เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าหลี่หลิวทำเนื้อผัดหน่อไม้ และผัดผักหนามใส่ไก่ ดีที่ตอนกลางวันนางแอบเอาของมาใส่ไว้ในมิติข้าวของทุกอย่างจึงยังสดใหม่ ข้าวสวยร้อน ๆ ที่พึ่งหุงจนขึ้นหม้อหอมตลบอบอวลไปทั่ว แถมกลิ่นอาหารที่หลี่หลิวทำนั้นมันช่างเย้ายวนใจ และกระตุ้นความหิวได้เป็นอย่างดี ข้าวถูกหุงเต็มหม้อใหญ่เพราะหลี่หลิวบอกว่าจะได้กินมื้อเที่ยงได้อย่างสะดวกขึ้น ถังไม้ที่นำมาด้วยมากกว่าสี่ถังถูกเติมเต็มด้วยข้าวไปแล้วหนึ่งถังใหญ่
"ขอบคุณครอบครัวผู้ว่าจ้างมาก ๆ นะขอรับ สำหรับการดูแลพวกเรา และม้าสองตัวนี่" เฟยอี้กับเฟยเหยียนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง "ท่านชอบก็ดีแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติที่สมควรทำมิใช่หรือ" หลี่หงยกมือห้ามปรามพวกเขาก่อนจะพูดไป มันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ครอบครัวของตนเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น "ยังไงพวกข้าก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีนายจ้างแบบพวกท่านเลยนะขอรับ" นายจ้างที่พวกเขาเคยรับงานที่ผ่านมาล้วนมีแต่รีบเร่งเดินทาง ส่วนเวลาพักผ่อนก็เป็นพวกเขาที่ต้องคอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม เรื่องอาหารการกินยิ่งแล้วไปกันใหญ่ วันทั้งวันก็มีแค่หมั่นโถวเพียงแค่นั้น ไหนเลยจะได้กินเนื้อกินผักเช่นนี้ไม่มีนายจ้างแบบนี้อีกแล้วล่ะมั้ง "ฮ่า ๆ ๆ" หลี่หงไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดีได้แต่หัวเราะออกมา อันที่จริงเขาก็พึ่งเคยจ้างวานรถม้าครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่าการทำสิ่งที่จำเป็นเช่นพวกอาหารการกินกลับทำให้พวกเขาตื้นตันใจได้ถึงเพียงนี้ "ข้าป้อนน้ำ และผักให้พวกม้าแล้วขอรับ" หลี่จงเดินมาแล้วบอกพวกเขาที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ หลี่หลิวนี่ก็จริง ๆ เลยจะให้ข้าบอกพวกเขาว่านางมีน้ำสมุนไพรหวานที่ทำให้ม้า และคนที่ดื่มเข้าไปแล้วแข็งแรงไม่เหนื่อยง่าย แล้วข้าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี เอาล่ะข้าต้องทำหน้านิ่ง ๆ แล้วทำท่าทางเหมือนรู้สึกผิด เหมือนกับที่น้องรองบอกก่อนเป็นอันดับแรก "ข้าก็พึ่งรู้นะขอรับ ว่าพวกม้ามันชอบกินผักกาดขาว ข้าน่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้ฮ่า ๆ " อี้เฟยหัวเราะเบา ๆ ให้กับความรอบรู้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของตน "เอ่อ ดูเหมือนว่าท่านจะเข้าใจผิดนะขอรับ" "ข้าเข้าใจผิด? เจ้าหมายความว่าเช่นไรพ่อหนุ่มน้อย" อี้เฟยที่หัวเราะเก้อรีบถามเขาอย่างสงสัย "อันที่จริง ก็เพราะเจ้าสิ่งนี้ขอรับ น้ำสมุนไพรหวาน" "น้ำสมุนไพรหวาน!!?" เฟยอี้กับเฟยเหยียนมองหน้ากันอย่างสงสัย น้ำสมุนไพรหวานมันคืออันใดกัน พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย "น้ำในกระบอกนี่ เป็นสูตรที่ข้ากับน้องรองช่วยกันทำขึ้นมาหน่ะขอรับ มันช่วยให้ม้าแข็งแรงไม่เหนื่อยง่ายทนแดดทนลม พูดง่าย ๆ ก็คือจะทำให้พวกมันทั้งถึก และทนเอามาก ๆ เลยล่ะขอรับ และสรรพคุณอีกอย่างของมันก็คือทำให้คนที่กินเข้าไปแล้วแข็งแรง กระปรี้กระเปร่ามีเรี่ยวแรงกำลังวังชา ช่วยรักษาสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยม" "หากพวกท่านไม่เชื่อก็ถามพี่สือไท่ได้ ก่อนหน้านี้เขาถูกแทงมาอาการสาหัสมาก พอเขากินน้ำสมุนไพรที่พวกเราทดลองทำแผลของเขาก็หายชั่วไปเพียงชั่วค่ำคืน" "จากที่เราทดลองมา น้ำสมุนไพรหวานที่เราทำมันมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมาก เราเลยตั้งชื่อให้มันว่าน้ำสมุนไพรหวานรักษาทุกโรค" "นี่!! นี่เจ้า!! เอาของที่พึ่งทำมาทดลองกับข้างั้นหรือ!" สือไท่มือไม้สั่น ชี้ไปที่เด็กน้อยสองคน คนหนึ่งยืนอยู่หน้าตนพร้อมทำท่าทางสำนึกผิด ส่วนอีกคนยืนพูดคุยกับม้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่โชคยังดีที่เขาไม่ตาย และรอดปลอดภัยมาได้ ไม่ใช่สินี่มันยาวิเศษ ใช่แล้วยาวิเศษชัด ๆ ข้าต้องหาโอกาสถามซื้อยานี้มาเก็บไว้ ยานี้ในภายภาคหน้าต้องมีค่าจนหาที่เปรียบมิได้เป็นแน่ "ข้าต้องขอโทษเจ้า ในความอยากรู้อยากเห็นของบุตรสาวข้าด้วย แต่เจ้าก็รอดตายมาได้เพราะนางกับเจ้าใหญ่มิใช่หรือ อย่าได้ถือโทษโกรธพวกเขาเลย" หลี่หงตบไหล่สือไท่เบา ๆ ถ้าข้าจำไม่ผิดเขาค่อนข้างชอบพอบุตรสาวของตนอยู่ เขาคงไม่เคืองเพราะเรื่องแบบนี้หรอกมั้ง จะว่าไปแล้ว นี่ข้าก็ตกเป็นตัวทดลองยาเช่นกันหรือนี่ ดีนะที่ยาน้ำสมุนไพรอะไรนั่นไม่พรากชีวิตของข้าไปหลี่หงลูบอกของตนเบาๆ "เจ้าพูดใหม่สิพ่อหนุ่ม ยารักษาทุกโรคงั้นรึ!! ข้าได้กินยาที่รักษาทุกโรคเข้าไป แถมเจ้า! เจ้าที่กำลังจะตายก็รอดมาได้เพราะน้ำยานี่งั้นหรือ" เฟยอี้อุทานออกมาเสียงดังอย่างตื่นเต้น หลังจากที่เขาใช้สมองที่มีอันน้อยนิดคิดขึ้นมาได้ก็ตกใจจนตาโต ที่ม้าของเขาแข็งแรงขึ้น และข้าที่มีกำลังวังชามากขึ้นจนอาการเหนื่อยล้าก็ไม่มีอยู่เลย มันเป็นเพราะยาสมุนไพรน้ำหวานนั่นน่ะหรือ เมื่อเขาถามจบก็มองไปที่เด็กน้อยที่ก้มหน้าก้มตาอย่างสำนึกผิด ส่วนสือไท่ก็ยอมรับว่าเขารอดตายมาได้แถมแผลของเขาก็หายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยในเวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้เฟยอี้รีบคุกเข่าลงต่อหน้าเด็กน้อยนามหลี่จง แล้วอ้อนวอนขอซื้อน้ำยาสมุนไพรหวานจากเขา ทว่าหลี่จงกลับส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่หลี่หลิวที่กำลังหาหญ้ากับน้องเล็กแล้วป้อนให้ม้าอย่างสนุกสนาน "เจ้าหมายความว่าเช่นใด" สือไท่มองไปที่แม่นางน้อยที่ตนตกหลุมรักแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย "น้องสาวข้าได้รับพรมา" "อันที่จริง ข้าช่วยนางแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านพ่อ ท่านแม่ ยังจำได้หรือไม่ เมื่อคราวนางถูกทุบตีจนหลับไปสองวันสองคืนเต็ม ๆ พอนางตื่นขึ้นมาก็ทำตัวแปลกประหลาดให้ข้าพานางขึ้นเขา ตั้งแต่ตอนนั้นมานางก็แอบเก็บสมุนไพรต่าง ๆ มาต้มทำน้ำสมุนไพรยา นางบอกว่าได้สูตรยามาจากเทพขอรับ" "ท่านพี่" หวังลู่จับมือสามีอย่างห้ามไม่ได้ นี่ลูกสาวของนางเกือบตายเชียวนะ หลังจากฟังหลี่จงพูดต่ออีกพักใหญ่ถึงได้คลายข้อสงสัยไปตาม ๆ กัน เด็กน้อยผู้นี้ได้รับการชี้นำจากท่านเทพที่มาโปรด และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด มิน่าล่ะอาหารที่ไม่มีคนกินนางก็ยังสามารถเอามาทำให้มันอร่อยได้ ผลไม้ที่ว่าแปลกนางก็เอามาทำเป็นอาหาร แถมอีกหลาย ๆ อย่างที่หวังลู่สงสัยก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างกระจ่างแจ้ง ที่แท้ท่านเทพก็นำทางให้นางไปเมืองหลวงเพื่อพลิกชะตาที่อาภัพ เป็นแบบนี้นี่เองนางถึงได้พยายามที่จะไปเมืองหลวงให้ได้ หวังลู่ และทุกคนเริ่มเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งก่อนจะมองไปที่แม่นางน้อยอย่างพร้อมเพรียง ส่วนหลี่จงก็แอบถอนหายใจคิดว่าเขาจะโป๊ะแตกเสียแล้ว "ข้ารู้แล้ว ๆ ดีจริง ๆ ที่นางรอดมาได้ แถมได้พรอันประเสริฐเช่นนี้มาด้วย ข้าก็นึกว่านางเพียงแค่จับไข้..." หลี่หงไม่กล้าพูดต่อ ว่าท่านแม่เกือบฆ่าบุตรสาวของตนไปแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นในใจเขากลับทุกข์ระทม ย่าแท้ ๆ ทำกับหลานสาวตัวน้อยได้ลงคอ เพราะหมั่นโถวเพียงลูกเดียวพูดไปใครเขาจะเชื่อ หลี่หงเศร้าใจทำเป็นฝืนหน้ายิ้มแย้มแต่กลับปกปิดความทุกข์ที่อยู่บนใบหน้าได้ไม่มิดเลยแม้แต่น้อย สื่อไท่พอได้ยินว่าแม่สาวน้อยเกือบตายมาแล้วครั้งนึงเขาก็อดนึกคิดสงสารนางไม่ได้เลย นางคงเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดเป็นแน่ เฟยอี้มองหน้าน้องชายแล้วรีบไปหาแม่นางน้อย และวอนขอซื้อน้ำสมุนไพรหวาน แต่นางก็ปฏิเสธไปแล้วตอบกลับมาว่า "ข้าจะให้ท่านก็ได้แต่ท่านต้องปิดเรื่องของข้าไว้เป็นความลับ มิเช่นนั้นสวรรค์จะเคืองโกรธท่าน และลงโทษท่านจนอยู่ไม่ได้จนท่านตายเหมือนต้องสาป" สือไท่เดินตามมาทีหลังได้ยินเข้าก็ต้องถอดใจ หากอยากได้ยาดีไปขายคงทำไม่ได้เสียแล้ว เขาค่อนข้างเชื่อในเรื่องเทพยดาว่าสวรรค์มีจริง จึงได้แต่ยิ้มบาง ๆ แล้วถอยหลังจะเดินออกไป "แต่ข้าให้ท่านได้นะ รับไปสิเจ้าคะ หนึ่งกระบอกนี้น่ะสามารถผสมน้ำธรรมดาได้เป็นร้อยเป็นพันกระบอกเชียวนะ เพียงเทยาลงน้ำนิดหน่อย และจิบกินทุกวันทั้งพวกท่าน และม้าที่กินเข้าไปก็จะแข็งแรงไร้โรคภัยไปตลอดกาลเลยล่ะเจ้าค่ะ" หลี่หลิวไม่ปล่อยโอกาสทำเงินให้หลุดมือไป นางทำท่าเหมือนจะมอบให้เฟยอี้แต่ก็ชะงักไว้ครู่หนึ่ง "ข้าเห็นแก่ที่ท่านขับรถม้าดีหรอกนะ ข้าคิดกับท่านเพียงหนึ่งตำลึงเงินก็พอ แต่หากครั้งหน้าท่านยังต้องการอีกจะสิบหรือร้อยตำลึงทองข้าอาจต้องคิดให้มากขึ้น เพราะยานี้เป็นความลับสวรรค์เชียวนะ" อี้เฟยรีบควักหนึ่งตำลึงเงินมอบให้นางอย่างร้อนรน หากไม่คว้าไว้ตอนนี้เขาอาจเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่ หลี่หลิวที่ได้รับเงินมายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะมอบให้เขาอีกหนึ่งกระบอกแล้วบอกว่านี่สำหรับม้าสองตัวนี้ "ข้าค่อนข้างชอบพวกมัน ท่านเอาไว้ให้พวกมันดื่มกินเถิด" เฟยอี้ เฟยเหยียนที่รับปากแล้วว่าจะไม่บอกใคร ได้เทน้ำสมุนไพรหวานใส่ขวดน้ำเต้า และพกมันไว้ติดตัวอย่างกับว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของพวกเขา ตอนนี้เฟยอี้กับเฟยเหยียนได้แขวนน้ำสมุนไพรหวานไว้ที่เอวอย่างหวงแหน น้ำที่เขาใส่ไว้ดื่มกินก่อนหน้านี้ถูกเททิ้งไปจนหมด นั่นทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมม้าของพวกเขาถึงสะบัดหน้าให้น้ำธรรมดาที่เขาตักมาให้ ก็แน่ล่ะสิมันจะไปเทียบกับน้ำยาสมุนไพรหวานของท่านเทพได้เช่นไรกัน "ท่านก็ต้องการมันหรือ" หลี่หลิวเห็นสือไท่ยืนมองพวกเฟยอี้อยู่พักหนึ่งเลยถามขึ้น ก็แน่ล่ะนางอยากได้เงินเพิ่มอีกอยู่แล้ว แต่ถ้าหากคนรู้มากไปชีวิตนางคงไม่สงบสุขอีกเป็นแน่ นางเลยให้พี่ใหญ่ไปสร้างเรื่องเหนือจินตนาการให้ทุกคนได้หายแคลงใจ แล้วค่อยถือโอกาสขายมันไปเนียน ๆ ก็แค่น้ำในบ่อนางจะตักมันมาเมื่อใดก็ได้ แต่ความวิเศษของมันก็เป็นเรื่องจริงที่เหนือกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจได้จริง ๆ นางจึงใช้โอกาสนี้เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ "ข้าต้องการสักกระบอก ข้ารับปาก และสัญญาว่าจะไม่บอกใคร" เขาเอ่ยวาจาสัตย์ออกมา แล้วยกสามนิ้วขึ้นเพื่อที่จะสาบานจนนางต้องรีบห้ามปรามเอาไว้เขาจึงเอามือลง จะไม่ให้ห้ามได้เช่นไรก็เขาเปิดร้านขายยาสมุนไพร หากข้าจะฝากขายในอนาคตมันจะต้องง่ายขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่หากต้องปิดเป็นความลับงั้นข้าคงรับได้เพียงคนที่เจ็บป่วยสาหัส หรือรักษาไม่หายแต่แบบนี้ก็ไม่เลวนะ มันทำให้ข้าดูลึกลับ และน่าเชื่อถือขึ้นมากเช่นกัน "ท่านเอาไปเถอะ ท่านให้พวกข้าเช่าที่ทางทำกิน ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับท่านหรอกนะ แต่หากมีใครบาดเจ็บเจียนตายจริง ๆ ที่พวกท่านหรือหมอรักษาไม่ได้ ท่านค่อยพามาหาข้า แต่ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าค่ายาของข้าแพงหูฉี่เลยล่ะ" หลี่หลิวยื่นกระบอกไม้ไผ่ให้เขาไปหนึ่งกระบอกแล้วเปิดช่องทางทำกินเล็กน้อยไว้อย่างพอควร "ได้ ข้าตกลง หากไม่ถึงที่สุดข้าจะไม่ปริปากบอกใครไป" "ดีมาก ๆ" มือน้อยของนางตีเบา ๆ ที่แขนของเขา เขาค่อนข้างจะฉลาดอยู่บ้าง คงรู้ว่าข้าไม่อยากเข้าไปแวะเวียนกับเรื่องผู้คนมากนัก หากไม่จำเป็นท่านก็อย่ามายุ่งกับข้าเลย เพราะข้าจะต้องปลูกผักผลไม้ไว้ขายอีกมากเลยทีเดียว และข้าก็ไม่ค่อยชอบความวุ่นวายนักแค่จะเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ นี่ข้าก็ว่ามันเหนื่อยมากพอแล้ว ระหว่างนั้นหลี่หงกับหวังลู่ก็ได้คิดอย่างรอบคอบ และถ้วนถี่ ว่าในอนาคตจะดูแลลูก ๆ ให้ดี และไม่ให้ใครมากดขี่รังแกพวกเขาอีกต่อไป สองสามีภรรยากอดกันกลมถ้าเป็นตามที่บุตรชายคนโตบอกพวกเขาเกือบจะเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไปแล้ว ทำให้ใบหน้าของพวกเขาซีด และมือไม้สั่นจุกปากจุกคอจนพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว หลี่จงเห็นเช่นนั้นจึงบอกพวกท่านว่าตอนนี้น้องรองสบายดีพวกท่านอย่ากังวลไป หวังลู่สวมกอดบุตรชายคนโตหากเขาไม่ปริปากพูดออกมา นางก็ไม่รู้เลยว่าเกือบจะเสียเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไปเสียแล้ว หลี่หลิวที่ป้อนหญ้าให้ม้าจนพวกมันพอใจแล้วจึงตะโกนถามทุกคนว่าพร้อมที่จะออกเดินทางต่อหรือยัง เพราะนี่พวกเขาก็พักผ่อนกันมาเป็นชั่วโมงแล้ว พอได้ยินเช่นนั้นเฟยอี้ และเฟยเหยียนรีบไปเก็บหม้อกระทะช่วยงานอย่างถ่อมตน เมื่อคนพร้อม ม้าพร้อม ก็ออกเดินทางกันต่อไป สามวันสองคืนต่อมา.... มีหมู่บ้านน้อยใหญ่อยู่ห้อมล้อมเมืองหลวงที่มีกำแพงหนาแน่นโอบอุ้มเอาไว้ แต่เส้นทางที่สือไท่บอกก็ค่อนข้างอ้อมนอกกำแพงเมืองไปทางทิศตะวันตก ซึ่งไปทางขวาของเมือง ถนนหนทางเทพื้นด้วยปูน และหินที่ไม่ใหญ่นัก เหมาะสำหรับรถม้าสองคันสวนทางกันได้อย่างพอดี และไม่เหมาะที่จะจอดรถม้าไว้ตามทางเพราะจะขวางทางเข้าบ้านของคนอื่นได้ แต่ที่ดินที่เลยขอบถนนไปก็ถือว่ากว้างมากเลยทีเดียว เมื่อมาถึงที่หมายหน้าบ้านมีกำแพงเก่า ๆ ที่ทอดยาวประมาณห้าสิบเมตรถือว่ามันกว้างมากเลยทีเดียว ประตูทางเข้าเป็นประตูไม้บานใหญ่สองบานที่ยึดติดกับกำแพงปูน สามารถผลักเข้าไปด้านในได้ ถึงมันจะดูโทรมแต่ประตูก็ถือว่าแข็งแรง และสูงประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบได้โดยการประเมินทางสายตาของหลี่หลิว เข้าไปด้านในเกือบสิบห้าเมตรมีบ้านสองชั้นเกือบติดกำแพงทางซ้ายมือ ชั้นบนทำจากไม้เนื้อแข็งส่วนชั้นล่างทำจากหินปูนแถมตอนนี้มันมีหยักไย่เต็มไปหมดจนดูเหมือนบ้านร้างผีสิงช่างน่าวังเวงยิ่งนัก กำแพงประตู และบ้านก็ว่าน่ากลัวพอแล้วแต่พอมองดูต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกร้างจนหนาตา ยิ่งทำให้กลัวพวกสัตว์ร้ายอสรพิษไปกันใหญ่ หากว่าพวกเขามาถึงเช้ากว่านี้อีกสักนิดละก็คงหลอน และวังเวงน่าดู สือไท่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับหลี่หลิวที่มองหน้าเขาอย่างไม่วางตา นางคงจะโทษที่ข้าไม่ดูแลมันเลย อันที่จริงนี่เป็นบ้านที่มีคนมาขายให้เขาเมื่อนานมาแล้ว เพราะพวกเขาอยากย้ายไปอยู่ชนบทที่กันดารมากกว่านี้ เนื่องจากในเมืองหลวงค่าใช้จ่ายมันแพงจนเกินไป เขาบอกว่าที่นี่มีบ้านสองชั้น ส่วนพื้นที่ด้านหลังสามารถทำการเกษตรได้ มันมีเนื้อที่มากกว่าสามไร่ สือไท่เห็นท่าทางอ้อนวอนของปู่หลานที่ไร้ที่พึ่งพิงจึงรับซื้อมา แต่ไม่ได้มาจัดการมันเสียทีจนบัดนี้ก็ผ่านมาสี่ห้าปีแล้ว "พี่ใหญ่บ้านสองชั้นล่ะ บ้านสองชั้น แถมยังมีกำแพงที่สูง และทอดยาวลงไปด้านหลังอีก ข้าชอบที่นี่ขอรับท่านแม่" เมื่อครอบครัวหลี่ลงมายืนดูก็ต้องตกตะลึงเพราะตัวบ้านค่อนข้างกว้างใหญ่ แถมมีกำแพงปูน เป็นบ้านปูนอย่างที่หลี่หงเคยอยากได้ ทุกคนดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จะมีก็แต่หลี่หลิวที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่เพียงคนเดียว จนพี่ชายถามว่านางไม่ชอบมันหรือ "ข้าเห็นแล้วก็เหนื่อย ท่านดูเอาเถอะป่าหญ้าทั้งรกทั้งร้าง บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ จะต้องเก็บกวาดกันอีกกี่วันกว่าจะเข้าอยู่ได้ล่ะเจ้าคะ" นางตอบพี่ชาย และพลางมองไปยังท่านพ่อท่านแม่กับสือไท่ด้วยแววตาหมองหม่น สือไท่เห็นนางในใจทำหน้าเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เพราะน้ำสมุนไพรนางที่ให้ทุกคนกินนั้นหมดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนางจึงดูอ่อนแรงลงไม่น้อย พอเขาบอกว่าจะเรียกคนของเขามาช่วย และสองพี่น้องเฟยก็จะอยู่ช่วยนางจนงานเสร็จ นางถึงได้ยิ้มออกมาได้ ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงคนงานที่ร้านสมุนไพรของสือไท่มากว่าสิบคนรวมทั้งสองพี่น้องเฟย และครอบครัวหลี่ก็เริ่มงานกันอย่างขันแข็ง หลี่หลิวเอ่ยถามว่าแถวนี้อยู่ไกลภูเขาหรือไม่ สือไท่ตอบว่ามันห่างออกไปอีกไม่ไกล เดินทางเพียงสองชั่วโมงก็ถึงนั่นทำให้นางพอยิ้มออกมาได้บ้าง ดูท่าแม่นางน้อยคงอยากไปหาสมุนไพรเขาจึงบอกไปว่าอีกสองสามวัน กลุ่มคนงานบางส่วนจะออกไปหาสมุนไพรค่อยให้นางไปกับพวกเขา "นายน้อยขอรับ" เว่ยหนิงผู้คุ้มกันมือขวาอายุ 15 จางปิงผู้คุ้มกันมือซ้ายอายุ 18 ขานเรียกผู้เป็นนายน้อยของตน เมื่อครั้งได้ข่าวว่ารถม้าของร้านยาสมุนไพรสือคงถูกดักโจมตีเมื่อสองวันก่อน พวกเขากระวนกระวายใจ และโทษที่ตนเองไม่ได้ตามไปปกป้องเขาด้วย นายน้อยไม่เคยฝึกดาบจับกระบองเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ยิงธนูบ้างนิดหน่อยแต่ท่านก็ไม่ได้พกมันติดตัวไปด้วย เพราะมีกลุ่มรับจ้างขนส่งสมุนไพรเช่นกลุ่มต้าหยงคอยไปดูแลอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่านายน้อยจะต้องพบเจอกับกลุ่มโจรต่ำทรามเข้าเช่นนี้ "พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว มา ๆ แม่นางน้อย และครอบครัวหลี่ทางด้านนั้นเป็นผู้ช่วยชีวิตของข้าเอาไว้" เว่ยหนิงกับจางปิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ จึงหันไปขอบคุณอย่างสุดซึ้ง "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" หลี่หลิวยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มที่เมืองหลวงมีแต่คนหน้าตาดี ๆ กันทั้งนั้น นี่ถือเป็นอาหารตาที่ดีจริง ๆ สือไท่เห็นนางมองไปยังมือซ้ายมือขวาของเขาแล้วยิ้มหวานเขารู้สึกขัดใจไม่น้อย ข้าว่าข้าก็มีเสน่ห์มากอยู่นะเหตุใดนางจึงต้องมองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชมต่างจากที่มองข้ากัน สือไท่ขยับไปยืนบังพวกเขาจากสายตาของนาง แล้วก้มดูตัวเองที่ใส่สวมใส่ชุดซอมซ่อ จึงให้พวกเขาพาตนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และอาบน้ำล้างตัวเสียใหม่ หากครั้งหน้าหากนางได้เจอข้านางจะต้องมองข้าจนตาค้างเหมือนมองผู้ติดตามของข้าเป็นแน่ ไม่สิ!!นางต้องมองแต่ข้าเพียงเท่านั้น สือไท่กล่าวลานาง และครอบครัวหลี่เพื่อขอตัวไปดูความเรียบร้อยของร้านยาแล้วหันหลังจากไป "นายน้อย! นายน้อยกลับมาแล้ว" เสียงของท่านป้าชิงหร่วน แม่บ้านวัยสามสิบเก้าอุทานเสียงสั่นเครือ นางได้ข่าวว่ามีโจรปล้นรถม้าของนายน้อยพอนางได้ยินเข้าก็ถึงกับคิดฟุ้งซ่านมาสองวันเต็ม พอให้เห็นหน้านายน้อยที่นางคอยประคบประหงมมาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้ห้าปี นางก็พุ่งเข้าสวมกอดด้วยความรัก เปรียบเสมือนเขาเป็นบุตรชายของนางก็มิปาน "กลับมาก็ดีแล้ว" สือหาน ท่านลุงของสือไท่วัยสามสิบสองปีที่จิบน้ำชาอยู่ รีบวางแก้วแล้วเดินเข้ามาตบไหล่กว้างของเขาก่อนจะสวมกอด ดีจริง ๆ ที่เขาปลอดภัยกลับมา ข้าเสียน้องชายอันเป็นที่รักไปแล้วหากเสียหลานชายเพียงคนเดียวไปอีกข้าคงตายตาไม่หลับเป็นแน่ สือหานเป็นพี่ชายของท่านพ่อสือไท่ มีภรรยาชื่อสืออิงสองสามีภรรยาไม่มีบุตรเลยสักคน จึงเลี้ยงดูสือไท่เหมือนบุตรชายแท้ ๆ ถึงจะคอยตามใจเขาบ้างเป็นบางคราแต่ว่าก็มีว่ากล่าวตักเตือนให้เขาไม่หลงผิดในบางครั้ง นับได้ว่าสองลุงป้าเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก แม่ของสือไท่นั้นเสียไปตั้งแต่ตอนที่สือไท่อายุได้สามปี ส่วนผู้เป็นบิดาเสียไปด้วยโรคซึมเศร้าเมื่อตอนสือไท่ได้ห้าปี สือคงผู้เป็นบิดานั้นคิดถึงภรรยาของเขามากจนตรอมใจ ถึงจะดูแลบุตรชายดีเพียงไหนในใจก็ยังเศร้าโศก ไม่นานเขาก็ลาจากโลกนี้ไปทิ้งให้สือไท่ต้องอยู่เพียงลำพัง ยังดีที่พี่ชายของสือคงอย่างสือหานมารับสือไท่ไปเลี้ยงดูต่อเขาจึงมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ "พ่อใหญ่" สือไท่กล่าวทักทาย และขอโทษที่ทำให้พ่อคนที่สองต้องเป็นกังวลเพราะความเอาแต่ใจของตน "ขอแค่เจ้าปลอดภัยกลับมาข้าก็พอใจแล้ว" "ป้าชิงไปเร็วเตรียมน้ำท่าให้ลูกชายข้าอาบ และบอกคนครัวเตรียมอาหารไว้รอด้วย" สือหานที่เรียกสือไท่ว่าลูกชายจนชินปากยิ้มอย่างยินดีปรีดา หากภรรยาตนกลับจากร้านสมุนไพรมาเห็นเข้านางต้องมีความสุขมากแน่ ๆบ่ายวันนี้แดดแก่ ๆ ช่างร้อนอบอ้าวเหลือเกินถ้าได้ฝนตกลงมาเวลานี้คงจะดีมากไม่น้อย คนงานจากร้านสือคงกับพี่น้องเฟย และครอบครัวของหลี่หลิวรีบเร่งช่วยกันทำความสะอาดบ้าน เพื่อให้พวกเขาได้มีที่พักในค่ำคืนนี้ พวกฝุ่นหยักไย่ที่หนาเตอะถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องทุกซอกทุกมุม แม้แต่ผ้าม่านที่นอนหมอนมุ้งที่เก่าและทรุดโทรมก็ถูกเก็บกวาดออกมาเผาทิ้งจนหมด โต๊ะเตียงนอนถูกนำมาจัดใส่เข้าใหม่เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น ประตูหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อรับลม และแสงแดด อีกทั้งมันทั้งยังฆ่าเชื้อโรค และไรฝุ่นไปในตัว พอทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่หลิวไล่เดินดูตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่าง ชั้นบนมีห้องขนาดใหญ่อยู่หนึ่งห้อง มีห้องเล็กอีกสองห้องมีขนาดความกว้างสิบเมตร ยาวสิบเมตร แต่ล่ะห้องมีหน้าต่างบานไม้ทุกห้อง และยังมีโต๊ะเตียงนอนที่กว้างขนาดหกฟุต มีห้องนั่งเล่นมุมระเบียงที่ยื่นออกมารับลมชมดาวที่กว้างห้าเมตรยาวเจ็ดเมตร ซึ่งอยู่ด้านหลังมันสามารถมองเห็นพื้นที่ทำการเกษตรได้เป็นอย่างดีห้องใหญ่สุดถูกมอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นบันไดมาจะพบเจอเป็นห้องแรก ห้องตรงกลางเป็นของพี่ใหญ่
วันรุ่งขึ้นครอบครัวหลี่หลิวตื่นค่อนข้างสายเพราะที่นอนนุ่มนิ่ม และผ้าห่มที่เย็นสบาย ทำให้พวกเขาไม่อยากตื่น แต่เจ้าม้าตัวดีก็คอยส่งเสียงร้องเรียก ก่อนที่ตะวันจะขึ้นจนทำให้ทุกคนต้องตัดใจลุกออกจากที่นอนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก"เดี๋ยวข้าไปดูเจ้าเสี่ยวเฮยกับเจ้าเสี่ยหวงเอง เจ้าไปคอยช่วยท่านแม่ในครัวเถอะ"หลี่หลิวเปิดประตูออกจากห้องมาก็เห็นพี่ชายกำลังปิดประตูห้องที่แง้มออกมาเล็กน้อย แล้วบอกให้นางไปช่วยงานครัวกับท่านแม่ ส่วนเขาจะไปดูเจ้าม้าที่ร้องเหมือนไก่เสียหน่อย ไม่รู้ว่าพวกมันจะรีบตื่นอะไรกันนักหนา"น้องเล็กล่ะ" หลี่หลิวถามหาเจ้าเล็กที่เริ่มจ้ำม่ำขึ้นทุกวัน แก้มแดงยุ้ย ๆ และผิวขาวเหลืองของเขาทำให้ใครที่ได้เห็นก็อยากจะสัมผัสความนุ่มละมุนของมัน"น้องเล็กของเราคงเพลียมาก ปล่อยเขานอนต่ออีกหน่อย นอนป่า นอนเขา มาหลายวันแล้วให้เขาได้พักอย่างเต็มที่เถอะนะ เขาจะได้มีแรงกลับมาวิ่งเล่น" พี่ใหญ่ตอบพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด ๆ ทำให้หลี่หลิวที่มองเขาอยู่พลอยหาวตามจนน้ำตาเล็ดอันที่จริงข้าก็อยากพักเหมือนกันนะ เหตุใดข้าต้องมาเกิดเป็นพี่รองด้วย ข้าก็อยากเป็นน้องคนสุดท้องจะได้มีแต่พี่ ๆ คอยตามใจ หลี่หลิวที่เหนื่อยล้
เช้าตรู่วันต่อมา...เมื่อหลี่หลิวบอกกับท่านพ่อว่านางจะปลูกผัก ตอนเช้าหลังมื้ออาหารทุกคนในบ้านจึงเริ่มทำการเกี่ยวหญ้าออกเพื่อที่จะได้ช่วยเปิดทางเดิน ส่วนท่านพ่อก็ถางหญ้าออกเพื่อเปิดหน้าดินสำหรับขุด และพรวนดินต่อไป เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวงก็มาช่วยเล็มหญ้าออกถึงมันจะไม่อร่อยแต่พวกมันก็อยากจะช่วยครอบครัวของเจ้านายบ้างบ่ายแก่ ๆ แดดร่มลมตกหลี่หลิวก็ได้แปลงผักมาหนึ่งแปลงที่มีความยาวอย่างที่นางต้องการ เมื่อได้แปลงผักแล้วนางก็ขุดหลุมด้วยมือเบา ๆ เพราะดินร่วนซุยดีมาก จากนั้นนางก็เอาเมล็ดผักกาดขาวลงไปใส่ก่อนจะเอาดินโรยด้านบนของเมล็ดพันธุ์เล็กน้อย เพื่อกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์เคลื่อนตัวไปตำแหน่งอื่น เมล็ดพันธุ์ผักกาดถูกปลูกมากกว่าร้อยหลุม และห่างกันเพียงสองคืบของมือนาง พี่ใหญ่ทำหน้าที่ตักน้ำใส่ถังไม้เขาใช้กระบวยตักรดน้ำตามหลุมต่าง ๆ ทีละขันตามหลังน้องสาวไปจนสุดทางอีกแปลงนางเลือกที่จะปลูกมะเขือเทศ โดยมีน้องเล็ก และท่านแม่ช่วยกันขุดหลุมคนล่ะด้านกว้างสี่หลุม และยาวหลายร้อยต้น เอาเมล็ดลงปลูกหลุมล่ะสองเม็ดแล้วจากนั้นเอาดินกลบอีกที และก็เป็นเช่นเดิมแปลงนั้นก็ได้พี่ใหญ่คอยไล่ราดตักรดน้ำตามหลุมมะเขือเทศทีหลัง
ก่อนที่สือไท่จะได้อ้าปากพูดก็โดนผู้เป็นแม่ใหญ่ชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน"ข้าว่าก่อนที่จะสั่งอาหารเรามาเปิดร้านอย่างเป็นทางการเพื่อเรียกแขกเหรื่อกันก่อนดีหรือไม่"แปะ แปะ!!สืออิงตบมือเรียกคนงานที่รออยู่ด้านหน้าประตูสองสามคน พอได้ยินเสียงสัญญาณ คนงานก็ลงมือเอาป้ายไม้ยึดติดหน้าบ้านของหลี่หลิว และประดับโคมแดงติดม่านจนเสร็จถึงได้เรียกทุกคนมายืนออกันหน้าบ้าน"ว้าวมีป้ายหน้าบ้านเราด้วยขอรับพี่รอง สวยมากเลยขอรับ"หลี่เฉินเจ้าจอมจุ้นเดินไปสำรวจป้ายที่พึ่งทำเสร็จเขาจับโน่นดึงนี่อย่างสงสัยว่ามันทำได้เช่นไร จนท่านแม่ต้องรีบดึงเขากลับมากลัวจะทำให้เสียงาน ซึ่งป้ายร้านถูกเขียนว่าร้านนั่งกินอย่างที่หลี่หลิวเคยบอกสือไท่ไว้"เอาล่ะ ๆ ทีนี้ก็ให้เจ้าของร้านจุดประทัดเพื่อให้กิจการรุ่งเรือง"สือหานพูดจบคนทั้งบ้านมองไปที่หลี่หลิวโดยไม่ได้นัดหมาย นางจึงเดินอุ้ยอ้ายออกไปแล้วรับเอาไม้ไผ่ด้ามยาวที่จุดไฟไว้ด้านบนเพื่อสะดวกในการจุดประทัดสือหานเห็นเด็กน้อยเดินนำออกมา ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ เด็กน้อยผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวมากมายเช่นนี้เชียวหรือ เพื่อนสนิทอย่างจางลี่เจิน และซ่งเจ้าเจียก็หันไปมองหน้าสือหานอย่า
"ถ้าไปช้ากว่านี้คงได้ยืนรออยู่ด้านหน้านั่นนานเป็นแน่ ดีที่ข้ารีบตามท่านหานไปไม่เช่นนั้นขาของข้าได้บวมเพราะยืนนานเกินไปเป็นแน่เลยเจ้าค่ะ"ป๋ายฮ่าวเยว่ที่กลับถึงบ้านก็พูดถึงแต่อาหารที่นางได้กินเข้าไปว่ามันรสเลิศเพียงไหน ป๋ายเค่อได้แต่พยักยอมรับว่ามันอร่อยมากแต่หากต้องไปกินเช่นนั้นทุกวันเขาคงต้องขยันทำงานให้มากกว่านี้ แถมยังต้องรับงานสานตะกร้าที่เขาไม่อยากทำอีกแล้วกลับมาทำอีกครา"ท่านพ่อพรุ่งนี้ท่านไม่ได้จองคิวเอาไว้ เช่นนั้นพวกเราควรไปลงนาเก็บพวกหอยปูกุ้งออกจากนาดีหรือไม่ขอรับ""ดี ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ" ป๋ายเค่อรีบตอบป๋ายรุ่ยฉีบุตรชายของตนไป หากวันพรุ่งนี้พวกเขาไม่ไปลงทุ่งนา มีหวังภรรยาอันเป็นที่รักคงจะชวนเขาไปร้านนั่งกินอย่างแน่นอน ป๋ายฮ่าวเยว่ได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินเข้าบ้านไป ส่วนกลุ่มที่ไปด้วยวันนี้ต่างยิ้มอย่างพอใจถึงอาหารจะแพงไปแต่ว่าหากไปกินหลายคน และช่วยกันออกเช่นวันนี้ก็ใช่ว่าจะแพงเกินไป แถมรสชาติที่ยังติดอยู่ตรงลิ้นยิ่งทำให้คนอยากกลับไปกินอีกสักครั้ง เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่อร่อย และราคาจับต้องได้"เอาล่ะนี่ก็มืดมากแล้ววันนี้ข้าขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนพรุ่งนี้ยังมีงานแต่เช้
"ข้าเคยไปครั้งหนึ่ง หากเจ้าอยากไปจริง ๆ ข้าก็สามารถนำทางให้เจ้าได้"ป๋ายรุ่ยฉีที่นั่งอยู่กับผู้เป็นบิดาตอบหลี่หลิวที่มาถามท่านผู้นำชุมชนว่าพอมีใครที่จะสามารถนำทางนางไปที่เทียนจวินได้บ้าง ทำให้เขารีบคว้าโอกาสนั้นไว้ เมื่อรู้ว่านางกับนายน้อยสือไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกัน"ตอนแรกนายน้อยสือไท่บอกพวกเราว่า....""เขาแค่พูดไปเพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย มีแต่ข้าที่เป็นฝ่ายเสียหาย ข้าแค่เคยช่วยชีวิตเขาไว้จึงเออออไปตามเขาเพราะอยากให้ทุกอย่างมันสงบลงโดยเร็วก็เท่านั้น ข้าต้องขออภัยท่านผู้นำด้วยที่โกหกท่านไป แต่ที่แปลงนั้นเราทำสัญญาเช่าซื้อกันอย่างถูกต้องแล้ว ดังนั้นตอนนี้ท่านคงวางใจได้แล้วใช่หรือไม่""แน่นอนหากเป็นพวกเจ้าที่เข้ามาเพื่อทำค้าขายมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดอยู่แล้ว"ป๋ายเค่อตอบยิ้ม ๆ แม่นางตัวเล็กเพียงแค่นี้กับพูดจาได้ฉะฉาน แถมยังรู้จักพลิกแพลงคำ และนำมาใช้ได้อย่างดี มิน่าล่ะถึงไปถูกตาต้องใจคุณชายสือเข้าได้ แถมบุตรชายข้ายังดูดีใจจนออกนอกหน้า ถึงเขาจะยังนิ่งเฉยแต่ข้าก็รู้ดีว่าเขากำลังตื่นเต้นที่จะได้ไปเทียนจวินกับแม่นางน้อยผู้นี้"แล้วเรื่องคน""ได้แน่นอน ข้าจะให้ป๋ายรุ่ยไป และจะให้บุตรช
เช้าวันรุ่งขึ้นสือไท่ออกจากบ้านไปพร้อมกับเว่ยหนิง และพ่อครัวทั้งสาม พ่อครัวทั้งสามคนของเขาไม่ได้แต่งกายอย่างประณีตเช่นวันวานอีกแล้ว พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าสบายตัว และดูกระฉับกระเฉงเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตรียมความพร้อมมาอย่างดิบดีเลยทีเดียว"พวกท่านมาทำไมหรือเจ้าคะ" หลี่หลิวที่พาเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวเฮยมาเดินเล่นรอบบ้านถามขึ้น เมื่อพบว่าสือไท่ และพ่อครัวมาที่บ้านของนางตั้งแต่แสงแดดยังไม่กระทบเส้นขอบฟ้า"ข้ามาช่วยเจ้าทำแปลงผัก เพราะเมื่อวานนี้ข้าไม่ได้มาช่วยเลยอยากจะใช้โอกาสในวันนี้เพื่อทำทดแทน" สือไท่กล่าวพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้างดงามดั่งแสงอรุณยามเช้าที่สดใส"ส่วนพวกข้าตามนายน้อยมาช่วยทำงานขอรับ" พ่อครัววัยสามสิบปีนามจิ้นเล่อกล่าวตอบไป เมื่อเห็นแม่นางน้อยมองมาทางตนจิ้นเล่อ และผู้ช่วยทั้งสี่ของเขาตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น เพื่อที่จะทำครัวที่บ้านนายท่านของตนให้เสร็จ ก่อนที่จะรีบเร่งแต่งตัวติดสอยห้อยตามนายน้อยมาอย่างทุลักทุเล"ข้าไม่ได้บอกพวกท่านไปแล้วหรือ ว่าข้ามีผู้ช่วยครบแล้ว"หลี่หลิวรู้ทันทีว่าพวกเขามาด้วยจุดประสงค์อันใดจึงพูดตัดบทไป แค่สือไท่ที่คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปยังไม่พ
เมื่อถึงเขตชานเมืองริมทะเลของเทียนจวิน หลี่หลิวได้พบว่ามีชาวบ้านน้อยใหญ่หาของทะเลมาวางขายกันเกลื่อนกลาดอย่างเช่นปลาชนิดต่าง ๆ ทว่าไม่มีปลาหมึกหรือกุ้งปู ซึ่งระหว่างทางผู้นำชุมชนอย่างป๋ายเค่อได้บอกกล่าวกับนางแล้วว่า คนส่วนมากที่นำหอยนางรมมากินสดกัน เพราะมันสามารถเพิ่มกำลังวังชาได้ดีแต่ก็มีคนเพียงส่วนน้อยที่นิยมกินกัน หลี่หลิวจึงพอเข้าใจว่าคนที่นี่ยังไม่ได้ลิ้มลองเมนูอาหารอีกมาก เมื่อหลี่หลิวลงจากรถม้านางก็เดินตรงไปที่ร้านขายหอยนางรม และถามไถ่ตกลงเรื่องราคากันจนเสร็จสิ้นจึงกวักมือเรียกป๋ายรุ่ยฉี เพื่อให้นำรถม้ามาใส่หอยนางรมที่มีน้ำหนักมากกว่าห้ากิโล จากนั้นพ่อค้าก็ยกตะกร้าขึ้นหลังรถม้าให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลี่หลิวกล่าวคำขอบคุณสำหรับข้อมูลที่นางได้มา ทำให้นางมีรอยยิ้มอย่างผ่อนคลายประดับบนใบหน้าดวงเล็ก ๆ ต่างจากสีหน้าของป๋ายเค่อที่ถูกพ่อค้าแอบมองจนเขาหน้าแดง พ่อค้าคงไม่ได้คิดว่าท่านผู้นำจะกินมันเข้าไปหรอกใช่ไหม"พี่รอง ท่านดูแม่น้ำสีฟ้าครามนั่นสิขอรับ มันงดงามเหลือเกินข้าเห็นคลื่นลมพัดมาแล้วน้ำก็ยกตัวขึ้นสูงตามแรงลมก่อนจะพัดมาเป็นระลอกคลื่นหลาย ๆ อันทั้งน้อยใหญ่เต็มไปหมดเลยขอรับ มันช่างน
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย