เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขา
หลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก "มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน "ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้ หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อย หลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลูบหัวพวกมันเพื่อไม่ให้พวกมันตกใจเขาช่างเป็นพี่ชายที่ไว้ใจจะฝากชีวิตไว้ได้เสียจริง ๆ ส่วนหลี่หลิวใช้แขนสั้น ๆ ของนางโอบน้องเล็กไว้บนรถม้า กลัวว่าเขาจะเข้าไปร่วมวงกับเรื่องนี้ในคราวนี้ด้วย ให้ท่านพ่อเป็นคนจัดการปัญหาน่าจะดีกว่าให้เด็กแก่แดดอย่างข้าลงมือ "แกปีกกล้าขาแข็งขึ้นถึงเพียงนี้ ยังกล้าที่จะเรียกข้าว่าแม่อีกรึ!!" สายตาที่คับแค้นใจคู่นั้นของท่านแม่มองมาที่เขาอย่างคาดคั้น ทั้งที่เขาก็ออกมาอย่างถูกต้องแล้ว ตั้งแต่ที่เขาย้ายออกมาไม่นานนักท่านพ่อก็แอบให้คนเอาทะเบียนบ้านของครอบครัวเขามาให้ นั่นนับว่าแยกบ้านออกมาแล้วจริง ๆ ถึงจะยังไม่ได้บอกกล่าวท่านแม่ก็ตามแต่ท่านพ่อก็นับว่าเป็นใหญ่ในบ้านหลังนั้นอยู่ "ท่านแม่ลูกไม่ได้.." "ไม่ได้อะไร!! ข้าได้ยินคนเขาพูดกันทั้งหัวซอยท้ายซอย เจ้าไปขายกับข้าวกับปลาที่ตลาดได้ดีมีสุขมีเงินเหลือใช้ ถึงกับกล้าแม้แต่ที่จะซื้อม้ามาขี่ ดูเอาเถอะสวรรค์เหตุใดข้าถึงมีลูกเนรคุณลืมบุญคุณเช่นนี้" หลี่ไช่หัวยืนขึ้นเงยหน้ามองฟ้าสองมือสอดผสานอ้อนวอนสวรรค์ชั้นฟ้าที่โหดร้ายกับนาง บุตรชายไม่รักดีหนีออกจากบ้านมาแล้วได้ดีลืมแม่ มีสุขไม่แบ่งปันนี่ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างยากลำบากใยฟ้าไม่เมตตาข้าเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้นนางก็ตัดไม่ขาดกับบุตรคนที่สองของนาง เพราะสายใยยังคงมีเหลืออยู่บ้าง นางแค่อยากให้บุตรคนโตได้รับหน้าที่การงานที่ดี ถึงได้ให้เจ้าสองเป็นคนอุ้มชูพี่ชาย ถึงนางจะขี้เหนียวไปบ้างกับครอบครัวบุตรคนที่สอง แต่นางก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาอดอยากไปเสียทีเดียว เพื่อเก็บหอมรอมริบนางเองก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเช่นกัน "ไม่เป็นเช่นนั้นนะขอรับ ข้าพึ่งขายอาหารได้แค่ไม่กี่วันจะมีเงินที่ไหนมากมายที่สามารถแบ่งปันท่านแม่ได้" หลี่หงมองหน้าท่านแม่ที่ดูแก่ชราลงทุกวันด้วยความห่วงใย เขาอยากอธิบายให้ท่านแม่ได้ฟังเผื่อว่าท่านจะได้เข้าใจความรู้สึกของตนบ้าง แต่ท่านไม่เปิดโอกาสให้เขาได้บอกกล่าวเลยแม้แต่น้อย "น้องเขย เจ้าก็ว่าไปนะ หากเจ้าไม่มีเงินตราเหตุใดถึงได้มีเงินไปซื้อม้ามาขี่เช่นนี้ได้กันล่ะ" นางเลิกคิ้วถามไถ่อย่างไม่เห็นพ้องนัก การพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบดูแล้วคล้ายกับว่านางใจดีมีเมตตา แต่แท้ที่จริงนางกับซ่อนความโกรธเกรี้ยวไว้ในแววตาของนาง แม้ใบหน้าที่งดงามดุจดั่งหยกนั้นจะดูยิ้มแย้ม ทว่ากลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่านางเสแสร้งแกล้งทำซะ มากกว่า ก็จะไม่ให้ข้าโกรธได้เช่นไรกันเล่า ก็พวกเขาเล่นออกจากบ้านไปแล้วทิ้งภาระหน้าที่ไว้ให้ข้ามากมายก่ายกองถึงเพียงนั้น กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน งานครัว อีกทั้งเลี้ยงสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นอีก นางต้องทำงานงก ๆ จนสายตัวแทบขาด แถมในแต่ล่ะวันยังต้องโดนท่านแม่คอยบ่นว่าทำงานชักช้าไม่ทันกินอีก นางที่ได้รับความกดดันมาทุกวันต้องทนทุกข์ขนาดไหน ได้แต่ร้องไห้ปรับทุกข์กับสามีที่เอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันอย่างจนใจ ในทีแรกหลี่ไช่หัวกะจะมาขอแบ่งปันสักเล็กน้อยเพื่อเก็บเงินไว้ส่งเสียบุตรชายคนโต เผื่อว่าเขาจะได้ไปสอบครั้งหน้าอย่างเพียบพร้อม แต่พอมาถึงลูกชายคนที่สองกลับไม่อยู่บ้าน และพอดู ๆ แล้วกระท่อมไม้นี่ก็ใหญ่โตเอาการ มีบ่อปลาหลังบ้านแปลงผักที่กว้างขวางรั้วบ้านล้อมด้วยไม้ไผ่อย่างดี แถมยังมีประตูเรือนบานใหญ่อีกด้วย พอถามไถ่เมียเจ้าสองนางก็ไม่ยอมปริปากพูดอันใดจนข้าต้องเอ็ดตะโรนางไปยกใหญ่ ภรรยาเจ้าสองไม่ได้ความเอาซะเลย เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ได้เห็นแล้วก็ช่างขวางหูขวางตาข้านัก พอเจ้าสองกลับมาพร้อมอาชาตัวงามนางก็ยิ่งโกรธเคือง ได้ดีมีนาแต่กลับลืมผู้เคยเลี้ยงดูปูเสื่อเช่นข้าไปได้เยี่ยงไรกัน พอคิดขึ้นมาแล้วมันก็คับแค้นที่อกด้านซ้ายนัก "พวกอกตัญญู ไม่ต้องพูดจามากความในเมื่อได้ดีมีเงินหนาเจ้าก็แบ่งมาให้ข้าได้ใช้บ้างสิ!! เจ้าไม่รู้หรือว่าค่าใช้จ่ายรายวันของข้ามันมากโขถึงเพียงใด ข้าต้องจ้างบ้านสกุลหวังมาทำงานนาไร่ แถมยังต้องทำงานหนักทุกวัน เจ้ามันพวกได้ดีลืมคุณเจ้ามันอกตัญญูยิ่งกว่าเดรัจฉาน!!" เมื่อเห็นท่านแม่ร้องไห้โอดครวญเขาที่ได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าขอขมา แล้วบอกไปตามตรงว่าเงินนี้ท่านพ่อให้เขาหยิบยืมมา และหากเขามีแล้วจะรีบคืนท่านพ่อ หลี่ไช่หัวได้ฟังเช่นนั้นก็ควันออกหู ตาแก่ที่บ้านนี่ก็ตัวดีไม่แพ้กันเลยจริง ๆ แอบซุกเงินข้าแถมยังให้ครอบครัวบุตรคนที่สองมาถลุงเล่นเช่นนี้อีก เมื่อเป็นแบบนี้นางจึงทักท้วงทวงเงินคืนทั้งหมด แต่ทว่าตอนนี้เงินเหลือไม่ถึงห้าตำลึงเงินเหมือนก่อนแล้วแต่นางก็ยังต้องการมันอยู่ดี แถมยังบอกว่าเดือนหน้าพวกเจ้าต้องออกจากที่นาแปลงนี้ไปซ่ะ ข้าไม่สนใจพวกล้างผลาญเช่นเจ้าพวกเจ้าอีกแล้ว นั่นคือคำที่นางได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไป "ไสหัวไปให้พ้น ๆ จากที่นี่ และก่อนที่จะไปก็เอาเงินที่เจ้าถลุงไปมาคืนข้าให้หมดด้วยล่ะ" นางหลี่ไช่หัวที่อารมณ์คลุ้มคลั่งอยู่ได้เอ่ยวาจาบั่นทอนจิตใจของหลี่หงเข้าอย่างจัง แต่ในเวลานี้นางยังไม่ทันย้ำคิดย้ำทำ และใช้เพียงโทสะเพียงเท่านั้น หลี่ไช่หัวที่ได้มากกว่าหนึ่งตำลึงเงินก็รีบเดินจากไปพร้อมสะใภ้ใหญ่ ก่อนนางจะมองค้อนพวกเขาอย่างเอาเรื่องแล้วทิ้งให้ครอบครัวหลี่หงทุกข์ระทมอยู่เช่นนั้น หลี่หลิวบอกพี่ใหญ่อุ้มนางกับน้องเล็กลงจากรถม้าแล้วเอาบังเหยียน และเชือกที่ผูกมัดกับม้าออก ก่อนจะพาพวกมันไปมัดไว้กับเสาหลังบ้านเพื่อให้พวกมันเล็มหญ้าไปพลาง ๆ ก่อน หลี่หลิวบอกพี่ใหญ่ตักน้ำใส่ถังไปวางไว้ให้พวกมันได้ดื่มกินแก้กระหายจากการเดินทางนับชั่วโมง "ท่านพี่ เราจะทำเช่นไรดี" ภรรยาของหลี่หงน้ำตาคลอ ท่านแม่ต้องการให้คืนเงินที่เหลือภายในหนึ่งเดือน แถมยังจะให้พวกเราย้ายออกไปอีกทั้งที่พวกเราพึ่งได้ลืมตาอ้าปากแท้ ๆ เงินที่เหลือจากการซื้อม้าในเมืองท่านแม่ก็เอาไปหมดแล้ว สองสามีภรรยาปลอบใจกันและกันด้วยความระทมใจ เจ้าเล็กเห็นท่านแม่ร้องไห้ตนเลยเข้าไปปลอบ แต่ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าจะไม่มีบ้านให้อยู่แล้วก็น้ำตาไหลพรากเช่นกัน พี่ใหญ่ขนของลงจากรถลากเงียบ ๆ ส่วนหลี่หลิวเข้าครัวทำอาหารเที่ยง พอนางทำเสร็จก็เรียกทุกคนไปกินด้วยรอยยิ้มร่าเริงที่ผิดแปลกจากทุกคนที่ซึมเศร้า "นั่งตรงนี้เลยท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะบอกพวกท่านอันที่จริงแล้วข้ามีความคิดอยากย้ายไปอยู่รอบนอกเมืองหลวง ถึงมันใช้เวลาเดินทางสามสี่วันถึงจะถึงก็ตาม แต่มันคุ้มค่ากับการลงทุนไม่น้อย" "เจ้าพูดนั้นง่าย แต่ทำนั้นยากนัก" หลี่หงนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนที่พบเห็นก็พากันถอดใจไปตาม ๆ กัน จะมีก็แต่ละหลี่หลิวเท่านั้นที่ยังคงรักษารอยยิ้มอันสดใสไว้บนใบหน้าได้อย่างดี ก็แน่ล่ะข้าอยากไปจากที่นี่ตั้งนานแล้วหลี่หลิวยิ้มร่าอย่างยินดี "ท่านไม่ต้องห่วง แท่นแท้น..." หลี่หลิวหยิบเงินออกมาห้าอีแปะแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย "ข้ามีเงินเก็บนะเจ้าคะ" "โถ่เอ๊ยลูกพ่อ มีแค่นั้นจะไปทำอันใดในเขตเมืองหลวงได้ หากเป็นในตัวเมืองหลวงเจ้าคงได้ผักมาสักหัวกระมัง" ท่านพ่อส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครา เงินไม่มีแล้วบ้านก็จะไม่มีให้ซุกหัวนอนแล้วเช่นกัน ฟังจากที่ท่านแม่กล่าวท่านคงอยากให้พวกเรากลับไปบ้านใหญ่ และช่วยงานเหมือนแต่ก่อน แต่หากกลับไปลูก ๆ คงอดอยากอีกเช่นเคย หวังลู่มองหน้าสามีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเห็นใจ "ท่านพ่อรีบกินข้าวเถอะจะได้มีแรง" "พ่อกินไม่ลงเจ้าเองคงหิวมากแล้ว กินให้เยอะ ๆ หน่อย" หลี่หงกินได้นิดหน่อยแล้ววางตะเกียบลง "เห้อ หากท่านกินน้อยเช่นนี้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปตัดกระบอกให้ข้าใส่อาหารขายตอนเช้าล่ะ" เมื่อบุตรสาวที่ทำหน้าเฉยเมยพูดจบก็คีบอาหารใส่ปากตนเองและคีบให้พี่ใหญ่ที่เงียบขรึมอยู่นาน "ขายอาหารรึ" ท่านพ่อทำตาลุกวาวขอแค่มีเครื่องปรุง มีหน่อไม้ครอบครัวเราก็ยังคงทำเงินต่อไปได้อยู่นี่นา ข้ามัวแต่นั่งเศร้าคิดอะไรเพ้อเจ้ออะไรอยู่ได้กันล่ะเนี่ย "กิน ๆ รีบกินให้มากพ่อจะพาเจ้าไปตีนเขาหลังจากกินข้าวเสร็จ เอ้า!! เมียข้ากินเยอะ ๆ จะได้มีแรง" หลี่หงกลับมาคลี่ยิ้มได้อีกครั้งก่อนจะกินข้าวคำโตจนตาเหลือก ทุกคนพอรู้ว่าหาเงินก็ไม่ได้ยากนัก จากไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ทำเงินได้มากโขอยู่เหมือนกัน จึงกลับมานั่งกินข้าวต่อด้วยรอยยิ้มที่ปนน้ำตา จะมีก็แต่หวังลู่ที่อมทุกข์เมื่อคิดว่าต้องย้ายจากถิ่นฐานที่อยู่มานานนับสิบปีก็ใจหายไม่น้อย หลี่หงที่คิดได้ทีหลังว่าตนหลุดปากบอกเรื่องท่านพ่อไปก็อดนึกคิดขึ้นมาไม่ได้ ว่าท่านพ่อคงจะต้องทนฟังเสียงบ่นจากท่านแม่ไปพักใหญ่ จึงได้แต่แอบขอโทษขอโพยท่านพ่ออยู่ในใจ ไว้วันข้างหน้าหากข้าได้ดีตั้งหลักครอบครัวมั่นคงจะไม่ลืมบุญคุณพวกท่านเป็นแน่ แต่ตอนนี้ข้าอยากทำเพื่อครอบครัวของข้าก่อนสักครั้ง หวังว่าท่านจะอดทนรอดูจนถึงวันนั้นของข้าได้ "ลูกรัก ว่าแต่พรุ่งนี้เจ้าจะทำอันใดไปขายหรือ" หลี่หงถามบุตรสาวเมื่อคิดว่าจะได้นับเงินอีกครั้งเขาก็เริ่มยินดี และกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ "ข้าต้องไปดูบนเขาก่อนเจ้าค่ะ ว่ามีอะไรอีกบ้าง และวันนี้ข้าซื้อผักซื้อพริกมามากมาย หากจะผัดเนื้อใส่พริกท่านคิดว่าดีหรือไม่" "ดี ๆ ต้องดีอยู่แล้ว แต่เจ้าต้องใส่หน่อไม้ลงไปด้วยถึงจะอร่อย พ่อตัดไม้ไผ่เสร็จจักต้องไปเก็บหน่อไม้มาให้เจ้าเยอะหน่อย ของเก่ามันก็หมดไปแล้วด้วย" "เจ้าค่ะ ๆ ท่านคิดเผื่อข้าเสมอช่างเป็นพ่อค้าที่มีอุดมคติที่ดีเสียจริง" "ข้าก็ว่า มิน่าล่ะทำอันใดก็ไม่รุ่งเรือง แท้ที่จริงแล้วพ่อของเจ้าเหมาะกับการเป็นเถ้าแก่นี่เอง ฮ่า ๆ ๆ" หลี่หงโก่งคอหัวเราะชอบใจยกใหญ่ อาชีพพ่อค้าลงทุนน้อยได้เงินมากมิน่าพวกเขาถึงไม่ยอมเปลี่ยนทำอาชีพอื่นกัน เพราะได้รับเงินแบบง่าย ๆ เช่นนี้นี่เอง "เดี๋ยวข้าไปดูเสี่ยวเฮยเสี่ยวหวงก่อนนะเจ้าคะ ข้าปล่อยให้มันเล็มหญ้าอยู่หลังบ้านพักนึงแล้ว หากท่านพ่อพร้อมก็ไปรับพวกมันนะเจ้าคะ" "นี่เจ้าตั้งชื่อให้มันแล้วรึ!!" "ก็ตัวนึงมันออกสีดำ ส่วนอีกตัวออกสีแดงข้าก็แค่เรียกชื่อตามสีของมันเท่านั้นเองหนิเจ้าคะ แถมอีกอย่างน้องเล็กก็ชอบชื่อนี้เพราะมันจำง่าย" "ได้ ๆ เรียกตามเจ้าว่านั่นแหละ" พอฟังบุตรสาวพูดจบเขาก็เดินเข้าครัวเตรียมมีดพร้าอันใหญ่ และเตรียมเบ็ดหนึ่งอันใส่ตะกร้าสะพายหลัง พร้อมทั้งเสียมไว้ขุดหน่อไม้ขนาดเหมาะมือ เขาหาหมวกสักอันเพื่อบังแสงแดดยามบ่าย ตอนนี้ก็มีม้าที่รู้ความคอยลากรถให้แล้ว เขาจึงมิต้องเหนื่อยกับการลากรถอีกต่อไป หลี่หงมองเห็นอนาคตที่ริบหลี่บ้านไม้สองชั้นข้างล่างทำจากปูน และทำหลังคายื่นไปข้างหน้าเล็กน้อยเปิดร้านอาหารง่าย ๆ ที่บุตรสาวชอบทำ หากใช้ชีวิตเช่นนั้นจะดีขนาดไหน "ท่านพ่อ ๆ ให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่เองข้าก็อยากไปด้วย พาท่านแม่ไปด้วยกันจะได้ทำเสร็จเร็วขึ้น แถมตอนนี้เราก็ไม่ต้องเดินอีกแล้วท่านก็มิต้องเหนื่อยลากรถแล้วท่านพ่อ.." เจ้าเล็กอ้อนวอนท่านพ่อด้วยสายตาละห้อย ดวงตากลมโตที่ไม่ว่าใครได้เห็นต่างใจอ่อนยวบยาบ และท่านพ่อก็เป็นเช่นกัน "ได้ งั้นเจ้าก็ไปบอกทุกคนเตรียมตัวได้แล้วเราจะไปกันตอนนี้เลย" "ขอรับ" เจ้าเล็กรับคำแล้วรีบไปบอกทุกคน หลี่หลิวที่เอาน้ำ และผักออกมาจากมิติให้ม้าได้กินจนอิ่มท้องแล้วจึงบอกให้ท่านแม่เอามีด และช้อนไปเผื่อเพื่อจะได้ตัด และควักล้างข้างในมาด้วยเลยแบบนั้นจะทำให้รถลากมีพื้นที่มากขึ้นด้วย ประตูไม้ไผ่ของพวกเขาถูกปิดลงอย่างแน่นหนา รถลากที่ลากโดยเสี่ยวเฮย และเสี่ยวหวงได้วิ่งไปตามทางอย่างระมัดระวัง "ท่านแม่เหตุใดท่านถึงเกาะแน่นถึงเพียงนี้ล่ะขอรับ" หลี่เฉินมองท่านแม่ที่นั่งตัวเกร็งเกาะรถลากแน่นจนมือแดง "แม่เจ้ากลัวตกน่ะสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หลี่หงตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นท่าทางอันน่ารักเช่นนี้ของภรรยา หากเขาไม่ขับรถม้าอยู่ละก็คงหยิกแก้มนางไปสักสองสามที "ท่านพ่อก็ช้าลงหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าก็ปลิวตกลงไปด้วยหรอกเจ้าค่ะ"หลี่หลิวเห็นท่านพ่อที่เริ่มชินกับเจ้าเสี่ยวเฮย และเสี่ยวหวงแล้ว เร่งให้พวกมันวิ่งเร็วจนก้นนางระบมจึงทักห้ามปรามท่านพ่อไปท่านจึงช้าลงเพราะกลัวแก้วตาดวงใจจะงอนตุ๊บป่องเอา "แบบนี้พอดีหรือไม่" "ดีเจ้าค่ะ คงความเร็วไว้แค่นี้ก็พอแล้ว ทางข้างหน้าก็จะถึงตีนเขาแล้วนะเจ้าคะ"หลี่หงขับเพลินจนมาถึงตีนเขา การมีม้าคอยลากรถให้นี่มันดีจริง ๆ นะ เพราะแค่ประเดี๋ยวก็มาถึงที่หมายได้แล้ว หากเป็นแต่ก่อนเขาคงต้องพักให้หายเหนื่อยเมื่อยขาเสียก่อนถึงจะเริ่มงานได้ "ท่านแม่ เจ้าเล็ก เราขึ้นเขากันเถอะเจ้าค่ะเผื่อว่าจะได้เก็บเกาลัดและผักป่า" "ดีเลยท่านพี่ ข้าหน่ะอยากไปเก็บเกาลัดตั้งนานแล้ว" หลี่เฉินวิ่งดึงมือพี่สาว และท่านแม่ไปขึ้นภูเขา ซึ่งไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดไว้อย่างร่าเริง นี่ก็บ่ายกว่าแล้วพอขึ้นเขามามีต้นไม้ปกคลุมตามทางบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวกลับเย็นสบายขึ้นมา จะเสียก็แต่ที่มีพวกยุงที่คอยบินวนจนน่ารำคาญ ใบไม้แห้งเจอลมฝนก็หล่นเต็มพื้นมากกว่าเก่าเสียอีก มันทำให้การสอดส่องหาเห็ดโคนเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ก็ได้ผักหนาม และเกาลัดมาไม่น้อย ถ้ามีน้ำมันหอยมาไว้ผัดด้วยแล้วละก็คงจะอร่อยเหาะเลยทีเดียว หลี่หลิวได้แอบวางแผนไว้ว่ากลับบ้านไปตอนน้องเล็กหลับจะพาพี่ใหญ่ไปปลูกต้นไม้ที่นางซื้อมา และหว่านเมล็ดผักให้มากขึ้นหน่อย หากไม่มีอะไรกินเลยอย่างน้อย ๆ ไม่ก็มีผักผลไม้พวกนี้อยู่ ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้บอกท่านพ่อกับท่านแม่แต่สักวันนึงหากท่านสงสัยนางก็ต้องบอกพวกท่านแต่โดยดี "ท่านพ่อท่านว่าน้องรองขึ้นเขาคราวนี้จะเจอเห็ดบ้างหรือไม่ ข้าลองเดินวนดูแล้วไม่เจอสักกลุ่มเลยนะขอรับ" หลี่จงที่อยากช่วยแบ่งเบาเดินวนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มลงมือช่วยท่านพ่อลากลำไม้ไผ่ออกมาแล้วตัดกิ่งใบมันออกไป "เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก น้องเจ้าน่ะไม่ปล่อยให้เจ้าอดอยากแน่นอน อะไรที่นางหยิบจับมาล้วนแล้วแต่เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมดหากนางไม่ไหวจริง ๆ นางต้องมาขอให้เจ้าช่วยอย่างแน่นอน" "ใช่แล้วล่ะท่านพ่อ ขากลับข้าจะไปงมหอยไปตามทางน้ำท่านช่วยรถหยุดม้าให้ข้าลงก่อนที่จะถึงบ้านด้วยนะขอรับ" "ได้ ๆ งั้นก็ให้แม่เจ้าไปด้วยจะได้ช่วยกันถือกลับ พ่อจะได้ก่อไฟต้มกระบอกรอเจ้ากับน้อง ๆ ที่บ้าน" "ขอรับ เอาตามนั้นเลยขอรับ" หลี่หงที่มองดูบุตรชายทนความลำบากก็ปวดใจ เขาไม่อยากให้ลูก ๆ ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้ แต่ต่อจากนี้ทางหนข้างหน้าอาจจะลำบากกว่านี้มาก หากคิดจะเข้าเมืองหลวงที่วุ่นวายเขาต้องหาเงินให้มากหน่อย แถมยังต้องคืนให้ท่านย่าอีกสามตำลึงเงิน ไหนจะต้องหาเงินไปซื้อบ้านที่เมืองหลวงอีก หากเป็นเพียงแค่ในเมืองก็ว่าไปอย่างแต่บุตรสาวกลับอยากไปเมืองหลวง ดังนั้นทุกคนจึงต้องเหนื่อยเป็นเท่าตัวเพื่อที่จะเก็บเงินให้มากพอ "พวกท่านยังไม่พออีกรึขอรับ ข้าได้เกาลัดมามากเลย แถมท่านแม่ยังได้ผักหนามป่ามาเต็มตะกร้าเชียว" หลี่เฉินช่วยพี่รองยกตะกร้าผักที่เบาที่สุด ส่วนท่านแม่พายตะกร้าที่มีเกาลัดอยู่กว่าครึ่งตามลงมา "เจ้าเก่งมากลูกพ่อ ตัวเล็ก ๆ แค่นี้ก็ช่วยกันยกตะกร้าลงมาได้แล้ว" หลี่หงยิ้มแข่งไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าเล็กที่ห่วงเล่นจะมีใจช่วยมากถึงเพียงนี้ "ท่านพ่อบอกว่าจะตัดสักสองร้อยกระบอกจะได้ขายให้มากหน่อย เช้านี้เราไม่ได้ไปขายลูกค้าคงจะถามหากันมากเลยทีเดียว" "เช่นนั้นท่านก็รีบตัดนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะพาท่านแม่กับน้องเล็กไปตกปลาริมลำธาร" หลี่หลิวยกยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกไป พอท่านแม่ยกเกาลัดขึ้นรถม้า และยกตะกร้าผักขึ้นไปเก็บจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ถือถังน้ำ และเบ็ดเดินไปรอที่ลำธาร "ท่านพ่อท่านไม่ได้มัดม้าไว้หรือขอรับ หากมันหนีไปจะทำเช่นไร" หลี่เฉินเห็นม้าสองตัวยืนเล็มหญ้า และเดินไปข้างหน้าช้า ๆ หาใบหญ้าอ่อนกินจึงตกใจและถามขึ้น "พ่อสงสารมันหน่ะ มันพาเรามาก็เหนื่อยมากพอแล้ว ถ้ายังต้องถูกมัดไว้อีกมันคงทรมานมากเป็นแน่" "เจ้าจะกังวลไปทำไม พี่สาวเจ้าอยู่ไหนม้ามันก็จะคอยอยู่ที่นั่นอยู่แล้วฮ่า ฮ่า ฮ่า"หลี่จงหัวเราะชอบใจ เพราะม้าพวกนี้ติดใจผัก และน้ำในกำแพงมิตินั่นมีหรือว่าพวกมันจะไปจากน้องรองได้ง่าย ๆ "ก็จริงขอรับ ม้าสองตัวนี้ติดพี่รองเอามาก ๆ เลยหล่ะขอรับ ข้าก็อยากให้พวกมันติดข้าบ้าง" หลี่จงเอาไม้ไผ่ที่ท่านพ่อตัดเป็นกระบอกใส่ตะกร้าแล้วค่อยมาใส่รถลาก ก่อนจะคุยกับน้องรองพักหนึ่งแล้วจึงรีบกลับไปช่วยงานท่านพ่อต่อ และไม่ลืมที่จะปลอบใจน้องเล็กด้วยการบอกว่าพวกมันเจอพี่รองเจ้าก่อน แต่ถึงอย่างนั้นหากเจ้าเอาใจใส่พวกมัน อีกไม่นานพวกมันก็จะรักเจ้าเช่นกัน น้องเล็กจึงค่อย ๆ เล่นกับพวกม้าด้วยแววตาระยิบระยับของเขา "น้ำที่นี่เย็นชื่นใจมากเลย มาเจ้ารองมานี่ หน้าของเจ้าเหงื่อออกมาก มาล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยจะได้ไม่เหนียวตัว" หวังลู่ดื่มน้ำที่ลำธารเสร็จหลี่หลิวก็ตามมาถึง นางจึงช่วยล้างหน้าล้างตาซับเหงื่อให้กับบุตรสาว การเป็นเด็กก็ดีแบบนี้นี่แหละมีท่านแม่ท่านพ่อคอยเอาใจ แถมยังมีพี่ใหญ่คอยให้ท้ายข้าอีกต่างหาก หลี่หลิวยิ้มกริ่มก่อนจะสอนท่านแม่หาเหยื่อตกปลา และวิธีตกปลา ปลาที่ไม่ได้กินเหยื่อมาพักหนึ่ง อีกทั้งยังมีปลากลุ่มใหม่ที่ว่ายตามน้ำมาทำให้การตกปลาครั้งแรกของท่านแม่มีสีสันมากขึ้น นางยิ้มแย้มตอนปลาติดเบ็ดอีกทั้งยังรู้สึกสนุกกับการพักผ่อนเช่นนี้ ลมอ่อน ๆ และร่มเงาที่อยู่ถูกที่ถูกเวลาทำให้นางได้ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก มิน่าล่ะสามีของข้าถึงบอกว่าการตกปลาสนุกมากข้าก็พึ่งเข้าใจก็วันนี้ หลี่หลิวเห็นว่าท่านแม่ปรับตัวได้ดีจึงขอแยกตัวไปหาน้องเล็กที่ยังเงียบหายเพราะมัวเล่นอยู่กับม้า ท่านแม่เห็นว่าเจ้าเล็กยังเด็กมาก หากมีคนคอยอยู่ด้วยจะดีมากกว่าจึงให้หลี่หลิวไปเล่นกับน้อง ส่วนตนก็นั่งตกปลาต่อไปอย่างใจเย็น "เจ้าเล็ก" เสียงเล็ก ๆ สดใสดังมาจนทำให้เจ้าม้าทั้งสองตัวขานรับอย่างพร้อมเพรียง "พี่รองข้ากำลังช่วยหาหญ้าให้ม้าได้กินขอรับ มันจะได้ชอบข้าเหมือนที่ชอบท่านพี่อย่างไรล่ะขอรับ" เจ้าเล็กลากจูงม้าเดินไปกินหญ้าตรงนั้นทีตรงนี้ทีอย่างสนุกสนาน แม้แต่หมวกสานก็ไม่สนใจที่จะใส่แล้ว หลี่หลิวจึงบอกว่าตอนนี้แดดร้อนเจ้าต้องพาพวกมันเข้าร่มพักผ่อน จะได้ขนไม้กลับอย่างขันแข็ง เจ้าเล็กไม่รอช้าพาพวกมันเข้าร่มเงาใต้ต้นไม้ทันที หากเจ้าเล็กยังพาพวกมันเดินตากแดดมากขนาดนี้ผักหนามป่าอาจจะเหี่ยวไปหมดแล้วก็เป็นได้ หลี่หลิวจึงหลอกล่อให้เขาเข้าร่มเพื่อหลีกหนีแดดยามบ่ายที่ค่อนข้างจะร้อนแรงนี่ น้องเล็กวิ่งเล่นทั้งวันทนแดดทนลมร่างกายแข็งแรง แต่ตอนนี้แก้มน้อย ๆ เริ่มแดงและเหงื่อโชก หลี่หลิวจึงซับเหงื่อให้แล้วบอกให้เขาดื่มน้ำจากกระบอกที่ตนตักมา แล้วไม่ลืมที่จะเอาไปส่งให้ท่านพ่อกับพี่ชายด้วย เมื่อพี่รองเดินเข้าไปที่ป่าไผ่เจ้าเล็กก็พยายามจะลองฝึกบังคับม้า เขาที่ตัวเล็กขาสั้นจับบังเหียนม้า และขยับเบาเหมือนที่ท่านพ่อทำทุกประการ ทว่าม้าสองตัวนี้กลับหันไปมองเขาอย่างรู้ทันจึงไม่ยอมขยับไปไหน ม้าสองตัวส่งเสียงเรียกหลี่หลิวให้มาหา เพราะมันเริ่มจะลำคานเด็กน้อยที่ชอบก่อกวนเวลาพักของพวกมัน ฮี่ ฮี่ ฮี่!! ม้าสองตัวร้องผสานเสียงไม่นานหลี่หลิวก็ออกมาตามคาด พอเห็นน้องเล็กพยายามจะบังคับม้านางก็อดขำไม่ไหว เด็กตัวเล็ก ๆ ที่นั่งเด๋อด๋าหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์วางบังเหยียนม้าลงอย่างถอดถอนใจ ดีที่นางเคยบอกม้าสองตัวนี้ไว้ก่อนล่วงหน้า ว่ามีเพียงท่านพ่อที่พวกเจ้าต้องเชื่อฟัง นอกจากข้าแล้วห้ามทำตามที่ใครบอก และดูเหมือนว่าพวกมันจะเข้าใจภาษาคนเอาเรื่องอยู่เช่นกันตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอนตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย"ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิว
ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำสือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว"เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก"ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคือ
หลี่ไช่หัวยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ทนรอไม่ไหว จึงเดินอ้อมไปด้านหลังร้านที่ครอบครัวของหลี่หลิวกำลังตั้งแผงขายของอยู่ด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่จะเข้าไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน ทำมาเป็นต้องต่อแถวเรียงคิว เหตุใดเจ้ารองต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย"เจ้ารอง!!"ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไช่หัวทำให้ครอบครัวของหลี่หงหันหลังกลับไปดูรวมทั้งสือไท่ ท่านย่าผู้นี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย นางส่งเสียงดังกึกก้องเหมือนไปกินรังแตนมา จนลูกค้าที่มุงต่อแถวกันหันไปมองนางอย่างสงสัยว่ายายแก่นี่เป็นอันใด"ท่านแม่..." หลี่หง และหวังลู่ก้มหัวทำความเคารพนางอย่างจนใจ ท่านแม่จะพูดดีดีก็ได้เหตุใดต้องทำเสียงดังให้ผู้คนหันมาสนใจกันด้วยนะ หวังลู่ได้แต่คิดอย่างจนใจ"เหอะ! พวกเจ้าทำอะไรมาขายล่ะ เจ้าไม่คิดจะให้แม่ผู้แก่ชราคนนี้ได้กินบ้างหรือ" หลี่ไซ่หัวได้กลิ่นที่ชวนหิวจนท้องใส่ปั่นป่วนจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่พอใจนักเห็นข้าแล้วแทนที่จะเรียกข้า และรีบตักอาหารให้ แต่นี่อะไรทำมาเป็นตกใจเหมือนเห็นผี แถมสะใภ้รองหันมาทำเป็นก้มหัวให้หน่อยเดียวก็รีบหันกลับไป หรือนางไม่เห็นหัวหงอกหัวดำเช่นข้าอยู่ในสายตาของนา
เมื่อขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที หลี่หง และครอบครัวกล่าวลาท่านลุงฉวี และไม่ลืมขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลี่เฉินถึงกับน้ำตาคลอเมื่อต้องจากเพื่อน ๆ ไป เขาเพิ่งได้มีเพื่อนที่รู้ใจแต่ต้องล่ำลากันเสียแล้ว ทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูเหงาหงอยอย่างชัดเจน"ไว้พวกข้าโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวหาเจ้าอย่างแน่นอน" หลานคนโตของลุงฉวีปลอบใจหลี่เฉินจนเขายิ้มตาหยีน้ำตาคลอ แถมยังเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะเจอกันเมื่อโตขึ้น"ข้าไปก่อนนะ พวกเจ้ารับปากข้าแล้วต้องไปหาข้าให้ได้นะ"หลี่เฉินโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วตะโกนเสียงดังจนหลี่หลิวต้องเอามืออุดหูไว้ทั้งสองข้าง เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ แหลม ๆ ของเด็กน้อยช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้นางหวังที่ไม่ได้อุดหูบัดนี้ในหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ หลี่เฉินเกาะขอบรถม้ามองดูเพื่อนสองคนที่กระโดดโบกมือไปมาด้วยใจที่อ่อนแรง ทำให้ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเฟยอี้และเฟยเหยียนรู้สึกใจแป้วขึ้นมาด้วยเช่นกัน"เจ้าเลิกทำหน้าตาล่ะห้อยเสียที ข้าเห็นแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เราจะไปสร้างถิ่นฐานใหม่ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะ
เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าหลี่หลิวทำเนื้อผัดหน่อไม้ และผัดผักหนามใส่ไก่ ดีที่ตอนกลางวันนางแอบเอาของมาใส่ไว้ในมิติข้าวของทุกอย่างจึงยังสดใหม่ ข้าวสวยร้อน ๆ ที่พึ่งหุงจนขึ้นหม้อหอมตลบอบอวลไปทั่ว แถมกลิ่นอาหารที่หลี่หลิวทำนั้นมันช่างเย้ายวนใจ และกระตุ้นความหิวได้เป็นอย่างดี ข้าวถูกหุงเต็มหม้อใหญ่เพราะหลี่หลิวบอกว่าจะได้กินมื้อเที่ยงได้อย่างสะดวกขึ้น ถังไม้ที่นำมาด้วยมากกว่าสี่ถังถูกเติมเต็มด้วยข้าวไปแล้วหนึ่งถังใหญ่"ขอบคุณครอบครัวผู้ว่าจ้างมาก ๆ นะขอรับ สำหรับการดูแลพวกเรา และม้าสองตัวนี่" เฟยอี้กับเฟยเหยียนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง"ท่านชอบก็ดีแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติที่สมควรทำมิใช่หรือ" หลี่หงยกมือห้ามปรามพวกเขาก่อนจะพูดไป มันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ครอบครัวของตนเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น"ยังไงพวกข้าก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีนายจ้างแบบพวกท่านเลยนะขอรับ" นายจ้างที่พวกเขาเคยรับงานที่ผ่านมาล้วนมีแต่รีบเร่งเดินทาง ส่วนเวลาพักผ่อนก็เป็นพวกเขาที่ต้องคอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม เรื่องอาหารการกินยิ่งแล้วไปกันใหญ่ วัน
บ่ายวันนี้แดดแก่ ๆ ช่างร้อนอบอ้าวเหลือเกินถ้าได้ฝนตกลงมาเวลานี้คงจะดีมากไม่น้อย คนงานจากร้านสือคงกับพี่น้องเฟย และครอบครัวของหลี่หลิวรีบเร่งช่วยกันทำความสะอาดบ้าน เพื่อให้พวกเขาได้มีที่พักในค่ำคืนนี้ พวกฝุ่นหยักไย่ที่หนาเตอะถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องทุกซอกทุกมุม แม้แต่ผ้าม่านที่นอนหมอนมุ้งที่เก่าและทรุดโทรมก็ถูกเก็บกวาดออกมาเผาทิ้งจนหมด โต๊ะเตียงนอนถูกนำมาจัดใส่เข้าใหม่เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น ประตูหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อรับลม และแสงแดด อีกทั้งมันทั้งยังฆ่าเชื้อโรค และไรฝุ่นไปในตัว พอทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่หลิวไล่เดินดูตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่าง ชั้นบนมีห้องขนาดใหญ่อยู่หนึ่งห้อง มีห้องเล็กอีกสองห้องมีขนาดความกว้างสิบเมตร ยาวสิบเมตร แต่ล่ะห้องมีหน้าต่างบานไม้ทุกห้อง และยังมีโต๊ะเตียงนอนที่กว้างขนาดหกฟุต มีห้องนั่งเล่นมุมระเบียงที่ยื่นออกมารับลมชมดาวที่กว้างห้าเมตรยาวเจ็ดเมตร ซึ่งอยู่ด้านหลังมันสามารถมองเห็นพื้นที่ทำการเกษตรได้เป็นอย่างดีห้องใหญ่สุดถูกมอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นบันไดมาจะพบเจอเป็นห้องแรก ห้องตรงกลางเป็นของพี่ใหญ่
วันรุ่งขึ้นครอบครัวหลี่หลิวตื่นค่อนข้างสายเพราะที่นอนนุ่มนิ่ม และผ้าห่มที่เย็นสบาย ทำให้พวกเขาไม่อยากตื่น แต่เจ้าม้าตัวดีก็คอยส่งเสียงร้องเรียก ก่อนที่ตะวันจะขึ้นจนทำให้ทุกคนต้องตัดใจลุกออกจากที่นอนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก"เดี๋ยวข้าไปดูเจ้าเสี่ยวเฮยกับเจ้าเสี่ยหวงเอง เจ้าไปคอยช่วยท่านแม่ในครัวเถอะ"หลี่หลิวเปิดประตูออกจากห้องมาก็เห็นพี่ชายกำลังปิดประตูห้องที่แง้มออกมาเล็กน้อย แล้วบอกให้นางไปช่วยงานครัวกับท่านแม่ ส่วนเขาจะไปดูเจ้าม้าที่ร้องเหมือนไก่เสียหน่อย ไม่รู้ว่าพวกมันจะรีบตื่นอะไรกันนักหนา"น้องเล็กล่ะ" หลี่หลิวถามหาเจ้าเล็กที่เริ่มจ้ำม่ำขึ้นทุกวัน แก้มแดงยุ้ย ๆ และผิวขาวเหลืองของเขาทำให้ใครที่ได้เห็นก็อยากจะสัมผัสความนุ่มละมุนของมัน"น้องเล็กของเราคงเพลียมาก ปล่อยเขานอนต่ออีกหน่อย นอนป่า นอนเขา มาหลายวันแล้วให้เขาได้พักอย่างเต็มที่เถอะนะ เขาจะได้มีแรงกลับมาวิ่งเล่น" พี่ใหญ่ตอบพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด ๆ ทำให้หลี่หลิวที่มองเขาอยู่พลอยหาวตามจนน้ำตาเล็ดอันที่จริงข้าก็อยากพักเหมือนกันนะ เหตุใดข้าต้องมาเกิดเป็นพี่รองด้วย ข้าก็อยากเป็นน้องคนสุดท้องจะได้มีแต่พี่ ๆ คอยตามใจ หลี่หลิวที่เหนื่อยล้
เช้าตรู่วันต่อมา...เมื่อหลี่หลิวบอกกับท่านพ่อว่านางจะปลูกผัก ตอนเช้าหลังมื้ออาหารทุกคนในบ้านจึงเริ่มทำการเกี่ยวหญ้าออกเพื่อที่จะได้ช่วยเปิดทางเดิน ส่วนท่านพ่อก็ถางหญ้าออกเพื่อเปิดหน้าดินสำหรับขุด และพรวนดินต่อไป เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวงก็มาช่วยเล็มหญ้าออกถึงมันจะไม่อร่อยแต่พวกมันก็อยากจะช่วยครอบครัวของเจ้านายบ้างบ่ายแก่ ๆ แดดร่มลมตกหลี่หลิวก็ได้แปลงผักมาหนึ่งแปลงที่มีความยาวอย่างที่นางต้องการ เมื่อได้แปลงผักแล้วนางก็ขุดหลุมด้วยมือเบา ๆ เพราะดินร่วนซุยดีมาก จากนั้นนางก็เอาเมล็ดผักกาดขาวลงไปใส่ก่อนจะเอาดินโรยด้านบนของเมล็ดพันธุ์เล็กน้อย เพื่อกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์เคลื่อนตัวไปตำแหน่งอื่น เมล็ดพันธุ์ผักกาดถูกปลูกมากกว่าร้อยหลุม และห่างกันเพียงสองคืบของมือนาง พี่ใหญ่ทำหน้าที่ตักน้ำใส่ถังไม้เขาใช้กระบวยตักรดน้ำตามหลุมต่าง ๆ ทีละขันตามหลังน้องสาวไปจนสุดทางอีกแปลงนางเลือกที่จะปลูกมะเขือเทศ โดยมีน้องเล็ก และท่านแม่ช่วยกันขุดหลุมคนล่ะด้านกว้างสี่หลุม และยาวหลายร้อยต้น เอาเมล็ดลงปลูกหลุมล่ะสองเม็ดแล้วจากนั้นเอาดินกลบอีกที และก็เป็นเช่นเดิมแปลงนั้นก็ได้พี่ใหญ่คอยไล่ราดตักรดน้ำตามหลุมมะเขือเทศทีหลัง
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย