พอกลับถึงบ้านท่านแม่ออกจากครัวมาดูถึงกับอ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย จึงได้แต่ช่วยขนข้าวของลงจากรถลาก
"เจ้าเอาตุ่มใส่น้ำมาทำอันใดมากมายถึงเพียงนี้" ท่านแม่ที่ช่วยท่านพ่อยกลงด้วยความหนักใจเอ็ดนางไปหนึ่งที นี่ต้องเสียเงินมากเป็นแน่ เงินที่ได้มาจากท่านปู่มิใช่พวกเจ้าสองคนพ่อลูกใช้กันหมดแล้วกระมัง "ข้าจะเอาไปใส่ปลาเจ้าค่ะ" "ใส่ปลารึ" "ใช่เจ้าค่ะ ตุ่มนี้จะเอาไว้ใส่น้ำในห้องครัวจะได้ใช้สอยสะดวกมากขึ้น ข้าเห็นท่านแม่ต้องใช้ถังไปตักน้ำมาวันล่ะหลาย ๆ ครั้ง หากมีตุ่มใส่น้ำเราก็แค่คอยเติมน้ำให้เต็มก็จะสะดวกเวลาใช้สอย อีกตุ่มเอาไว้ใส่ปลาเจ้าค่ะข้าจะตกปลาตัวเล็กมาด้วยแล้วเลี้ยงมันไว้ในตุ่มน้ำ พอขุดบ่อปลาเสร็จค่อยปล่อยมันลงบ่อ ส่วนอีกตุ่มข้าว่าจะทำห้องน้ำเจ้าค่ะ เพราะเรายังไม่มีห้องน้ำต้องอาบน้ำกลางแจ้งข้ารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก" เมื่อได้ยินคำตอบของบุตรสาวที่วางแผนอย่างดิบดีนางหวังได้แต่ยิ้มอ่อนให้บุตรสาว เข้าใจว่านางอยากช่วยให้แม่สบายขึ้นจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ถึงจะโมโหเพราะนางใช้จ่ายเกินตัวแต่ก็ต้องอมยิ้มกับความเอาใจใส่ของนาง ส่วนอีกตุ่มหลี่หลิวแอบเก็บเข้ามิติไปเรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนรถลากแล้ว "ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงแม่ แต่คราวหน้าไม่ต้องก็ได้ท่านพ่อเจ้าบอกว่าใช้จ่ายไปมากกว่าห้าสิบอีแปะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าครอบครัวเราใช้เงินห้าสิบอีแปะได้หลายเดือนเชียวนะ" หวังลู่พยายามสอนลูกสาวให้นางรู้จักประหยัด และคิดคำนึงอย่างถี่ถ้วนจะได้ไม่ฟุ่มเฟือยเกินเหตุเช่นนี้ หากนางมีเงินในมือในภายภาคหน้าอาจจะใช้จ่ายเกินตัวก็เป็นได้ "ท่านแม่อย่ากังวล ข้ามีวิธีหาเงินคืนให้ท่านพ่อภายในสามเดือนเจ้าค่ะ" "ไหนเจ้ามีวิธีอะไรบอกพ่อเจ้ามาหน่อย" เมื่อหลี่หงได้ยินเช่นนั้นหลังจากคอตกมาพักใหญ่ถึงกับหูผึ่งขึ้นมาทันที อะไรจะดีไปกว่าการได้รับเงินที่เสียไปกลับคืนมา อย่างไรเสียเงินนี่สักวันหนึ่งเขาต้องนำไปคืนให้แก่บิดาอยู่แล้ว บุตรสาวมีความคิดสร้างสรรค์หากหาเงินได้เร็วก็จะเป็นผลดีต่อครอบครัวเรา "ข้าจะทำกับข้าวแล้วไปขายตลาดเช้าเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองผัวเมียก็มองหน้ากันอย่างมีความหวังขึ้นมา ก็แน่ล่ะบุตรสาวทำอาหารอร่อยเช่นนี้ต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน "เจ้าจะทำอะไรไปขายเล่า" ท่านแม่ถามอย่างอยากรู้ เด็กตัวแค่นี้กับรู้จักอยากทำมาค้าขายช่างเป็นบุญที่นางได้ลูกสาวคนนี้มายิ่งนักเจ้าคือตัวนำโชคโดยแท้ "ผัดหน่อไม้เจ้าค่ะ" "ผัดหน่อไม้ มันจะขายได้รึ คนไม่เคยกินเสียด้วยซ้ำ" ท่านพ่อกล่าวพรางเกาท้ายทอย ก็เข้าใจว่านางทำอาหารออกมาได้ดี แต่คนที่ไม่เคยกินมาก่อนจะยอมควักเงินซื้อได้เช่นไรแล้วผัดหน่อไม้มันจะอร่อยได้สักแค่ไหนกันเชียว "ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ คนจะซื้อของข้าอย่างแน่นอนหน่อไม้เราเหลืออีกตั้งมาก ดังนั้นข้าซื้อกระทะกับหม้อมาพร้อมทำแล้วเจ้าค่ะ" "เจ้าคิดน้อยไป หากเป็นผักปลายังพอใส่ตะกร้าได้แต่กับข้าวหน่ะจะใส่อะไร" "เป็นคำถามที่ดีมากเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะตัดไม้ไผ่อันใหญ่หน่อยทำกระบอกล้างเยื่อไผ่ออกแล้วขูดข้างในดี ๆ จากนั้นนำกระบอกไปต้มผึ่งลมให้แห้ง เท่านี้ก็ได้กระบอกไม้ไผ่ไว้ใส่อาหารแล้วแค่ต้องทำให้สูงหน่อยกันพวกอาหารที่ใส่กระเด็นออกมา ท่านว่าได้หรือไม่เจ้าคะ" ความคิดของบุตรสาวเรียบง่ายไร้ข้อกังขา แถมยังไม่ต้องใช้หม้อดินให้สิ้นเปลืองเงินทอง ช่างดีเหลือเกิน "ได้อยู่แล้วแต่ต้องรอให้พ่อทำรั้วบ้านเสร็จก่อนค่อยทำกระบอกใส่อาหารของเจ้าได้หรือไม่" เมื่อได้ฟังลูกสาวอธิบาย เขาก็ต้องเปิดใจยอมรับอีกครั้งว่าความคิดของนางเปิดหูเปิดตาของเขายิ่งนัก นอกจากหม้อดินใส่อาหารได้ และราคาถูกกว่าหม้อเหล็ก ยังสามารถใช้ไผ่มาทำเป็นภาชนะได้อีกสินะ "ได้เจ้าค่ะ ยังไงซะหน่อไม้ยังมีอีกมากที่กำลังจะโผล่พ้นดินออกมาอยู่แล้ว" หลี่หลิวยิ้มอย่างพอใจเมื่อตกลงกันได้แล้วหลี่หลิวจึงโชว์ฝีมือการผัดหน่อไม้ ทอดปลาหมักซอสให้ทุกคนได้ลิ้มลอง และแน่นอนว่าทุกอย่างได้ท่านแม่คอยดูอยู่ เพราะยังเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาว น้ำมันนั้นอันตรายหากไม่ระวังอาจเกิดไฟลุกไหม้ได้ แต่พอเห็นบุตรสาวคล่องไม้คล่องมือจึงวางใจปล่อยให้นางได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ "มีข้าวด้วยล่ะ พี่ใหญ่ ๆ ข้าจะได้กินข้าวแล้ว ดูสิข้าวเป็นเม็ด ๆ เลยไม่ใช่น้ำข้าวด้วย" หลี่เฉินตื่นมาจึงเดินมาที่ครัวตามที่ท่านแม่บอก พอใกล้รุ่งสางพระอาทิตย์ก็เริ่มจะโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ถึงแม้จะครึ้มฟ้าครึ้มฝนแต่อากาศก็ดีมาก และไม่หนาวจนเกินไป "ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ มือไม่ล้างข้าไม่ให้เจ้ากินด้วยหรอกนะ" หลี่หลิวเดินมานั่งที่นั่งของตนพร้อมกับช้อน และตะเกียบแล้วเตือนน้องชายให้รู้จักรักความสะอาด โดยมีท่านพ่อนั่งตรงหัวโต๊ะส่วนท่านแม่นั่งข้างท่านพ่อ ทางซ้ายมือมีเจ้าเล็กนั่งข้างท่านแม่ ข้ากับพี่ใหญ่นั่งด้านขวามือของท่านพ่อ และแน่นอนว่าข้าได้นั่งติดกับท่านพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย "หึ!! รู้แล้ว ๆ ข้าไปล้างก่อนก็ได้ห้ามกินก่อนข้านะ" หลี่เฉินหันมองทุกคนอย่างน้อยใจก่อนจะเดินสะบัดแขนขาน้อย ๆ ของเขาเพื่อไปล้างมือ เพราะเขาตื่นทีหลังเพื่อนจึงล่าช้าครั้งหน้าเขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะตื่นให้ทันพี่ใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อทุกคนนั่งที่ดีแล้วท่านพ่อจึงกล่าวชวนให้ทุกคนทานข้าว ก่อนจะพากันจับตะเกียบ และหยิบช้อนกินอาหารที่ตัวเองสนใจอย่างเอร็ดอร่อย "เจ้าเล็กกินผัดหน่อไม้ด้วยสิอย่ากินแต่ปลาเดี๋ยวก็ขาดสารอาหารหรอก" หลี่หลิวมองน้องเล็กที่ขอให้ท่านแม่คีบปลาให้อย่างเดียว ถ้าเป็นเช่นนี้เขาจะกลายเป็นคนเลือกกินในภายหน้า เมื่อท่านแม่เห็นบุตรสาวน้อยใจที่น้องเล็กไม่ยอมกินผัดหน่อไม้ นางจึงคีบหน่อไม้ใส่ถ้วยใบกลางของบุตรชายคนเล็ก "พี่สาวของเจ้าลงมือทำเองแม่บอกได้คำเดียวคืออร่อย" หวังลู่บอกพร้อมยิ้มหวานให้บุตรสาว นางทำได้อร่อยมากถึงเพียงนี้ แค่ผัดหน่อไม้ธรรมดาที่ไม่มีใครเหลียวแลให้กลายเป็นเมนูแสนแพงได้ก็นับว่าเก่งแล้ว ทว่ารสชาติเช่นนี้หาที่ไหนไม่มีอีกแล้ว นางจำได้ว่าบุตรสาวผัดกระเทียมพอสุกก่อนจะใส่หน่อไม้หั่นยาวแล้วผัดจนหอมค่อยหยอดซอสถั่วเหลือง และตามด้วยเกลือเล็กน้อยชิมรสชาติเสร็จจึงใส่ต้นหอมผัดอีกนิดแล้วปิดไฟ กลิ่นหอมของซอสที่โดนกระทะชวนให้คนหิวเป็นอย่างมาก บุตรสาวช่างมีพรสวรรค์ในด้านนี้มากจริง ๆ "ท่านพี่ทำย่อมถูกปากข้า ข้าจะไม่ให้ท่านเสียน้ำใจข้าจะกินเยอะ ๆ ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ" หลี่เฉินเริ่มเข้าใจว่าทำไมท่านพี่ถึงคะยั้นคะยอให้เขากินเมนูนี้แท้จริงแล้วนางเป็นคนทำนี่เอง "อร่อยไม่แพ้ปลาทอดเกลือเลยขอรับ" "ต้องอร่อยอยู่แล้วเพราะพี่เจ้าทำทั้งสองอย่างยังไงล่ะ แม่แค่หุงข้าวให้พวกเจ้าเพียงเท่านั้น" ท่านแม่ถือตะเกียบปิดปากหัวเราะเบา ๆ หลี่จงมองน้องสาวของเขาที่เก่งข้ามวันข้ามคืนแล้วก็ต้องยิ้มบาง ๆ ให้นาง น้องของข้าเปลี่ยนไปแล้วดีกว่าเดิมเสียอีก เห็นทีข้าที่เป็นพี่ต้องทำประโยชน์ให้มากขึ้นจะได้เป็นหน้าเป็นตาได้บ้างเสียแล้ว หลี่จงวางตะเกียบลูบหัวน้องสาวที่ปล่อยผมยาวแล้วทัดหูให้นาง น้องข้าถ้าเจ้าโตจะต้องย้ายออกไปข้าไม่อยากให้เจ้าโตเลย ข้าอยากให้เจ้าอยู่กับข้า และพ่อแม่ไปนาน ๆ "ท่านพี่ทำอร่อยทุกอย่าง ต่อไปข้าจะกินทุกอย่างที่ท่านพี่ทำข้าจะไม่เลือกกินอีกแล้ว" หลี่เฉินเคี้ยวหน่อไม้เข้าปากลิ้มรสความกรุบกรอบมันหวานเค็ม เขาค่อย ๆ กัดหน่อไม้ทีล่ะนิดก่อนจะเคี้ยวจนหมด ปากของเขาตอนนี้มันทั้งมันวาว และเยิ้มเต็มไปด้วยน้ำมันจนท่านแม่อดไม่ได้จึงต้องเช็ดปากให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขากินอิ่ม "ดูเจ้าสิกินมูมมามอะไรเช่นนี้ ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้" หลี่หงผู้เป็นพ่อเห็นแววตาที่เปี่ยมสุขของลูกคนเล็กจึงอยากแกล้งเขาขึ้นมา แต่พอได้ยินคำตอบทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับเจ็บหน้าอกแปล๊บ ๆ "ก็มันอร่อยหนิขอรับ ข้าต้องกินให้มากหน่อยข้าไม่เคยได้กินอิ่มจนท้องแทบแตกแบบนี้เลย คิกคิก" เจ้าตัวน้อยหัวเราะร่าพลางเอามือลูบท้องที่ป่องทะลุเสื้อไปมามันกลมเหมือนลูกแตงโมเลยทีเดียว "ต่อไปเจ้าอย่ากินมากนักเดี๋ยวจะไม่สบายท้อง พ่อรับปากเจ้า ต่อไปเจ้าจะได้กินอิ่มทุกมื้อดีหรือไม่" เมื่อท่านพ่อเอ่ยปากรับคำ น้องเล็กก็ยิ้มตาหยีแก้มยุ้ยอย่างพอใจ "ท่านแม่ ข้าช่วยท่านเก็บเองขอรับ" พี่ใหญ่รู้ว่าน้องรองตื่นมาทำครัวช่วยแบ่งเบาภาระท่านแม่แต่เช้า ตนที่ตื่นช้าไม่ได้ช่วยอันใดจึงอาสาช่วยท่านแม่เก็บถ้วยชามไปล้าง "ท่านพี่ ท่านไปตักน้ำมาใส่ตุ่มเถอะ ข้าจะช่วยท่านแม่ล้างเอง" หลี่หลิวชี้ไปที่ถังน้ำซึ่งทำจากไม้ และตุ่มที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ พี่ใหญ่เห็นตุ่มที่ยังใหม่อยู่ เช้ามืดวันนี้น้องรองคงไปกับท่านพ่อที่ตลาดด้วยสินะ เจ้าสามรับคำขอของน้องสาวแล้วจึงค่อย ๆ เดินไปตักน้ำในบ่อโดยใช้เชือกผูกถังไม้ แล้วหย่อนลงไปในบ่อน้ำเล็กน้อยและตะแคงข้างให้น้ำเข้ามาครึ่งถัง เสร็จแล้วจึงดึงขึ้นอย่างชำนาญ หากเขาเอาน้ำมาเต็มถังเกรงว่าคงยกไม่ไหว จึงทำเท่าที่ตนทำได้แม้ต้องเดินหลายรอบก็ตาม "ท่านพ่อเราจะไปกันตอนไหนหรือเจ้าคะ" หลี่หลิวนั่งแกว่งเท้าไปมากับน้องเล็กตรงขอบระเบียงบ้านด้านหลัง ท่านพ่อเห็นพี่ชายของพวกเขาทำงานเช่นนั้นอยู่หลายรอบจึงเข้าไปช่วย ส่วนหลี่หลิวนางนั่งมองทิวทัศน์ทุ่งข้าวสีเขียวขจีที่ออกรวงสวยงามของคนที่เช่าปลูกไว้ก่อนหน้า ปีนี้ครอบครัวเราไม่ได้ทำนารออีกไม่กี่เดือนก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว หลี่หลิววางแผนจะปลูกแตงโม ข้าวโพด และฟักทอง หลังจากที่ผู้เช่าเกี่ยวข้าวเป็นที่เรียบร้อย "ให้พ่อได้พักสักหน่อยก่อนค่อยไปได้หรือไม่" ท่านพ่อที่เดินตักน้ำใส่จนเต็มตุ่มเดินปาดเหงื่อแต่เช้า นี่คงเป็นถังสุดท้ายแล้วที่ถูกเทใส่ตุ่มจนเต็ม ข้าก็รีบเกินไปจนลืมว่าท่านพ่อเองก็เหนื่อยล้าจากการยกน้ำเช่นกัน งั้นก็ให้ท่านได้พักสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน ลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระลอกต้นข้าวน้อยใหญ่พัดไปตามแรงลม มวลหมู่ผีเสื้อ และตั๊กแตนต่างบินว่อนไปมา นกน้อยต่างโผบินออกหาอาหารประกอบกับส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ราวกับว่าพวกมันร้องเพลงขับกล่อมประสานเสียงกันคลอเคลียอยู่ข้างหู บรรยากาศช่างดีอะไรเช่นนี้จะเสียก็แต่ว่าช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นตัวลง บางช่วงจะไปไหนต้องใส่หมวกสาน และเสื้อคลุมที่ทำจากใบลานเพื่อกันหมอกลงในช่วงเช้า เมื่อมันโดนน้ำแล้วก็หนักมาก ๆ เลย หลี่หลิวคิดถึงชุดกันฝนที่ทำจากพลาสติกบาง และร่มที่พกพาได้อย่างสะดวก "ถ้าเรามีร่มคงดีไม่น้อย" หลี่หลิวบ่นพึมพำเบา ๆ ทว่าเสียงบ่นของนางทำให้น้องเล็กถามอย่างสงสัย "ท่านจะซื้อร่มหรือขอรับ" "มีร่มขายด้วยรึ?" "มีสิขอรับ แต่มีแค่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่มีมัน เพราะไม่ค่อยมีคนนิยมซื้อกัน ท่านพ่อเคยบอกข้าว่ามีแต่พวกคนในเมืองเขาใช้กันพวกเราซื้อไม่ได้มันค่อนข้างแพง และไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเราไม่สามารถถือร่มไปด้วยพร้อมกับทำงานได้ยังไงล่ะ" น้องชายตัวน้อยอธิบายให้พี่สาวฟังด้วยน้ำเสียงสดใส เสียงเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อีกทั้งแก้มสองข้างตอนนี้เริ่มยุ้ย ๆ เพราะเขากินเก่งมากขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นมากแล้วแต่แก้มของเด็กน้อยนี่มันน่าหมั่นเคี้ยวจริง ๆ หลี่หลิวใช้มือสองข้างดึงแก้มเจ้าตัวน้อยเบา ๆ แก้มนุ่ม ๆ นี่สบายมือดีจัง "ท่านพี่เบาหน่อยแก้มข้าจะหลุดออกมาแล้ว" หลี่เฉินทักท้วงเมื่อเห็นพี่สาวดึงแรงขึ้นเรื่อย ๆ "ฮ่า ๆ ๆ ดูหน้าของเจ้าสิ แดงเหมือนแตงโมงเลย" หลี่หลิวชี้ไปที่แก้มน้องชายที่เป็นรอยจากฝีมือของนาง ก่อนจะเป่าเบา ๆ ให้น้องชายด้วยความสงสารเมื่อเห็นเขาขอบตาแดงเหมือนจะร้อง "ท่านพี่ห้ามดึงแก้มข้าอีกนะ ถ้าโตขึ้นข้าไม่หล่อขึ้นมาจะทำเช่นไร" หลี่เฉินเอาสองมือน้อย ๆ คลำแก้มตนเองเบา ๆ พร้อมน้ำตาคลอติดอยู่ริมขอบตาซึ่งมองแล้วช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน ตายจริงฉันเผลอบีบแรงไปหรือเปล่านะ หลี่หลิวดึงเจ้าตัวน้อยมากอดแต่ทว่ามือเล็ก ๆ และแขนสั้น ๆ ของนางก็มิอาจกอดน้องจนมิดได้แล้วจึงกล่าวขอโทษไป แถมยังบอกอีกว่าโตขึ้นเจ้าต้องเป็นชายรูปงามอย่างแน่นอน "น้องเล็กไปกันเถอะท่านพ่อให้มาตามเจ้า" หลี่จงเดินมาเห็นสองพี่น้องกอดกันกลมจึงยิ้มร่าออกมาแล้วเรียกนางไปให้ขึ้นรถลาก หากไปสายอาจจะกลับมาล่าช้าเลยมื้อเที่ยงอีกเป็นแน่ "ข้าไปก่อนนะ เจ้าอยู่บ้านช่วยท่านแม่ถางหญ้าไปนะ ข้าจะเอาของอร่อยมาให้เจ้าอย่างแน่นอน" หลี่หลิวใช้ขาสั้น ๆ กระโดดลงพื้นแต่ยังดีที่นางทรงตัวอยู่ได้แล้วไม่ล้มหน้าคะมำ ก่อนนางจะหันหน้ามาโบกมือให้น้องเล็ก และหันหลังรีบวิ่งตามพี่ชายไป "ข้าก็อยากไปเหมือนกัน พวกท่านไม่อยู่ข้าเหงามากเลยนะ" หลี่เฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดหลังบ้านช้า ๆ อย่างระวัง และไปโบกไม้โบกมือให้ท่านพี่อย่างอาลัย "ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเสียอย่างนั้น พี่เจ้าไปไม่นานก็กลับมาแล้ว" "ข้าไม่มีเพื่อนหนิขอรับ อยู่ในหมู่บ้านข้ามีเพื่อนเล่นมากมายแต่พอมาอยู่ที่นี่ข้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วยเลย" "อย่าห่วงไปเลย วันนี้เจ้าได้มีเพื่อนเล่นแน่ เจ้าจำท่านลุงกับท่านป้าสองคนที่เจอวันแรกได้หรือไม่ เขาบอกว่าวันนี้จะพาหลาน ๆ มาด้วยทีนี้เจ้าก็จะไม่เหงาแล้วใช่ไหม"หวังลู่มองบุตรชายที่หน้ามุ่ยในตอนแรกแล้วกลับมายิ้มแป้นก็อดสงสารไม่ได้ เพราะมาอยู่กลางดินกินกลางนาเช่นนี้เขาเลยเหงาหงอย และจะเฮฮาหน่อยก็ตอนที่พี่ ๆ เขากลับมา "ท่านแม่ท่านพูดจริงนะขอรับ" "ใช่สิ แม่ไม่โกหกเจ้าแน่" เมื่อได้รับคำมั่นจากท่านแม่แล้งเขาก็กลับมาร่าเริง และช่วยท่านแม่ถอนหญ้าออกจากแปลงมัน โดยไม่ลืมที่จะชะเง้อดูว่าเพื่อน ๆ จะมาถึงตอนไหน ~ทางด้านอีกฝั่งของตีนเขา~ หลี่หลิวที่พกเบ็ดพร้อมกับถังไม้ที่ใส่น้ำลงไปด้วย นางกำลังนั่งตกปลาริมลำธารโดยใช้ใบไม้วางหลายใบ ก่อนจะนั่งสมาธิถือเบ็ดหนึ่งอันด้วยมือสองข้างรอคอยปลามากินเบ็ดอย่างใจเย็น ส่วนท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็พากันตัดไม้ไผ่เหลากิ่งก้านเพื่อให้ประหยัดพื้นที่รถลาก วันนี้หลี่หลิวจะตกปลาแค่อย่างเดียวส่วนมื้อกลางวันคงหนีไม่พ้นแกงปลาใส่หน่อไม้ และผัดหน่อไม้ที่เหลือจากมื้อเช้าอีกหนึ่งจาน จะว่าไปแล้วอาหารที่มีแต่ปลามันก็น่าเบื่อหน่ายเกินไปต้องมีเนื้อมีผักด้วยถึงจะดี ไว้คราวหน้าถ้าท่านพ่อไปตลาดเช้าอีกจะขอให้ท่านซื้อลูกเจี๊ยบกลับมาด้วยจะได้มีไข่ไว้กินยามเช้า "เล้าไก่ ต้องบอกท่านพ่อทำให้สักเล้า หวังว่าท่านพ่อจะยอมนะถึงจะขาดแคลนอาหารไก่ แต่ถ้าให้อาหารมื้อเดียวแล้วปล่อยพวกมันออกหากินเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้สักทีเดียว และท่านพ่อจะต้องเห็นด้วยเป็นแน่" แต่จะทำอย่างไรดีข้าพึ่งถลุงเงินท่านพ่อไปมาก หรือจะรอให้ขายอาหารได้ก่อนแล้วค่อยทำดีนะ หลี่หลิวนำกิ่งไม้แห้งที่ผูกไว้หนึ่งคืบพอมันขยับสักพักปลาก็กระตุกเบ็ด วันนี้ปลาที่ได้มีแต่ตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น สงสัยว่าพวกปลามันจะเริ่มรู้แล้วว่ามีอันตราย "ได้มาสี่ห้าตัวแล้วมีแต่ปลานิลทั้งนั้นเลย เอาล่ะพวกเจ้าอยู่ในถังน้ำนี่ไปก่อนนะข้าจะไปหาท่านพ่อก่อน" หลี่หลิวใช้นิ้วน้อย ๆ จิ้มตัวปลาเบา ๆ พวกมันวิ่งว่ายวนหนีกันจนน้ำกระเด็นออกจากถัง หลี่หลิวกึ่งเดิน และวิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียงตัดไม้ เด็กน้อยที่วิ่งไปข้างหน้าปะทะกับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าพร้อมลมพัดผมที่ยาวประบ่าสะบัดไปตามแรงลม ช่างเป็นอะไรที่ดูสบายตาอย่างยิ่ง ป่าไผ่เขียวชอุ่มแต่ไม่ได้รกรุงรังขนาดนั้นแถมมันยังดูเป็นระเบียบเสียด้วยซ้ำ ต้นไผ่สูงใหญ่ให้ร่มเงามีเสียงลมพัดหวีดหวิวมาเป็นระยะ คนที่ชอบสายน้ำภูเขาเช่นหลี่หลิวประทับใจทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ "ท่านพ่อ ท่านพี่" เสียงหวานสดใสร้องนำก่อนที่ตัวคนจะปรากฏออกมา "อ้าว เจ้าพอแล้วรึ?" ท่านพ่อใช้ผ้าคล้องคอก้มซับเหงื่อก่อนจะหันหน้ามามองบุตรสาว "ข้าพอแล้วเอาไปเยอะก็เท่านั้น เดี๋ยวปลาจะผอมตายก่อนที่มันจะได้ลงบ่อ" หลี่หลิวหยิบก้านไม้ไผ่ที่หล่นพื้นมาแล้วนั่งลงไม่ไกลนัก เพราะกลัวจะเกะกะการทำงานของสองพ่อลูกเอาได้ "ดีแล้ว ๆ ถ้าขืนเจ้าเอาไปเยอะปลาได้หมดลำธารเป็นแน่" หลี่หงพูดหยอกล้อบุตรสาว และหัวเราะเบา ๆ ถึงจะเหน็ดเหนื่อยทว่าบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอยู่เสมอ "ข้าได้มาไม่กี่ตัว แถมลำธารก็ทอดยาวขนาดนั้นมันจะหมดได้เช่นไร" หลี่หลิวจับไม้ไผ่นั่งวาดรูปเล่นไปพลาง ๆ และพูดคุยกับท่านพี่ และท่านพ่อ จนพวกเขาได้ไม้ไผ่เพียงพอจึงได้ชวนพี่ชายไปเก็บผักป่าก่อนค่อยกลับบ้าน สามสี่วันมานี้ก็เป็นเช่นเดิมสามคนพ่อลูกออกไปตัดไผ่ และสร้างกำแพงจนเสร็จ ในที่สุดก็ได้เริ่มการทำกระบอก และทำกับข้าวไปขายในเช้ามืด ครั้งนี้ทุกคนออกจากบ้านมาพร้อมกันทั้งห้าคนพ่อแม่ลูก หลี่หลิวเตรียมเครื่องครัวตั้งแต่ช่วงเย็น และบอกให้ท่านพ่อยกเตาขึ้นรถพร้อมไม้ฟืนไว้ก่อไฟ นางได้บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าจะทำไปด้วย และขายไปด้วย เพราะหากทำเช่นนี้ลูกค้าจะได้กินของสดใหม่ หากนำอาหารที่ทำเสร็จแล้วจากบ้านไป กว่าจะไปถึงที่ตลาดกับข้าวพวกนั้นก็คงจะจืดชืดไปหมดแล้ว ซึ่งท่านแม่ก็เห็นด้วยเช่นกันจึงตกลงทำตามที่นางว่าครอบครัวหลี่หลิวมาถึงตลาดยามเช้าได้จองพื้นที่เพื่อที่จะขายอาหาร พวกเขาจุดเตาตั้งกระทะ และจัดข้าวของวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงพื้นริมถนนถัดจากร้านขายผักป่า ซึ่งน้ำมัน ซอสถั่วเหลือง กระเทียม ต้นหอมพร้อมกับเกลือได้ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดี ท่านพ่อนำกระบองคบเพลิงมาจุดแล้วตั้งไว้ไม่ห่างจากกระทะ เพื่อที่จะให้หลี่หลิวมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาถึงกับลงทุนเดินไปซื้อคบเพลิงนี้มา หลี่หลิวกล่าวขอบคุณท่านพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสนางตักน้ำมันหนึ่งกระบวยใส่กระทะเหล็กขนาดใหญ่ พอเริ่มร้อนก็ใส่กระเทียมที่พึ่งทุบเจียวจนหอมได้ที่ ตามด้วยหน่อไม้ลงไปผัดให้เข้ากัน ทำให้เกิดเสียง ฉ่า ฉ่า ฉ่า กลิ่นหอมของกระเทียมกระตุ้นความหิวของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ครอบครัวของหลี่หลิวเองยังต้องกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน เมื่อหน่อไม้เริ่มสุกได้ที่นางเติมน้ำลงเล็กน้อยใส่ซอสและเกลือ ก่อนจะผัดอีกครั้งชิมรสชาติแล้วใส่ต้นหอมซอยลงปิดท้ายกลิ่นหอมคั่วกระทะในยามเช้ามืดดึงดูดให้ผู้คนมายืนออกันอยู่หน้าร้านของหลี่หลิวมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ท่านพ่อที่ต้องยกเทใส่หม้อเหล็กเป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวปาดเหงื่อที่
เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา
หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในท
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขาหลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก"มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน"ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อยหลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลู
ตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอนตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย"ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิว
ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำสือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว"เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก"ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคือ
หลี่ไช่หัวยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ทนรอไม่ไหว จึงเดินอ้อมไปด้านหลังร้านที่ครอบครัวของหลี่หลิวกำลังตั้งแผงขายของอยู่ด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่จะเข้าไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน ทำมาเป็นต้องต่อแถวเรียงคิว เหตุใดเจ้ารองต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย"เจ้ารอง!!"ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไช่หัวทำให้ครอบครัวของหลี่หงหันหลังกลับไปดูรวมทั้งสือไท่ ท่านย่าผู้นี้ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย นางส่งเสียงดังกึกก้องเหมือนไปกินรังแตนมา จนลูกค้าที่มุงต่อแถวกันหันไปมองนางอย่างสงสัยว่ายายแก่นี่เป็นอันใด"ท่านแม่..." หลี่หง และหวังลู่ก้มหัวทำความเคารพนางอย่างจนใจ ท่านแม่จะพูดดีดีก็ได้เหตุใดต้องทำเสียงดังให้ผู้คนหันมาสนใจกันด้วยนะ หวังลู่ได้แต่คิดอย่างจนใจ"เหอะ! พวกเจ้าทำอะไรมาขายล่ะ เจ้าไม่คิดจะให้แม่ผู้แก่ชราคนนี้ได้กินบ้างหรือ" หลี่ไซ่หัวได้กลิ่นที่ชวนหิวจนท้องใส่ปั่นป่วนจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างไม่พอใจนักเห็นข้าแล้วแทนที่จะเรียกข้า และรีบตักอาหารให้ แต่นี่อะไรทำมาเป็นตกใจเหมือนเห็นผี แถมสะใภ้รองหันมาทำเป็นก้มหัวให้หน่อยเดียวก็รีบหันกลับไป หรือนางไม่เห็นหัวหงอกหัวดำเช่นข้าอยู่ในสายตาของนา
เมื่อขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที หลี่หง และครอบครัวกล่าวลาท่านลุงฉวี และไม่ลืมขอบคุณที่ท่านคอยช่วยเหลือนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ หลี่เฉินถึงกับน้ำตาคลอเมื่อต้องจากเพื่อน ๆ ไป เขาเพิ่งได้มีเพื่อนที่รู้ใจแต่ต้องล่ำลากันเสียแล้ว ทำให้ใบหน้าน้อย ๆ ของเขาดูเหงาหงอยอย่างชัดเจน"ไว้พวกข้าโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวหาเจ้าอย่างแน่นอน" หลานคนโตของลุงฉวีปลอบใจหลี่เฉินจนเขายิ้มตาหยีน้ำตาคลอ แถมยังเกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะเจอกันเมื่อโตขึ้น"ข้าไปก่อนนะ พวกเจ้ารับปากข้าแล้วต้องไปหาข้าให้ได้นะ"หลี่เฉินโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วตะโกนเสียงดังจนหลี่หลิวต้องเอามืออุดหูไว้ทั้งสองข้าง เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ แหลม ๆ ของเด็กน้อยช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้นางหวังที่ไม่ได้อุดหูบัดนี้ในหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ หลี่เฉินเกาะขอบรถม้ามองดูเพื่อนสองคนที่กระโดดโบกมือไปมาด้วยใจที่อ่อนแรง ทำให้ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเฟยอี้และเฟยเหยียนรู้สึกใจแป้วขึ้นมาด้วยเช่นกัน"เจ้าเลิกทำหน้าตาล่ะห้อยเสียที ข้าเห็นแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เราจะไปสร้างถิ่นฐานใหม่ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะ
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย