ครอบครัวหลี่หลิวมาถึงตลาดยามเช้าได้จองพื้นที่เพื่อที่จะขายอาหาร พวกเขาจุดเตาตั้งกระทะ และจัดข้าวของวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงพื้นริมถนนถัดจากร้านขายผักป่า ซึ่งน้ำมัน ซอสถั่วเหลือง กระเทียม ต้นหอมพร้อมกับเกลือได้ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดี ท่านพ่อนำกระบองคบเพลิงมาจุดแล้วตั้งไว้ไม่ห่างจากกระทะ เพื่อที่จะให้หลี่หลิวมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาถึงกับลงทุนเดินไปซื้อคบเพลิงนี้มา หลี่หลิวกล่าวขอบคุณท่านพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส
นางตักน้ำมันหนึ่งกระบวยใส่กระทะเหล็กขนาดใหญ่ พอเริ่มร้อนก็ใส่กระเทียมที่พึ่งทุบเจียวจนหอมได้ที่ ตามด้วยหน่อไม้ลงไปผัดให้เข้ากัน ทำให้เกิดเสียง ฉ่า ฉ่า ฉ่า กลิ่นหอมของกระเทียมกระตุ้นความหิวของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ครอบครัวของหลี่หลิวเองยังต้องกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน เมื่อหน่อไม้เริ่มสุกได้ที่นางเติมน้ำลงเล็กน้อยใส่ซอสและเกลือ ก่อนจะผัดอีกครั้งชิมรสชาติแล้วใส่ต้นหอมซอยลงปิดท้าย กลิ่นหอมคั่วกระทะในยามเช้ามืดดึงดูดให้ผู้คนมายืนออกันอยู่หน้าร้านของหลี่หลิวมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ท่านพ่อที่ต้องยกเทใส่หม้อเหล็กเป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวปาดเหงื่อที่ผุดจากการอยู่หน้าเตาไฟออก โดยใช้แขนเสื้อซับไปมาเบา ๆ แล้วยิ้มปริ่มมุมปาก เป็นไปตามคาดผู้คนจะต้องให้ความสนใจในรูปแบบการค้าของนาง "เจ้าขายอันใดหรือ" แม่นางร่างท้วมน้ำเสียงทุ้มผิวขาวเหลืองแต่งตัวสะอาดสะอ้านด้วยชุดสีชมพูซีดแต่ทว่าดูดี นางเดินเข้ามาถามไถ่เพราะทนกลิ่นหอมเย้ายวนนี้ไม่ไหว นางยืนดูอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งสาวน้อยทำเสร็จถึงได้รีบเดินปรี่เข้ามาถามไถ่ก่อนใคร "นี่คือผัดหน่อไม้ขอรับ" หลี่จงทำตามที่น้องสาวบอกไม่ขาดตกบกพร่อง เขาตักผัดหน่อไม้ใส่จานที่เตรียมมา พร้อมกับยื่นไม้ที่เหลาคล้ายไม้เสียบลูกชิ้นให้แม่นางร่างท้วมแล้วบอกนางว่า "ให้ท่านลองชิมก่อน หากไม่อร่อยท่านก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่หากว่าอร่อยถูกปากท่านค่อยซื้อกับข้า" ฝูงชนนับสิบได้ยินเช่นนั้นจึงทยอยกันเข้ามาชิม และซื้อไปคนล่ะกระบอกสองกระบอก ซึ่งราคาขายก็เพียงหนึ่งอีแปะแถมได้อาหารไม่น้อย จึงกลายเป็นว่าขายดีมาก หลี่หลิวที่ผัดได้สองกระทะก็ต้องปล่อยให้ท่านแม่เป็นคนทำต่อ ส่วนตนเป็นคนคอยบอก และชิมรสชาติให้ท่านอีกที ท่านพ่อและน้องเล็ก กลายเป็นเถ้าแก่คอยรับเงินจากลูกค้า ส่วนพี่รองคอยตักผัดหน่อไม้ใส่กระบอกไม้ไผ่ไม่ขาดมือ ด้วยความสุภาพของพี่รองและท่านพ่อ ทุกคนที่แวะเวียนมาชิมต่างพากันซื้อติดไม้ติดมือกลับไปแทบทุกราย กระบอกที่หลี่หลิวออกแบบค่อนข้างใหญ่ และกว้างจึงใส่หน่อไม้ได้มาก เชือกที่นำมาผูกติดกับกระบอกทำให้ผู้คนถือได้อย่างสะดวก ใครผ่านไปมาต่างชมว่าเป็นอาหารที่อร่อย และสามารถนำกลับบ้านได้ไม่หกหรือหล่นกลางทาง กระบอกที่เตรียมมานับร้อยหมดลงท่านแม่ก็ได้พักหายใจคายคอ พระอาทิตย์สาดแสงลงมาตลาดก็เริ่มวายพ่อค้าแม่ขายพากันเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน หลี่หลิวขอเงินท่านพ่อแล้วเดินไปซื้อเนื้อหมูเนื้อไก่กลับมาสองสามห่อแล้วเอาไปวางบนรถลาก ท่านพ่อและพี่ใหญ่ช่วยกันเก็บของขึ้นรถลาก หลี่หลิวไม่ลืมที่จะซื้อเครื่องปรุง และผักกลับบ้านไปด้วย "พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านเห็นท่านแม่ผัดหน่อไม้หรือไม่ ท่านแม่ผัดได้เร็วมากส่วนพี่ใหญ่ก็ตักจนมือพันกัน ท่านพ่อยิ้มรับเงินจนหน้าบานเชียวล่ะ" หลี่เฉินนั่งบนรถลากพร้อมแม่ และพี่สาวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเมามัน "ทุกคนที่ได้ชิมอาหารของพี่ข้ากว่าครึ่ง ต่างซื้อกลับบ้านทุกคน หากว่ามีกระบอกมากพอแล้วละก็ หน่อไม้ที่เหลือนี่คงหมดแล้วจริง ๆ ข้าเกือบไม่ได้กินเสียแล้ว" พูดไปพูดมากลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กกลัวของหมดแล้วตนจะอดกิน ทุกคนต่างพากันหัวเราะลั่น ทั้งดีใจทั้งขบขันจนน้ำตาเล็ด หลี่หงเป็นคนที่ภูมิใจเป็นที่สุด เขาลงแรงไปมากในการทำกระบอกให้กับลูกสาว แถมนางยังเคยบอกว่าสามเดือนก็สามารถหาเงินคืนได้แล้ว แต่มาวันนี้แค่วันเดียวเขาก็คืนทุนทั้งหมดมาได้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหน่อยเขาก็จะมีเงินเก็บ และคืนเงินที่ท่านปู่มอบให้กลับคืนไปได้แล้ว หลี่หลิวผัดเนื้อไก่ใส่หอมหัวใหญ่ นางนำเอากระดูกไก่ที่เหลือมาทำน้ำซุบถ้าได้ซดร้อน ๆ คงจะรู้สึกโล่งคอ และสดชื่นยิ่งนัก เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วการขุดบ่อก็ได้เริ่มขึ้นมันทั้งเหนื่อย และสนุก โดยเฉพาะน้องเล็กที่มีเพื่อนอีกสองคนมาเล่นปั้นดินด้วยสร้างเสียงเจื้อยแจ้วตลอดทั้งตอนเช้า หลี่หลิววางตำแหน่งบ่อที่ขุดไว้หลังบ้านห่างจากตัวจากตัวบ้านไปทางซ้ายยี่สิบเมตรเห็นจะได้ หลี่หลิวบอกให้ขุดลึกประมาณเอวท่านพ่อยาวสิบห้าเมตรกว้างห้าเมตรแบบนี้นอกจากเลี้ยงปลาก็ยังสามารถปลูกบัวไว้กินเม็ดและรากได้อีกด้วย ทั้งครอบช่วยกันขุดบ่อปลาจนพระอาทิตย์เกือบตรงหัวจึงพาหยุดพัก และไปล้างเนื้อตัว หลี่หลิวนำเนื้อหมูมาหั่นสไลด์ไม่บางนักหั่นผักกะหล่ำปลีหัวใหญ่อย่างคล่องมือ นางก่อไฟวางกระทะเทน้ำมันทุบกระเทียมสองสามกลีบแล้วโยนลงไปผัด จากนั้นใส่เนื้อหมูติดมันที่หั่นไว้ พอหมูเริ่มสุกใส่ผักลงไปผัดต่อปรุงรสด้วยเกลือและซอส เสียงตะหลิวเคาะกระทะดังมาเป็นระยะพร้อมกลิ่นโชยมาตามลม นั่นยิ่งช่วยกระตุ้นความยากอาหารได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ากระทะที่นางใช้ค่อนข้างใหญ่เวลาผัดจึงเหลือบ่ากว่าแรงของร่างกายอยู่มาก ส่วนผู้เป็นแม่อุ่นน้ำซุปไก่ที่เหลือประมาณหนึ่งถ้วยใหญ่เห็นจะได้ แล้วค่อยอุ่นไก่ผัดหัวหอมที่หลัง "เจ้าจะกลับแล้วรึ ไม่อยู่เล่นกับข้าก่อนล่ะตอนเย็นค่อยให้ท่านลุงมารับกลับไม่ได้หรือ?" หลี่เฉินมองหน้าท่านพ่ออย่างอ้อนวอน ถ้าเพื่อน ๆ กลับกันไปหมดช่วงบ่ายเขาคงต้องเล่นกับลมกับดิน เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่กันหมดแล้ว ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ต่างก็พากันขุดบ่อ ท่านแม่และพี่รองหั่นผักเตรียมของไปขายตอนในตอนเช้ามืด ส่วนตัวเขายังอยากเล่นปั้นดินกับเพื่อนต่ออีกหน่อย มือน้อย ๆ ได้แต่จับมือใหญ่สาก ๆ ของท่านพ่อแล้วมองตาท่านพ่อปริบ ๆ "หากวันนี้งานไร่นาพวกท่านเสร็จแล้วก็อยู่กินข้าวเที่ยงกับพวกเราก่อนเถิด ข้ายังมิได้ขอบคุณที่พวกท่านคอยดูแลที่นาให้ข้าเลย" หลี่หงจนปัญญาจึงเรียกคู่สามีภรรยาอยู่ทานข้าวสักหน่อยเผื่อพวกเขาจะให้เด็ก ๆ ได้อยู่เล่นด้วยกันต่อ สองสามีภรรยามองหน้ากัน จะว่าไปแล้วกลิ่นอาหารหอม ๆ นั่นก็คอยชักชวน และล่อลวงพวกเขาทำให้พวกเขาอยากอยู่ต่อเช่นกัน "ท่านลุง ข้าหิวแล้ว" เด็กชายที่เริ่มสนิทกับหลี่เฉินกล่าว ไม่ทันที่ผู้ใหญ่จะได้พูดอะไร หลี่เฉินรีบดึงมือเพื่อนทั้งสองพาไปนั่งที่ระเบียงกว้างข้างบ้าน ตรงที่ท่านพ่อทำโต๊ะอาหารใหม่ มันมีขนาดกว้างมากเหมาะสำหรับรองรับแขกได้พอดี "มาเถอะ ฮ่า ๆ ๆ" หลี่หงเห็นบุตรชายพาเพื่อนไปนั่งรอแล้ว เขาจึงชวนสองสามีภรรยาเข้ามาแล้วบอกให้ล้างไม้ล้างมือนั่งรอมื้ออาหาร ส่วนตัวเขาเดินไปบอกภรรยา และบุตรสาวว่ามื้อนี้ให้ทำอาหารเผื่อครอบครัวท่านลุงท่านป้า และหลาน ๆ ของพวกเขาด้วย หลี่หลิวมองซ้ายแลขวาดูสุดท้ายก็จับปลามาทอดอีกสองสามตัวอย่างจนใจ นางทั้งเหนื่อยและหิว ทำให้นางแทบบ้าเลยทีเดียว หวังลู่เห็นบุตรสาวโมโหหิวจึงรีบเอากับข้าวกับปลาออกไปจัดวางที่โต๊ะจนเต็ม นางกลับเข้ามาห้องครัวแล้วผัดหน่อไม้ไปเพิ่มอีกสองจานจนวางเกือบเต็มโต๊ะ "ทานกันเถอะ" หลี่หงนั่งหัวโต๊ะบอกให้ทุกคนกินข้าว โดยมีสองสามีภรรยากับหลาน ๆ นั่งปิดท้ายทั้งสองฝั่ง "เจ้าลองอันนี้นะอร่อยมากเลยล่ะ" หลี่เฉินเห็นเพื่อนเก้ง ๆ กัง ๆ จึงคีบผัดหน่อไม้ให้เพื่อน ๆ ได้ลองชิมดู เด็กทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างมึนงงเพราะไม่เคยเห็นและไม่เคยได้กินสิ่งนี้มาก่อน หลี่จงจึงอธิบายอาหารแต่ล่ะอย่างแล้วบอกให้พวกเขาลองชิม พอทั้งสี่คนลุงหลานได้ชิมต้องกล่าวชมเป็นยกใหญ่และบอกว่ามันอร่อยไม่ขาดคำ ทุกเมนูวันนี้ทำให้สองสามีภรรยาตื้นตันเป็นอย่างมาก เพราะการต้อนรับแบบนี้ไม่ค่อยมีมากนักในชนบทเช่นนี้ จะมีครอบครัวไหนบ้างที่ยอมตักไก่ และหมูอีกทั้งข้าวปลาที่แสนแพงมาแบ่งปันให้เช่นนี้ เมื่อกินเสร็จก็คุยเรื่องนาข้าวแลกเปลี่ยนความรู้กันไป จนพวกเขาหันไปเห็นร่องรอยการขุดจึงได้ไถ่ถาม พอรู้ว่าเด็กสาวคนนี้อยากขุดสระเลี้ยงปลา อาหารก็กินของเขาไปแล้วจึงรีบออกปากช่วยงานด้วยความเต็มใจ ส่วนน้องเล็กร้องไชโยเพราะเขาจะมีเพื่อนเล่นถึงยามค่ำเลยทีเดียว "พวกเจ้าหั่นหน่อไม้ และผักมากมายถึงเพียงนี้คงจะเหนื่อยแย่เลย มา ๆ ให้ข้าช่วยเถอะจะได้เสร็จเร็ว ๆ" ท่านป้าที่เช่าที่ดินอยู่ก่อนหน้าเห็นเด็กสาว และแม่ช่วยกันหั่นผักหลังจากที่เก็บถ้วยชามไปล้างจึงอยากจะช่วยเหลือ หลี่หลิวก็เลยไม่เกรงใจท่านป้าอีกต่อไป นางจึงขอให้ท่านป้าช่วยหั่นผัก เช่น หัวหอม กะหล่ำ ต้นหอม ทั้งสามสาวนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยพร้อมมือที่หั่นข้าวของไปด้วย ส่วนท่านพ่อพี่ชาย และท่านลุงก็ช่วยกันขุดสระ โดยมีเสียงเด็กชายทั้งสามเล่นกันหัวเราะสนุกสนานจนถึงบ่ายแก่ ๆ หลี่หลิวพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ากระบอกใส่อาหารของนางนั้นหมดแล้ว นางตกใจรีบลุกพรวดพราดไปบอกท่านพ่อที่กำลังขุดบ่อเลี้ยงปลาอย่างร้อนรน "ท่านพ่อ แย่แล้วเจ้าค่ะแย่แล้ว" "มีอันใดเจ้าค่อย ๆ พูดมาพ่อของเจ้าอยู่นี่แล้ว" เขาเห็นบุตรสาวเร่งรีบวิ่งมา กลัวนางจะหกล้มเอาจึงบอกนางไปเช่นนั้น "กระบอกเจ้าค่ะ" "กระบอกรึ?" เมื่อหลี่หลิวพูดถึงกระบอกเท่านั้นแหละ หลี่หงก็เข้าใจทันทีว่าเช้ามืดนี้ยังต้องใช้กระบอกใส่อาหารเขารีบวางมือจากจอบ ก่อนจะกล่าวขอบคุณท่านลุง และบอกให้ท่านกลับบ้านไปพัก เพราะตนนั้นต้องไปตัดไม้ไผ่มาทำกระบอกไว้ใส่อาหารให้บุตรสาว เมื่อเห็นหลี่หงและหลี่จงดูเร่งรีบ เขาจึงอาสาไปช่วยตัดไม้ไผ่ด้วย "ขอบคุณท่านลุงฉวี และท่านป้าฉวีมาก ๆ นะขอรับ ที่คอยช่วยงานจนตะวันเกือบตกดินเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้า และครอบครัวจะขอเลี้ยงมื้อเที่ยงเป็นการตอบแทนพวกท่านนะขอรับ" หลี่หงละอายใจที่สองสามีภรรยาคอยช่วยงานตั้งแต่หลังเที่ยงมาจนถึงช่วงเย็น จึงเชิญชวนทานอาหารในวันพรุ่งเป็นการตอบแทน เมื่อได้ท่านลุงฉวีมาช่วยการทำกระบอกก็รวดเร็วขึ้น พวกเขาพากันตัดอย่างคล่องมือส่วนหลี่จงก็คอยขัดล้างกระบอก แล้วนำไปต้มก่อนจะเอาออกมาคว่ำตากลมไว้ ใช้เวลาไม่นานนักก็ได้กระบอกมากกว่าร้อยอัน หลี่หลิวกับท่านแม่ช่วยกันร้อยเชือกมัดกระบอกไม้ไผ่หลังจากที่ท่านลุงฉวี และครอบครัวกลับไปแล้ว เพื่อที่ลูกค้าจะได้ถือกลับได้ง่าย ๆ พวกเขาจึงต้องลงแรงกันมากหน่อย คบเพลิงถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างจนงานทำกระบอกจบลงถึงได้กินข้าว และล้างเนื้อตัวกันก่อนที่จะเข้านอน "เสร็จเสียที" หลี่จงพี่ใหญ่บิดขี้เกียจไปมาหลังจากที่มาช่วยนั่งมัดกระบอกได้พักใหญ่ "เอาล่ะ ๆ นี่ก็ดึกมากแล้ว แยกย้ายกันไปพักพรุ่งนี้จะต้องไปที่ตลาดแต่เช้าเราจะได้จองที่ดี ๆ หน่อย" หลี่หงอดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้จะได้รับเงินตรามาอีกมาก เขาจึงดูกระชุ่มกระชวยไม่น้อย "ท่านพ่อเจ้าคะ พรุ่งนี้ท่านต้องเอามีดแล้วก็เขียงไม้ไปด้วยนะเจ้าคะ" "ได้ เจ้าต้องการอะไรบอกพ่อมาได้เลย" "เจ้าค่ะ งั้นลูกไปนอนก่อนนะเจ้าคะ" ว่าจบทุกคนก็แยกย้ายกันไปหลับนอน เมื่อทุกคนหลับแล้วหลี่หลิวก็แอบเข้ามิติไป ผักกาดขาวที่ปลูกไว้มันโตเต็มที่โดยใช้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น หลี่หลิวหยิบเมล็ดพันธุ์ผักออกมาก่อนจะใช้เสียมที่แอบเอาเข้ามาไว้ก่อนหน้าขุดหลุมปลูกฟักทอง แตงโม พริก มะเขือเทศ แตงกวา รวมทั้งถั่วลันเตากับต้นหอม จากนั้นรดน้ำด้วยขันเหล็กที่ซื้อมาใหม่ที่ใส่ไว้ในตุ่ม พอเสร็จแล้วค่อยออกจากมิติห่มผ้าแล้วหลับตาพักผ่อน เช้ามืดวันถัดมา... "โอ้ยยย แขนฉ้านนน" หลี่หลิวเห็นน้องเล็กนอนหนุนแขนตนด้วยลมหายใจสม่ำเสมอ นางจึงค่อย ๆ ดันน้องชายออกเบา ๆ เมื่อครู่นางเสียงดังไปหน่อยพี่ใหญ่จึงตื่นขึ้น และช่วยน้องรองขยับน้องเล็กออกจากแขนที่เขานอนทับอยู่ หลี่หลิวรู้สึกเหมือนว่าแขนขวานางไม่อยู่แล้ว และชาจนไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด พี่สามจึงนวดเบา ๆ ที่แขนนางจนรับรู้ถึงการไหลเวียนของเลือด หลี่หลิวรีบห้ามปรามพี่ใหญ่ไม่ให้นวดต่อ นี่ไม่ต่างจากเข็มนับล้านที่มันทิ่มแทงจนนางน้ำตาเล็ด "เจ้าเป็นอันใด ร้องไห้ทำไมกัน มาเถอะพี่ใหญ่นวดให้เจ้าจะได้หายไว ๆ นะ" "ได้โปรด หากท่านห่วงใยข้าอย่าได้แตะต้องตัวข้าเชียว ตอนนี้ตะคริวกินแขนข้าแล้ว" หลี่หลิวทำหน้าทรมานจนน่าสงสาร พี่ใหญ่ที่ช่วยอะไรไม่ได้จึงขอตัวไปล้างหน้าล้างตา แล้วปล่อยให้นางหายเจ็บอีกสักพักนางก็คงตามลงมา พอออกจากห้องได้เจ้าใหญ่กลั้นขำจนตัวงอที่แท้น้องสาวเราก็มีมุมนี้กับเขาด้วย หลี่จงเดินผ่านห้องโถงออกประตูหน้าบ้านเห็นท่านพ่อยกของที่จำเป็นจัดวางอย่างระมัดระวัง ไหเครื่องปรุงถูกรัดกุมด้วยฟางที่มัดรวมกันไว้อย่างดี ครั้งนี้ดูท่านพ่อจะกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเมื่อวานเสียอีก หรือเป็นอย่างที่น้องรองว่าไว้หากท่านพ่อได้นอนกับท่านแม่แล้วท่านพ่อจะแข็งแรง "อ้าว!! เจ้าตื่นแล้ว? เหตุใดวันนี้น้องสาวเจ้าตื่นช้าได้เสียล่ะ" หลี่จงได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะในลำคอ แล้วตอบไปว่าน้องเล็กนอนทับแขนนางจนตะคริวกินนางจึงยังขยับตัวไม่ได้ "เป็นเช่นนั้นหรือ ต่อไปเจ้าก็นอนกั้นกลางเสีย น้องสาวเจ้าจะได้ไม่ทรมานมากนัก" "ขอรับท่านพ่อ" เมื่อตกปากรับคำแล้วหลี่จงก็ไปล้างหน้าล้างตา ก่อนที่จะไปช่วยท่านแม่ยกผักที่หั่นใส่กะละมังไม้ออกมาขึ้นรถลาก เมื่อยกของขึ้นเสร็จหลี่หลิวก็เดินอ้อยอิ่งออกมาอย่างท้อใจ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนหลบมุมไหนถึงจะรอดพ้นจากน้องเล็กได้ "ลูกคนนี้นี่ เหตุใดทำหน้าไม่รับแขกแต่เช้าเลยล่ะ" หวังลู่เห็นบุตรสาวเดินเหมือนคนไร้วิญญาณจึงเอ็ดนางไปที แต่พอรู้ว่านางถูกน้องเล็กนอนทับแขนตอนที่นางหลับ พอตื่นมาตะคริวกินจึงได้ถามไถ่ว่าดีขึ้นแล้วหรือยัง จากนั้นก็หลี่หลิวก็ไปปลุกเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้นางระบมทนทุกข์อยู่ครู่ใหญ่ "ท่านพ่อขอรับพี่รองเป็นอันใดถึงมองหน้าข้าด้วยสายตาแบบนั้น" น้องเล็กเมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็เห็นพี่สาวอารมณ์เหวี่ยง ๆ จึงถามผู้เป็นบิดา พอรู้ว่าตนทับแขนนางทั้งคืนจึงรีบไปขอโทษพี่รอง และแน่นอนว่านางก็ต้องให้อภัย เช้านี้มีหมอกหนาทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกจึงสวมใส่หมวกสานและเสื้อลม กว่าจะถึงตลาดเช้าท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็เหนื่อยหอบกันเสียแล้ว ด้วยหมอกที่หนาทำให้การมองเห็นค่อนข้างจะลำบาก หลี่หลิวก็ได้มีความคิดที่จะซื้อลามาสักสองตัว เพื่อที่ให้การเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น หากเป็นม้าก็จะดีมาก ๆ เพราะจะเพิ่มความเร็วในการเดินทางได้อย่างดี วันนี้คนที่เดินผ่านตลาดไปมาเห็นครอบครัวของหลี่หลิวต่างก็พากันมายืนอ้อมล้อม พวกเขาหวังจะรอซื้อผัดหน่อไม้แต่ทว่าวันนี้หลี่หลิวเลือกที่จะทำเมนูใหม่ก่อน พอถึงตลาดนางพาท่านแม่ตรงดิ่งไปร้านขายเนื้อหมู และซื้อเนื้อหมูมาสิบกว่าโล นางให้ท่านพ่อที่เตรียมเขียงมาด้วยปูเสื่อนั่งหั่นแบบสด ๆ นางหวังก่อเตาไฟเสร็จจึงเรียกบุตรสาวมา หลี่หลิวเอากระทะตั้งไฟใส่น้ำมันตามด้วยกระเทียม ก่อนจะผัดกระเทียมให้หอมแล้วใส่เนื้อหมูที่ท่านพ่อหั่นส่วนหนึ่งลงไปผัดจนสุกจึงใส่หอมหัวใหญ่ กะหล่ำปลี รอจนกระทั่งผักสุกกำลังดีจะได้รสหวานและกรอบ จากนั้นก็ปรุงรสแล้วท่านพ่อก็ทำหน้าที่ยกเทใส่หม้อเหล็ก นางทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ ส่วนคนที่เดินมาเมื่อรู้ว่าชิมฟรีอยู่แล้วจึงแวะเวียนเข้ามาชิมทั้งผัดหมู และผัดหน่อไม้ พอได้ลิ้มลองสุดท้ายก็พากันซื้อกลับไปอีกตามเคย ถึงคราวนี้หมูผัดผักจะราคาถึงสามอีแปะแต่ก็ไม่มีใครบ่นเลย หลี่หงหั่นหมูเสร็จมาช่วยลูกชายคนโตรับทรัพย์ และตักอาหารขาย วันนี้เขายิ้มหน้าบานกว่าเมื่อวานเสียอีก ทั้งหมู และผักต่างก็หมดลง หลี่หลิวเดินไปสั่งเครื่องปรุงมาเก็บไว้อย่างล่ะสามไห ซื้อเนื้อวัวกับเนื้อหมูมาอย่างล่ะสามโล โครงไก่อีกสามสี่โครง รวมทั้งขิง ข่า ตะไคร้ และผักอีสามสี่อย่าง นางบอกให้เถ้าแก่เอาของที่สั่งมาส่งที่รถลาก และเก็บเงินกับท่านพ่อ เมื่อเก็บของขึ้นรถ และได้รับของที่บุตรสาวสั่งมาใส่รถลากแล้ว ทั้งหมดจึงพากันออกเดินทางกลับบ้าน หลี่หลิวพูดกับครอบครัวระหว่างทางกลับบ้านว่านางต้องการม้าเพื่อที่จะมาลากรถลาก ท่านพ่อก็ต้องยอมรับความจริงว่าการเดินทางไปไหนมาไหนมันเหนื่อย จึงรับปากนางว่าวันพรุ่งนี้จะพานางไปเลือกดูทำให้หลี่หลิวยิ้มกริ่มอย่างพอใจ กลับถึงบ้านหลี่หลิวทำโจ๊กหมูสับเต็มหม้อใหญ่ให้ทุกคนได้กิน ส่วนท่านพ่อที่รับเงินเป็นกอบเป็นกำยังคงอารมณ์ดี และยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา "หลี่เฉิน ๆ" เสียงเด็กน้อยสองคนมาแต่เช้าพร้อมกับท่านลุงท่านป้าได้เรียกหาเพื่อนใหม่อย่างสนิทสนม "อ้าว พวกท่านมาแล้วหรือ กินข้าวปลากันมาหรือยัง บุตรสาวข้าทำข้าวต้มหม้อใหญ่หากยังไม่ได้กินอะไรเดี๋ยวข้าจะตักให้พวกท่านคนล่ะถ้วย" สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยใบหน้าอมยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและตอบกลับมาว่าพวกเขากินข้าวเช้ามาแล้ว วันนี้ที่มากันก็เพราะอยากมาช่วยขุดสระให้เสร็จเพียงเท่านั้น หลี่หลิวได้ยินเช่นนั้นจึงรู้ว่าวันนี้มีคนงานคอยช่วยขุด ดังนั้นแล้ววันนี้บ่อปลาของนางต้องเสร็จอย่างแน่นอน นางจึงชวนท่านแม่ต้มเกาลัดที่เก็บมาเมื่อสองสามวันก่อน พอต้มเสร็จก็นำมาพึ่งลมแล้วแกะใส่ชามไว้ จากนั้นก็หาผ้าชุบน้ำมาปิดแล้ววางไว้แถวระเบียงหลังบ้านเพื่อให้เด็ก ๆ มาหยิบกินกัน หวังลู่ยิ่งมองยิ่งหลงรักบุตรสาวของตนขึ้นทุกวัน หากวันใดนางออกเรือนไปใจของมารดาเช่นนางคงแตกสลายเป็นแน่เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา
หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในท
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขาหลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก"มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน"ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อยหลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลู
ตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอนตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย"ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิว
ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำสือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว"เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก"ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคือ
หลี่ไช่หัวยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ทนรอไม่ไหว จึงเดินอ้อมไปด้านหลังร้านที่ครอบครัวของหลี่หลิวกำลังตั้งแผงขายของอยู่ด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่จะเข้าไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน ทำมาเป็นต้องต่อแถวเรียงคิว เหตุใดเจ้ารองต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย"เจ้ารอง!!"ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไช่หัวทำให้ครอบครัวของหลี่หงหันหลังกลับไปดูรวมทั้งสือไท่ ท่านย่าผู้นี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย นางส่งเสียงดังกึกก้องเหมือนไปกินรังแตนมา จนลูกค้าที่มุงต่อแถวกันหันไปมองนางอย่างสงสัยว่ายายแก่นี่เป็นอันใด"ท่านแม่..." หลี่หง และหวังลู่ก้มหัวทำความเคารพนางอย่างจนใจ ท่านแม่จะพูดดีดีก็ได้เหตุใดต้องทำเสียงดังให้ผู้คนหันมาสนใจกันด้วยนะ หวังลู่ได้แต่คิดอย่างจนใจ"เหอะ! พวกเจ้าทำอะไรมาขายล่ะ เจ้าไม่คิดจะให้แม่ผู้แก่ชราคนนี้ได้กินบ้างหรือ" หลี่ไซ่หัวได้กลิ่นที่ชวนหิวจนท้องใส่ปั่นป่วนจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่พอใจนักเห็นข้าแล้วแทนที่จะเรียกข้า และรีบตักอาหารให้ แต่นี่อะไรทำมาเป็นตกใจเหมือนเห็นผี แถมสะใภ้รองหันมาทำเป็นก้มหัวให้หน่อยเดียวก็รีบหันกลับไป หรือนางไม่เห็นหัวหงอกหัวดำเช่นข้าอยู่ในสายตาของนา
เมื่อขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที หลี่หง และครอบครัวกล่าวลาท่านลุงฉวี และไม่ลืมขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลี่เฉินถึงกับน้ำตาคลอเมื่อต้องจากเพื่อน ๆ ไป เขาเพิ่งได้มีเพื่อนที่รู้ใจแต่ต้องล่ำลากันเสียแล้ว ทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูเหงาหงอยอย่างชัดเจน"ไว้พวกข้าโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวหาเจ้าอย่างแน่นอน" หลานคนโตของลุงฉวีปลอบใจหลี่เฉินจนเขายิ้มตาหยีน้ำตาคลอ แถมยังเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะเจอกันเมื่อโตขึ้น"ข้าไปก่อนนะ พวกเจ้ารับปากข้าแล้วต้องไปหาข้าให้ได้นะ"หลี่เฉินโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วตะโกนเสียงดังจนหลี่หลิวต้องเอามืออุดหูไว้ทั้งสองข้าง เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ แหลม ๆ ของเด็กน้อยช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้นางหวังที่ไม่ได้อุดหูบัดนี้ในหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ หลี่เฉินเกาะขอบรถม้ามองดูเพื่อนสองคนที่กระโดดโบกมือไปมาด้วยใจที่อ่อนแรง ทำให้ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเฟยอี้และเฟยเหยียนรู้สึกใจแป้วขึ้นมาด้วยเช่นกัน"เจ้าเลิกทำหน้าตาล่ะห้อยเสียที ข้าเห็นแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เราจะไปสร้างถิ่นฐานใหม่ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะ
เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าหลี่หลิวทำเนื้อผัดหน่อไม้ และผัดผักหนามใส่ไก่ ดีที่ตอนกลางวันนางแอบเอาของมาใส่ไว้ในมิติข้าวของทุกอย่างจึงยังสดใหม่ ข้าวสวยร้อน ๆ ที่พึ่งหุงจนขึ้นหม้อหอมตลบอบอวลไปทั่ว แถมกลิ่นอาหารที่หลี่หลิวทำนั้นมันช่างเย้ายวนใจ และกระตุ้นความหิวได้เป็นอย่างดี ข้าวถูกหุงเต็มหม้อใหญ่เพราะหลี่หลิวบอกว่าจะได้กินมื้อเที่ยงได้อย่างสะดวกขึ้น ถังไม้ที่นำมาด้วยมากกว่าสี่ถังถูกเติมเต็มด้วยข้าวไปแล้วหนึ่งถังใหญ่"ขอบคุณครอบครัวผู้ว่าจ้างมาก ๆ นะขอรับ สำหรับการดูแลพวกเรา และม้าสองตัวนี่" เฟยอี้กับเฟยเหยียนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง"ท่านชอบก็ดีแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติที่สมควรทำมิใช่หรือ" หลี่หงยกมือห้ามปรามพวกเขาก่อนจะพูดไป มันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น และมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ครอบครัวของตนเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น"ยังไงพวกข้าก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีนายจ้างแบบพวกท่านเลยนะขอรับ" นายจ้างที่พวกเขาเคยรับงานที่ผ่านมาล้วนมีแต่รีบเร่งเดินทาง ส่วนเวลาพักผ่อนก็เป็นพวกเขาที่ต้องคอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม เรื่องอาหารการกินยิ่งแล้วไปกันใหญ่ วัน
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย