"พี่ใหญ่เจ้าคะ มีอะไรอีกบ้างหรือเจ้าคะ ที่ชาวบ้านไม่นิยมเก็บไปกินกัน" หลี่หลิวรีบถามหลี่จงขึ้นมาโดยทันควัน เมื่อมองเห็นทางเอาตัวรอดเพิ่มขึ้นมา นี่มันทองในดินชัด ๆ พวกเขาไม่รู้สินะว่าเห็ดโคนพวกนี้ทั้งดอกใหญ่ และขาอวบ ดอกตูม ๆ พวกนี้ราคามันแสนแพงแค่ไหนนี่มันของหายากเชียวนะ
"ได้สิ ไว้ข้าเจอจะค่อย ๆ บอกเจ้าทีหลังนะ ดื่มน้ำสักหน่อยไหม" เมื่อเอาเห็ดวางใส่ตะกร้าที่ว่างเปล่าก็ดูชื่นใจขึ้นมาไม่น้อย เดินมาครึ่งชั่วโมงก็เจอของดีเข้าแล้วจะว่ายังไงดีล่ะ ต้องขอขอบคุณชาวบ้านที่ไม่ยอมกินกันอย่างสุดซึ้งล่ะนะ หลี่หลิวถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างมากจนต้องเดินไปยิ้มไปเลยทีเดียว "ทางข้างหน้ามีต้นไม้ข้างทางขนาดใหญ่ ตอนเดินเจ้าต้องระวังให้ดี อย่าไปเผลอเหยียบหนามมันเข้าให้ล่ะ" "ได้ ๆ ข้าจะระวังเจ้าค่ะ" "เหตุใดเจ้าถึงยังไม่หุบยิ้มอีกล่ะ" "ก็ข้าดีใจมาก ๆ เลยหนิเจ้าคะ" "เจ้าต้องดีใจขนาดนั้นเลยงั้นรึ มันก็แค่เห็ดที่ถูกชาวบ้านเขาเขี่ยทิ้งก็เท่านั้น" "เอาไว้ข้าทำแกงเห็ดให้ท่านได้กินก่อน แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไปด้วย" "ได้ ๆ" เจ้าใหญ่ตอบรับไปทั้งแบบนั้น แต่ในใจยังกังวลว่าถ้ากินแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไรดี แต่ก็ไม่กล้าดูถูกน้ำใจของน้องสาวตัวน้อยที่พึ่งหายไข้ จึงได้แต่เออออตามนางไปก่อน "เดินระวังด้วยเพราะทางข้างหน้าที่ใกล้จะถึงนี้จะเป็นป่าผักหนามแล้ว ข้าจะเก็บยอดผักหนามด้านบน ส่วนเจ้าก็เก็บด้านล่างช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็ว ๆ " "นี่พี่ใหญ่... ข้าว่า... ข้าคงไปเก็บผักหนามกับท่านไม่ได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ" "ทำไมล่ะ ข้างหน้านี้ก็ถึงแล้ว หรือเจ้ากลัวลูกหนามพวกนี้ หากเจ้ากลัวมาก พี่สามารถให้เจ้าขี่หลังไปได้นะ" หลี่จงมองดูเด็กน้อยที่เหงื่อผุดบนหน้าผากอย่างเอ็นดู แถมบนหัวยังมีผมที่มัดเป็นหัวหอมกลม ๆ สองข้าง บนหัวของนางมีเศษใบไม้ติดอยู่ เขาจึงหยิบออกให้นางอย่างเบามือก่อนจะส่งยิ้มอ่อนให้ "ไม่ใช่ ๆ ข้าจะเก็บเกาลัดพวกนี้ ท่านดูสิมันเยอะมากขนาดนี้คงไปช่วยท่านเก็บผักหนามไม่ได้แล้ว" "เจ้าว่าไงนะ! เจ้าเรียกมันว่าเกาลัดงั้นรึ?" "อื้ม ก็ใช่ไง" "ลูกหนามเนี่ยนะ เจ้าจะเอามันไปทำอะไรได้ เม็ดดำ ๆ ที่อยู่ข้างในนั้นก็กินหาได้ไม่ แถมเปลือกของมันมีหนามที่ทั้งคมทั้งแข็ง มันจะตำมือเจ้าเอานะ" "เห้อ! เอาเป็นว่าข้าจะเก็บมันกลับไปด้วยก็แล้วกัน ท่านก็ไปเก็บผักหนามของท่านเถอะ ตอนเดินมาข้าเห็นรอยเท้าคนด้วย คาดว่าผักท่านคงจะเหลือน้อยเต็มทีแล้วล่ะ" "ใช่ ๆ ข้าก็ว่าเห็นรอยเท้ายังใหม่อยู่เดินมาทางนี้ งั้นข้าไปเก็บผักก่อน เจ้ารอข้าอยู่นี่นะ หากเบื่อก็เดินขึ้นไปป่าด้านบนแล้วเรียกหาข้าได้เลย" หลี่จงพูดกับหลี่หลิวจบเขาก็ก้าวขาไปข้างหน้าทีเดินทีวิ่ง อีกทั้งยังคอยหลบลูกหนามอย่างจริงจัง หลี่หลิวที่เห็นพี่ของเจ้าของร่างนี้เดินไปแล้ว จึงเริ่มเก็บเกี่ยวเกาลัดของเธออย่างบรรจง เธอใช้เท้าน้อย ๆ ของเด็กวัยหกปีเหยียบ และคลี่เอาเปลือกเกาลัดออกจากกัน จากนั้นเอาเม็ดมันออกมาทีละเม็ด โดยใช้มีดค่อย ๆ แงะออกมา และทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเจ้าใหญ่กลับมานางก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น ตอนนี้หลี่หลิวรวบรวมเม็ดเกาลัดได้ประมาณหนึ่งกิโลแล้ว ด้วยร่างกายวัยเด็กแบบนี้จึงทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก มือเท้าก็แสนจะเปราะบาง ทำแรงนิดหน่อยก็ได้แผลกลับมาเสียแล้ว "มาให้พี่ช่วยเจ้าเถอะ ไม่เช่นนั้นบ่ายนี้คงไม่ได้กลับบ้านแล้ว เจ้าจะเก็บลูกหนามนี้มากเพียงใดล่ะ" เจ้าใหญ่เข้าใจว่าน้องสาวตนคงอยากได้เม็ดพวกนี้ไปเล่น จึงอาสาจะช่วยเก็บ และเห็นวิธีที่นางเก็บแล้วมันก็ไม่ได้ยากนัก จึงช่วยนางเก็บจนได้มากถึงสองสามโลเลยทีเดียว "เจ้าว่ามากขนาดนี้แล้วพอได้หรือยัง นี่มันก็มากแล้วนะหากเจ้าจะเอาไปเป็นหมากไว้เล่นมันคงเกินพอแล้ว" "ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ใครเขาจะเอาไปเล่นกัน ข้าจะเอามันไปกินต่างหากล่ะ" "ในหัวเล็ก ๆ ของเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือเจ้ายังไม่ฟื้นไข้จึงเบลออยู่ใช่หรือไม่"เจ้าใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นจึงโยกหัวน้องรองเบา ๆ เพื่อหยอกล้อกับนาง "มันกินได้จริง ๆ นะพี่ใหญ่" "ได้ ๆ กินได้ก็กินได้" "หึ! นี่ท่านไม่เชื่อข้ารึ" "ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้วสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเก็บมันทำไมกัน" "ก็ได้ ๆ ถ้าเจ้าอยากได้อีกข้าค่อยพาเจ้ามาเก็บอีกครั้งดีหรือไม่ ตอนนี้เราต้องกลับบ้านแล้ว ข้าหิวจนไส้กิ่วหมดแล้วเนี่ย" เมื่อเจ้าใหญ่เห็นว่าน้องสาวตัวน้อยของตนจะงอแงจึงรีบตัดบทไป เขาแสร้งทำตัวให้อ่อนแอซึ่งจริง ๆ แล้วก็จริงดั่งเขาว่านั่นแหละ เขาหิวจนท้องร้องแล้วจริง ๆ หลี่หลิวที่พึ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายตัวน้อยของร่างนี้ยังไม่ได้กินข้าวจริง ๆ นางจึงต้องวางมือจากการเก็บเกาลัด แล้วหาใบไม้ใหญ่ ๆ มาห่อมันไว้แล้วเอาเถาวัลย์มัดให้ดีก่อนนำไปใส่ตะกร้าด้วยความรู้สึกผิด "นี่ท่านเก็บได้มากเลยทีเดียว ข้าคิดว่าคนอื่นเก็บไปก่อนท่านเสียแล้ว" หลี่หลิวมองไปที่ตะกร้าที่มีผักหนามอยู่เกินครึ่งซึ่งด้านบนมีห่อเห็ดโคนวางอยู่ ดีที่พี่ชายตัวน้อยไม่เอามันไว้ด้านล่าง ไม่เช่นนั้นเห็ดพวกนั้นคงโดนผักทับจนเสียรูปไปแล้ว หลังจากที่เจ้าใหญ่ช่วยน้องรองเก็บลูกหนามจนเสร็จแล้วเขาจึงพักดื่มน้ำดื่มท่าครู่หนึ่ง ไม่นานทั้งคู่ก็พากันลงเขาด้วยความเหนื่อยล้า ระหว่างทางเสียงเจื้อยแจ้วที่เคยมีค่อย ๆ เงียบลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้า และเสียงเหนื่อยหอบระหว่างทางกลับ ก่อนหน้านี้หลี่จงบอกกับน้องสาวว่า โชคดีที่คนขึ้นเขามานั้นเป็นเพียงนายพราน เขาจึงไม่สนใจในการเก็บผักป่านักทำให้พี่ใหญ่อย่างเขาได้ผักป่ามาเยอะมาก และก็นี่เป็นเรื่องดีที่ท่านย่าจะไม่ดุด่าเมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้าน แถมเย็นนี้พวกเขายังจะได้กินผัดผักป่าอีกด้วย ผักหนามเป็นผักกินยอดอ่อนชนิดหนึ่งทว่าต้น และกิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยหนาม แต่เป็นผักที่อร่อยทำได้หลายเมนูที่ทุกคนนิยมเห็นจะเป็นเอาไปผัดกินกัน "เอาล่ะใกล้ถึงบ้านแล้ว เจ้าเอาของของเจ้าออกมาถือเอง แล้วเอาไปเก็บในครัวเล็กหลังบ้านของเราให้เรียบร้อย อย่าให้ท่านย่าเห็นมันเชียวนะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะโดนดุเอาได้" "ได้ ข้าจะเอาไปเก็บที่ครัวเล็กข้างหลังบ้านของเรา ข้าจะอ้อมไปด้านหลังบ้านไม่ผ่านประตูใหญ่ดีหรือไม่" หลี่หลิวพอเข้าใจว่าครัวใหญ่นั้นเอาไว้ใช้ทำอาหารให้ท่านย่าและลุงโจว ส่วนครัวเล็กนั้นใช้เฉพาะครอบครัวรองของนาง ซึ่งครัวเล็กอยู่หลังบ้านห่างจากตัวบ้านไปเล็กน้อย "นี่แหละที่ฉันต้องการ" หลี่หลิวแอบเอาของมาเก็บในครัวเล็ก โชคดีที่ท่านย่าไม่อยู่ออกไปทำธุระกับท่านปู่ และครอบครัวของลุงใหญ่ หลี่หลิวจึงรีบก่อไฟ และแกงเห็ดที่ล้างสะอาดแล้วให้เรียบร้อย นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้วนางจึงรีบต้มเกาลัดจนเสร็จ แล้วตากเกาลัดให้สะเด็ดน้ำก่อนจะเก็บเกาลัดที่หอมหวานเข้าบ้านไปพร้อมกับมีดสั้น หลี่หลิวมองซ้ายมองขวา นางรีบแอบออกมาเอาหม้อแกงเห็ดเข้าไปเก็บที่ห้องนอนขนาดเล็กนั่นอย่างรวดเร็วในตอนที่ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น "ท่านแม่ขอรับ เหตุใดท่านย่าแบ่งผัดผักป่ามาให้เราน้อยจังล่ะขอรับ ข้าได้ยินว่าพี่ใหญ่ของเราเก็บมาได้เยอะมากเลยนะขอรับ" หลี่เฉินน้องเล็กที่อาบน้ำล้างเนื้อตัวเสร็จแล้ว ถามท่านพ่อท่านแม่ที่มานั่งเตรียมกินน้ำต้มโจ๊กกับผัดผักที่แสนจะน้อยนิด จนหลี่หงไม่รู้ว่าควรจะตอบลูกชายเช่นไรดี ถึงจะรู้ว่าท่านย่าลำเอียงและรักครอบครัวนั้นมากกว่า แต่บุตรของตนก็ลงทุนลงแรงไปหามาให้แต่กลับได้กินเพียงเศษผักส่วนหนึ่ง หลี่หงทำได้แค่อดทน และซื่อสัตย์ต่อท่านแม่เท่านั้น เขาไม่มีความกล้าที่จะโต้เถียงกับท่านแม่เลยสักนิด จึงทำได้แค่ลูบหัวน้อย ๆ ของบุตรคนเล็กเพื่อปลอบใจ "นี่เจ้าเล็ก เจ้าอยากอิ่มท้องหรือเปล่าล่ะ" หลี่หลิวได้โอกาสจึงรีบลุกพรวดพราดยกหม้อที่แอบไว้ตรงมุมห้องออกมา แล้วตักแกงเห็ดใส่ถ้วยใบใหญ่มาวางไว้ตรงกลางวงล้อม แถมยังมีเกาลัดอีกจำนวนหนึ่งที่แกะแล้วมาวางไว้อีกด้วย "พี่รองนี่มันเห็ดนี่ขอรับ กินได้ด้วยรึ" "ได้สิ ข้ากินไปก่อนหน้านี้ตั้งแต่บ่ายแล้ว ข้าก็ยังสบายดีอยู่" ว่าแล้วหลี่หลิวก็ตักเห็ดอวบอ้วนใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างอารมณ์ดี เจ้าใหญ่เห็นเช่นนั้นก็จุกอกเพราะตนก็เป็นคนช่วยน้องรองเก็บมา แล้วน้องรองก็ยังเอาออกมากินต่อหน้าต่อตาท่านพ่อท่านแม่อีก "กินเถอะ เห็ดนี้พ่อเคยเห็นลุงเหยียนเก็บไปกินหลายครั้งแล้วเขาบอกว่ามันกินได้" ท่านพ่อหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบกินโดยไม่ลังเล ลุงเหยียนบอกว่าเห็ดชนิดนี้อร่อยมาก และปลอดภัยที่สุด คนที่เก็บไปกินแล้วตายอาจเป็นเพราะเขาเก็บเห็ดชนิดอื่นไป แต่เห็ดนี้กินได้ "ข้ากินด้วย" น้องเล็กคีบดอกเห็ดอวบ ๆ อ้วน ๆ ใส่ปากแล้วชมไม่หยุดว่าอร่อย ส่วนท่านพ่อก็ตักแล้วตักอีกใส่ถ้วยตนเอง ท่านแม่กับข้ามองหน้ากันไปมา ก่อนจะลงมือคีบกินตามคนในครอบครัวไป "อร่อย นี่มันอร่อยมาก" เจ้าใหญ่หลี่จงอุทานออกมาแล้วหันไปมองหน้าน้องรอง เขานึกถึงคำพูดของนางที่เคยพูดไว้ แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไป ทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกวันนี้ได้กินอย่างอิ่มท้องแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน เกาลัดที่น้องรองเก็บมาต้องใช้มีดตัดผ่าครึ่งถึงจะกินมันได้ แม้จะกินลำบากไปหน่อยแต่เนื้อข้างในของมันหวานหอมคุ้มค่าที่ลงแรงในการแกะ ถึงแม้มันจะแกะยากไปบ้างก็ตาม "พี่ใหญ่... พรุ่งนี้เราไปเก็บเห็ดกันดีไหมขอรับ แล้วก็ไปเก็บลูกหนามมาไว้เยอะ ๆ เลยด้วย ทีนี้เราก็จะอิ่มท้องกันแล้ว" น้องเล็กหลี่เฉินมีความกระตือรือร้นขึ้นมา และอยากไปเก็บอาหารมาไว้เยอะ ๆ หลี่จงพี่คนโตมองหน้าท่านพ่อ พอเห็นว่าท่านพ่อพยักหน้าทำให้น้องเล็กร้องไชโยออกมาเสียงดังจนท่านย่าตะโกนเอ็ดมา หลี่หลิวจึงบอกน้องเล็กว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ไม่เช่นนั้นจะมีคนอีกมากไปแย่งลูกหนามของเจ้า หากเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องอดกินอาหารอร่อยไปอีกนาน หลี่เฉินจึงรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตนเองส่ายหน้าไปมา พร้อมบอกว่าข้าจะไม่บอกใครเลย หลังจากนั้นทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกต่างพากันเข้านอนเมื่อเก็บถ้วยชามเสร็จแล้ว ทุกคนนอนหลับกันหมดเทียนที่จุดไว้ค่อย ๆ ดับลงทีล่ะห้อง เสียงหายใจสม่ำเสมอแสดงว่าเริ่มหลับนอนกันแล้ว "ท่านพ่อ.." จู่ ๆ หลี่หลิวก็เอ่ยเสียงเบา ๆ ขึ้นมาท่ามกลางความมืดอย่างไม่มีปี่มีขุ่ย "เจ้านอนไม่หลับหรือ" "ข้าอยากมีบ้านที่มีแต่พวกเราพ่อแม่ลูกเจ้าค่ะ" หลี่หลิวใช้ลูกอ้อนกอดแขนผู้เป็นพ่อของเจ้าของร่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกผูกพันรักใคร่ครอบครัวเจ้าของร่างขนาดนี้ แต่ที่รู้ ๆ ก็คือตอนนี้เธอเป็นลูกของเขา ผู้ชายที่นอนเอามือหนุนท้ายทอยคนนี้คือพ่อของฉัน "ถ้าออกจากบ้านใหญ่ไป เราต้องเริ่มใหม่กันหมดเลยนะ" "ไม่เป็นไรหรอกท่านพ่อ ขอแค่มีพวกเราอยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่อยากอดมื้อกินมื้ออีกแล้วท่านพ่อ.." หลี่หลิวแหงนมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างรอคอยคำตอบ อันที่จริงเขามีความคิดหลายครั้งที่จะพาครอบครัวย้ายออก แต่กลัวว่าการเริ่มต้นใหม่จะทำให้ครอบครัวต้องลำบากกว่าเดิม จึงต้องพักพิงอยู่กับครอบครัวใหญ่เช่นนี้ พอลูกสาวเพียงคนเดียวถึงกับเอ่ยปากออกมาในใจเขาก็กระวนกระวายไม่น้อย นี่เราปล่อยให้ลูกอดอยากขนาดนั้นเลยรึ ข้านี่ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ "ได้ พ่อรับปากเจ้า" "งั้นพรุ่งนี้เราไปบอกท่านปู่กันนะเจ้าคะ" "ได้ เจ้านอนได้แล้ว" "เจ้าค่ะ" หลี่หงเอามือลูบหลังบุตรสาวเบา ๆ ในใจคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเราไปแล้วท่านพ่อท่านแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะหุงหาอาหารให้ท่าน ใครจะทำงานไร่งานนาให้ท่าน เมื่อเห็นบุตรสาวหลับแล้วเขาก็ต้องเอามือก่ายหน้าผาก ภรรยาที่เห็นเช่นนั้นได้แต่ส่งยิ้มให้บาง ๆ เขาหันไปด้านข้างเห็นสายตาที่อ่อนโยนของหวังลู่ที่เป็นภรรยาของเขา ใบหน้าที่ซีดเซียวลงทุกวันของนางทำให้เขาได้คิดใคร่ครวญอีกครั้ง นางร่วมทุกข์ร่วมสุขมามากมายกับข้า ครอบครัวอื่นภรรยาอยู่บ้านทำงานเรียบง่าย แต่นางต้องทำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน จนใบหน้างามตอนนี้หมองคล้ำไม่นวลผ่องเหมือนก่อนเก่าอีกแล้ว ข้าช่างเป็นสามี และพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก!! เสียงไก่ขันตอนเช้ามืดเป็นนาฬิกาปลุกที่ดีที่สุด หวังลู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าลูกสาวตัวน้อยได้ตื่นตามนางมาด้วยเช่นกัน หวังลู่จึงพาบุตรสาวไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นให้นางนั่งตั่งไม้อยู่ข้าง ๆ เตาไฟครัวเล็ก ส่วนตนรีบไปก่อไฟหุงหาอาหารที่ครัวใหญ่ เสร็จแล้วค่อยไปทำครัวเล็ก นางเอาแกงเห็ดของบุตรสาวมาอุ่นจนได้ที่แล้วจึงยกหม้อออกจากเตาโดยมีหลี่หลิวคอยจ้องมองอยู่ข้าง ๆ "วันนี้เราจะได้ย้ายออกใช่ไหมเจ้าคะ" หลี่หลิวมองดูนางหวังแม่ของเจ้าของร่างเดิมที่กำลังทำกับข้าวจนจะเสร็จแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้น เพราะรู้ว่าเมื่อคืนตอนที่นางเอ่ยถามแม่ของเจ้าของร่างนี้ก็ยังนอนไม่หลับเช่นกัน หวังลู่เหน็บผมทัดหูให้บุตรสาวอย่างเอ็นดู นางก็อยากทำแบบนั้นเช่นกันจะได้ไม่ต้องให้ลูก ๆ ทนอดอยากเช่นนี้ นางมีบุตรสาว และบุตรชายท่านย่าก็ยังไม่พอใจ ทำอะไรก็ขวางหูขวางตาท่านย่าไปเสียทุกสิ่งอย่าง หากย้ายออกไปถึงให้นางใช้ชีวิตในป่าเขาอาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้ ห่วงก็แต่ลูก ๆ ยังเล็กพวกเขาจะทนร้อนทนหนาวได้หรือ ยิ่งคิดนางยิ่งท้อใจ "ท่านไม่ต้องกังวล ข้าน่ะแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด หากหลุดพ้นออกจากที่นี่ไปได้ ข้าจะมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้อย่างแน่นอน" หลี่หลิวเห็นสีหน้ากังวลของมารดา จึงคิดว่านางคงห่วงความเป็นอยู่เพราะหากย้ายออกไปก็คงต้องกระทบหลายอย่าง ทั้งที่อยู่อาศัยและอาหารการกิน คนเป็นแม่ต้องแบกรับสิ่งพวกนี้ไว้ ข้าคงทำได้แค่ให้กำลังใจนางเท่านั้น "เจ้าไม่กลัวว่าถ้าออกไปแล้วจะลำบากรึ" "ข้าไม่กลัวความลำบาก ข้ากลัวว่าข้าจะอดตายเสียมากกว่า" หลี่หงผู้เป็นพ่อที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินสองแม่ลูกคุยกันใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เขาจึงหันตัวเพื่อเดินกลับเข้าบ้านไป ก่อนหน้าเห็นท่านแม่ตื่น และท่านพ่อเองก็คงจะตื่นแล้วเช่นกัน เขาจึงบากหน้าเข้าไปปรึกษาท่านพ่ออย่างจริงจัง "เจ้าแน่ใจรึ?" "ขอรับ" หลี่หงนั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านพ่อที่กำลังนั่งเก้าอี้จิบน้ำชาตั้งแต่เช้ามืด เขาบอกไปแล้วว่าอยากย้ายออก แต่ท่านพ่อยังคงดูนิ่ง และสงบมากจนเขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าท่านจะยินยอมหรือไม่ "ในเมื่อเจ้ามั่นใจแล้วก็รีบพาครอบครัวเจ้าไปเสีย" ชายวัยกลางคนลุกขึ้น และเดินไปหยิบของบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในกล่องหนังสือมาใส่มือเขา หลี่หงถึงกับตกใจจนตาแทบถลนออกมา ท่านพ่อมอบเงินให้ข้างั้นรึนี่มันห้าตำลึงเงินเชียวนะ ค่าของเงิน 1 ก้วน = 1,000 อีแปะ/เวิน 1 ตำลึงเงิน = 1 ก้วน 1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน "ท่านพ่อ..." "รีบไปเสีย ส่วนนี่คือโฉนดที่ดินมันมีขนาด 3 ไร่กับอีก 2 งาน ที่ตรงนั้นมีคนเช่าอยู่ ให้เจ้าถือโฉนดที่เป็นชื่อเจ้าไปยืนยันกับเขาว่าเจ้าเป็นเจ้าของที่คนใหม่ ที่นั่นอยู่ห่างไกลจากที่นี่พอควรและใช้เวลาในการเดินทางสามชั่วโมงกว่าจะถึงที่นั่น ข้าแอบเก็บเล็กผสมน้อยไว้จนได้ที่แปลงนี้มา ที่นั่นมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่งมันเพียงพอต่อครอบครัวของเจ้า" "ไปรีบ ไปก่อนที่ยายเฒ่านั่นจะมา ข้าจะบอกนางเองรีบไปเสีย" "ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ" หลี่หงคุกเข่าโขกศีรษะคำนับผู้เป็นบิดา เขาคิดมาโดยตลอดว่าท่านพ่อนั้นรัก และเอ็นดูครอบครัวพี่ใหญ่มากกว่าครอบครัวตน แต่แท้จริงแล้วท่านกับเตรียมการไว้ล่วงหน้าให้เขาซะดิบดี ทั้งที่ดินเงินตรา และที่พักอาศัย หลี่หงโขกหัวลงพื้นอีกครั้งด้วยความละอายใจที่คิดกับท่านพ่อเช่นนั้น เขาได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะอภัยให้ในความคิดแง่ลบของตน "เจ้าตัดสินใจแล้วก็อย่าชักช้า ไปได้แล้ว" ชายวัยกลางคนเห็นบุตรคนกลางน้ำตาคลอจึงรีบพยุงให้เขาลุกขึ้น และเร่งเร้าให้เขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตอนนี้หลี่ไช่หัวออกไปดูบ้านข้าง ๆ ที่มีหมูกำลังคลอดลูกอยู่ หากนางกลับมาบางทีพวกเขาคงไม่ได้ไปแล้ว "ข้าจะกลับมาทดแทนคุณท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอนขอรับ" "พูดมากเสียจริง รู้แล้ว ๆ ไปได้แล้ว" ชายวัยกลางคนโบกมือไล่เขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เจ้าลูกคนนี้จิตใจดีเกินไป แถมยังชอบช่วยเหลือคนอื่นไปทั่ว เขาชอบทำอะไรเกินตัวจนตนเอง และครอบครัวต้องลำบาก เงินสักอีแปะยังไม่เคยคิดจะเก็บไว้ หากข้าไม่ตระเตรียมไว้เมื่อหลายปีก่อนเขาคงต้องทนทุกข์อีกนาน ยังดีที่เขายังรู้ตัวว่าต้องเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีแบบไหนถึงจะนำพาครอบครัวให้สุขสบายได้ "เฮ้อ... เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว" ชายวัยกลางคนนั่งจิบชาอ่านหนังสือใต้แสงเทียน ทว่าในใจกับล่องลอย กว่าเขาจะคิดได้ใช้เวลานานมากเพียงนี้เชียว ก็ยังดีที่คิดจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นภายนอกบ้านหลังนี้ แต่มันคงจะลำบากในช่วงแรก ๆ ข้าหวังว่าเขาจะผ่านมันไปได้ล่ะนะ "หวังลู่!! เจ้ารีบไปเก็บข้าวของเถอะ เราจะไปกันตอนนี้เลย ท่านพ่ออนุญาตแล้ว เราต้องรีบไปก่อนที่ท่านย่าจะกลับมาพบ" "จริงหรือเจ้าคะ งั้นข้าจะไปปลุกพี่ใหญ่ให้ช่วยเก็บของ" หลี่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็รีบยืนขึ้นทันที "ท่านพ่อ แล้วเราจะไปที่ไหนกันหรือเจ้าคะ" "อย่าพึ่งถามมากความ และเบาเสียงลงหน่อยเดี๋ยวคนในบ้านจะตื่นเอาได้" หลี่หงเห็นบุตรสาวดีใจจนออกนอกหน้าจึงเอ็ดไปเล็กน้อย และบอกให้นางเบาเสียงลง จากนั้นทั้งหลี่หง หวังลู่ และหลี่จงต่างรีบเก็บเสื้อผ้า และของใช้ในห้องไปใส่รถลากที่ท่านพ่อบอกว่าถึงมันจะพังแต่เขาส่งมันไปซ่อมแล้วจนเกือบเต็มรถ เขาให้หลี่หลิวคอยดูแลหลี่เฉินที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ลาวบนรถลาก ไม่นานพวกเขาก็ย้ายออกไปแบบเงียบ ๆ หลี่หวนมองทอดออกไปเห็นครอบครัวของบุตรคนที่สองหันมาโค้งคำนับให้เขา ก่อนที่จะออกเดินทางไป เขาจึงได้แต่อวยพรให้พวกเขาไปดีมีสุขพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงนางหลี่กลับจากบ้านข้าง ๆ มาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะเพื่อนบ้านบอกจะยกหมูให้นางหนึ่งตัวจนนางยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว หลี่หวนเห็นเช่นนั้นใจก็ไม่เป็นสุขนัก หากนางรู้ว่าครอบครัวของบุตรชายคนที่สองย้ายออกไปแล้ว นางคงบ่นสามวันเจ็ดวันที่ขาดคนคอยช่วยงานในบ้าน และไร่นา"ภรรยาตัวดีของเจ้ารองทำกับข้าวกับปลาเสร็จหรือยัง ตะวันเริ่มขึ้นแล้วนะทำไมวันนี้ถึงดูเงียบจัง" เมื่อกลับถึงบ้านนางหลี่ไช่หัวก็บ่นให้สะใภ้รองไม่ขาดคำ ตาเฒ่าหลี่หวนได้แต่แอบส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก"ไม่อยู่แล้ว""อะไรคือไม่อยู่แล้ว พวกเขาออกไปทำไร่แต่ไม่ยอมทำกับข้าวกับปลาไว้ให้ข้างั้นหรือ ดีเลยไว้กลับมาข้าจะต้องสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้ว" กล้าดีอย่างไรถึงกับทิ้งหน้าที่ที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกไปเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องหาคนมาทำครัวแทนเสียแล้ว ใช่แล้วสะใภ้ใหญ่ก็ทำได้หนิ ถึงรสมือของนางจะไม่ดีเท่าเมียเจ้ารองแต่ก็ถือว่ายังพอกินได้ เรื่องอะไรข้าต้องไปทำกับข้าวกับปลาพวกนี้ด้วยตนเองด้วยล่ะ"พวกเขาย้ายออกไปแล้ว""ท่านว่าอะไรนะ!!! ย้ายออกไปแล้วงั้นหรือ!""ใช่ ย้ายออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว""พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงได้ไปไ
"ท่านพ่อ!! ท่านแม่รอพวกท่านจนอยู่ไม่เป็นสุข เหตุใดพวกท่านถึงไปนานเพียงนี้ล่ะขอรับ" หลี่เฉินบุตรชายคนเล็กวัยสี่ขวบรีบเดินออกมารับตรงถนนและพยายามช่วยลากรถด้วยพลังอันเต็มเปี่ยมของเขา แต่ทว่ารถลากกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เมื่อหลี่หงเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอ่อนให้กับบุตรชายคนเล็กที่มีน้ำใจอยากจะช่วยเหลือ แต่เขาตัวเล็กเกินไปจึงไม่สามารถช่วยได้ หลี่หงเลยบอกว่าหิวน้ำเขาจึงรีบวิ่งสับขาสั้น ๆ เข้าบ้านไปหาน้ำหาท่ามาให้ท่านพ่อด้วยความยินดี"ชื่นใจนัก" เขาชมบุตรชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู"ท่านแม่ดูสิขอรับ เราได้ปลามาเยอะมากเลยขอรับ" บุตรชายคนโตถือพวงปลาที่ร้อยมาอย่างดิบดียกชูสูงขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง"ได้มาจากที่ใดกันทำไมถึงได้เยอะเพียงนี้ แถมทุกตัวอวบอ้วนทั้งนั้น"หลี่จงหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วบอกท่านแม่อย่างละเอียดว่าน้องรองเราเก่งกาจเพียงใด หวังลู่ยิ้มกว้างย่อตัวลงสวมกอดสาวน้อยที่สวมมงกุฎดอกหญ้าอย่างรักใคร่ ลูกสาวข้าคือตัวนำโชคจริง ๆ ทั้งแกงเห็ดที่อร่อยอีกทั้งลูกหนามที่หอมหวานก็ถูกนางค้นพบ ถ้าจะมีอะไรที่แปลกมากกว่านี้ข้าก็จะไม่สงสัยเลยที่นางท
พอกลับถึงบ้านท่านแม่ออกจากครัวมาดูถึงกับอ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย จึงได้แต่ช่วยขนข้าวของลงจากรถลาก"เจ้าเอาตุ่มใส่น้ำมาทำอันใดมากมายถึงเพียงนี้" ท่านแม่ที่ช่วยท่านพ่อยกลงด้วยความหนักใจเอ็ดนางไปหนึ่งที นี่ต้องเสียเงินมากเป็นแน่ เงินที่ได้มาจากท่านปู่มิใช่พวกเจ้าสองคนพ่อลูกใช้กันหมดแล้วกระมัง"ข้าจะเอาไปใส่ปลาเจ้าค่ะ""ใส่ปลารึ""ใช่เจ้าค่ะ ตุ่มนี้จะเอาไว้ใส่น้ำในห้องครัวจะได้ใช้สอยสะดวกมากขึ้น ข้าเห็นท่านแม่ต้องใช้ถังไปตักน้ำมาวันล่ะหลาย ๆ ครั้ง หากมีตุ่มใส่น้ำเราก็แค่คอยเติมน้ำให้เต็มก็จะสะดวกเวลาใช้สอย อีกตุ่มเอาไว้ใส่ปลาเจ้าค่ะข้าจะตกปลาตัวเล็กมาด้วยแล้วเลี้ยงมันไว้ในตุ่มน้ำ พอขุดบ่อปลาเสร็จค่อยปล่อยมันลงบ่อ ส่วนอีกตุ่มข้าว่าจะทำห้องน้ำเจ้าค่ะ เพราะเรายังไม่มีห้องน้ำต้องอาบน้ำกลางแจ้งข้ารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก"เมื่อได้ยินคำตอบของบุตรสาวที่วางแผนอย่างดิบดีนางหวังได้แต่ยิ้มอ่อนให้บุตรสาว เข้าใจว่านางอยากช่วยให้แม่สบายขึ้นจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ถึงจะโมโหเพราะนางใช้จ่ายเกินตัวแต่ก็ต้องอมยิ้มกับความเอาใจใส่ของนาง ส่วนอีกตุ่มหลี่หลิวแอบเก็บเข้ามิติไปเรียบร้อยตั้งแต่อย
ครอบครัวหลี่หลิวมาถึงตลาดยามเช้าได้จองพื้นที่เพื่อที่จะขายอาหาร พวกเขาจุดเตาตั้งกระทะ และจัดข้าวของวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงพื้นริมถนนถัดจากร้านขายผักป่า ซึ่งน้ำมัน ซอสถั่วเหลือง กระเทียม ต้นหอมพร้อมกับเกลือได้ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดี ท่านพ่อนำกระบองคบเพลิงมาจุดแล้วตั้งไว้ไม่ห่างจากกระทะ เพื่อที่จะให้หลี่หลิวมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาถึงกับลงทุนเดินไปซื้อคบเพลิงนี้มา หลี่หลิวกล่าวขอบคุณท่านพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสนางตักน้ำมันหนึ่งกระบวยใส่กระทะเหล็กขนาดใหญ่ พอเริ่มร้อนก็ใส่กระเทียมที่พึ่งทุบเจียวจนหอมได้ที่ ตามด้วยหน่อไม้ลงไปผัดให้เข้ากัน ทำให้เกิดเสียง ฉ่า ฉ่า ฉ่า กลิ่นหอมของกระเทียมกระตุ้นความหิวของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ครอบครัวของหลี่หลิวเองยังต้องกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน เมื่อหน่อไม้เริ่มสุกได้ที่นางเติมน้ำลงเล็กน้อยใส่ซอสและเกลือ ก่อนจะผัดอีกครั้งชิมรสชาติแล้วใส่ต้นหอมซอยลงปิดท้ายกลิ่นหอมคั่วกระทะในยามเช้ามืดดึงดูดให้ผู้คนมายืนออกันอยู่หน้าร้านของหลี่หลิวมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ท่านพ่อที่ต้องยกเทใส่หม้อเหล็กเป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวปาดเหงื่อที่
เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา
หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในท
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขาหลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก"มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน"ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อยหลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลู
ตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอนตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย"ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิว
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย