เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน
"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา จึงทำให้ชาวนาส่วนมากได้รับความเสียหายจากการบุกรุกของพวกมัน" "ท่านพี่มันอร่อยนะเจ้าคะ" หลี่หลิวพูดคลอเคลียข้างหูพี่ใหญ่ นางพูดด้วยสุ้มเสียงรื่นหูดุจดังสายน้ำทำให้พี่ใหญ่ต้องอุทานออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย "เอาอีกแล้วหรือ?" หลี่จงเอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย นี่น้องรองของข้าจะเอาทุกสิ่งอย่างมาทำเป็นอาหารเลยหรืออย่างไร "ฮ่า ฮ่า ข้ารู้หรอกว่าท่านจะพูดอะไร แต่มันกินได้.." "ได้ ๆ ข้าเชื่อเจ้าหมดใจ อะไรที่เจ้าบอกว่ากินได้ก็คือกินได้นั่นแหละ" หลี่หลิวกำลังจะอธิบายให้พี่ชายเข้าใจว่า ถึงมันจะกินใบไม้ใบข้าวเป็นอาหาร แต่พวกมันก็อร่อยไม่ต่างจากเนื้อสัตว์นัก มาบัดนี้พี่ชายกับยอมรับแถมบอกเชื่อมั่นในตัวนางเสียอย่างนั้น "ดีเลย งั้นท่านช่วยข้าเอาเศษฟางที่มีอยู่มาขัดเปลือกพวกมันพอประมาณ แล้วจึงนำไปต้มใส่ขิงลงไปด้วยเพื่อดับกลิ่นคาวของมัน" "ย่อมได้" "ต้มเสร็จแล้วท่านค่อยเรียกข้า ข้าคันเนื้อตัวจะไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวก่อน" "ตกลงข้าจะทำตามที่เจ้าบอก" หลี่หลิวเกาะบ่าพี่ใหญ่แล้วอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ การมีพี่ชายแล้วตามใจเราทุกอย่างมันดีแบบนี้นี่เอง ถึงแม้ว่าพี่ชายข้าจะอายุเพียงเก้าปีเท่านั้น แต่กลับรู้ความรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ หากพี่ใหญ่ได้เล่าเรียนในเมืองจะดีแค่ไหนกันนะ เรียนงั้นหรือ! ที่นี่ต้องมีโรงเรียนสิไม่เช่นนั้นจะมีหนังสือให้คนรุ่นหลังได้อ่านเช่นไร แล้วทำไมพี่ชายของข้าที่อายุก็ปาเข้าเกือบสิบปีแล้วถึงยังไม่ได้เข้าเรียนอีกล่ะ เมื่อหลี่หลิวสอบถามพี่ใหญ่ของนางกลับได้คำตอบที่ว่าเพราะครอบครัวของเราไม่มีเงินตรา ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ได้ส่งเสียให้เขาเข้าเรียน อีกอย่างหากจะเข้าเรียนต้องเทียวไปเทียวกลับระหว่างตัวเมืองกับชนบท และคงกินเวลามากเพราะที่บ้านไม่มีรถลาก ถึงแม้นจะมีรถลากหรือรถม้าข้าคิดว่าท่านย่าคงไม่ยอมปล่อยให้พี่ใหญ่ได้เล่าเรียนเป็นแน่ หลี่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความสนใจ นางจึงได้คิดทบทวนในระหว่างที่อาบน้ำแต่งตัว หากย้ายไปอยู่ในเมืองเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ และถ้าอยู่ไม่ไกลจากย่านการค้านักจะดีมากแค่ไหน พี่สามกับเจ้าเล็กคงได้เข้าเรียน และมีความรู้ติดตัวมาบ้าง "ได้แล้วล่ะ ข้าต้มหอยทากพวกนั้นจนมันอ้าปากตามที่เจ้าบอกแล้ว ไปดูก่อนเถอะว่าได้หรือยัง" หลี่หลิวที่คิดวางแผนการอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ ก็พี่ใหญ่เล่นมาเงียบ ๆ เช่นนี้ถ้าข้าบ้าจี้ตกใจจนหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง "ข้าตกใจหมดเลย!!" หลี่หลิวโวยวายใส่พี่ใหญ่แต่ก็ยังเดินตามพี่ใหญ่ไปอย่างว่าง่าย เมื่อไปถึงนางบอกให้พี่ใหญ่ยกหม้อลง และปิดฝาหม้อให้สนิทเทน้ำออกจนหมดรอให้อุ่น ๆ แล้วชวนพี่ชายใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มหอยทากตัวอ้วน ๆ ออกมา จากนั้นทำความสะอาดใช้มีดปาดเอาเนื้อสีดำออกตัดส่วนหางทิ้งไป ก็จะได้หอยทากที่เนื้อขาวใส จากนั้นจึงหั่นบาง ๆ ตั้งเตาผัดด้วยไฟอ่อนใส่พริกหวานสีแดงสดใส ปรุงรสโรยด้วยงาขาวแล้วตักใส่จาน เมื่อหลี่จงชิมแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้น้องสาวอีกตามเคย เนื้อสีขาวเหนียวนุ่มกรุบกรอบหอมงาอร่อยมัน ๆ มีตัดเลี่ยนด้วยพริกสีแดงอร่อยลงตัวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายตัวเองหลี่หลิวก็รู้ได้เลยเมนูนี้เปิดตำนานได้อีกครั้ง นอกจากหน่อไม้แล้วหอยพวกนี้ก็ทำเงินได้เช่นกัน และหากมีเครื่องปรุงมากกว่านี้คงจะดีไม่น้อย หรือบางทีในตัวเมืองอาจจะมีเครื่องปรุงรสเช่นพวกซอส หรือน้ำจิ้มด้วยก็เป็นได้ ไว้ค่อยถามท่านพ่อตอนไปดูม้าพรุ่งนี้อีกทีก็แล้วกัน "เที่ยงนี้ท่านอยากกินอะไรพิเศษไหม" "น้องรองไม่ว่าเจ้าทำอันใดพี่ก็กินได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะถามว่าข้าชอบอะไรคงเป็นเกี๊ยวน้ำ" เจ้าใหญ่จำได้ว่าเมื่อครั้งลุงสามน้องชายคนเล็กของท่านพ่อแต่งออกไปเคยได้กินอยู่ครั้งหนึ่ง มันทั้งหอมหวานกลมกล่อมยิ่งมีเนื้อผสมอยู่ในนั้นด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มรสชาติได้เป็นอย่างดี เขายังจดจำรสในครานั้นได้ไม่ลืมเลือน "เกี๊ยวหรือ" "ใช่มันคือเกี๊ยวน้ำที่มีเนื้อผสมอยู่ข้างในด้วย มันอร่อยมาก ๆ เลยล่ะ" "อืม งั้นท่านพี่ต้องรอพรุ่งนี้แล้วล่ะ เพราะบ้านเราไม่มีแป้ง ไว้พรุ่งนี้ข้าจะซื้อแป้งมาด้วยแล้วเราค่อยมาช่วยกันห่อเกี๊ยวนะ" หลี่จงมองดูหน้าน้องรองอย่างสงสัย นางจะทำเกี๊ยวเนื้อเป็นจริง ๆ งั้นหรือ ข้าเคยได้ยินท่านแม่บอกว่าหากผสมแป้งไม่ดีเกี๊ยวก็จะแข็งไม่นุ่มจึงไม่ค่อยมีใครทำกันมากนัก อีกอย่างด้วยราคาแป้งที่มันค่อนข้างจะแพงกว่าข้าวหลายขุม การที่เขาบอกสิ่งที่ชอบไปแบบนี้จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันนะ "แต่แป้งราคามัน.." "นี่! พี่ลืมไปแล้วหรือ ข้าน่ะแค่ขายผัดหมูใส่ผักก็ได้เงินมามากมายกว่าวันแรกเสียอีก กะอีแค่แป้งแค่ไม่กี่ถุงขนหน้าแข้งท่านพ่อของเราไม่ร่วงหรอกน่า" เมื่อนางรู้ว่าพี่ใหญ่ตัวน้อยกลัวที่จะเสียเงินมากเกินไป นางจึงรีบพูดตัดบทเขา ในเมื่อมีเงินเราก็ไม่ควรประหยัดจนเกินไป อะไรที่ทำแล้วมีความสุขไม่เดือดร้อนใครก็สมควรทำ ส่วนอะไรที่ทำแล้วครอบครัวเดือดร้อนก็มิควรทำเช่นกัน "หากท่านอยากชดใช้ท่านก็หาเก็บหอยทากตัวใหญ่ ๆ อ้วน ๆ ให้มากสิเจ้าคะ แล้วคราวหน้าค่อยนำมันไปทำอาหารขายที่ตลาดเช้ากัน ข้าว่าท่านพ่อจะดีใจจนยิ้มไม่หุบเลยแหละ" หลี่หลิวเอานิ้วชี้เข้าไปดึงมุมปากตัวเองแล้วฉีกยิ้มกว้าง ๆ เหมือนกับเวลาที่ท่านพ่อได้รับเงิน เมื่อพี่ใหญ่เห็นเข้าจึงรีบให้นางเอามือลงหากท่านพ่อเห็นเข้าอาจจะติเตือนว่าเป็นเด็กเป็นเล็กหัดล้อเลียนผู้ใหญ่ "ได้ ข้าจะเก็บหอยพวกนี้ให้มากหน่อยในวันพรุ่ง และจะต้มล้างหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ไว้รอเจ้าด้วย" พี่ใหญ่เข้าใจที่น้องรองจะบอก หากอยากช่วยครอบครัวก็ควรช่วยกันทำงาน เวลาใช้จ่ายจะได้ไม่เสียใจมากนัก เพราะว่ากว่าเราจะสามารถหาเงินมาเพิ่มได้อีกเรื่อย ๆ เช่นกัน "เช่นนั้นท่านพี่อุ่นข้าวต้มเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะทำกับข้าวอีกสักอย่างจะได้ดูไม่ขี้เหนียวจนเกินไป" พี่ใหญ่ใหญ่ตอบรับ และมองไปที่น้องรองที่กำลังหั่นนั่นทีหั่นนี่ที พอเห็นแบบนั้นในใจเขาก็คิดอยากช่วยนาง แต่กลัวว่าจะทำให้นางเสียเวลาไปซะเปล่า จึงได้แต่นั่งเฝ้าหม้อข้าวต้มรอจนมันเดือดแล้วยกลงจากเตา หลี่หลิวผัดเนื้อวัวใส่หน่อไม้หั่นพริกสไลด์ใส่เพิ่มสีสันปรุงรสเป็นอันเสร็จ แค่นี้ก็มีอาหารสามอย่างแล้ว "ไปเรียกพวกท่านพ่อกันเถอะเจ้าค่ะ" หลังจากช่วยกันจัดจานบนโต๊ะไม้ไผ่ และตักอาหารวางไว้เรียบร้อยนางจึงชวนพี่ชายไปเรียกท่านพ่อ และทุกคนมาทานมื้อเที่ยง พอหันไปเห็นบ่อปลาที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างสายตานางก็เปล่งประกายในทันที มื้อเที่ยงจบลงทุกคนนั่งพักผ่อนครู่ใหญ่แล้วค่อยลงไปขุดบ่อต่อ ช่วงบ่ายนี้หลี่จงลงไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ด้วยอีกแรง ระหว่างขุดบ่อท่านลุงกับท่านป้าฉวีก็ชมบุตรสาวของหลี่หงที่ทำอาหารได้เก่งกาจไม่ขาดแม้แต่คำเดียว หากเปิดร้านอาหารในเมืองต้องขายดีไม่แพ้ร้านใหญ่อย่างแน่นอน ทำให้หลี่หงคิดไปว่าถ้าเปิดร้านอาหารในเมืองจริงรายได้ต้องมากมายก่ายกองขนาดไหน อีกทั้งบุตรชายทั้งสองยังจะมีโอกาสได้เข้าเรียนอีกด้วย สี่โมงเย็นโดยประมาณบ่อขนาดกลางของหลี่หลิวก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย ในระหว่างที่ขุดก็มีน้ำซึมออกมาด้วยทำให้ตอนนี้ในบ่อมีน้ำขังในระดับนึงแล้ว "บ่อข้าเสร็จแล้วรึ" หลี่หลิวได้ฟังจากปากน้องชายที่วิ่งมาบอกนาง นางจึงรุดหน้าไปดูให้เห็นกับตาตนเอง ใช่แล้วมันเสร็จแล้วจริง ๆ อย่างที่น้องเล็กกล่าว หลี่หลิวยิ้มร่าแล้วกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยใจจริง "ค่ำนี้พวกท่านก็อยู่ทานมื้อเย็นกับพวกเราเถอะ ข้าจะทำหม้อไฟให้ท่านได้ลิ้มลองเดี๋ยวนี้แหละ" หลี่หลิวพูดจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปทางครัว "ดูเอาเถอะ ลูกคนนี้ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้" หลี่หงมองตามบุตรสาวแล้วส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม "ท่านพี่ ลูกเรายังเป็นเด็กจริง ๆ นี่เจ้าคะ" หวังลู่ถึงกับกลั้นขำ ลูกสาวตนพึ่งหกขวบเขากลับว่านางทำตัวเหมือนเด็ก นางยังเด็กอยู่จริง ๆ ต่างหากล่ะ ท่านลุงท่านป้าพากันหัวเราะชอบใจที่เขาคิดว่าบุตรสาวตนโตแล้วเพราะนางเก่งด้านอาหารเพียงเท่านั้น แต่กลับลืมไปว่านางพึ่งอายุได้เพียงหกปีเศษเท่านั้นเอง "ท่านแม่ขอรับ หม้อไฟคืออะไรหรือขอรับ" หลี่เฉินได้ยินที่พี่สาวบอกเพราะเขาเล่นกับเพื่อนอยู่แถวนั้นพอดี จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย "เจ้าก็รู้หนิ ในใจพี่สาวเจ้ามีเมนูแปลกประหลาดอีกมากมายที่นางอยากทำ ไว้นางทำเสร็จเดี๋ยวพวกเราก็รู้เอง เอาล่ะพวกเราล้างแขนขากันสักหน่อยเถอะ" หวังลู่หันไปชวนท่านลุงท่านป้า และพวกเด็ก ๆ ไปล้างมือล้างเท้าที่โดนดินโคลนเปรอะเปื้อน จากนั้นนางค่อยเข้าไปช่วยบุตรสาวในครัว "มีอะไรให้แม่ช่วยหรือไม่" หวังลู่ที่พึ่งเดินเข้าไปเห็นบุตรสาวกำลังหยิบห่อเนื้อวัวเนื้อหมูออกมาพอดีจึงอยากจะช่วยนาง "ท่านมาถูกจังหวะมากเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่ท่านช่วยข้าหั่นเนื้อให้เป็นแบบนี้แล้วหั่นบาง ๆ หน่อยนะเจ้าคะ" "แม่จะทำให้ดีที่สุดนะลูก" นางหวังเห็นบุตรสาวทำแล้วจึงรับเนื้อมานั่งหั่นอย่างตั้งใจ เมนูวันนี้ดูแปลกตานัก หลี่หลิวตั้งหม้อขนาดกลางแล้วปรุงรสในหม้อที่มีโครงไก่อยู่ในหม้อสองโครง พอนางปรุงเสร็จก็ถอยไม้ฟืนออกมาเกินครึ่ง แล้วจึงไปหั่นผักกาดที่เอามาจากในมิติมาหั่นให้พอดีคำ เห็ดโคนก็หมดไปแล้วจึงทำแบบพอกินไปก่อน หลี่หลิวหั่นผักกาดขาวเสร็จหนึ่งหัวแล้วจึงมาปอกกระเทียมแล้วทุบ และสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนละเอียดดีแล้ว จากนั้นนำมาใส่ถ้วยใบใหญ่เติมน้ำมันงาน้ำปลาน้ำตาลอ้อยที่พึ่งซื้อมาได้รสชาติมันหวานเค็ม และเติมน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยเวลาเคี้ยวโดนกระเทียมสับก็จะซ่า ๆ เผ็ดชาลิ้น จากนั้นใส่เมล็ดงาขาวคั่วหอม ๆ ลงไป คนจนเข้ากันดีก็จะได้น้ำจิ้มรสชาติที่ลืมไม่ลง เมื่อเตรียมทุกอย่างจนพร้อมหลี่หลิวก็ให้ท่านแม่ช่วยก่อไฟอีกเตาวางไว้พื้นดินใต้ชายคา นำเสื่อไม้ไผ่มาปูล้อมรอบ ๆ เตาวางผัก และเนื้อไว้รอบ ๆ ด้าน จากนั้นค่อยเรียกทุกคนมานั่งล้อมวง หลี่หลิวบอกวิธีกินอย่างละเอียด น้ำเดือดแล้วใส่ผักใช้ตะเกียบคีบเนื้อใส่ พอเนื้อสุกคีบใส่ถ้วยตนเองตักผักตามชอบ คีบเนื้อจุ่มน้ำจิ้มที่นางแบ่งใส่ถ้วยเล็กไว้สี่มุม แล้วเอามาเป่าก่อนเข้าปากตักน้ำซุปใส่ถ้วยตนแล้วค่อย ๆ ซดตาม เมื่อทุกคนเข้าใจแล้วจึงลองทำตามนาง "ฮาาา ร้อน ๆ ลิ้นข้าสุกแล้ว" หลี่เฉินที่รีบกินจนลืมเป่าส่งเสียงบอกอย่างร้อนรน เขากลืนเนื้อคำใหญ่ลงไปก่อนที่จะแลบลิ้นแล้วใช้มือพัดไปมาเพื่อหวังให้มันคลายร้อน หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นจึงเอาน้ำให้เขาได้ดื่มกิน "เจ้าก็กินช้าลงหน่อย" หลี่หลิวบอกน้องชายพร้อมรับขันน้ำกลับมาวางที่เดิม "มันอร่อยเกินไป ข้าเกือบกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วยหลายทีแล้ว" ท่านพ่อกับท่านแม่ และทุกคนพากันพยักหน้าไปตาม ๆ กัน มันอร่อยจนแทบจะกลืนลิ้นลงคอไปแล้วจริง ๆ เสียงแจ้ว ๆ ของเด็กชายคุยกันตามประสา พร้อมทั้งแย่งกันกินอย่างสนุกสนาน หวังลู่ที่กินไปด้วยพร้อมคีบผัก และเนื้อใส่ให้แทบไม่ทัน จนทุกคนเริ่มกินช้าลงนางถึงได้กินอย่างสะดวกขึ้น มิน่าล่ะเจ้าเด็กพวกนี้ถึงตักเอาตักเอาที่แท้มันก็อร่อยมากขนาดนี้เชียว เมื่อสิ้นสุดมื้อค่ำลงดวงตะวันก็คล้อยลงต่ำ ท่านลุงท่านป้าขอตัวลากลับบ้านแถมยังกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ที่บ้านหลี่ให้พวกเขากินเนื้ออย่างดีมากมายจนพวกเขาอิ่มหนำสำราญ และมันก็อร่อยมากจนพวกเขาน้ำตาไหลเลยทีเดียว หลี่หลิวยังใจดีมอบโคลงไก่ที่เหลือให้พวกเขาไปอีกหนึ่งโคลง แน่นอนว่าไก่ยังคงมันมีเนื้อติดอยู่ไม่น้อย "เดินทางปลอดภัยนะขอรับ" หลี่เฉินเดินออกมาส่งเพื่อนหน้าประตูพร้อมกับพี่ใหญ่และท่านพ่อ เขาโบกมือหยอย ๆ ส่งเพื่อนกลับบ้าน จากนั้นท่านพ่อปิดประตู และพาหนุ่มน้อยทั้งสองเข้าบ้าน หลี่หงไม่ลืมที่จะจุดคบเพลิงที่หน้าบ้านเพื่อให้ความสว่างในตอนกลางคืนที่จะมาถึง หวังลู่ และหลี่หลิวช่วยกันล้างถ้วยชามโดยใช้ใยบวบจนเสร็จก็พากันล้างเนื้อตัวเข้านอน ล้างด้วยน้ำเปล่าเช่นนี้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก พรุ่งนี้ต้องลองดูว่ามีอะไรสามารถทำสบู่ได้บ้างเสียแล้ว เมื่อตอนอายุยี่สิบที่โลกก่อนเธอเคยลองทำสบู่กวนเย็นใช้เองอยู่หลายครั้ง เพราะว่าไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมที่ฉุนจนเกินไปที่วางขายตามท้องตลาด จากนั้นก็เธอผันตัวมาทำสบู่เก็บไว้ใช้เองเสียเลย ในตอนนั้นเพื่อนที่พักห้องด้วยกันได้ลองใช้ก็พากันชอบในกลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่ที่เสี่ยวเหมยทำ ถึงมันจะฟองน้อยไปจนแทบไม่มีเลย แต่มันก็ปลอดภัยกว่าสบู่ที่ทำจากอะไรบ้างก็ไม่รู้ในท้องตลาด พอใช้แล้วผิวก็นุ่มชุ่มชื่นดีอีกด้วยจากนั้นมาพวกเขาก็ไม่ซื้อสบู่มาใช้กันอีกเลย "พี่รองขอรับ พรุ่งนี้ให้ข้ากับพี่ใหญ่ไปดูม้าด้วยได้หรือไม่" หลี่เฉินที่เตรียมจะเข้านอนนั่งอ้อนวอนพี่สาวตาละห้อยด้วยความน่าสงสาร นางจึงเห็นอกเห็นใจเพราะว่าน้องชายคงอยากจะออกไปเปิดหูเปิดตา และเรียนรู้สิ่งใหม่จากภายนอกจึงตอบตกลงไป "พี่รองของข้าใจดีที่สุดเลยขอรับ" หลี่เฉินกอดแขนเล็ก ๆ ของพี่สาวด้วยความดีใจ ส่วนหลี่จงเอามือเรียวงามที่เริ่มมีสุขภาพดีหยอกล้อหลี่เฉินจนเขาหัวเราะลั่นเพราะโดนจั๊กจี้เอวอย่างบ้าคลั่ง "ฮา ฮ่า ฮ่า พอ.. พอแล้วขอรับ" สามพี่น้องเล่นกันอยู่พักหนึ่งจึงพากันดับไฟเข้านอน หลี่หลิวมองพวกเขาที่หลับสนิทดีแล้วก็แอบเข้ามิติไปรดน้ำผักที่นางปลูกไว้ พอมาสังเกตดูดี ๆ ผักกาดขาวที่โตเต็มที่แล้วไม่แก่ลงเลยสักนิดนางก็รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนี้ถึงเธอจะปลูกไว้เต็มกำแพงน้ำมันก็คงไม่มีทางที่จะแห้งโรยรา หลี่หลิวจึงตัดสินใจว่าจะคอยสังเกตดูอีกสักสองสามวัน รอให้มั่นใจมากกว่านี้อีกหน่อยค่อยปลูกเพิ่มก็ยังไม่สาย ต้นหอมที่อวบอั๋น แตงโม และผักอื่น ๆ ก็โตมากแล้ว ใบและกิ่งก้านของแตงโมกับฟักทองเลื้อยยาวเป็นวา หรือจะเป็นเพราะน้ำที่รดต้นไม้พวกนี้กันนะมันถึงได้โตเร็วข้ามวันเช่นนี้ วันข้างหน้าถ้าทำแปลงผักแล้วค่อยลองเอาน้ำในบ่อออกไปรดดูสักหน่อยก็ไม่น่าเสียหายอะไร หรือจะซื้อตุ่มเล็ก ๆ ใส่น้ำในนี้ออกไปวางไว้หน้าบ้านให้ท่านพ่อท่านแม่ได้กินจะได้แข็งแรง จากการวิเคราะห์ของหลี่หลิวแล้วหลังจากกินน้ำในบ่อนี้ไม่กี่วันรอยฟกช้ำดำเขียวก็มลายหายไปจนหมด ร่างกายกลับมาแข็งแรงแถมยังรู้สึกว่าแข็งแรงกว่าร่างกายเก่าของเด็กคนนี้เสียอีก ขนาดพี่ใหญ่ที่โดนทุบตีพร้อมข้ารอยฟกช้ำที่หลังยังมีเหลืออยู่เล็กน้อย น้ำในมิตินี่อาจจะช่วยอะไรได้มากกว่าที่ข้าคิดก็เป็นได้ หลี่หลิวมองดูยอดอ่อน ๆ ของฟักทองก็กลืนน้ำลายลงคอถ้าเก็บไปผัดคงหวานกรอบอร่อยแน่ ๆ ขนาดผักกาดขาวยังหวานขนาดนั้น จนท่านลุงท่านป้าฉวีชมว่าผักกาดสดช่างหวานอร่อยมากไปซื้อมาจากร้านไหนอยู่เลย เสียดายที่ข้าทำคนเดียวจึงปลูกได้ทีละเล็กทีละน้อยเพียงเท่านั้น หากข้าเอาของที่ปลูกด้านในออกไปมากเกินไปทุกคนจะสงสัยเอาได้ หรือข้าควรจะบอกท่านพ่อว่าข้ามีมิตินี้ดีนะ หลี่หลิวรดน้ำผักจนครบจึงนั่งคิดทบทวนถึงความหลังไม่รู้ว่าตอนนี้ทางครอบครัวที่โลกนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง หากตนตายจากไปพ่อแม่ และน้องชายจะเสียใจมากแค่ไหน โดยเฉพาะท่านยายที่รัก และเอ็นดูเสี่ยวเหมยมากที่สุดจะซึมเศร้ามากหรือไม่ หลี่หลิวรีบล่ะทิ้งความอาลัยอาวรณ์แล้วกลับออกมาจากมิติ นางนอนลงห่มผ้าแล้วปิดตาทว่าน้ำตากลับไหลออกมาเป็นสาย นางกลั้นเสียงสะอื้นจนมิดนอนตะแคงหันหลังให้พี่ชายจนพล็อยหลับไป หลี่จงที่ยังไม่หลับสนิทดีเห็นภาพในความมืดอย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน น้องสาวของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พอกลับมานางก็นอนร่ำไห้แล้วหลับไป นี่ข้าเห็นอะไรที่แปลกประหลาดเข้าให้แล้วรึ!หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในท
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขาหลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก"มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน"ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อยหลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลู
ตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอนตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย"ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิว
ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำสือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว"เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก"ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคือ
หลี่ไช่หัวยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ทนรอไม่ไหว จึงเดินอ้อมไปด้านหลังร้านที่ครอบครัวของหลี่หลิวกำลังตั้งแผงขายของอยู่ด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่จะเข้าไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน ทำมาเป็นต้องต่อแถวเรียงคิว เหตุใดเจ้ารองต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย"เจ้ารอง!!"ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไช่หัวทำให้ครอบครัวของหลี่หงหันหลังกลับไปดูรวมทั้งสือไท่ ท่านย่าผู้นี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย นางส่งเสียงดังกึกก้องเหมือนไปกินรังแตนมา จนลูกค้าที่มุงต่อแถวกันหันไปมองนางอย่างสงสัยว่ายายแก่นี่เป็นอันใด"ท่านแม่..." หลี่หง และหวังลู่ก้มหัวทำความเคารพนางอย่างจนใจ ท่านแม่จะพูดดีดีก็ได้เหตุใดต้องทำเสียงดังให้ผู้คนหันมาสนใจกันด้วยนะ หวังลู่ได้แต่คิดอย่างจนใจ"เหอะ! พวกเจ้าทำอะไรมาขายล่ะ เจ้าไม่คิดจะให้แม่ผู้แก่ชราคนนี้ได้กินบ้างหรือ" หลี่ไซ่หัวได้กลิ่นที่ชวนหิวจนท้องใส่ปั่นป่วนจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่พอใจนักเห็นข้าแล้วแทนที่จะเรียกข้า และรีบตักอาหารให้ แต่นี่อะไรทำมาเป็นตกใจเหมือนเห็นผี แถมสะใภ้รองหันมาทำเป็นก้มหัวให้หน่อยเดียวก็รีบหันกลับไป หรือนางไม่เห็นหัวหงอกหัวดำเช่นข้าอยู่ในสายตาของนา
เมื่อขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที หลี่หง และครอบครัวกล่าวลาท่านลุงฉวี และไม่ลืมขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลี่เฉินถึงกับน้ำตาคลอเมื่อต้องจากเพื่อน ๆ ไป เขาเพิ่งได้มีเพื่อนที่รู้ใจแต่ต้องล่ำลากันเสียแล้ว ทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูเหงาหงอยอย่างชัดเจน"ไว้พวกข้าโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวหาเจ้าอย่างแน่นอน" หลานคนโตของลุงฉวีปลอบใจหลี่เฉินจนเขายิ้มตาหยีน้ำตาคลอ แถมยังเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะเจอกันเมื่อโตขึ้น"ข้าไปก่อนนะ พวกเจ้ารับปากข้าแล้วต้องไปหาข้าให้ได้นะ"หลี่เฉินโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วตะโกนเสียงดังจนหลี่หลิวต้องเอามืออุดหูไว้ทั้งสองข้าง เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ แหลม ๆ ของเด็กน้อยช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้นางหวังที่ไม่ได้อุดหูบัดนี้ในหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ หลี่เฉินเกาะขอบรถม้ามองดูเพื่อนสองคนที่กระโดดโบกมือไปมาด้วยใจที่อ่อนแรง ทำให้ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเฟยอี้และเฟยเหยียนรู้สึกใจแป้วขึ้นมาด้วยเช่นกัน"เจ้าเลิกทำหน้าตาล่ะห้อยเสียที ข้าเห็นแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เราจะไปสร้างถิ่นฐานใหม่ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะ
เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าหลี่หลิวทำเนื้อผัดหน่อไม้ และผัดผักหนามใส่ไก่ ดีที่ตอนกลางวันนางแอบเอาของมาใส่ไว้ในมิติข้าวของทุกอย่างจึงยังสดใหม่ ข้าวสวยร้อน ๆ ที่พึ่งหุงจนขึ้นหม้อหอมตลบอบอวลไปทั่ว แถมกลิ่นอาหารที่หลี่หลิวทำนั้นมันช่างเย้ายวนใจ และกระตุ้นความหิวได้เป็นอย่างดี ข้าวถูกหุงเต็มหม้อใหญ่เพราะหลี่หลิวบอกว่าจะได้กินมื้อเที่ยงได้อย่างสะดวกขึ้น ถังไม้ที่นำมาด้วยมากกว่าสี่ถังถูกเติมเต็มด้วยข้าวไปแล้วหนึ่งถังใหญ่"ขอบคุณครอบครัวผู้ว่าจ้างมาก ๆ นะขอรับ สำหรับการดูแลพวกเรา และม้าสองตัวนี่" เฟยอี้กับเฟยเหยียนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง"ท่านชอบก็ดีแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติที่สมควรทำมิใช่หรือ" หลี่หงยกมือห้ามปรามพวกเขาก่อนจะพูดไป มันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ครอบครัวของตนเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น"ยังไงพวกข้าก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีนายจ้างแบบพวกท่านเลยนะขอรับ" นายจ้างที่พวกเขาเคยรับงานที่ผ่านมาล้วนมีแต่รีบเร่งเดินทาง ส่วนเวลาพักผ่อนก็เป็นพวกเขาที่ต้องคอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม เรื่องอาหารการกินยิ่งแล้วไปกันใหญ่ วัน
บ่ายวันนี้แดดแก่ ๆ ช่างร้อนอบอ้าวเหลือเกินถ้าได้ฝนตกลงมาเวลานี้คงจะดีมากไม่น้อย คนงานจากร้านสือคงกับพี่น้องเฟย และครอบครัวของหลี่หลิวรีบเร่งช่วยกันทำความสะอาดบ้าน เพื่อให้พวกเขาได้มีที่พักในค่ำคืนนี้ พวกฝุ่นหยักไย่ที่หนาเตอะถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องทุกซอกทุกมุม แม้แต่ผ้าม่านที่นอนหมอนมุ้งที่เก่าและทรุดโทรมก็ถูกเก็บกวาดออกมาเผาทิ้งจนหมด โต๊ะเตียงนอนถูกนำมาจัดใส่เข้าใหม่เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น ประตูหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อรับลม และแสงแดด อีกทั้งมันทั้งยังฆ่าเชื้อโรค และไรฝุ่นไปในตัว พอทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่หลิวไล่เดินดูตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่าง ชั้นบนมีห้องขนาดใหญ่อยู่หนึ่งห้อง มีห้องเล็กอีกสองห้องมีขนาดความกว้างสิบเมตร ยาวสิบเมตร แต่ล่ะห้องมีหน้าต่างบานไม้ทุกห้อง และยังมีโต๊ะเตียงนอนที่กว้างขนาดหกฟุต มีห้องนั่งเล่นมุมระเบียงที่ยื่นออกมารับลมชมดาวที่กว้างห้าเมตรยาวเจ็ดเมตร ซึ่งอยู่ด้านหลังมันสามารถมองเห็นพื้นที่ทำการเกษตรได้เป็นอย่างดีห้องใหญ่สุดถูกมอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นบันไดมาจะพบเจอเป็นห้องแรก ห้องตรงกลางเป็นของพี่ใหญ่
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย