แชร์

๕ คืนเข้าหอ

คืนเข้าหอ

บานเย็นมีสีหน้าสดชื่นเมื่อมาทำงาน สร้างความสงสัยแก่คนอื่นทว่าแม้จะเพียรถามถึงสาเหตุก็ไม่ได้รับคำตอบ

ต่างจากพณณกรซึ่งมีสีหน้าซึมกะทือแทบไม่เป็นอันทำงาน จนลูกน้องต้องมองกันด้วยความสงสัย

..ขนาดเรื่องที่เขาเล่ากันปากต่อปากยังไม่สะเทือนนาย แล้วมันมีเรื่องอะไรถึงทำให้คนไม่สนโลกต้องมาทำหน้าเบื่อหน่ายด้วย

พลบค่ำร่างสูงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปยังบ้านเจ้าของไร่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสวนส้มเท่าไหร่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เบื้องหลังมีขุนเขาเป็นฉากประกอบ ตัวบ้านเป็นไม้สองชั้นเคลือบแว็กซ์เงางามราวบ้านในฝันที่มีอยู่จริง เดินเข้ามาภายในก็พบโถงกว้างซึ่งมีโต๊ะสำหรับวางแจกันตั้งไว้อย่างสวยงามทั้งยังปักดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมทั่วบ้าน

ทางด้านขวาเป็นห้องรับแขกและผู้มาเยือนก็เลือกจะเข้าไปรอที่ห้องนั้น พอดีกับมีคนเดินเข้ามาทักทาย

“อ้าวคุณเอิร์ธ มารับประทานอาหารเย็นกับคุณธีหรือคะ” ป้าจิตแม่บ้านร่างท้วมท่าทางใจดีมีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ ทำงานเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลของเพื่อนสนิทมานับยี่สิบปีก่อนจะย้ายมาอาศัยที่นี่เพื่อคอยรับใช้ชลธีอย่างใกล้ชิดรู้ดีถึงสถานะอันแท้จริงของพณณกรแต่ไม่ได้ปริปากบอกใคร

“ครับ มีเรื่องรบกวนมันนิดหน่อย” ไม่ได้เจอหน้ากันแต่เช้าเพราะอีกฝ่ายเข้าเมืองเพื่อพบนายอำเภอได้ข่าวว่าจะมีงานประจำอำเภอต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของไร่ชื่อดัง

..เอาเถอะเรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้เรื่องของเขาสำคัญที่สุด

ร่างสูงที่มีผิวขาวผิดจากเพื่อน ก้าวลงมาจากชั้นบนบ้านหลังชำระร่างกายเรียบร้อย แววตากลมมองมาที่แขกซึ่งมาเยือนก่อนจะยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นใบหน้าอมทุกข์

“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ป้าจะไปจัดโต๊ะให้” เลี่ยงออกไปปล่อยสองหนุ่มให้อยู่ในห้องรับแขกเพียงลำพัง

เสียงถอนหายใจดังกลบเสียงจากเครื่องปรับอากาศพร้อมใบหน้าหมองคล้ำคิดหนักราวแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ

“ตอนเช้ากูไปหาน้าบานเย็น”

ชลธีพยักหน้าตามคำบอกเล่า

“แล้วกูก็ตอบตกลงแต่งงานกับลูกสาวเขาไปแล้ว”

แค่เห็นใบหน้าของเพื่อนก็พอจะเดาคำตอบได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

อันที่จริงเขาก็อยากให้พณณกรลงหลักปักฐานกับใครสักคนมากกว่าจะทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา ไม่เคยจริงจังกับใครสักคน ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน เราไม่ควรเอาอดีตมาตัดสินปัจจุบัน

จากที่ได้รู้จักบุลลา ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรกลับน่าเอ็นดูด้วยซ้ำ ถึงแม้เขาจะดูออกว่าพยายามจะอ่อยตนเอง ทว่าไม่ได้ทำจนเกินงาม ยังมีความยั้งใจอย่างเช่นครั้งที่ซื้อชุดให้ หล่อนก็ไม่ได้เอ่ยขอเพียงแค่มองแล้วพยายามตัดใจจนคนที่เห็นรู้สึกสงสาร จึงตัดสินใจซื้อเป็นของขวัญต้อนรับ

“เฮ้อ กูทำถูกไหมไอ้ธี” เอนหลังพิงผนักโซฟา อยากเอามือก่ายหน้าผากเหลือเกิน ความโสดที่หวงไว้แสนนานจะต้องพังทลายลงเพราะความสะเพร่าของตนและแผนการบ้าๆ ของผู้หญิงหิวเงิน

“นายเลือกความถูกต้อง ดีแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เพิ่งเห็นนายเครียดขนาดนี้นะ ไม่นับตอนที่ถูกทิ้ง” หนุ่มผิวขาวยกยิ้มเล็กน้อยและนั่นกวนอารมณ์ที่เคยซังกะตายให้ขุ่นขึ้นมา

ใบหน้าของเพื่อนรักที่เป็นญาติแวบขึ้นมาจนต้องกัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้

แฟนทรยศไม่ได้ทำให้เสียศูนย์มากไปกว่าชายชู้คือเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก วันนั้นเขาไปกินเหล้าเมาไม่ได้สติ ตื่นมาก็อ้วกจนหมดไส้หมดพุง ไม่ไปสอบจนถูกหักคะแนนเกือบติดเอฟวิชานั้น

เขาตัดขาดจากมัน ไม่พูดถึง ไม่ไปงานสังสรรค์ต่างๆ ของครอบครัว และวันรับปริญญาก็เกือบจะไม่เข้ารับ ทว่ามารดาขอเอาไว้จึงต้องทำตามไม่สามารถเลี่ยงได้ จำต้องยืนให้ครอบครัวถ่ายรูปร่วมเฟรมกับกองทัพทั้งที่ไม่อยากเห็นหน้าด้วยซ้ำ

และวันนั้นเขาก็จากเมืองกรุงมุ่งสู่ไร่แห่งนี้ บุกเบิกมันพร้อมกับชลธีโดยไม่บอกคนที่บ้านสักคำ ทุกคนรู้เพียงแค่เขาทำงานสัตวแพทย์อยู่ต่างจังหวัดซึ่งก็ไม่อาจทราบว่าที่ใด ถึงพี่ชายจะเพียรโทรมาด่าบ่อยแค่ไหนก็ตาม

“แล้วจะบอกที่บ้านไหม”

“ไม่” ตอบทันทีไม่ไตร่ตรองสักนิด เขาจะไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเพราะไม่กี่เดือนก็คงจะหย่า การแต่งงานเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของชาวบ้าน หากเรื่องซาเขาก็คิดไว้ว่าจะตัดขาดจากผู้หญิงคนนั้นทันที

และเธอจะไม่มีทางรู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาเป็นใครเด็ดขาด

“เอิร์ธ เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่คนสองคนแล้วนะ นายตกลงแต่งงานกับเขาไปแล้วก็ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้อง อย่างแรกคือบอกครอบครัวของนาย” ชลธีไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะปิดบังของพณณกร เรื่องอื่นพอยอมได้แต่เรื่องนี้เขาคิดว่าเพื่อนควรบอกความจริง

“กูไม่สน กูจะไม่บอกพ่อแม่และกูจะให้มึงไปเป็นญาติฝ่ายกู มึงคนเดียวห้ามไปบอกคนอื่นไม่อย่างนั้นกูเผาไร่แน่ ขาดทุนช่างหัวมัน” ร่างสูงลุกขึ้นอย่างหัวเสีย เดินออกไปไม่แม้แต่จะอยู่รับประทานอาหารเย็นอย่างที่บอกไว้

ชลธีเองก็โมโหไม่แพ้กันเขาพยายามสงบสติอารมณ์พอดีกับที่ป้าจิตเดินเข้ามา

“คุณเอิร์ธไปแล้วเหรอคะ”

“ครับ ป้าจัดโต๊ะแค่ของผมก็พอ” เห็นท่าไม่ดีจึงทำเพียงรับคำแล้วเคลื่อนตัวออกจากห้องด้วยความเงียบเชียบ

ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมคณะกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนสนิทกันขนาดทำธุรกิจร่วม ทว่าก็ไม่เคยเข้าถึงความคิดบางอย่างของพณณกรได้สักที อีกฝ่ายมีกำแพงสูง ไม่อาจพังทลายลงได้ จนคร้านจะหาวิธีพิชิตใจ จำต้องปล่อยให้มีโลกส่วนตัว ไม่มีใครเข้าไปในพื้นที่นั้นได้

เขาจึงหวังให้บุลลาทำลายกำแพงนั้นและสร้างโลกใหม่ให้เพื่อนของตน

วันต่อมาชลธีมายังบ้านของบานเย็นพร้อมพณณกรซึ่งพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มแต่ส่งไม่ถึงดวงตา โถงกลางบ้านมีสองแม่ลูกนั่งอยู่ข้างกัน ฝั่งตรงข้ามเป็นเจ้าของไร่และว่าที่เจ้าบ่าว ร่างบางเหลือบมองหนุ่มผิวขาว รู้สึกเสียดาย

..ที่จริงหากแผนเป็นตามที่วางเอาไว้หล่อนต้องได้แต่งงานกับเขาไม่ใช่ไอ้คนผิวเข้มชอบทำหน้ากวนประสาทอย่างตอนนี้

“ค่าสินสอดผมมีให้หนึ่งแสน ส่วนค่าจัดงานห้าหมื่นครับ” ตามชนบทหนึ่งแสนก็เป็นราคาที่เยอะพอสมควร

ทว่าในความคิดของบุลลามันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน

..ความสวยระดับเธอควรได้อย่างน้อยหนึ่งล้านไม่ใช่หรือ

“ไม่เอานะแม่” เขยิบเข้าไปกระซิบมารดาเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจอันที่จริงอยากจะโพล่งไปเลยว่าไม่ยอม แต่ก็กลัวมารดาบิดเนื้อจนหลุดจำต้องพูดเสียงเบาแทน

“ผมมีแค่นี้ครับ บ้านผมก็ไม่ร่ำรวยอะไร เงินขนาดนี้ก็ถือว่ามากแล้ว”

ชลธีรีบจับมือเพื่อนเพื่อให้หยุดพูดทันทีเห็นสีหน้าของบุลลาก็กลัวว่าจะเกิดสงครามอารมณ์ เขายิ้มการค้าให้บานเย็น พยายามผ่อนบรรยากาศให้คลายความเครียด

“คุณน้าต้องการเรียกเท่าไหร่บอกได้นะครับ”

บานเย็นมองบุตรสาวที่มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชาย

“เอาอย่างที่คุณเอิร์ธว่าเถอะค่ะ น้าก็ไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรมากแค่อยากให้ทุกอย่างมันถูกต้อง”

อยากจะหัวเราะเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดที่ชลธีหันมามองตาดุ ทำเอาคุณหมอปากมอมต้องนั่งเก็บสีหน้ามองไปที่ว่าที่เจ้าสาวอย่างสมเพช

..คิดจะจับผู้ชายรวย เสียใจด้วยที่ได้คนจนแบบฉันไปแทน ค่าเสียรู้แสนหนึ่งมันก็มากเกินพอแล้ว

“แม่!” หล่อนเรียกมารดาเสียงดัง

จนท่านต้องบอกให้เงียบทางสายตา

“ถ้าอย่างนั้นค่าสินสอดหนึ่งแสน ส่วนค่าจัดงานห้าหมื่น ผมอยากจะเพิ่มทองหนักสองบาทแล้วก็แหวนหมั้นอีกหนึ่งวงนะครับ”

คราวนี้เป็นพณณกรที่หันไปมองเพื่อนดวงตาเบิกกว้างขึ้นเพราะทองหนักสองบาทและแหวนไม่ได้อยู่ในข้อตกลงที่พูดคุยกันก่อนมา

“ไอ้ธี” ใบหน้าคมเครียดขึงอันที่จริงไม่อยากเสียสักบาทเดียวด้วยซ้ำ ทว่าเพื่อนไม่เห็นด้วย

แค่หนึ่งแสนเทียบกับฐานะแท้จริงของร่างสูงก็น้อยเกินไปแล้ว

“เงียบเถอะน่า”

รู้สึกว่าคิดผิดที่ให้เพื่อนมาเจรจาค่าสินสอด มือหนากำหมัดแน่น ปล่อยให้ทั้งสองตกลงกันส่วนตนก็จ้องหน้าบุลลาหาเรื่องเต็มที่

ฝ่ายหญิงก็ไม่น้อยหาส่งสายตาที่มีเปลวเพลิงอยู่ในนั้นไปให้ร่างสูง

ใครจะคิดว่าจากที่จะจับชลธี กลับตกกะไดพลอยโจนได้แต่งงานกับพณณกรแทน เป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวลึก แทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์เป็นนางฟ้าสวยงามกลับต้องตกนรกไปอยู่กับซาตานแสนโสมม พยายามยอมรับก็ไม่อาจทำใจได้

หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปทำงานปล่อยบุลลาไว้บ้านคนเดียว

หนึ่งเดือนต่อมาทุกคนก็ได้รับรู้ข่าวดีที่เกิดขึ้นของสัตวแพทย์หนุ่มและสาวสวยแห่งไร่ ทำเอาขาเม้าธ์ต้องตั้งโต๊ะเพื่อพูดคุยอย่างสนุกปาก หลายคนฟันธงว่าท้องแน่นอน ทว่ามีบางส่วนแย้งขึ้นเนื่องจากไม่เห็นความผิดปกติของว่าที่เจ้าสาว

พณณกรไม่เคยแวะเวียนไปหาคนที่จะร่วมชีวิตด้วยอีกเลย เอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ตกเย็นก็มาดื่มเหล้าร่วมกับคนงาน ไม่สนใจว่างานแต่งจะถูกจัดเตรียมไปถึงไหนเพราะคิดว่าให้เงินไปก็จบ เจอกันอีกทีก็วันงานเลยแล้วกัน เขาไม่มีอารมณ์จะไปดูชุดหรือเลือกข้าวของด้วยหรอก

วันงานมาถึงพร้อมขบวนขันหมากของเจ้าบ่าว ฤกษ์เคลื่อนตัวคือ 09.09 น.ส่วนวันงานก็เอาตามความสะดวกของสองหนุ่มสาวงานจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายหญิงโดยใช้ถนนด้านหน้ากางเต็นท์ วางโต๊ะกลมสำหรับแขกที่มาร่วมงานได้รับประทานอาหารเช้า มีคนภายในหมู่บ้านมาร่วมเป็นสักขีพยานกันล้นหลาม สาวหลายคนใจสลายเมื่อหนุ่มหล่อสละโสด

ใบหน้าคมมีอาการง่วงนอนเนื่องจากเมื่อคืนดื่มยาดองจนโต้รุ่ง รู้สึกพะอืดพะอมพร้อมอ้วกตลอดเวลา จนชลธีต้องคอยประคองไม่ให้ล้มลงพื้นเสียก่อน งานสำคัญถูกจัดอย่างเรียบง่ายตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน

“โห่ ฮี้ โห่ ฮี้ โห่ ฮี้โห่ววว”

เมื่อถึงเวลาขบวนขันหมากก็เริ่มเคลื่อนตัวพร้อมเสียงโห่ที่ทุกคนพร้อมใจกับตอบรับ

“ฮิ้วววววว”

กลองยาวเริ่มตีรับกับเครื่องดนตรีอื่น เหล่าคนงานที่มาร่วมขบวนเริ่มเต้นไปตามทางโดยเฉพาะโอ้กับอาร์ตโชว์สเต็ปเทพ จนชลธีต้องส่ายหัวขณะที่ริมฝีปากแย้มยิ้มแต่ดูเหมือนมีคนไม่ชอบใจคือเจ้าบ่าวอดไม่ไหวยกเท้าขึ้นถีบก้นสองหนุ่มไปคนละที

“เกะกะตา” โวยวายตาแข็ง

แต่มีหรือที่คู่หูจะหยุด กลับเดินไปร่วมกลุ่มกับนักดนตรี เต้นอย่างมีความสุขขัดตาร่างสูงเหลือเกิน

“มึงก็ประคองกูจัง ปล่อยได้แล้วกูไม่เป็นอะไร” หันมาพูดเสียงแข็งเบี่ยงตัวออกห่างเพื่อนสนิทกระทั่งถึงหน้าบ้านหลังเล็กที่แปรสภาพเป็นสถานที่จัดงานแต่ง

มีหญิงสาวแต่งตัวสวยยืนถือสร้อยทองเส้นยาวกั้นประตูเงินประตูทองจนเจ้าบ่าวต้องหยุดชะงัก เขาหยิบซองจากเพื่อนสนิทแล้วยื่นให้แบบส่งๆ เส้นที่ขวางไว้จึงเปิดออกอย่างรวดเร็ว เสียงโห่แซวดังขึ้นเป็นระยะเพราะเห็นร่างสูงจ่ายไปหลายใบ คงอยากเจอเจ้าสาวมากโดยไม่รู้สักนิดว่าเขารู้สึกพะอืดพะอมต้องการให้พิธีเสร็จเร็วๆ

หลังจากผ่านด่านแรกก็มาเจอการล้างเท้าก่อนเข้าบ้านฝ่ายหญิงก่อนยื่นซองให้ จากนั้นก็เข้ามานั่งภายในบ้านโดยด้านหลังมีฉากถ่ายรูปจัดอย่างสวยงามเป็นชื่อของเขาและฝั่งเจ้าสาวคั่นกลางด้วยรูปหัวใจ

พณณกรถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนเจ้าสาวจะปรากฏกาย วินาทีนั้นเขาเหมือนลืมหายใจชั่วขณะ

ร่างบางขาวผ่องในชุดไทยสีทอง ผมยาวถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย ใบหน้าหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่ไม่หนาจนเกินไปแต่กลับเน้นเครื่องหน้าชัดเจน สวยเหมือนนางฟ้าลอยมาจากสวรรค์ทำเอาแขกตกตะลึง แต่คงไม่มีใครแสดงชัดเจนเท่าเจ้าบ่าวที่นั่งตาค้าง จนชลธีต้องสะกิดเรียกสติ หมอหนุ่มจึงทำเป็นกระแอมแล้วมองซ้ายขวากลบเกลื่อนอาการเมื่อสักครู่

เสียฟอร์มชะมัดเลย..

พิธีผ่านไปอย่างไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้เพราะมัวแต่มองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย กลิ่นหอมช่างเย้ายวนจนอยากฝังจมูกลงที่แก้มนุ่ม กระทั่งพิธีกรบอกให้สวมแหวนให้เจ้าสาวเขาจึงหยิบแหวนทองที่ชลธีเตรียมให้ขึ้นมาสวมลงไปที่นิ้วเรียว

บุลลามองทุกการกระทำด้วยหัวใจเต้นตูมตาม ไม่คิดว่าจะต้องแต่งงานเร็วขนาดนี้และเมื่อมองแหวนทองซึ่งประดับบนนิ้วของตนก็อบอุ่นใจอย่างแปลกประหลาดเงยหน้ามองใบหน้าคมที่เรียบเฉยทว่าแววตากลับชื่นชมอย่างปิดไม่มิดจนอดขวยเขินไม่ได้

วันนี้ชายหนุ่มค่อนข้างดูดีกว่าทุกวัน ไม่หรอก..เขาหล่อมากต่างหาก ใบหน้าที่มีหนวดเคราถูกโกนออกจนเกลี้ยง เผยให้เห็นความสง่างามราวเจ้าชายทำเอาหัวใจของเธอเต้นระส่ำเมื่อได้สบตาเจ้าบ่าว หล่อนยกมือขึ้นไหว้ตามที่ควรทำก่อนชะงักเพราะเขายกมือขึ้นมาจับเอาไว้ แขกที่มางานส่งเสียงแซวอย่างพร้อมเพรียง

จากนั้นก็เป็นการผูกข้อมือโดยให้ญาติฝ่ายชายเป็นคนผูกเจ้าสาวพร้อมเงินตามแต่จะให้ ญาติฝ่ายหญิงก็ผูกข้อมือเจ้าบ่าว มีของชำร่วยคือผ้าขนหนูผืนเล็กผูกริบบิ้นตามแบบฉบับของชนบท กว่าแขกจะเข้ามาหมดก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงซึ่งพณณกรพยายามอดกลั้นอาการวิงเวียนกระทั่งพิธีนี้จบต่อไปคือการเข้าหอ

ใบหน้าหวานแดงก่ำเมื่อห้องนอนตนถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องหอชั่วคราว ผ้าปูสีชมพู หมอนผ้าห่มก็กลายเป็นสีชมพูที่มีกลีบดอกกุหลาบสีแดงโรยเป็นรูปหัวใจซ้อนกัน ฝ่ายคนเก่าแก่ทางพิธีบอกให้ทั้งสองนอนหันหน้าเข้าหากัน กอดกัน

“อย่าลูบ!” ร่างบางพูดเสียงรอดไรฟันเมื่อร่างสูงลูบเอวคอดไปมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ทำไม มีอารมณ์เหรอ” หากอยู่กันสองคนคงได้หยิกเข้าที่สีข้างเขา แต่ทุกอย่างไม่เอื้ออำนวย ก่อนจะให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงคาบเหรียญเอาไว้จนริมฝีปากแทบชนกัน

เสียงรัวของชัตเตอร์ดังหลายช็อตเพื่อเก็บภาพความประทับใจเอาไว้

บุลลาอายจนหน้าแดงก่ำ หลับตาแน่นไม่กล้าสบดวงตาคู่คม กระทั่งเขาแอบเขยิบปากเข้ามาใกล้จนริมฝีปากบนแตะกัน พอดีกับที่ผู้ใหญ่บอกให้ปล่อยหล่อนจึงรีบเขยิบหนีทันทีพร้อมใบหน้าร้อนซู่ราวเอาไปแนบกับไฟ แค่มองตาเขาก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

..ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรช่างน่ากลัวเหลือเกิน

งานวันนี้มีแค่งานหมั้นช่วงเช้าไม่มีเลี้ยงฉลองตอนเย็นอีกเพราะไม่สะดวก ร่างบางรู้สึกเสียดายที่งานแต่งไม่เหมือนฝัน ทว่าจำต้องยอมรับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นไม่ต้องอยากได้อยากมีมากหรอก เธอมองชลธีแววตาละห้อยขณะยืนอยู่ที่แบ็กดร็อปให้คนมาถ่ายรูปด้วย

“อาลัยอาวรณ์มันมากหรือไง” คนไม่สบอารมณ์ถามขึ้นเสียงแข็ง

จนเจ้าสาวต้องหันมามองทว่าไม่ตอบกลับกลัวจะเกิดการทะเลาะให้ได้อับอายแขกเหรื่อ

“เดี๋ยวป้ายืนข้างคุณเอิร์ธนะคะ” ก่อนจะมีศึกระหว่างเจ้าของงาน บรรดาพนักงานก็เข้ามาร่วมเฟรมเสียก่อน บรรยากาศอึมครึมจึงหายไป แต่ดวงตาคมก็เหลือบมองเจ้าสาวแล้วโอบไหล่เล็กมาชิดก่อนจะบีบจนร่างบางรู้สึกเจ็บจำต้องเก็บอาการเอาไว้

“สวยหล่อเหมาะสมกันเหลือเกิน เอ็งวาสนาดีนะบัว คุณเอิร์ธขยันขันแข็ง การงานก็ไม่น้อยหน้าเป็นถึงหมอสัตว์ อิจฉาจริงเชียว ผัวป้าทำไมไม่หล่อแบบนี้บ้างนะ”

คนถูกเยินยอยิ้มหน้าบานต่างจากบุลลาซึ่งอยากกรอกตามองบนให้คำชมเกินจริง

แค่สัตวแพทย์เงินเดือนหมื่นห้าน่ะหรือจะสู้เจ้าของไร่ได้กำไรเดือนละแสน..

แค่คิดก็อยากร้องไห้กับชะตาชีวิตของตนเอง

..ทำไมถึงอาภัพเช่นนี้

งานหมั้นหรืออีกนัยก็คืองานแต่งผ่านพ้นไปด้วยดี ไร้ซึ่งการฉลองมงคลสมรสอย่างที่เคยเห็นในงานของเหล่าไฮโซ ดาราหรือนักธุรกิจ มีเพียงการสวมแหวนและผูกข้อต่อแขนเท่านั้น และตอนนี้เจ้าบ่าวก็อันตรธานเป็นที่เรียบร้อย

มีเพียงเจ้าสาวกำลังเก็บเสื้อผ้าเพื่อไปอยู่บ้านเขา

“ไม่ไปได้ไหมแม่ หนูก็อยู่บ้านเรา เขาก็อยู่บ้านเขา” ต่อรองเป็นครั้งสุดท้าย

ซึ่งบานเย็นก็ส่ายหน้าระอาใจกับบุตรสาว

“ไม่ได้ เป็นผัวเมียจะแยกกันอยู่ได้ยังไงล่ะ”

ใบหน้าหวานงอง้ำไม่อยากแต่งสักนิด ไม่ได้ต้องการสถานะที่กล่าวมาสักหน่อย

“แต่หนูไม่อยากไปนิแม่ ถ้าไปแล้วใครจะทำกับข้าวให้แม่ล่ะ มะลิกลับมาใครจะช่วยดูแล” ข้ออ้างที่คิดได้ถูกยกขึ้น

จนบานเย็นละมือจากเสื้อผ้าของบุลลา

“ตอนที่บัวไม่อยู่แม่ก็ทำทุกอย่างเองหมด อย่าหาข้ออ้างเลยเพราะยังไงลูกก็ต้องไปอยู่กับคุณเอิร์ธ แต่งงานแล้วจะปล่อยให้ผัวนอนคนเดียวได้ยังไง เกิดมีเมียน้อยขึ้นมาจะไม่น้ำตาเช็ดหัวเข่าเหรอ”

..มีก็ดีจะได้หาเรื่องเลิกซะเลย

แอบยิ้มโดยไม่บอกให้แม่ล่วงรู้ความคิด

เอาเถอะก็แค่เปลี่ยนที่นอนเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรหรอกน่าบัว..

เตรียมสเปรย์พริกไทยกับเครื่องช็อตไฟฟ้าเผื่ออีกฝ่ายลวนลามจะได้ป้องกันตนเองทัน ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็เกิดภาพเหตุการณ์คืนที่อยู่โรงเก็บหญ้า อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาเก่งในการเล้าโลมเหลือเกิน แค่มองตาก็เหมือนกำลังเปลื้องผ้าเธอออกแล้ว

ข้าวของที่ขนมาบ้านหลังเล็กไม่ได้เยอะมีเพียงเสื้อผ้าของหญิงสาวซึ่งส่วนมากก็ผืนบางเสียเหลือเกิน จนเริ่มคิดหนักว่าคืนนี้จะใส่อะไรเพื่อปกปิดไม่ให้เกิดเรื่องอย่างว่าขึ้นกับตนเอง

ชลธีอาสาขับรถยนต์มาส่ง จนบุลลาซึ้งใจอยากให้เขาเป็นเจ้าบ่าวที่ยืนข้างตน

“ไอ้เอิร์ธมีธุระน่ะครับ เห็นว่าต้องเข้าไปตัวอำเภอ งานด่วนมากเลยไม่ได้มาช่วยขนของ” ยังมีแก่ใจหาข้ออ้างให้เพื่อนทั้งที่ความจริง ร่างสูงแอบไปอ้วกจนหมดไส้หมดพุงและนอนพักที่บ้านเจ้าของไร่ หมดสภาพเจ้าบ่าวสุดหล่อที่คนทั้งงานชม

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่คุณธีมาช่วยก็ขอบคุณมากแล้ว” อดไม่ไหวจึงเอ่ยเสียงหวาน

จนมารดาแอบหยิกเข้าที่สีข้างแล้วกระซิบเสียงรอดไรฟัน

“นั่นเจ้านายของผัวนะบัว เพลาๆ ลงบ้าง”

..คนมองตั้งนานหวังให้เป็นสามีอยู่ดีๆ จะให้เปลี่ยนความคิดก็ต้องใช้เวลาหน่อยสิ

ร่างบางพยักหน้ายิ้มแกนๆ ขณะที่หนุ่มผิวขาวช่วยหยิบกระเป๋าเข้าไปภายในบ้าน

หล่อนเพิ่งมาเยือนเรือนหลังเล็กของสัตวแพทย์หนุ่ม อดทำหน้าเศร้าไม่ได้เพราะมันเล็กกว่าที่คิดเอาไว้มาก ถึงจะดูอบอุ่นก็ตาม บ้านไม้ชั้นเดียวมีชานหน้าบ้านเป็นโต๊ะไว้สำหรับรับแขกและรับประทานอาหาร พอเข้าไปข้างในก็เป็นโซนครัวด้านซ้าย ทางขวาคือห้องดูทีวีขนาดกลาง ติดกันเป็นประตูห้องนอน พอเปิดดูก็ต้องลมแทบจับ เสื้อผ้าของพณณกรวางระเกะระกะ รกจนแทบหาทางเดินไม่ได้

“แม่ หนูอยากกลับบ้าน” หันมามองมารดาซึ่งเดินตามมาด้วยแววตาเว้าวอน

..จะให้อยู่บ้านที่รกแถมยังเล็กราวรูหนูน่ะหรือ ฆ่าเธอตายซะยังดีกว่า!

“อะไรกัน งอแงอีกแล้วนะบัว แม่บอกแล้วไงว่าแต่งงานแล้วลูกต้องมาอยู่บ้านคุณเอิร์ธ อย่าให้ต้องพูดซ้ำ”

ดวงตาเด็ดขาดทำเอาบุตรสาวต้องกลืนน้ำลายลงคอ ลืมคำพูดทุกอย่างเสียสิ้น อยากกระทืบเท้าเอาแต่ใจเหมือนเด็กก็ไม่อาจทำต่อหน้าชลธีได้

ฝ่ายชายหนุ่มเองก็หน้าเจื่อนไม่คิดว่าเพื่อนจะทำการต้อนรับภรรยาแบบนี้

ร่างบางยืนส่งบานเย็นและเจ้าของไร่ที่หน้าบ้านพลางโบกมือให้ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ถึงจะอยู่หมู่บ้านเดียวกันและได้เจอแม่อยู่ที่ทำงาน มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอแต่งงานออกมาใช้ชีวิตกับสามีท่ามกลางความโดดเดี่ยวของบ้านหลักเล็ก ไร้ซึ่งเพื่อนบ้าน แม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่เดินผ่านเลย

แดดยามบ่ายไล่ให้บุลลาต้องเข้ามาข้างใน เงินที่ได้จากการผูกข้อมือเธอแบ่งกับแม่ครึ่งหนึ่งแล้วเก็บเป็นขวัญกระเป๋า เดือนนี้ต้องจ่ายหนี้ของธนาคารทั้งหนี้บัตรเครดิตซึ่งช่วงหนึ่งเธอใช้เงินมือเติบ ไหนจะหนี้จากที่ไปกู้เพราะหลงเชื่อคำลวงของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนอีก

ตัวแทบทรุดเมื่อภาระทางการเงินหนักหนาจนหายใจแทบไม่ออก หากย้อนเวลาได้เธอคงไม่ใช้เงินเยอะขนาดนั้น ตอนนั้นรายได้ดีจนนึกลำพองใจเผลอใช้ชีวิตเป็นหงส์ฟ้าจนกระทั่งตกสวรรค์กลายร่างเป็นลูกเป็ดเช่นเดิม

..ชีวิตคนเราไม่แน่นอนจริงๆ

“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดจากไอ้บ้านสับปะรังเคนี้ก่อน” มองดูแล้วคงไม่ได้ทำความสะอาดมากกว่าหนึ่งเดือน อยู่เข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้ มีฝุ่นจับไปทุกหย่อม

จนหล่อนทนไม่ไหวทำการเก็บกวาดให้ โดยขั้นแรกต้องมัดผมตนเองเสียก่อน

ก่อนมาก็อุตส่าห์อาบน้ำล้างหน้าสระผมอย่างดีหวังพักผ่อนเพราะตื่นแต่เช้า ทว่าแผนพังลงเนื่องจากบ้านสกปรกเกินเยียวยา

บุลลาตัดสินใจเดินหาอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดบ้านก็ไม่พบก่อนจะเดินมายังประตูบานสีขาวซึ่งอยู่ข้างประตูห้องน้ำ พอเปิดออกก็พบว่าเป็นข้างหลังบ้านแถมยังมีสายธารไหลผ่านอีกด้วย

อดตกตะลึงในธรรมชาติตรงหน้าไม่ได้ มีดอกเดซี่ขึ้นรายล้อม ผีเสื้อบินไปมาจนยกมือขึ้นหวังสัมผัสปีกบางเบาที่มีสีสันสวยงาม ราวสวรรค์บนดิน ไม่แปลกใจเลยที่เขาแยกตัวออกมาอยู่ที่แห่งนี้

หยุดก่อนบัว นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมความงามตรงหน้า เธอต้องหาไม้กวาดก่อน..

เหลือบไปมองด้านขวาก็พบอุปกรณ์ทำความสะอาดวางอยู่หลังบ้านในสภาพที่ดี ข้างกันนั้นก็มีกะละมังและเครื่องปั่นผ้าขนาดเล็กตั้งไว้ ใบหน้าหวานยิ้มออก จัดการหยิบไม้ขนไก่และไม้กวาดทันที

เริ่มจากห้องรับแขกต้องปัดฝุ่นออกให้หมด พณณกรใช้โซฟาไม้จึงง่ายต่อการทำความสะอาด เพียงหาผ้ามาชุบน้ำแล้วเช็ดออกก็กลับมาใสดังเดิมแล้ววางเบาะรองนั่งพร้อมหมอนเอาไว้ ขณะที่จัดการบ้านหลังนี้ก็เปิดเพลงฟังไปด้วยจะได้ไม่เบื่อ

อาจเพราะมีความเป็นแม่บ้านในตัว เพียงเวลาสองชั่วโมงทุกอย่างก็เรียบร้อยทั้งผ้าของชายหนุ่มที่ถูกวางเต็มพื้นก็ขนไปซักและตากหลังบ้าน

หล่อนถอนหายใจทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความเหนื่อย ข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องด้วยซ้ำจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นและพบว่ามีเพียงผัดกาดหนึ่งหัว ไข่หนึ่งฟองนอกนั้นคือกระป๋องเบียร์กว่าสิบ

อยากจะเป็นลมเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็ตัดใจหาข้าวมาหุง เธอจะต้องอยู่รอดให้ได้

..เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้คนอย่างบุลลายอมแพ้หรอก!

บ่ายคล้อยร่างสูงฟื้นจากอาการวิงเวียนก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน วันนี้เหนื่อยไม่อยากทำงานใดๆ ทั้งสิ้น ขอกลับไปพักผ่อนที่เรือนไม้หลังน้อยของตนดีกว่า ลืมไปเสียสนิทว่าต่อจากนี้ไม่ใช่หนุ่มโสดแล้ว ขณะที่จอดรถไว้หน้าบ้านก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงเหมือนคนทำกับข้าว ทั้งประตูบ้านก็ถูกเปิดไว้อีก

“โจรเหรอวะ” พึมพำเสียงเบาแล้วค่อยย่องเข้าบ้าน ไม่ต้องหาอุปกรณ์ใดเพราะฝีมือการต่อยมวยของเขาไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

ทว่าเมื่อมองจากข้างนอกก็พบแผ่นหลังบางกำลังทำอาหารอยู่และวินาทีนั้นเขาก็นึกได้ว่าตนเองแต่งงานแล้ว

‘เออว่ะ กูแต่งงานแล้วนิ ลืมสนิทเลย’

ถอนหายใจโล่งอกแล้วแอบมองคนตัวเล็กหยิบจับข้าวของในครัวคล่องราวเป็นบ้านตนเอง ได้กลิ่นหอมของอาหาร ท้องที่ว่างก็เริ่มประท้วง กระทั่งร่างบางตักกับข้าวใส่จานแล้วชะงักเพราะเห็นสามีหมาดๆ ยืนมอง

เหมือนไม่รู้จะทักทายกันอย่างไรดีและเป็นพณณกรที่ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด

“ตักให้ฉันจานหนึ่ง” ทำหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจเต้นโครมครามซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน

ฝ่ายบุลลาก็เกิดอาการเลือดขึ้นหน้ากะทันหัน

เธอทำงานบ้านเหนื่อยจนจะเป็นลม แล้วดูเขาสิหายไปไหนก็ไม่รู้โผล่มาอีกทีชี้นิ้วสั่งราวคุณชายจากวังจุฑาเทพ

..เมินเสียเถอะ

“ฉันไม่ให้กิน ถ้าหิวก็ทำเอง” เดินหยิบข้าวสวยพร้อมกับออกมาที่โต๊ะหน้าบ้านโดยเลี่ยงคนร่างหนาซึ่งยืนขวางทาง

“แต่ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ฉันต้องได้กิน” ไม่สามารถยอมได้คุณหมอของเหล่าสัตว์จึงเดินตามหล่อนไม่ห่างขณะที่ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ตักข้าวรับประทานไม่อยากต่อปากต่อคำอีก

เขาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปภายในบ้านไม่นานก็ออกมาพร้อมจานที่มีข้าวสวยอยู่เต็มแล้วนั่งลงตรงข้ามคนตัวเล็กพร้อมตักผัดผักใส่ไข่มาไว้จานตัวเองเกือบครึ่ง จนใบหน้าหวานเหวอไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้

“นี่! เสียมารยาทฉันเป็นคนทำนะ” กล่าวเสียงดังแต่คนตรงหน้าไม่สะทกสะท้านสักนิด

หลังจากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเพื่อเปิดทีวีดูขณะรับประทานอาหารโดยไม่สนใจผู้ร่วมชายคาคนใหม่ ปล่อยให้หล่อนโกรธหน้าดำหน้าแดงจ้วงข้าวเข้าปากคำโต

ร่างสูงมองไปรอบบ้าน รู้สึกว่าทุกอย่างสะอาดขึ้นจนต้องวางจานข้าวไว้โต๊ะหน้าทีวีเดินไปเปิดประตูห้องนอนจากที่เคยมีเสื้อผ้ากองเต็มพื้นก็หายเกลี้ยง เดินเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าก็พบว่านอกจากชุดของตนก็ยังมีชุดของหญิงสาวปะปนอยู่ด้วย โต๊ะเครื่องแป้งที่เคยมีแค่แป้งเย็นกับโลชั่นและเจลใส่ผมก็มีครีมสำหรับผู้หญิงวางเต็มไปหมด ผ้าปูที่นอนสีเทาซึ่งยับยู่ยี่ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเรียบกริบราวกับโรงแรมห้าดาว

พอออกจากห้องนอนเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ใกล้ห้องครัวก็พบว่าคราบดำถูกเช็ดล้างออกสะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเพิ่งมาอาศัย มีครีมอาบน้ำและยาสระผม ไหนจะครีมนวดเพิ่มเข้ามาจนวางเต็มตะแกรง ชีวิตชายโสดได้หายไปเสียแล้ว

..นี่เขากำลังเผชิญอยู่กับการเริ่มต้นของครอบครัวใช่ไหม ไม่คุ้นสักนิด

หลังรับประทานอาหารเสร็จร่างบางก็เดินถือจานมาที่อ่างล้างจานเพื่อทำความสะอาด ไม่วายบ่นให้สามีที่ยังนั่งจ้องทีวีดูสารคดีสัตว์โลก

“กินเสร็จแล้วก็ไปซื้ออาหารสดมาไว้ในตู้เย็นด้วย อยู่ไปได้ยังไงมีแต่เบียร์เต็มไปหมด กระเพาะไม่ทะลุไปแล้วเหรอ หัดกินอะไรที่มันดีมีประโยชน์ซะบ้าง”

“บ่นยิ่งกว่าแม่กูอีก” ส่ายหน้าแต่ไม่ได้รับคำอะไรทั้งสิ้น

“ได้ยินไหมที่พูดน่ะ” คนตัวเล็กหันมาถามย้ำอีกครั้ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าเป็นตัวของตัวเองขนาดนี้เมื่ออยู่กับพณณกร กล้าจะต่อปากต่อคำ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์เป็นผู้หญิงแสนดี เธอสามารถทำตามที่ตนเองต้องการได้เลย

แต่บางคราก็ทำตัวไม่ถูกยามโดนจ้องด้วยสายตาคมกล้า

“รู้แล้วน่า อยากได้อะไรก็บอกมาสิ” ไม่มีความกระอักกระอ่วนเหมือนเมื่อสักครู่ที่เจอกัน ร่างสูงทำตัวสบายเช่นเดิม

หญิงสาวจึงเดินไปหยิบกระดาษโพสอิทที่วางไว้ตรงชั้นวางของใกล้โต๊ะวางทีวี ทุกอย่างดำเนินไปโดยธรรมชาติ

“ซื้อมาให้ครบด้วย” ฉีกออกแล้วแปะไว้ที่หน้าผากของร่างสูง ก่อนรีบวิ่งเข้าห้องล็อกประตูกลัวอีกฝ่ายจะประทุษร้ายที่บังอาจไปแกล้งเขา

ขณะที่ชายหนุ่มหัวเสีย หยิบแผ่นสีเขียวสะท้อนตาออกจากหน้าผากอ่านรายการที่เขียนซึ่งมีไม่กี่อย่าง

บ้านทั้งหลังตกอยู่กับความเงียบเมื่อร่างหนาออกไปซื้ออาหารมาใส่ตู้เย็นและบุลลานอนหลับอยู่ภายในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำไม่ลืมห่มผ้าหนา

หลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวันก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดายจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูเรียก

“ออกมาจัดของด้วยซื้อมาให้แล้ว”

ไม่คิดว่าจะนอนนานขนาดนี้เพราะเมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าข้างนอกมืดสนิท เธอชอบห้องนอนเขาอย่างหนึ่งคือมีประตูบานเลื่อนเป็นกระจกสามารถเปิดออกไปยืนตรงชานเรือนฝั่งห้องนอนเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นได้

แต่ตอนนี้ดวงตะวันลาลับไปแล้วและเธอต้องลุกจากที่นอนเพื่อไปเก็บของเข้าตู้ จังหวะที่เปิดประตูออกมาก็ร้องลั่นเพราะพณณกรถอดเสื้อออกเปลือยท่อนบนไม่สะทกสะท้าน

“อ้าย ไอ้บ้าใครบอกให้ถอดเสื้อ”

“ก็คนมันร้อน อีกอย่างฉันก็ถอดในบ้านไม่ได้เดินไปถอดในไร่สักหน่อย มันผิดตรงไหน”

..มันก็ผิดตรงที่เธออยู่ด้วยไงเล่า! เอาเถอะอย่าทำเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาแค่เห็นผู้ชายถอดเสื้อก็ต้องหันหน้าหนีปิดตาให้วุ่นหน่อยเลย ทำเมินแล้วเดินไปจัดของดีกว่า

ร่างบางจึงเลี่ยงไปในครัว นำของสดเข้าตู้เย็นทั้งผักหลายชนิด เนื้อหมู เนื้อไก่ที่มีส่วนอก ส่วนน่องและส่วนปีก

ของได้ครบไม่ขาดไม่เกินแถมยังไม่ต้องใช้เงินตัวเองอีก ชายหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายรู้สึกเหนียวตัวเพราะไปเดินตลาด

ไม่แน่ใจว่าอาบหรือวิ่งผ่านน้ำกันแน่เพราะเวลาเพียงห้านาทีร่างสูงก็ออกมาด้วยผ้าเช็ดตัวพันช่วงล่างเท่านั้น

บุลลาเหลือบมองก่อนหันหน้าหนี เขาหุ่นดีราวนายแบบ ไม่เคยเห็นเพราะวันที่อยู่โรงเก็บหญ้าร่างสูงใส่เสื้อผ้ามิดชิด พอได้มองก็อดชื่นชมในการดูแลตนเองของเขาไม่ได้ ซิกซ์แพ็กเป็นลอนเรียงสวยงาม ผิวเข้มที่ไม่ได้คล้ำน่าเกลียดกลับให้ความรู้สึกสุขภาพดี

“อยากมองก็หันมาเลย ไม่ต้องแอบหรอก” ทักขึ้นเสียงล้อเลียน

“ใครอยากมอง หลงตัวเอง!” เธอตอบโต้ทันทีก่อนเดินเข้าห้อง

โดยมีพณณกรตามหลังมาด้วย

“ตามเข้ามาทำไม ออกไปสิ” ใบหน้าคมมีแววระอา “ก็เสื้อผ้าฉันอยู่ที่นี่ จะให้นอนทั้งแบบนี้หรือไง” ว่าจบก็เดินไปเปิดตู้หยิบกางเกงบอลพร้อมเสื้อกล้ามมาสวมทันที

ฝ่ายหญิงก็ทำตัวไม่ถูกชั่วขณะเดินไปเอาผ้าเช็ดตัวและชุดนอนของตนรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำซึ่งมีเพียงห้องเดียว

คุณหมอมองตามแล้วก็ยิ้มขำท่าทีหวาดระแวง

“ถ้าฉันจะทำอะไรเธอจริงคิดเหรอว่าจะรอด” หันไปมองประตูที่ปิดลงพร้อมเดินไปนอนที่เตียงกว้าง เขาเหนื่อยมาทั้งวันทำให้ง่วงเร็วกว่าปกติถึงจะเป็นเวลาแค่หนึ่งทุ่มก็ตาม แค่หัวถึงหมอนก็เข้าสู่นิทรายิ่งได้กลิ่นหอมจากครีมอาบน้ำลอยมาก็อมยิ้มหลับสบายมากขึ้น

หญิงสาวออกจากห้องน้ำด้วยชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงผ้านิ่มขาสามส่วน ไม่เคยใส่ชุดนอนที่มิดชิดขนาดนี้มาก่อนเลยเพราะกลัวจะโดนเขาล่วงเกินหรอกนะ ทั้งยังต้องสวมชั้นในนอนด้วยแม้ไม่ค่อยสบายตัวแต่ปลอดภัยไว้ก็ไม่เสียหายอะไร

ค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาพบว่าชายหนุ่มหลับเสียแล้ว บุลลาจึงเดินไปปิดประตูหน้าบ้านตรวจประตูเมื่อพบว่าล็อกเรียบร้อยจึงเดินเข้าห้อง หากพูดตามความจริงถือว่านี่เป็นคืนแรกของการเข้าหอ ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสามี

ดีที่ชายหนุ่มหลับ ไม่อย่างนั้นก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ค่อยๆ ย่องไประเบียงเพื่อตากผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวก่อนเลื่อนปิด เข้ามาภายในห้อง แทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมเอาหมอนข้างมากั้นตรงกลาง จากที่เคยกังวลว่าการนอนกับพณณกรจะเป็นอย่างไร ก็ได้รู้ว่า..

ไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนนอนกับตุ๊กตาอาจเพราะร่างสูงหลับแล้วก็เป็นได้ คงเพลียจากงานแต่งนั่นแหละเหมือนเธอที่ใช้เวลาไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นกัน

บรู๊วววว

ตกดึกเสียงสุนัขหอน ปลุกคนที่หลับใหลให้ตื่น หล่อนลืมตาท่ามกลางความมืด ไม่กล้ามองไปข้างนอกเพราะกลัวจะเห็นเงาประหลาด

..ทำไมถึงเลือกนอนข้างที่ใกล้ประตูบานเลื่อนด้วยนะ ทั้งยังไม่ปิดม่านอีก จะมองก็ไม่กล้า จะลุกขึ้นยืนยังขาสั่นเลย

บรู๊วววว

มันยังไม่หยุด จนคนขี้กลัวต้องขยับเข้าไปใกล้หมอนข้างแล้วกอดมันเอาไว้แน่นพร้อมหลับตาปี๋ หัวใจเต้นดังราวกลองเพล ยิ่งได้ยินเสียงเหมือนมีของมากระทบประตูหล่อนก็แทบจะกระโดดไปกอดชายหนุ่มที่หลับไม่ได้สติจนต้องยั้งตัวเองไว้

“ไม่มีอะไร แค่ลม ลม” พึมพำบอกตนเองไปมาจนกระทั่งได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเขย่าประตูและวินาทีนั้นเธอไม่สามารถทนได้แล้วจึงทิ้งหมอนข้างแล้วกอดเข้าที่ร่างหนาทันที

“ฮือ ตื่นนะไอ้บ้า จะมานอนหลับทั้งที่ฉันกลัวขนาดนี้ได้ยังไง” นอนกอดเขาไม่พอยังทุบหน้าอกหนา

จนคนหลับสนิทตกใจตื่นพบว่าร่างบางกำลังกอดตนแน่นทั้งยังตัวสั่นราวลูกนกตกน้ำ ใบหน้าคมมีแววงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะมองไปที่บานประตูเลื่อน

เขาพบสุนัขสีน้ำตาลตัวหนึ่งนั่งแลบลิ้นอยู่ก็ถอนหายใจ มันหลงมาจากไหนก็ไม่รู้แต่ชอบมาหาอะไรกินแถวนี้บางครั้งเขาก็เทข้าวเหลือให้จนเจ้าตูบติดบ้านหลังนี้เสียเหลือเกิน

“มีคนมาเคาะประตู ฉันว่าต้องเป็นผีแน่เลย ผีแน่ๆ” ร่างบางตัวสั่นงันงกขณะที่คุณหมอท่าจะตื่นเต็มตา จมูกโด่งได้กลิ่นแชมพูจากผมนุ่มสลวย มันหอมจนกดจมูกลงไปดม ทว่าคนขี้กลัวก็ยังไม่รู้ว่าถูกล่วงเกินไหนจะมือหนาซึ่งเอื้อมไปโอบเอวเล็กให้แนบชิดมากขึ้น

“ฉันก็ว่าน่าจะใช่” เสียงทุ้มแหบพร่า

..เดี๋ยวไอ้เอิร์ธ แค่ได้กลิ่นยาสระผมมึงก็มีอารมณ์แล้วเหรอวะ!

“นะ นี่นาย..” นอกจากอาการกลัวผีแล้วตอนนี้บุลลายังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งซึ่งค่อยดุนดันทิ่มขาของเธออย่างช้าๆ ใบหน้าหวานค่อยๆ ลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าสามี

“ขอโทษทีนะ พอดีน้องชายฉันตื่นเร็วไปหน่อย”

อยากจะกรีดร้องให้สุดเสียงกับค่ำคืนนี้ นอกจากจะระแวงว่าผีจะมา ยังต้องมากังวลกับผู้ชายลามกอีก!

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status