ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว
"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำ สือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว "เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก "ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคืองกับคำพูดที่ชายหนุ่มพยายามหยอกเย้านางเมื่อก่อนหน้านั้น "ข้าไม่ถือสาคนที่ไม่รู้จักหรอกเจ้าค่ะ หากข้ามัวแต่ถือสาคำพูดของคนอื่น อีกไม่นานพอข้าโตขึ้นข้าก็ต้องเก็บคำพูดของคนเหล่านั้นมาใส่ใจอีกมากเท่าใดกัน ท่านก็เช่นกัน ตอนนี้สิ่งที่เราควรทำคือดูแลเขาให้หายดีจะได้มีเงินไปคืนท่านย่า และจะได้ไปอยู่เมืองหลวงเสียที" "เจ้าอยากไปเมืองหลวงมากเลยรึ" "ก็แน่น่ะสิเจ้าคะ หากไปอยู่เมืองหลวงท่านก็จะได้เล่าเรียนในสถาบันที่ดี น้องเล็กเองก็เช่นกัน อีกไม่กี่ปีก็สมควรเข้าเรียนได้แล้ว ข้าฝากอนาคตไว้กับพวกท่านเลยนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเชียวล่ะ" ที่แท้นางก็กำลังทำเพื่อข้ากับน้องเล็กอยู่ ข้าก็นึกว่านางอยากไปอยู่ใกล้ ๆ กับชายผู้นั้นเสียอีก นี่ข้าทำไมต้องคิดเรื่องพวกนี้กับน้องสาวที่พึ่งอายุได้เพียงหกขวบกันนะ หลี่จงนอนลงห่มผ้าแล้วตอบกลับไปว่าข้าจะทำให้ดีที่สุด เมื่อเสียงในห้องเงียบลง สือไท่ที่นอนฟังอยู่ก็มีรอยยิ้มที่ร้ายกาจประดับตรงมุมปากของเขา เด็กสองคนนี้เป็นพี่น้องกันสินะงั้นข้าก็ถือว่ายังมีโอกาสอยู่ เพียงแค่ต้องเปลี่ยนวิธีการสักหน่อย ข้าควรแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ แผนนี้น่าจะใช้ได้ดีกับนาง ยังดีที่นางกับพ่อหนุ่มนั้นไม่ใช่คู่หมายกัน สือไท่รู้สึกเบิกบานใจเป็นที่สุด ก่อนจะเขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ตลอดทางเขาเร่งรีบหนีมาจนอาชาของเขาหมดแรงล้มลงเขาจึงใช้ไม้พยุงเดินมาด้วยความเร่งรีบ ในใจคิดเพียงแค่ว่าต้องไปให้ถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุด แต่ท้ายที่สุดเขาเสียเลือดมากเกินไปจึงได้หมดสติลงก่อนที่จะถึงหมู่บ้านเป่ยหนาน ฟ้ายังเมตตาที่ยังส่งคนมาช่วยเหลือข้า แถมยังเป็นแม่นางน้อยที่หน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตเสมือนกับดาวนับล้านดวงส่องแสงอยู่ในดวงตาคู่นั้น ปากนิดจมูกหน่อย แก้มน้อย ๆ ช่างดูน่ารักน่าชังนัก ข้าก็เคยพบเห็นโคแก่กินหญ้าอ่อนมามากแต่กลับไม่คิดมาก่อนว่าตนก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ช่างน่าละอายเสียจริง ในคืนนั้นยามราตรีล่วงเลยผู้คนนอนหลับอย่างสนิท มีการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ บริเวณหน้าท้องของสือไท่ แผลที่เขาถูกแทงมาค่อย ๆ ผสานกันอย่างช้า ๆ ทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบบริเวณช่วงท้อง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตนมีแผลอยู่จึงไม่กล้าที่จะเกามัน บางทีการทำแผลนี่อาจจะไม่สะอาดนัก เช่นนั้นพรุ่งนี้เขาต้องรีบหาทางกลับเมืองหลวงก่อนที่แผลจะลุกลามไปมากกว่านี้ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่!!! เสียงม้าร้องขึ้นปลุกคนที่นอนหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ที่อื่นเขามีไก่ขันแต่บ้านข้ากลับมีม้าที่ร้องปลุกตั้งแต่ก่อนไก่โห่เสียอีก ท่านพ่อท่านแม่ลุกขึ้นจุดคบเพลิงที่ดับลงเพื่อให้เปลวเพลิงส่องสว่างอีกครั้ง ก่อนจะไปเตรียมข้าวของขนขึ้นรถลาก หลี่หลิวหลี่จง และหลี่เฉินเดินออกจากห้องมาแล้วกำลังจะไปล้างหน้า น้องเล็กเดินตามหลัง และไปสะดุดล้มหน้าคะมำร้องไห้โวยวายจนสือไท่ตื่นขึ้น "เจ็บ ข้าเจ็บ" หลี่เฉินเอามือกุมหน้าน้อย ๆ ของตนที่ล้มฟาดลงพื้นไม้อย่างไม่ได้ตั้งใจ บัดนี้อาการงัวเงียของเขาได้หายไปทว่ากับได้รับความเจ็บปวดมาแทน "ทีหลังเจ้าดูให้ดี ๆ หน่อย" หลี่จงปลอบน้องเล็กที่น้ำตาไหลพราก และบอกให้เขารู้จักสังเกตให้ดี ๆ จะได้ไม่พลาดท่าเหมือนเช่นครั้งนี้อีก "ใครจะรู้กันล่ะว่าจะมีคนมานอนอยู่ตรงนี้ ปกติข้าก็เดินมาไม่เคยล้มเลยสักครั้ง" หลี่เฉินลุกขึ้นยืน และเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อของตน ก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ผู้เป็นพี่ ถึงจะยังรู้สึกเจ็บอยู่แต่เราเป็นลูกผู้ชายจะต้องเข้มแข็งและอดทนเข้าไว้ "ข้าผิดเองที่ลืมบอกเจ้า ว่ามีคนบาดเจ็บมานอนพักที่บ้านของเรา" หลี่หลิวก้มลงขอโทษน้องเล็กที่ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ นางเห็นหน้าผากน้องเล็กแดง ๆ จึงรีบบอกให้พี่ใหญ่พาน้องเล็กไปล้างหน้าล้างตา ส่วนตนขอดูแผลของชายแปลกหน้าเสียก่อน "ท่านเป็นเช่นไร แผลดีขึ้นบ้างหรือไม่" หลี่หลิวนั่งลงข้าง ๆ เขา ก่อนจะเอาหลังมืออิงหน้าผากว่ามีไข้หรือไม่ แต่ชายแปลกหน้าคนนี้กลับไม่มีไข้ ปกติคนได้รับบาดเจ็บอาจจะมีไข้ขึ้นสูงได้เพราะพิษของบาดแผล แต่ชายผู้คนนี้จะแข็งแรงเกินไปไหม "ข้าขอดูแผลของท่านหน่อยได้หรือไม่" ชายแปลกหน้าได้แต่พยักหน้ารับ สงสัยว่าเมื่อคืนที่เขาพูดจาแปลก ๆ เพ้อเจ้อ อาจจะเป็นเพราะพิษจากบาดแผลก็เป็นไปได้ หลี่หลิวดึงผ้าห่มลงมาถึงช่วงเอวโชว์ให้เห็นผิวพรรณขาวผ่องของชายหนุ่ม ทว่านางก็ไม่ได้เขินอายอันใด หากเป็นหญิงอื่นอาจจะขวยเขิน หรือนางยังเด็กเล็กอยู่จนแยกแยะชายหญิงยังไม่ได้กันนะ หลี่หลิวพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะเอาผ้าสะอาดที่พันรอบช่วงเอวของเขาออกสือไท่ไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางเอาผ้าที่พันรอบเอวของเขาออกปรากฏว่าแผลของเขาสมานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนดวงตาของเขาจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แผลขนาดนี้ต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะหายดี แต่มันหายไปในชั่วข้ามคืนโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้เช่นไรกัน "แผลของท่านหายดีแล้วรึ?" หลี่หลิวมองหน้าเขาก่อนจะก้มลงเอามือจิ้ม ๆ ที่บริเวณหน้าท้องของเขาอย่างสงสัย เมื่อวานแผลของเขายังมีเลือดไหลซึม และเหมือนมันจะอักเสบอยู่เลย แต่มาวันนี้แผลที่หน้าท้องของเขากลับหายไปชั่วข้ามคืน หรือว่า... ต้องใช่แน่ ๆ ไว้ข้ามีโอกาสจะต้องลองดูสักครั้ง "ท่านหายดีแล้วนะเจ้าคะ" หลี่หลิวยิ้มหวานให้กับชายแปลกหน้า งั้นอีกไม่นานนางก็คงจะมีเงินคืนให้ท่านย่า และจะได้เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงเสียที "ข้าว่า น่าจะใช่นะ" สือไท่จับหน้าท้องของตนแล้วลูบ ๆ คลำ ๆ อย่างสงสัย แผลมันหายไปได้เช่นไรกัน ข้าถูกแทงจริง ๆ ใช่หรือไม่ หรือข้าเหนื่อยจนหลอนไป มิใช่สินางยังถามข้าอยู่เลยว่าข้าเจ็บแผลไหม "เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวข้าดูเขาต่อให้เอง" หลี่จงเดินเข้ามาพร้อมกับบอกให้น้องสาวลงไปล้างหน้าล้างตา แต่นางกลับหันกลับมาแล้วยิ้มแป้นใส่เขาเสียอย่างนั้น เขาไม่อยากให้น้องสาวอันเป็นที่รักต้องใกล้ชิดกับชายแปลกหน้ามากเกินไปนัก จึงได้แต่คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด "ท่านพี่มาดูนี่สิเจ้าคะ" หลี่หลิวกวักมือเรียกพี่ชายแล้วชี้ไปที่แผลของชายหนุ่มด้วยใบหน้าระรื่น ถึงมันจะมีร่องรอยของเลือดอยู่บ้างแต่แผลของชายผู้นั้นหายไปแล้ว หายไปแบบไม่มีร่องรอยอะไรเลย "เป็นไปได้เช่นไรกันแผลของเขาค่อนข้างสาหัสมากทีเดียวเลยนะ อย่าบอกนะว่า..." ไม่ทันที่หลี่จงจะพูดต่อเขาจึงปิดปากลง และไม่กล้าที่เอ่ยออกมา "เขาหายแล้วเจ้าค่ะ ร่างกายของเขาฟื้นตัวได้เร็วมากเลยนะเจ้าคะ ข้าประหลาดใจมาก ๆ เลยล่ะเจ้าค่ะ ชายผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ท่านมีอะไรที่วิเศษอยู่ใช่หรือไม่"หลี่หลิวยิ้มกว้างถามชายที่นั่งอยู่บ้านตนด้วยรอยยิ้มเชิงอยากรู้ "ข้าเปล่านะ" สือไท่ยกมือขึ้นห้ามปรามอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วตอบไป หากว่าพวกเขาไม่ได้ทำอันใดงั้นร่างกายของข้าข้าก็แปลกประหลาดงั้นรึ ไม่สิ..หากแผลข้าสมานกันได้เอง แล้วเหตุใดข้าถึงต้องทนเจ็บมาตลอดทางด้วยล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสัย พอชายหนุ่มบอกปัดไปหลี่หลิวก็ทำหน้าตาเศร้าสร้อยอย่างจริงจัง เหมือนนางจะคว้าของสำคัญได้ทว่ามันกลับหลุดมือไป "ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว ก็สมควรจะกลับบ้านได้แล้วกระมัง" หลี่หงที่จะเดินมาดูพวกเด็ก ๆ เห็นเข้าจึงรีบเอ่ยปากไล่เขาอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อคืนนี้เขาได้ยินคำที่ชายผู้นี้พูดกับบุตรสาวของตนจึงอยากให้เขารีบไปให้เร็วหน่อย หากเขาอยู่ที่นี่นานไปบุตรสาวของเขาอาจเสียรู้เขาเข้าสักวัน "ข้าขอขอบคุณท่าน และครอบครัวที่ช่วยชีวิตข้าไว้ขอรับ" สือไท่ลุกขึ้นยืนสองมือผสานก้มหัวลงคำนับชายร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลืองอย่างจริงใจ ถึงเขาจะแต่งตัวไม่สุภาพนักทว่าการขอบคุณผู้ช่วยชีวิตไว้นั้นสำคัญมากกว่า "ข้ามีนามว่าสื่อไท่ เป็นพ่อค้าสมุนไพรในเมือง" "ข้าได้ยินที่เจ้าพูดคุยกันเมื่อคืนแล้ว เอาล่ะเจ้าก็เตรียมตัวเสียหลังจากกลับมาจากตลาดเช้าข้าจะไปส่งเจ้าที่ตัวเมือง จากนั้นเจ้าคงหาทางไปต่อเองได้ใช่หรือไม่" สื่อไท่ได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ที่แท้เขาได้ยินข้าพูดจาฉอเลาะกับแม่นางน้อยจึงทำให้เขาเคืองโกรธ "ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ข้าเพียงแค่อยากตอบแทนนางที่ช่วยชีวิตจึงยื่นข้อเสนอนั้นไปเพื่อที่จะได้ทดแทนบุญคุณ หากแต่ว่านางกับข้าก็ได้ตกลงกันไว้แล้วว่านางต้องการเพียงที่ดินหนึ่งไร่กับห้าตำลึงเงิน ข้าคิดว่าจะให้ที่ดินเพิ่มอีกสองไร่ ท่านคิดเห็นว่าเช่นไร" สือไท่เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ว่ามีหนี้สินที่ต้องจ่าย และต้องการที่นาเพื่อทำกิน อีกทั้งยังต้องส่งเสียบุตรชายทั้งสองอีก จึงถามไถ่บิดาของนางอย่างนอบน้อม "ข้าเห็นด้วยกับที่เจ้าว่า ที่เพียงหนึ่งไร่มันไม่เพียงพอให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของครัวเรือนข้าได้" สือไท่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็ต้องรีบเก็บมันคืนไปเมื่อได้ยินประโยคถัดไป "แต่ข้าจะมิรับมาอย่างเปล่า ๆ หรอกนะ ข้าจะขอเช่าในราคาที่เป็นธรรม ส่วนเงินหากเจ้าอยากให้ข้าจะรับไว้ ภายภาคหน้าหากข้ามีเงินตราพอแล้วข้าจะหาส่งคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน" หลี่หงไม่อยากติดค้างชายที่จะมาชุบมือเปิบเช่นเขา ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามาวอแวกับบุตรสาวคนเดียวของข้าได้ง่าย ๆ หรอกนะ "ตามที่ท่านต้องการเลยขอรับ แต่ข้าต้องกลับไปที่เมืองหลวงก่อน หากท่านยินดีสามารถไปพร้อมกับข้าได้เลยนะขอรับ ส่วนตำลึงเงินข้าพอมีติดตัวอยู่บ้างท่านสามารถรับมันไปก่อนได้เลย" สือไท่เดินไปที่กองเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะนั่งลงแล้วก้มหยิบถุงเงินที่ซุกซ่อนไว้ออกมา ในนั้นมีเงินอยู่เกือบสิบตำลึงเงิน เขาหยิบออกมาให้หลี่หงห้าตำลึงเงินตามที่แม่นางน้อยเรียกไว้ หลี่หงเผลอคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ถึงจะเป็นเพียงการหยิบยืมแต่การได้จับเงินเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ "น้องชายเรากำลังจะไปตลาดเช้าเพื่อขายของ น้องชายเจ้าอยากไปเปิดหูเปิดตาหรือไม่" เมื่อได้รับเงินมาชายที่เคร่งขรึมก่อนหน้าก็มลายหายไปในทันที แถมยังพาสือไท่ไปเปลี่ยนชุดซึ่งก็เป็นเสื้อผ้าของเขาเมื่อตอนยังหนุ่ม และสือไท่ก็ใส่มันได้อย่างพอดี ถึงเขาจะอายุได้เพียงสิบหกปีทว่ารูปร่างโดยรวมก็ไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่งนัก ความสูงของสื่อไท่ก็ราวร้อยแปดสิบได้ ซึ่งมีความสูงพอ ๆ กันกับท่านพ่อของหลี่หลิว หลี่จง และหลี่หลิวหันไปสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เหตุใดท่านพ่อถึงพลิกฝ่ามือได้เร็วถึงเพียงนี้กันนะ เมื่อถึงตลาดเช้าครอบครัวของหลี่หลิวกับสื่อไท่ก็จัดเตรียมข้าวของ หลี่หลิวนำปลาที่ท่านแม่ขอดเกล็ดล้างพุงแล้วมาทาเกลือ และตั้งกระทะเทน้ำมันลงไปมากหน่อยจนเกินครึ่ง พอกระทะร้อนได้ที่นางใส่ปลาทั้งตัวลงไปทอดจนเหลืองแล้วค่อยเอาขึ้นให้มันสะเด็ดน้ำมัน นางทอดครั้งล่ะสามตัวเพราะกระทะค่อนข้างใหญ่จึงทำให้ประหยัดเวลาได้มากขึ้น หลี่หลิวทำให้ท่านแม่ดูครั้งสองครั้งจากนั้นหวังลู่ก็รับหน้าที่ทอดปลาไป วันนี้หลี่หลิวให้ท่านพ่อยกเตามาอีกอัน พร้อมกับเอากระทะขนาดกลางมาด้วย ท่านพ่อก่อไฟรอเป็นที่เรียบร้อยนางจึงลงมือผัดเนื้อใส่หน่อไม้โดยการที่นางไปสั่งเนื้อมาจากร้านลุงชวีฝั่งตรงข้าม ท่านพ่อ และสือไท่รับหน้าที่หั่นเนื้อวัว ถึงแม้สือไท่จะไม่คล่องแคล่วนักแต่เขาก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ พอเห็นการทำงานของครอบครัวนี้เขาก็ยิ่งชอบใจมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า แม่นางน้อยที่ชื่อหลี่หลิวทำอาหารเก่ง และอร่อยมาก นี่คือสิ่งที่ข้าได้ฟังจากเจ้าตัวเล็กที่พูดจ้อไม่หยุด เมื่อหั่นเนื้อเสร็จเขาก็มาช่วยหลี่จงตักอาหารเหมือนกับว่าตอนนี้เขาเริ่มแทรกแซงเข้ามาในครอบครัวนี้ได้บ้างแล้ว "เมื่อวานข้ามารอพวกเจ้าอยู่นานที่แท้ก็ไปซื้อม้ามานี่เอง กับข้าววันนี้ข้าเอาอย่างล่ะสองกระบอกแล้วก็ปลาทอดอีกหนึ่งตัว" แม่นางร่างท้วมที่มาซื้ออยู่บ่อยครั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อเห็นพ่อค้าหนุ่มคนใหม่มาตักอาหารให้นาง ด้วยใบหน้างดงามดั่งภาพวาดของสือไท่ แค่ได้เห็นก็ทำให้คนใจชื้นได้แล้วจริง ๆ "ขอบคุณขอรับ ไว้คราวหน้าท่านมาอุดหนุนใหม่นะขอรับ" หลี่จงที่รู้ความยังคงยิ้มแย้มรับแขกต่อไปโดยมีสื่อไท่คอยช่วยอยู่ใกล้ ๆ พอดูดี ๆ แล้วสือไท่ก็ไม่ได้แย่นะ หรือจะเป็นอย่างน้องรองว่าเพราะเขาได้รับพิษจากบาดแผลเลยพูดจาเพ้อเจ้อไปเช่นนั้น "ขอบคุณขอรับ" ทุกครั้งที่หลี่จงกล่าวขอบคุณลูกค้า สือไท่ก็จะกล่าวขอบคุณตามจนแม่นางน้อยใหญ่ที่มาตลาดพากันเคลิบเคลิ้ม นอกจากหน้าตาแล้วน้ำเสียงที่ทรงพลังแต่ว่าอ่อนน้อม ทำให้แม่นางทั้งสาวอ่อนสาวแก่ใจละลายกันเป็นแถว หลี่หงมองดูสื่อไท่แล้วชวนให้คิดหากเขาชอบบุตรสาวตนจริง ๆ และยังคงมีแม่นางคอยลุมล้อมอยู่เช่นนี้ บุตรสาวข้าคงทุกข์ใจมิวายเว้น ข้ายกธงขาวยอมแพ้ และควรหาคนที่เหมาะสมกว่านี้ให้บุตรสาวในภายหลังจะดีกว่า ชายผู้นี้จะเป็นได้เพียงแค่พี่ชายของนางเพียงเท่านั้น หลี่หงยิ้มอย่างสุขใจเขารับเงินจนนับไม่ทัน วันนี้หลี่หลิวลงมือผัดเองเพราะหวังลู่ทอดปลา และกลัวน้ำมันร้อน ๆ จะกระเด็นใส่บุตรสาวนางจึงรีบทำหน้าที่ทอดปลาจนเสร็จ แล้วรับหน้าที่ผัดเนื้อ และผัดหอยโข่งต่อ "วันนี้คนเยอะใช้ได้เลยนะเจ้าคะ หากครอบครัวน้องรองมาขายอาหารคงจะขายดีมากแน่ ๆ ข้าเคยได้ยินคนบอกว่าร้านน้องรองทำอาหารได้อร่อยมากเลยทีเดียว" "หึ! ถ้าพวกเขาขายได้มากเราก็จะได้เงินคืนกลับมาเร็ว ๆ แล้วพวกเขาจะได้รีบย้ายกันกลับมาช่วยงานข้าเสียที ข้าต้องควักเงินให้ครอบครัวหวังทุกวันจนข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว" หลี่ไช่หัวมาเดินตลาดยามเช้ากับสะใภ้ใหญ่ นางก็ได้แต่คาดหวังว่าจะมาเจอบุตรชายคนรองที่คิดใหญ่ใฝ่โต ว่าพวกเขาจะขายดิบขายดีมากแค่ไหนกันเชียว "ตรงนั้นคนมุงอันใดกัน เจ้าไปดูซิ" "เจ้าค่ะท่านแม่" หลี่ไช่หัวเห็นคนยืนมุงดูร้านอะไรสักอย่างจึงอยากรู้ และบอกให้สะใภ้ใหญ่เดินไปสอดส่องดูให้นาง "ท่านแม่ร้านน้องรองเจ้าค่ะ คนต่อแถวกันยาวเลยเจ้าค่ะ พวกเราจะเข้าไปกันไหมเจ้าคะ" "เข้าไปสิ ทำไมจะไม่เข้าไปล่ะ" "หลีกทางหน่อย ๆ ข้าจะเข้าไปข้างหน้าช่วยหลีกทางหน่อยได้หรือไม่" สะใภ้ใหญ่พยายามจะเบียดเข้าไปแต่กลับถูกทุกคนมองหน้าแถมยังขึงตาใส่นาง ก่อนที่จะพาพูดกันว่าให้ไปต่อคิวด้านหลัง เพราะพวกเขาก็ยืนรอกันพักนึงแล้วเหมือนกัน อย่าได้คิดที่จะแย่งชิงแทรกแซงแถวของพวกเราเชียวหลี่ไช่หัวยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ทนรอไม่ไหว จึงเดินอ้อมไปด้านหลังร้านที่ครอบครัวของหลี่หลิวกำลังตั้งแผงขายของอยู่ด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่จะเข้าไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน ทำมาเป็นต้องต่อแถวเรียงคิว เหตุใดเจ้ารองต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย"เจ้ารอง!!"ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไช่หัวทำให้ครอบครัวของหลี่หงหันหลังกลับไปดูรวมทั้งสือไท่ ท่านย่าผู้นี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย นางส่งเสียงดังกึกก้องเหมือนไปกินรังแตนมา จนลูกค้าที่มุงต่อแถวกันหันไปมองนางอย่างสงสัยว่ายายแก่นี่เป็นอันใด"ท่านแม่..." หลี่หง และหวังลู่ก้มหัวทำความเคารพนางอย่างจนใจ ท่านแม่จะพูดดีดีก็ได้เหตุใดต้องทำเสียงดังให้ผู้คนหันมาสนใจกันด้วยนะ หวังลู่ได้แต่คิดอย่างจนใจ"เหอะ! พวกเจ้าทำอะไรมาขายล่ะ เจ้าไม่คิดจะให้แม่ผู้แก่ชราคนนี้ได้กินบ้างหรือ" หลี่ไซ่หัวได้กลิ่นที่ชวนหิวจนท้องใส่ปั่นป่วนจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่พอใจนักเห็นข้าแล้วแทนที่จะเรียกข้า และรีบตักอาหารให้ แต่นี่อะไรทำมาเป็นตกใจเหมือนเห็นผี แถมสะใภ้รองหันมาทำเป็นก้มหัวให้หน่อยเดียวก็รีบหันกลับไป หรือนางไม่เห็นหัวหงอกหัวดำเช่นข้าอยู่ในสายตาของนา
เมื่อขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที หลี่หง และครอบครัวกล่าวลาท่านลุงฉวี และไม่ลืมขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลี่เฉินถึงกับน้ำตาคลอเมื่อต้องจากเพื่อน ๆ ไป เขาเพิ่งได้มีเพื่อนที่รู้ใจแต่ต้องล่ำลากันเสียแล้ว ทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูเหงาหงอยอย่างชัดเจน"ไว้พวกข้าโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวหาเจ้าอย่างแน่นอน" หลานคนโตของลุงฉวีปลอบใจหลี่เฉินจนเขายิ้มตาหยีน้ำตาคลอ แถมยังเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะเจอกันเมื่อโตขึ้น"ข้าไปก่อนนะ พวกเจ้ารับปากข้าแล้วต้องไปหาข้าให้ได้นะ"หลี่เฉินโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วตะโกนเสียงดังจนหลี่หลิวต้องเอามืออุดหูไว้ทั้งสองข้าง เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ แหลม ๆ ของเด็กน้อยช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้นางหวังที่ไม่ได้อุดหูบัดนี้ในหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ หลี่เฉินเกาะขอบรถม้ามองดูเพื่อนสองคนที่กระโดดโบกมือไปมาด้วยใจที่อ่อนแรง ทำให้ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเฟยอี้และเฟยเหยียนรู้สึกใจแป้วขึ้นมาด้วยเช่นกัน"เจ้าเลิกทำหน้าตาล่ะห้อยเสียที ข้าเห็นแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เราจะไปสร้างถิ่นฐานใหม่ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะ
เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าหลี่หลิวทำเนื้อผัดหน่อไม้ และผัดผักหนามใส่ไก่ ดีที่ตอนกลางวันนางแอบเอาของมาใส่ไว้ในมิติข้าวของทุกอย่างจึงยังสดใหม่ ข้าวสวยร้อน ๆ ที่พึ่งหุงจนขึ้นหม้อหอมตลบอบอวลไปทั่ว แถมกลิ่นอาหารที่หลี่หลิวทำนั้นมันช่างเย้ายวนใจ และกระตุ้นความหิวได้เป็นอย่างดี ข้าวถูกหุงเต็มหม้อใหญ่เพราะหลี่หลิวบอกว่าจะได้กินมื้อเที่ยงได้อย่างสะดวกขึ้น ถังไม้ที่นำมาด้วยมากกว่าสี่ถังถูกเติมเต็มด้วยข้าวไปแล้วหนึ่งถังใหญ่"ขอบคุณครอบครัวผู้ว่าจ้างมาก ๆ นะขอรับ สำหรับการดูแลพวกเรา และม้าสองตัวนี่" เฟยอี้กับเฟยเหยียนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง"ท่านชอบก็ดีแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติที่สมควรทำมิใช่หรือ" หลี่หงยกมือห้ามปรามพวกเขาก่อนจะพูดไป มันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ครอบครัวของตนเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น"ยังไงพวกข้าก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีนายจ้างแบบพวกท่านเลยนะขอรับ" นายจ้างที่พวกเขาเคยรับงานที่ผ่านมาล้วนมีแต่รีบเร่งเดินทาง ส่วนเวลาพักผ่อนก็เป็นพวกเขาที่ต้องคอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม เรื่องอาหารการกินยิ่งแล้วไปกันใหญ่ วัน
บ่ายวันนี้แดดแก่ ๆ ช่างร้อนอบอ้าวเหลือเกินถ้าได้ฝนตกลงมาเวลานี้คงจะดีมากไม่น้อย คนงานจากร้านสือคงกับพี่น้องเฟย และครอบครัวของหลี่หลิวรีบเร่งช่วยกันทำความสะอาดบ้าน เพื่อให้พวกเขาได้มีที่พักในค่ำคืนนี้ พวกฝุ่นหยักไย่ที่หนาเตอะถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องทุกซอกทุกมุม แม้แต่ผ้าม่านที่นอนหมอนมุ้งที่เก่าและทรุดโทรมก็ถูกเก็บกวาดออกมาเผาทิ้งจนหมด โต๊ะเตียงนอนถูกนำมาจัดใส่เข้าใหม่เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น ประตูหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อรับลม และแสงแดด อีกทั้งมันทั้งยังฆ่าเชื้อโรค และไรฝุ่นไปในตัว พอทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่หลิวไล่เดินดูตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่าง ชั้นบนมีห้องขนาดใหญ่อยู่หนึ่งห้อง มีห้องเล็กอีกสองห้องมีขนาดความกว้างสิบเมตร ยาวสิบเมตร แต่ล่ะห้องมีหน้าต่างบานไม้ทุกห้อง และยังมีโต๊ะเตียงนอนที่กว้างขนาดหกฟุต มีห้องนั่งเล่นมุมระเบียงที่ยื่นออกมารับลมชมดาวที่กว้างห้าเมตรยาวเจ็ดเมตร ซึ่งอยู่ด้านหลังมันสามารถมองเห็นพื้นที่ทำการเกษตรได้เป็นอย่างดีห้องใหญ่สุดถูกมอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นบันไดมาจะพบเจอเป็นห้องแรก ห้องตรงกลางเป็นของพี่ใหญ่
วันรุ่งขึ้นครอบครัวหลี่หลิวตื่นค่อนข้างสายเพราะที่นอนนุ่มนิ่ม และผ้าห่มที่เย็นสบาย ทำให้พวกเขาไม่อยากตื่น แต่เจ้าม้าตัวดีก็คอยส่งเสียงร้องเรียก ก่อนที่ตะวันจะขึ้นจนทำให้ทุกคนต้องตัดใจลุกออกจากที่นอนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก"เดี๋ยวข้าไปดูเจ้าเสี่ยวเฮยกับเจ้าเสี่ยหวงเอง เจ้าไปคอยช่วยท่านแม่ในครัวเถอะ"หลี่หลิวเปิดประตูออกจากห้องมาก็เห็นพี่ชายกำลังปิดประตูห้องที่แง้มออกมาเล็กน้อย แล้วบอกให้นางไปช่วยงานครัวกับท่านแม่ ส่วนเขาจะไปดูเจ้าม้าที่ร้องเหมือนไก่เสียหน่อย ไม่รู้ว่าพวกมันจะรีบตื่นอะไรกันนักหนา"น้องเล็กล่ะ" หลี่หลิวถามหาเจ้าเล็กที่เริ่มจ้ำม่ำขึ้นทุกวัน แก้มแดงยุ้ย ๆ และผิวขาวเหลืองของเขาทำให้ใครที่ได้เห็นก็อยากจะสัมผัสความนุ่มละมุนของมัน"น้องเล็กของเราคงเพลียมาก ปล่อยเขานอนต่ออีกหน่อย นอนป่า นอนเขา มาหลายวันแล้วให้เขาได้พักอย่างเต็มที่เถอะนะ เขาจะได้มีแรงกลับมาวิ่งเล่น" พี่ใหญ่ตอบพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด ๆ ทำให้หลี่หลิวที่มองเขาอยู่พลอยหาวตามจนน้ำตาเล็ดอันที่จริงข้าก็อยากพักเหมือนกันนะ เหตุใดข้าต้องมาเกิดเป็นพี่รองด้วย ข้าก็อยากเป็นน้องคนสุดท้องจะได้มีแต่พี่ ๆ คอยตามใจ หลี่หลิวที่เหนื่อยล้
เช้าตรู่วันต่อมา...เมื่อหลี่หลิวบอกกับท่านพ่อว่านางจะปลูกผัก ตอนเช้าหลังมื้ออาหารทุกคนในบ้านจึงเริ่มทำการเกี่ยวหญ้าออกเพื่อที่จะได้ช่วยเปิดทางเดิน ส่วนท่านพ่อก็ถางหญ้าออกเพื่อเปิดหน้าดินสำหรับขุด และพรวนดินต่อไป เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวงก็มาช่วยเล็มหญ้าออกถึงมันจะไม่อร่อยแต่พวกมันก็อยากจะช่วยครอบครัวของเจ้านายบ้างบ่ายแก่ ๆ แดดร่มลมตกหลี่หลิวก็ได้แปลงผักมาหนึ่งแปลงที่มีความยาวอย่างที่นางต้องการ เมื่อได้แปลงผักแล้วนางก็ขุดหลุมด้วยมือเบา ๆ เพราะดินร่วนซุยดีมาก จากนั้นนางก็เอาเมล็ดผักกาดขาวลงไปใส่ก่อนจะเอาดินโรยด้านบนของเมล็ดพันธุ์เล็กน้อย เพื่อกันไม่ให้เมล็ดพันธุ์เคลื่อนตัวไปตำแหน่งอื่น เมล็ดพันธุ์ผักกาดถูกปลูกมากกว่าร้อยหลุม และห่างกันเพียงสองคืบของมือนาง พี่ใหญ่ทำหน้าที่ตักน้ำใส่ถังไม้เขาใช้กระบวยตักรดน้ำตามหลุมต่าง ๆ ทีละขันตามหลังน้องสาวไปจนสุดทางอีกแปลงนางเลือกที่จะปลูกมะเขือเทศ โดยมีน้องเล็ก และท่านแม่ช่วยกันขุดหลุมคนล่ะด้านกว้างสี่หลุม และยาวหลายร้อยต้น เอาเมล็ดลงปลูกหลุมล่ะสองเม็ดแล้วจากนั้นเอาดินกลบอีกที และก็เป็นเช่นเดิมแปลงนั้นก็ได้พี่ใหญ่คอยไล่ราดตักรดน้ำตามหลุมมะเขือเทศทีหลัง
ก่อนที่สือไท่จะได้อ้าปากพูดก็โดนผู้เป็นแม่ใหญ่ชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน"ข้าว่าก่อนที่จะสั่งอาหารเรามาเปิดร้านอย่างเป็นทางการเพื่อเรียกแขกเหรื่อกันก่อนดีหรือไม่"แปะ แปะ!!สืออิงตบมือเรียกคนงานที่รออยู่ด้านหน้าประตูสองสามคน พอได้ยินเสียงสัญญาณ คนงานก็ลงมือเอาป้ายไม้ยึดติดหน้าบ้านของหลี่หลิว และประดับโคมแดงติดม่านจนเสร็จถึงได้เรียกทุกคนมายืนออกันหน้าบ้าน"ว้าวมีป้ายหน้าบ้านเราด้วยขอรับพี่รอง สวยมากเลยขอรับ"หลี่เฉินเจ้าจอมจุ้นเดินไปสำรวจป้ายที่พึ่งทำเสร็จเขาจับโน่นดึงนี่อย่างสงสัยว่ามันทำได้เช่นไร จนท่านแม่ต้องรีบดึงเขากลับมากลัวจะทำให้เสียงาน ซึ่งป้ายร้านถูกเขียนว่าร้านนั่งกินอย่างที่หลี่หลิวเคยบอกสือไท่ไว้"เอาล่ะ ๆ ทีนี้ก็ให้เจ้าของร้านจุดประทัดเพื่อให้กิจการรุ่งเรือง"สือหานพูดจบคนทั้งบ้านมองไปที่หลี่หลิวโดยไม่ได้นัดหมาย นางจึงเดินอุ้ยอ้ายออกไปแล้วรับเอาไม้ไผ่ด้ามยาวที่จุดไฟไว้ด้านบนเพื่อสะดวกในการจุดประทัดสือหานเห็นเด็กน้อยเดินนำออกมา ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ เด็กน้อยผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวมากมายเช่นนี้เชียวหรือ เพื่อนสนิทอย่างจางลี่เจิน และซ่งเจ้าเจียก็หันไปมองหน้าสือหานอย่า
"ถ้าไปช้ากว่านี้คงได้ยืนรออยู่ด้านหน้านั่นนานเป็นแน่ ดีที่ข้ารีบตามท่านหานไปไม่เช่นนั้นขาของข้าได้บวมเพราะยืนนานเกินไปเป็นแน่เลยเจ้าค่ะ"ป๋ายฮ่าวเยว่ที่กลับถึงบ้านก็พูดถึงแต่อาหารที่นางได้กินเข้าไปว่ามันรสเลิศเพียงไหน ป๋ายเค่อได้แต่พยักยอมรับว่ามันอร่อยมากแต่หากต้องไปกินเช่นนั้นทุกวันเขาคงต้องขยันทำงานให้มากกว่านี้ แถมยังต้องรับงานสานตะกร้าที่เขาไม่อยากทำอีกแล้วกลับมาทำอีกครา"ท่านพ่อพรุ่งนี้ท่านไม่ได้จองคิวเอาไว้ เช่นนั้นพวกเราควรไปลงนาเก็บพวกหอยปูกุ้งออกจากนาดีหรือไม่ขอรับ""ดี ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ" ป๋ายเค่อรีบตอบป๋ายรุ่ยฉีบุตรชายของตนไป หากวันพรุ่งนี้พวกเขาไม่ไปลงทุ่งนา มีหวังภรรยาอันเป็นที่รักคงจะชวนเขาไปร้านนั่งกินอย่างแน่นอน ป๋ายฮ่าวเยว่ได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินเข้าบ้านไป ส่วนกลุ่มที่ไปด้วยวันนี้ต่างยิ้มอย่างพอใจถึงอาหารจะแพงไปแต่ว่าหากไปกินหลายคน และช่วยกันออกเช่นวันนี้ก็ใช่ว่าจะแพงเกินไป แถมรสชาติที่ยังติดอยู่ตรงลิ้นยิ่งทำให้คนอยากกลับไปกินอีกสักครั้ง เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่อร่อย และราคาจับต้องได้"เอาล่ะนี่ก็มืดมากแล้ววันนี้ข้าขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนพรุ่งนี้ยังมีงานแต่เช้
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย