดหวังว่าความรู้สึกแบบนี้จะอยู่กับพวกเขาไปอีกแสนนานไม่ได้คิดเอะใจหรือระแวงสักนิดว่าบางทีมันอาจจะใกล้เวลาสิ้นสุดทั้งที่เพิ่งเริ่มต้น
ก่อนวันที่ร่างสูงจะไปกรุงเทพฯ หญิงสาวก็ตัดสินใจลางานละทิ้งรายได้เพื่อกลับมาเก็บกระเป๋าและใช้เวลากับร่างสูงให้มากที่สุดโดยไม่ยอมรับกับอีกฝ่ายว่าไม่อยากให้เขาไปเลย ไม่ต่างจากร่างสูงที่อยากยกเลิกนัดครั้งนี้เพียงแค่เห็นใบหน้าหวานหงอยเหงาจนต้องเดินไปกอดจากทางด้านหลังระหว่างที่หล่อนนั่งพับผ้าใส่กระเป๋าให้อยู่บนเตียง
“แค่สามวันเอง” กระซิบที่ข้างหูเสียงเบาพร้อมทั้งก้มลงหอมซอกคอขาว
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ไปกี่วันก็เรื่องของนายสิ” แสร้งทำเสียงขึงขังทั้งที่ใจอ่อนยวบ อยากรั้งเอาไว้แต่ปากก็แข็งเกินกว่าจะเอ่ยออกไป
“ไม่คิดถึงกันหน่อยเหรอ”
แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบก่อนที่หญิงสาวจะละมือจากงานที่ทำแล้วหันหน้ามาหาเขาลุกขึ้นไปนั่งบนตักโอบรอบคอแกร่ง
“รีบกลับมานะ” เธอประทับริมฝีปากลงบนแก้มเขาก่อนจะส่งยิ้มแสนอ่อนหวานให้
ทำเอาหัวใจแข็งแกร่งละลายเป็นน้ำจับใบหน้าหวานมอบรางวัลเป็นจูบแสนพิเศษให้ก่อนจะดันตัวเธอให้นอนลงกับเตียงปัดกระเป๋าและสิ่งของที่เกะกะสายตาจนตกพื้น เริ่มกิจกรรมแสนหวานส่งท้ายเพราะต้องไปหลายวันคงคิดถึงเป็นแน่และคนตัวเล็กก็ยินยอมพร้อมใจไม่ปฏิเสธสักนิด
คืนนั้นพณณกรแทบสำลักความสุขตายเสียแล้ว
เขาขับรถยนต์ที่อ้างว่าเป็นของชลธีทั้งที่จริงคือของตนเองมุ่งตรงสู่นครหลวง หวนนึกถึงเมื่อเช้าที่บุลลาเตรียมของให้และเรื่องราวที่เอ่ยถามกัน
“ฉันต้องไปงานเลี้ยงของอาที่รู้จัก ฉันไม่อยากไป” คิดว่าอย่างไรมารดาก็คงบังคับแน่ หากเขาหนีท่านคงตัดออกจากกองมรดกซึ่งเรื่องนั้นไม่กลัวสักนิดเพราะหาเลี้ยงตนได้อยู่แล้วแต่ไม่อยากเห็นร่องรอยความเสียใจจากดวงตาของบุพการีจำต้องไปอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้
“ทำไมล่ะ” หันมาถามด้วยความสงสัย
“ฉันเคยมีแฟนคนหนึ่ง คบกันตั้งแต่มอห้าจนถึงปีสามแล้ววันหนึ่งตอนที่ฉันกลับจากค่ายอาสาแล้วแวะไปหาแฟนก็เห็นว่าเธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ตอนที่ฉันเห็นหน้ามันตัวชาไปหมดเลยเพราะมันเป็นเพื่อนสนิทแล้วก็เป็นญาติที่รู้จักตั้งแต่เด็ก” ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้บอกเรื่องนี้แก่หล่อน ดวงตาคมเหม่อลอยไปถึงเหตุการณ์ในอดีต
จนร่างบางต้องเข้ามาจับมือเอาไว้ด้วยความเข้าใจ
..ไม่นึกว่าคนหน้าตาดีแบบนี้จะผิดหวังเรื่องความรักเหมือนกัน
“โกรธเขาไหม”
“มากเลยละ ฉันอยากต่อยมัน กระทืบมัน ยิงมันทิ้งด้วยซ้ำ..แต่ก็ทำไม่ลง มันเป็นเพื่อน เพื่อนคนเดียวที่โคตรสนิท”
..รู้จักกันมานานเห็นไส้เห็นพุงทุกเรื่องใครจะคิดว่าจะหักหลังกันได้ลงคอ
"แล้วตอนนี้ยังโกรธอยู่ไหม”
คำถามนั้นทำให้เขาเงียบไปพักใหญ่แล้วเอ่ยเสียงเบา
“โกรธ”
บุลลาเข้าไปใกล้เขาแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาคมที่พยายามหลบสายตา
“เอาความจริงสิ ยังโกรธเขาไหม” ด้วยเวลาที่ล่วงเลยมาแต่ก็เหมือนเหตุการณ์พึ่งเกิดขึ้น เขายังรู้สึกโกรธอยู่แต่นอกเหนือจากนั้นก็ต้องยอมรับว่าความรู้สึกอยากปลดปล่อยก็มีมากไม่แพ้กัน แค่เรื่องงานก็เครียดแล้วเขาจะเอาเรื่องนั้นมารบกวนจิตใจทำไมอีก
“ถ้าปล่อยแล้วทำให้เบาขึ้นก็ลองทำดู เรื่องมันเกิดขึ้นมานานแล้วไม่ใช่เหรอ ป่านนี้แผลก็ตกสะเก็ดแล้วแหละ ถ้าเขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวก็แสดงว่าเขามีค่ากับนายมาก แล้วนายก็คงมีค่ากับเขามากเหมือนกัน”
..ไม่คิดว่าคนที่รู้เล่นไปวันๆ จะพูดจามีสาระได้ด้วย
พณณกรมองภรรยานิ่งราวไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน
“ชั่งใจแล้วกันว่าจะเอาเรื่องอดีตมารั้งชีวิตของนายหรือเปล่า” บอกเขาทั้งที่ตนเองก็เจอเรื่องหนักหนาไม่แพ้กัน เธอโดนแฟนหนุ่มหักหลังไปคบกับพริตตี้รุ่นพี่ทั้งยังหลอกให้กู้เงินจนต้องเป็นหนี้ธนาคารอีก
..หึ น่าสมเพชสิ้นดีเพราะความหน้ามืดตามัวหลงผู้ชายและใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายโดยแท้
“เมียใครทำไมแสนรู้จังเลย” คว้าร่างบางมากอดเอาไว้ก่อนสูดความหอม ที่แก้มเนียนโดยที่เธอไม่ขัดสักนิด
“แสนรู้มันใช้กับหมาไม่ใช่เหรอ”
เสียงหัวเราะดังก้องก่อนร่างบางจะพยายามทุบตีคนตัวหนา
ใบหน้าคมหลุดยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงหล่อน
..หากพามาด้วยก็ดีน่ะสิแต่เอาไว้ก่อนแล้วกันให้เขามั่นใจในตัวอีกฝ่ายก่อนแล้วจะพาเข้าบ้านไปแนะนำในฐานะคุณผู้หญิงคนเล็กของตระกูลวิจิตรประภาก็แล้วกัน
รถยนต์เคลื่อนตัวสู่เมืองหลวงของประเทศไทยในยามบ่ายคล้อย เขาเลือกจะแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของขวัญให้คุณอาผู้เป็นที่รัก
ไม่ได้มาเสียนานดูเหมือนตึกรามจะเยอะขึ้นจนแทบหลง ชายหนุ่มจอดรถยังช่องวีไอพีสำหรับตระกูลวิจิตรประภาเหมาจ่ายรายปีก่อนยื่นบัตรประชาชนให้ผู้รักษาความปลอดภัยแล้วเดินตัวปลิวเข้าไปในอาคารสูง มองไปทางไหนก็ไม่คุ้นตา ปกติจะเห็นทุ่งหญ้า ท้องฟ้าและเหล่าสัตว์แต่วันนี้มีเสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงโชว์หราจนนึกถึงคนตัวเล็กที่ชอบใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมอยู่แต่เมื่อออกไปทำงานต้องหยิบยืมเสื้อสก็อตเขาทุกทีเพราะกลัวว่าชุดตนเองจะเปื้อน
“เอิร์ธใช่ไหม เอิร์ธจริงด้วย!”
เสียงเรียกทำให้เขาหันไปมองผู้มาใหม่ก็ต้องตกใจเพราะเธอคือผู้ที่อยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายของตน
“ไม่เจอกันนานเลย เป็นอย่างไรบ้าง” คำถามที่เอ่ยพร้อมใบหน้าหวานยิ้มแย้มราวไม่เคยทำเรื่องขุ่นข้องหมองใจให้กัน
สร้างความโกรธแก่ร่างสูงจนต้องกำมือแน่น เขาจะเดินผละออกเพราะรังเกียจแม้แต่จะมองใบหน้าใสซื่อที่คอยแทงข้างหลังอยู่ตลอดเวลา
“เดี๋ยวก่อนสิ คุยกับเราก่อนไม่ได้เหรอ” มือเล็กคว้าแขนหนาเอาไว้
จนเขาต้องรีบสลัดออกราวเจอของร้อน
“แค่หน้าเธอฉันยังไม่อยากจะมองใช้สมองอันน้อยนิดคิดหน่อยสิว่าฉันจะอยากคุยกับคนอย่างเธอเหรอ” เหยียดยิ้มให้ร่างบางนึกรังเกียจคนตรงหน้าเหลือเกิน
“ยังไม่หายโกรธเราอีกเหรอ” ถามเสียงอ่อนก่อนน้ำตาจะคลอเต็มเบ้า
..ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
“ฉันนับถือเธอจริงๆ นะ ผ่านไปหลายปีก็ไม่เปลี่ยน ดูสิตอแหลยังไงก็ตอแหลอย่างนั้น อยากปรบมือให้เลย” แล้วชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นปรบเสียงดังจนคนที่เดินผ่านหันมองอย่างสนใจ
ปลายฟ้านึกอายจนต้องรีบเช็ดน้ำตาที่พยายามบีบเค้นมองใบหน้าคมที่เปลี่ยนไปหน้ามืดเป็นหลังมือ หนุ่มที่อ่อนโยนกับเธอได้หายไปมีเพียงคนแข็งกร้าวพร้อมปะทะทุกเมื่อ
“เอิร์ธ” กดเสียงต่ำเรียกชื่อเขาในใจก็เริ่มเดือดเมื่อเห็นแววตาสมเพช
“ส่วนเรื่องของเราฉันอโหสิกรรมให้แล้วกัน เกิดชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก” ร่างสูงปล่อยให้คนตัวเล็กยืนอึ้งส่วนตนก็เดินออกมาจากที่ตรงนั้นไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาอีก แค่ลงมากรุงเทพฯ ไม่ถึงวันก็พบผู้หญิงที่ไม่เคยเจอมาหลายปี
เฝ้าถามตนเองมาตลอดว่ายังรักอีกฝ่ายหรือไม่จนกระทั่งวันนี้เขาได้คำตอบแล้ว..ไม่เลยสักนิด แม้แต่ความสงสารก็ไม่มีให้
..หมดเวรหมดกรรมกันไปซะก็ดี เจอกันแค่ชาตินี้ก็เกินพอแล้ว
๙คนที่เหมาะสมการได้พบปลายฟ้าสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่พณณกรยิ่งนัก หวนนึกถึงอดีตระหว่างกันไม่ได้อันที่จริงเขารู้จักเธอตั้งแต่อนุบาลเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกัน กระทั่งขึ้นมัธยมจึงได้ห่างกันบ้างก่อนพบกันอีกทีที่สถานเริงรมย์ แม้จะอายุไม่ถึงสิบแปดปีแต่อำนาจเงินก็บันดาลได้ทุกอย่างเขาชอบใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งยังดูไร้เดียงสาแต่เรื่องบนเตียงร้อนแรงของอีกฝ่ายจนตกลงคบหากัน แต่ความหวานก็มีเพียงสามเดือนแรกเท่านั้นเพราะจากนั้นพณณกรก็แอบไปนอนกับคนอื่น เหมือนกับที่ปลายฟ้าเองก็ทำเช่นเดียวกันแต่ทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนอกใจ กระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัยเขาจึงเลิกนอกใจหันมาให้ความสำคัญกับแฟนสาว ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดีก่อนทุกอย่างพังทลายชั่วข้ามคืนเพราะมือที่สามคือเพื่อนสนิทแค่คิดก็กำมือแน่น เขาโกรธมัน เกลียดมัน แต่ก็คิดถึงมันเช่นเดียวกัน ช่วงเวลายากลำบากมีกองทัพเคียงข้างเสมอ เคยพูดกันเล่นๆ ว่าจะแบกเป้เที่ยวรอบโลกหลังเรียนจบแต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะมีเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์แตกหักมันถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะปล่อยวางอดีตที่เคยทำร้ายใจ แล้วลองเริ่มต้นใหม่อีกครั้งถึงเวลาหรือยัง..งานเลี้ยงวันนั้นเขาไปช้ากว่
๑๐เปิดหัวใจวันที่ไร้พณณกรมันช่างเหงาเหลือเกิน เตียงที่เคยเล็กกลับกว้างอย่างน่าใจหาย ยกแขนขึ้นมาโอบกอดหมอนข้างซึ่งไม่ได้ให้ความอบอุ่นเท่าอ้อมแขนของเขาแม้แต่น้อย..ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ อีกตั้งหนึ่งวันกว่าชายหนุ่มจะกลับคิดแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยว หากโทรศัพท์ไม่หายป่านนี้คงพอคลายความคิดถึงลงได้บ้างถ้าเขากลับมาเธอจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นดีไหม..อยากให้ชายหนุ่มปลอบปะโลมโอบกอดเอาไว้ทว่าก็กลัวเจอคำสั่งเด็ดขาดไม่อนุญาตให้ไปทำงานที่นั่นอีก ถึงจะเปลี่ยนเป็นภัตตาคารก็ตาม จำต้องเงียบเอาไว้ ไม่ลืมกำชับนุ่มนิ่มและคนที่รู้เรื่องให้สงบปากอย่าได้แพร่งพรายจนสามีหล่อนจับได้เป็นอันขาด งานนี้สร้างเงินเป็นกอบเป็นกำจะทิ้งไปก็แสนเสียดายร่างบางพลิกกายไปมาคิดเห็นเพียงใบหน้าคมจนต้องลุกขึ้นนั่งมองดูรูปคู่แต่งงานซึ่งมารดาอัดกรอบมาไว้ในห้องนอนของหล่อนตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว จะว่าไปก็เกือบสองเดือนที่อยู่ในสถานะสามีภรรยาไม่รู้สึกอึดอัดใจอย่างที่คิด ยังสามารถเป็นตัวของตัวเองทำอะไรตามใจได้บ้างในบางเรื่องแต่ก็ยังมีสิ่งที่เขาห้ามเด็ดขาดคือยิ้มให้ผู้ชายคนอื่นพณณกรเป็นบุคคลที่ขี้หึงมาก แค่มีผู้ชายเขาใกล้หรือมองหน้า
๑๑เราไม่เข้าใจกันเสี่ยหนุ่มยืนส่งยิ้มให้บุลลาที่ออกจากรถแล้วพยายามหลบสายตาที่กำลังมองมา บรรยากาศที่เคยโอบล้อมไปด้วยความสุขก็ถูกทำลายทันทีเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาและดูท่าจะเป็นคนก่อพายุลูกโตอีกเสียด้วยร่างสูงของหนุ่มชาวไร่เดินมาหยุดข้างภรรยาดึงให้หล่อนไปหลบข้างหลังตนเอง"เราจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับคุณเอิร์ธ"คำพูดแสนสุภาพถูกปั้นแต่งจนคนฟังแสยะยิ้มเพราะรู้สึกระคายหู"กูไม่ได้สนิทกับมึงจนต้องทักทาย"ถึงอายุจะห่างกันเกือบรอบแต่พณณกรกลับไม่เคารพผู้ชายตรงหน้าแม้แต่น้อย ใครจะไปอยากเสวนาคนที่ส่งลูกน้องมาซ้อมเขาเกือบตายพอไปแจ้งความมันดันรอดและทางตำรวจก็จับแพะเข้ากรงขังแทนคนที่บัญชาการอยู่เบื้องหลังเจ็บใจจนต้องเอาคืนด้วยการจับผู้หญิงของมันมาขังไว้อีกรอบ"ดีเหมือนกันเพราะผมก็ไม่ได้มาทักทายคุณ คนที่ผมมาหาคือบัวต่างหาก"เขาเบนสายตาไปจ้องมองผู้หญิงที่หลบอยู่ข้างหลังสามีพลางส่งแววตาหวานให้อย่างไม่ปิดบังทำเอาเลือดร้อนขึ้นหน้าสัตวแพทย์หนุ่มจนต้องกำมือเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไรและที่สำคัญไปกว่านั้นคือรู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว.."บัวลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านครับผมเลยเก็บมาคืนให
๑๒นิรันดรไม่มีอยู่จริงเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจจะคุยกับบุลลาให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดใจกันอีกครั้ง ผละออกจากร่างเล็กแล้วมองใบหน้าหวานที่มีคราบน้ำตาก็ยกมือขึ้นเช็ดให้อย่างแผ่วเบา ดวงหน้าคมคลายความกังวลเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขลงไปบ้างแล้ว"นายห้ามทำแบบนั้นอีกนะ ถึงจะโกรธกันแค่ไหนแต่อย่าใช้กำลังบังคับนะ"ภาพเหตุการณ์วันนั้นยังตามมาหลอกหลอน หากพณณกรใช้กำลังกับเธอจริงไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังให้อภัยเขาหรือเปล่า การร่วมรักควรเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ"ไม่ทำอีกแล้ว"ลูบศีรษะเล็กก่อนจะยิ้มให้เพียงเล็กน้อยแต่กลับส่งผลให้อุ่นไปทั่วหัวใจ"ส่วนเธอก็ไปลาออกจากที่ทำงานซะ"สิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นจริงเมื่อร่างสูงพูดกึ่งบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้สวยและรายได้ดี ใบหน้าหวานนิ่งไปอย่างใช้ความคิด หากเธอตัดสินใจทำตามที่ชายหนุ่มบอกแต่ละเดือนก็แทบไม่มีเงินใช้หนี้ด้วยซ้ำ ทว่าถ้าไม่ทำก็จะมีแต่ปัญหาระหว่างกันตามมาไม่จบสิ้นควรเลือกทางไหนดี"ฉันมีหนี้ต้องใช้อีกเป็นแสนเลยนะ ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา"ยอมเอ่ยเรื่องที่ปกปิดเอาไว้เพราะอับอายแต่
๑๓รุนแรงสัตวแพทย์สาวสวยเดินออกจากคลินิกของตนเองเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งหลังหมดเวลาตรวจ ใบหน้าหวานมีแววครุ่นคิดตลอดการเดินทางกลับบ้านเนื่องจากมีคนมาเล่าให้ฟังว่าพบพณณกรเดินควงกับผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่จตุจักรเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาจึงทำให้จิตใจของหล่อนว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็นไม่มีทางที่ร่างสูงจะมาเมืองหลวงแล้วไม่โทรบอกเธอแน่ บางทีคนนั้นอาจตาฝาดทว่าเมื่อโทรศัพท์ไปหวังถามไถ่ก็ไม่มีการตอบรับจากชายที่เธอแอบรัก เพียรกดกว่ายี่สิบสายก็เหมือนเดิมยิ่งคิดมือก็สั่นเพราะความกลัวเริ่มคืบคลานมาช้าๆ ถ้าเขามีคนอื่นเธอจะทำอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาพณณกรอยู่ตัวคนเดียว อาจมีบางครั้งที่นอนกับคนอื่น ทว่ามันก็แค่ชั่วคราว ไม่ได้จริงจังถึงขั้นลงหลักปักฐาน แล้วคนนี้จะเหมือนกันไหมทำไมถึงพาไปเดินจตุจักรทั้งที่ปกติหากมาบ้านเกิด ถ้าเธอไม่ชวนเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่คอนโดหรือไม่ก็ทำธุระเกี่ยวกับไร่เท่านั้น ไหนจะครั้งที่เห็นอีกฝ่ายซื้อสร้อยคอโดยอ้างว่าเพื่อนฝากซื้อ คิดแล้วก็รู้สึกหายใจไม่ออก ต้องทุบที่อกหวังระบายความอึดอัดที่เหมือนมีหมอกมาคลุมทั่วรถ"ฮัลโหลธี ว่างคุยหรือเปล่า" ในเมื่อติดต่อคนเป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องเจ็บปวดไม่ได
๑๔ฉันสู้อะไรได้ร่างบางพยายามกรีดร้องสุดเสียงหวังให้มีคนช่วยจากเหตุการณ์ตรงหน้าหรือไม่มันอาจดังเข้าไปข้างในใจของชายคนรักซึ่งกำลังจะทำร้ายกันใบหน้าคมจัดการปิดปากเล็กด้วยริมฝีปากของตนเองดูดดึงอย่างรุนแรงเอาแต่ใจในขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนไปฉีกทึ้งเสื้อของหล่อนด้วยมือเพียงข้างเดียวจนมันขาดจากแรงดึงเมฆสีดำปกคลุมทั่วเรือนหลังเล็กเจ้าตูบซึ่งได้ยินเสียงนายของมันร้องก็เห่าพลางตะกุยประตูหวังเปิดเข้าไปช่วยแต่ก็ไร้ผลพณณกรเหมือนซาตานร้ายที่ไม่สนใจจะฟังความใดทั้งสิ้นภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของบุลลาและเสี่ยกรรชัยบอกทุกอย่างแล้วเขาไม่อยากเป็นไอ้งั่งโดนสวมเขาอีก เงินหลายแสนที่เสียให้เธอจะต้องไม่หายเปล่า อย่างน้อยก็ขอเล่นกับเรือนร่างบอบบางจนสาแก่ใจ"อย่าทำบัวเลยนะคะพี่เอิร์ธ"ร้องไห้เสียงสะอื้นแล้วพยายามห้ามเขาทว่ามันไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจของร่างสูงที่ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก"ฉันจะทำให้มากกว่าที่ไอ้เสี่ยนั่นทำ จำฉันเอาไว้นะบัว จำไว้อย่าลืม"เน้นย้ำก่อนซุกลงที่ทรวงอกนุ่มผละมือที่เคยพันธนาการหล่อนให้เป็นอิสระก่อนจะขย้ำตามร่างขาวผ่องจนเกิดรอยแดงถึงแม้จะมีการขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล แรงอารมณ์บอกก
๑๕ความแตกต่างหลายวันผ่านไปก็ไม่มีวี่แววของสามีแต่เรื่องของเขายังเข้าหูเธอตลอดเวลา และบุคคลที่คาบข่าวมาบอกคือผู้หวังดีประสงค์ร้ายอย่างฟ้ามุ่ยซึ่งต้องการเห็นความย่อยยับของคู่อริ สาวร่างอวบละจากงานแม่บ้านมานั่งคุยกับป้าที่อยู่ไร่พืชผักขณะที่กำลังคัดแยกพืชพันธุ์“ตอนเช้าฉันเห็นคุณเอิร์ธลุกมาวิ่งกับคุณหนึ่ง โอ๊ย ยืนข้างกันแล้วเหมาะสมเหลือเกินป้า เหมือนกิ่งทองใบหยก”พูดเสียงดังหวังให้ประโยคนี้ไปเข้าหูของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของสัตวแพทย์สุดหล่อแห่งฟาร์มสายรุ้ง“อ้าว เขาจะไปด้วยกันได้ยังไง คุณเอิร์ธนอนที่ไหน”บุลลาทำนิ่งเฉยทั้งที่ใจสั่นไหวไม่อาจหักห้ามได้“เขาก็นอนที่บ้านคุณธีสิ เอ๊ะ แต่คุณหนึ่งก็นอนที่บ้านคุณธีนะ หรือว่าเขาจะนอนด้วยกัน”ว่าจบก็ปรบมือดีใจยกใหญ่ทำให้บานเย็นที่ทนนั่งฟังมานานต้องลุกขึ้นยืนชี้หน้าสาวรุ่นลูกอย่างโกรธเคือง“เอ็งไม่มีการมีงานทำเหรอนังฟ้ามาเม้าเรื่องเจ้านายอยู่ได้ ข้าจะฟ้องคุณดนัยให้หักเงินเดือนเอ็ง”ตะโกนก้องนึกแค้นใจเมื่ออีกฝ่ายกัดไม่ปล่อยจนแม่บ้านอายุน้อยต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้แต่เมื่อมองใบหน้าซึมเศร้าของร่างบางก็ยิ้มสมใจ“ไปก็ได้ป้า ไม่อยู่กวนแล้วจ้า”พาร่า
๑๖สิ่งที่กำลังจะเกิดไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ก็พบว่านุ่มนิ่มวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโอบกอดเอาไว้และไออุ่นจากเพื่อนก็ทำให้น้ำตาที่เคยหยุดไหลออกมาอีกครั้ง แล้วกอดตอบพลางสะอื้นจนตัวโยนเป็นที่น่าเวทนาแก่คนพบเห็นยิ่งนัก"เกิดอะไรขึ้นบัว" เอ่ยถามหลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายได้ร้องไห้จนพอใจ หล่อนโทรศัพท์มาหาก็ไม่มีการตอบรับ ด้วยความเป็นห่วงจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมแต่กลับได้ความว่าบุลลาโดนพณณกรลากตัวกลับบ้านยิ่งมาเห็นสภาพก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงทะเลาะกัน"เขาไม่เคยรักฉันเลยนิ่ม เขาทิ้งฉันไปแล้ว ฮึก ฉันจะทำยังไงดี"คนไม่เคยมีความรักก็จนปัญญาจะตอบ ทำได้เพียงลูบหลังปลอบปะโลมให้คลายจากอาการเศร้าลงบ้าง"เขาไม่เคยเชื่อฉันเลย หาว่าฉันเป็นปลิงดูดเงินเขา ฮือ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่มีอะไรกับเสี่ยด้วย ทะ ทำไมเขาไม่เชื่อกันบ้าง" ระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาหมด ภายในหัวมีแต่ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น ซ้ำจิตใจยังโดนย่ำยีจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของผู้ชายเพียงคนเดียวความรักที่เคยคิดว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้ายแต่กลับไม่เป็นอย