พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงนางหลี่กลับจากบ้านข้าง ๆ มาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะเพื่อนบ้านบอกจะยกหมูให้นางหนึ่งตัวจนนางยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว หลี่หวนเห็นเช่นนั้นใจก็ไม่เป็นสุขนัก หากนางรู้ว่าครอบครัวของบุตรชายคนที่สองย้ายออกไปแล้ว นางคงบ่นสามวันเจ็ดวันที่ขาดคนคอยช่วยงานในบ้าน และไร่นา
"ภรรยาตัวดีของเจ้ารองทำกับข้าวกับปลาเสร็จหรือยัง ตะวันเริ่มขึ้นแล้วนะทำไมวันนี้ถึงดูเงียบจัง" เมื่อกลับถึงบ้านนางหลี่ไช่หัวก็บ่นให้สะใภ้รองไม่ขาดคำ ตาเฒ่าหลี่หวนได้แต่แอบส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก "ไม่อยู่แล้ว" "อะไรคือไม่อยู่แล้ว พวกเขาออกไปทำไร่แต่ไม่ยอมทำกับข้าวกับปลาไว้ให้ข้างั้นหรือ ดีเลยไว้กลับมาข้าจะต้องสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้ว" กล้าดีอย่างไรถึงกับทิ้งหน้าที่ที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกไปเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องหาคนมาทำครัวแทนเสียแล้ว ใช่แล้วสะใภ้ใหญ่ก็ทำได้หนิ ถึงรสมือของนางจะไม่ดีเท่าเมียเจ้ารองแต่ก็ถือว่ายังพอกินได้ เรื่องอะไรข้าต้องไปทำกับข้าวกับปลาพวกนี้ด้วยตนเองด้วยล่ะ "พวกเขาย้ายออกไปแล้ว" "ท่านว่าอะไรนะ!!! ย้ายออกไปแล้วงั้นหรือ!" "ใช่ ย้ายออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว" "พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงได้ไปไม่ลามาไม่ไหว้เช่นนี้ หน๊อยยย!!! นี่ข้าเลี้ยงดูพวกมันเสียข้าวปลาไปตั้งมากเท่าไหร่ คิดจะไปก็ไปเช่นนี้มันไม่เห็นหัวหงอกหัวดำอย่างข้าเลยหรือไง" "เจ้ารองมาขอข้าแล้ว ข้าก็รับปากเขาไปแล้ว เจ้าก็หยุดพูดเถอะ มีอะไรก็ไปทำเสีย" หลี่หวนที่อ่านหนังสืออยู่แสร้งทำเป็นหน้าเคร่งขรึมเหล่ตามองภรรยาที่บ่นไม่หยุด แล้วจึงบอกให้นางไปทำหน้าที่ที่สมควรทำเสีย หลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกโมโห เมื่อนางรู้ว่าตนไม่สามารถทำอะไรได้แล้วนางจึงเดินออกจากห้องนอนไปด้วยอารมณ์ไม่คงที่ ก่อนจะทุบประตูบานเล็ก และปลุกสะใภ้ใหญ่ให้ลุกขึ้นมาทำงานบ้าน ตึง ตึง ตึง "ท่านแม่ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะเจ้าคะ" หลี่เหลียนที่ตกใจเสียงเคาะประตูจนต้องลุกขึ้นมาเปิดพร้อมกับขยี้ตาอย่างงัวเงีย "เช้าอะไรกัน!! ตะวันขึ้นโด่งแล้วรีบไปล้างหน้าทำครัวเสีย" เจ้าใหญ่นี่ได้ภรรยาดีมีสินสมรสมากสุด ตอนแต่งเข้ามานางก็หอบทรัพย์สินมามากพอควร แต่ตอนนี้นางเป็นสะใภ้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในบ้านของข้าแล้ว เช่นนั้นงานบ้านงานช่องคงต้องตกเป็นของนาง "ทำครัวหรือเจ้าคะ" หลี่เหลียนถึงกับอุทานออกมา เรื่องงานบ้านงานเรือนต้องเป็นหน้าที่ของสะใภ้รองมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านแม่เลอะเลือนไปแล้วหรือไงกัน "ก็ใช่น่ะสิ หรือจะให้คนแก่ ๆ อย่างข้าเข้าครัวทำให้พวกเจ้ากินหรือยังไง" นางหลี่ที่อารมณ์ไม่ดีมาก่อนหน้าถึงกับตะคอกเสียงดังจนหลี่โจวตื่นขึ้นมาพร้อมกับบุตรชายคนโต "ท่านแม่ เอะอะอะไรแต่เช้ารึขอรับ" "เช้างั้นรึ...เจ้าไม่แหกตาดูหน่อยหรือ ตะวันแยงตาแล้วเมียเจ้ายังไม่รีบไปทำครัวอีก" "ทำครัวหรือขอรับ" หลี่โจวที่ได้ยินเช่นนั้นก็งงงวย เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของสะใภ้รองทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงได้มาบอกให้ภรรยาของข้าไปทำเช่นนี้ด้วย "นั่นมิใช่หน้าที่ของภรรยาน้องรองหรือขอรับ เหตุใดยังต้องให้ภรรยาข้าไปทำอีกล่ะ มันจะไม่ขวางทางการทำงานของสะใภ้รองหรือขอรับ ภรรยาข้ายิ่งค่อนข้างทำงานได้ล่าช้าอยู่ด้วย" หลี่โจวลุกขึ้นจากที่นอนในห้องใหญ่ที่เป็นสองรองจากห้องของท่านพ่อแล้วถามอย่างสงสัย ภรรยาข้าไม่ชินกับงานครัวนางทำงานได้ชักช้าไม่ทันใจจึงถูกภรรยาน้องรองไล่ออกจากห้องครัวมาครั้งหนึ่ง จากนั้นมานางหวังก็ทำงานครัวเพียงลำพัง "คนไม่อยู่แล้ว ทีนี้เจ้าจะไปทำได้หรือยัง" "ไม่อยู่แล้วหรือ?" หลี่โจวคิ้วขมวดด้วยความมึนงง หรือสะใภ้รองไปทำงานไร่กับน้องสองแต่เช้ามืด แล้วลืมทำงานครัวคงจะเป็นเช่นนั้น "พวกครอบครัวของเจ้ารองมันพากันย้ายออกไปแล้ว จะเหลือก็แต่พวกเจ้า หรือพวกเจ้าจะให้แม่ชราหัวหงอกเช่นข้าเป็นคนทำกับข้าวกับปลาให้คนหัวดำกิน" หลี่ไช่หัวพูดจบก็เดินหน้ามุ่ยออกจากบ้านไป อีกทั้งยังตะโกนบอกให้สะใภ้ใหญ่รีบทำครัวให้เสร็จแล้วให้ไปให้อาหารสัตว์ด้วย ส่วนตัวนางก็เดินจ้ำอ้าวไปทางบ้านนางหวัง เพื่อจ้างวานให้พวกเขาไปทำงานไร่งานนาให้ นางต้องกรีดเลือดเฉือนเนื้อตนเองออกมาใช้จ่าย มีหรือที่นางจะต้องทนเก็บความปวดใจไว้เพียงลำพัง หากได้ระบายมันออกมาบ้างนางถึงจะสบายใจขึ้น "ท่านพี่ ครอบครัวของสะใภ้รองย้ายออกไปแล้ว ต่อไปงานทุกอย่างต้องเป็นข้าทำใช่หรือไม่" ภรรยาของหลี่โจวโอดครวญ นางไม่ได้ทำงานหนักมานานแล้ว นางอยู่สบายกินอิ่มมานานแต่มาบัดนี้งานทั้งหมดต้องตกมาที่นาง แล้วแบบนี้ชีวิตอันเรียบง่ายของนางจะต้องวุ่นวายอีกเพียงใดกัน "เจ้ารีบไปเข้าครัวทำงานบ้านเถิด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสะใภ้จะให้ท่านแม่ทำก็ยังไงอยู่ อีกไม่นานพอข้าสอบได้เจ้าก็จะสบายแล้ว อดทนหน่อยนะเมียข้า" หลี่โจวให้กำลังใจภรรยาจนนางเข้าใจ และยอมทำงานบ้านแต่โดยดี พอครอบครัวรองไม่อยู่งานทั้งหมดคงตกมาที่ภรรยาข้า แต่ข้าก็ต้องอ่านหนังสือไม่อาจไปช่วยนางได้ เรื่องงานไร่งานสวนก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ ท่านแม่คงไม่ให้ข้าไปจัดการหรอกมั้งเพราะท่านคาดหวังไว้กับข้าสูงมาก ท่านคงไปจ้างวานให้คนอื่นมาทำแทนเป็นแน่ "หืม เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงมาอยู่บนรถลากเช่นนี้ล่ะขอรับ" หลี่เฉินตื่นขึ้นเพราะรถลากเจอหลุมขรุขระระหว่างทาง ทำให้เขาตื่นขึ้นมา และพบว่าตนอยู่บนรถลากที่ท่านพ่อ และพี่ใหญ่กำลังเข็นไปข้างหน้าเรื่อย ๆ และยิ่งกว่านั้นเส้นทางที่กำลังไปมันกลับไม่คุ้นตาเลย "น้องเล็กเราจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่" หลี่หลิวเห็นน้องชายตื่นขึ้นมาก็ขยี้ตารัว ๆ ด้วยความสงสัย นางจึงตอบไปว่าเราจะไปอยู่บ้านใหม่กัน "เรามีบ้านเป็นของตัวเองด้วยหรือขอรับ" "ใช่สิ" หลี่หงบอกบุตรชายที่พึ่งตื่นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะมีเหงื่อไหลรินออกมาเพราะผ่านการเข็นรถลากมานานมากแล้วจึงเกิดความเหนื่อยล้า "ท่านพ่อเรากำลังจะไปบ้านใหม่หรือขอรับ" "มันก็ไม่เชิงว่าเป็นบ้านใหม่หรอก แต่เป็นกระท่อมหน่ะ" "กระท่อมหรือขอรับ" หลี่จงพี่ใหญ่มองหน้าท่านพ่ออย่างสงสัยที่แท้เราจะต้องไปอยู่กระท่อม ข้าว่าแล้วเชียวท่านพ่อจะเอาอีแปะจากที่ไหนไปสร้างบ้านได้ล่ะ เงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวท่านพ่อก็ยกให้ท่านย่าไปเสียหมด "มันอาจจะลำบากหน่อยแต่พ่อเชื่อว่าพวกเจ้าจะปรับตัวได้ในไม่ช้า" หลี่หงหันไปมองบุตรชายคนโตที่ช่วยเข็นรถลาก และภรรยาที่เดินข้างกายด้วยรอยยิ้มเอาใจใส่ การเริ่มต้นใหม่อาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ แต่ข้าเชื่อว่ามันจะต้องดีกว่าเดิมในสักวัน ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตา และยกที่แปลงนี้ให้ข้าได้ลืมตาอ้าปาก หลี่หงสำนึกในบุญคุณของผู้เป็นพ่อ "ท่านพ่อไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้กินอิ่มท้องเป็นพอ" หลี่หลิวยิ้มระรื่นและชวนครอบครัวคุยกันอย่างสนุกสนาน ตลอดเส้นทางจึงมีแต่เสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อไปถึงกระท่อมปลายนาทุกคนถึงกับอ้าปากค้างเพราะนี่มันไม่ใช่กระท่อมแล้ว จะเรียกว่าบ้านเลยก็ว่าได้ ถึงจะหลังไม่ใหญ่นักแต่ครอบครัวของพวกเขาก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย กระท่อมที่สร้างจากไม้หลังคามุงด้วยไม้ไผ่ และหญ้าคา อีกทั้งยังมีชายคาที่ยื่นออกไปทำเป็นครัวขนาดใหญ่ มีโต๊ะไม้ไผ่สามารถนั่งทานอาหารได้พอดีกับห้าคน ลานบ้านค่อนข้างกว้างถึงจะมีหญ้าขึ้นจนดูรกรุงรัง แต่ถ้าทำดี ๆ หน่อยนี่แหละคือบ้านอันแสนสงบ "ท่านพ่อ ไหนท่านบอกว่านี่คือกระท่อม ดูข้างในนี้สิขอรับ มีสองห้องนอน และมีห้องโถงอีกด้วย ห้อง ๆ นึ่งกว้างพอ ๆ กับห้องนอนเราเลยหรือบางทีมันอาจจะกว้างกว่าเสียด้วยซ้ำ" หลี่เฉินลงจากรถลากก่อนใคร และวิ่งสำรวจบ้านอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งอธิบายภายในบ้านให้ท่านพ่อที่ยังไม่ทันได้เข้าไปให้ได้รับรู้ "ท่านพี่" หวังลู่มองหน้าสามีอย่างปิติยินดี ท่านพ่อได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับครอบครัวของเราแล้ว ทีแรกคิดว่าการได้มาอยู่กระท่อมโทรม ๆ คงไม่แย่นัก ทว่าท่านพ่อกลับทำกระท่อมที่เป็นเหมือนบ้านหนึ่งหลังไว้ให้เรา ท่านช่างเมตตาพวกเรามากมายจริง ๆ "มาเก็บของกันก่อนเถอะ" หลี่หงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะบอกให้บุตรชายคนโตมาช่วยตน และภรรยาขนของลงจากรถลาก รถลากสี่ล้อขนาดใหญ่ที่พวกเขาใส่ของใช้เสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้ง รวมทั้งถ้วยชามรามไหที่เอามาจากครัวเล็กทั้งหมด สักพักก็มีคู่สามีภรรยามาที่กระท่อมจึงได้บอกกล่าวเรื่องราวให้พวกเขาได้รับรู้ เมื่อคู่สามีภรรยาที่เช่าอยู่ทราบเรื่องแล้วจึงบอกลาครอบครัวของหลี่หง และไปทำไร่ในที่ของตนซึ่งอยู่ข้าง ๆ กับแปลงของหลี่หงไม่ไกลนัก "ท่านแม่ข้าหิวแล้ว" หลี่เฉินที่วิ่งเล่นไปทั่วในแปลงมันสองแปลงเล็ก ๆ กับหลี่หลิว พากันเดินกลับมาพร้อมกับหอบหัวมันหวานมาเต็มทั้งสองมือ ก่อนจะยิ้มตาหยีอย่างภูมิใจ "ท่านแม่ เราย่างมันหวานกันนะเจ้าคะ" หลี่หลิวพาน้องชายนำมันไปล้างที่ลำธารซึ่งเป็นคลองเล็ก ๆ ไหลผ่านข้างทาง แล้วพากันก่อกองไฟเผามันจนใบหน้ามอมแมมไปหมด เมื่อพี่ชายคนโตเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจแถมยังบอกบอกให้ท่านพ่อท่านแม่ดูผลงานจากการเผามันของน้อง ๆ ที่ตอนนี้หน้าดำเต็มไปด้วยขี้เถ้า พวกเขาทุกคนมีความสุข และทานมันหวานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม "ท่านพ่อข้าอยากปลูกผักเลี้ยงปลาเจ้าค่ะ ด้านหน้ากระท่อมมีพื้นที่ว่างอยู่มาก ข้าเอาเมล็ดผักจำนวนหนึ่งติดมือมาด้วย ข้าง ๆ บ้านมีบ่อน้ำแสดงว่าดินที่นี่อุ้มน้ำ และเราสามารถขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้กินกันได้ด้วยนะเจ้าคะ" หลี่หงเห็นความกระตือรือร้นจากบุตรสาวจึงตอบตกลง แต่ก่อนอื่นต้องไปหาไม้ไผ่มาทำรั้วบ้านเสียก่อน ถึงแม้ที่นี่ดูจะปลอดภัยแต่การมีรั้วบ้านนั้นจะทำให้สบายใจมากขึ้น "ท่านพ่อ ท่านจะไปตีนเขาตัดไม้ไผ่หรือเจ้าคะ ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ ข้าจะไปเก็บเกาลัดมาเก็บไว้เป็นของกินเล่นยามว่างเจ้าค่ะ" หลี่หลิวยิ้มแก้มปริเมื่อท่านพ่ออนุญาตให้ไปด้วยได้ ถึงเจ้าเล็กอยากไปด้วยแต่ทว่าได้หลี่หลิวทักท้วงไว้ "หากเจ้ามาด้วย แล้วท่านแม่จะอยู่กับใคร มีแต่เจ้าแล้วที่เป็นชายชาตรีคอยอยู่ดูแลท่านแม่ได้" เมื่อได้ยินเช่นนั้นด้วยความเป็นลูกผู้ชายเขาจึงยื่นอกรับหน้าที่คอยปกป้องผู้เป็นมารดา หลังจากนั้นหลี่หลิวและพี่ใหญ่ก็ไปถึงตีนเขา ทั้งสองต่างพากันไปดื่มน้ำที่ลำธาร ส่วนบิดาก็ไปตัดต้นไผ่ สองพี่น้องจึงพากันขึ้นไปบนเชิงเขาเพื่อเก็บเกาลัดเมื่อได้มามากกว่าห้าโลจึงพากันกลับลงมา หลี่จงไปช่วยหลี่หงตัดไม้ไผ่จนล้นรถลาก จากนั้นใช้เถาวัลย์มัดให้แน่นเพื่อไม่ให้มันร่วงระหว่างทาง ส่วนหลี่หลิวที่พกเสียมมาด้วยเดินออกมาจากป่าไผ่ ก่อนจะเรียกท่านพ่อไปช่วยเก็บหน่อไม้ที่นางหาไว้จำนวนหนึ่ง "นี่เจ้าจะเอาไผ่ไปปลูกหรือ แต่แบบนี้มันปลูกไม่ขึ้นหรอกนะ" หลี่หงมองบุตรสาวอย่างสงสัย นางใช้ช่วงเวลาที่ข้าและหลี่จงไปตัดไม้ไผ่เพื่อมาหาต้นอ่อนของไผ่พวกนี้ อีกทั้งตอนนี้นางยังเก็บไผ่อ่อนเหล่านี้มาไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ใช่ว่าไผ่อ่อนพวกนี้มันจะมีน้อยเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครเอาต้นไผ่เล็ก ๆ นี่ไปใช้กัน ดังนั้นมันจึงกระจายไปแทบทุกพื้นที่ตามผืนป่า และส่วนมากผู้คนจำเป็นต้องใช้ต้นไผ่ที่ลำใหญ่แข็งแรง เพื่อที่จะเอาไปทำรั้วหรือสานเป็นตะกร้าส่วนต้นอ่อนนั้นก็ปล่อยให้มันได้เติบโต "ฮ่า ๆ ๆ ท่านพ่อนี่ก็ตลกนะเจ้าคะ มันจะไปปลูกได้เช่นไร รากมันก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ" หลี่หลิวหัวเราะในมุกตลกของหลี่หงจนท้องแข็ง ทำไมข้าต้องเส้นตื้นด้วยนะมุกไม่ฮาแต่ขำกลิ้งถึงได้ถึงเพียงนี้ "แล้วเจ้าจะเอาไปทำอันใดล่ะ" พี่ใหญ่ที่เห็นน้องรองหัวเราะจนเหนื่อยหอบ จึงถามขึ้นพร้อมกับเอามือลูบหลังให้น้องรองใจเย็นลงหน่อย ตั้งแต่ที่นางหายป่วยก็ชอบหยิบจับสิ่งแปลก ๆ มาเสมอ สิ่งที่ทุกคนมองข้ามกันนางก็เอามาทำอาหารแถมมันยังกินได้ และอร่อยด้วย ไม่ว่าน้องรองจะทำอันใดข้าผู้เป็นพี่คงทำได้แค่สนับสนุนเจ้าต่อไป "ได้ ๆ ข้าจะบอกให้นะ นี่หน่ะคือหน่อไม้ของดี ๆ" "ต้นอ่อนของไผ่เจ้าเรียกว่าอะไร หน่อไม้งั้นหรือ" หลี่หงผู้เป็นพ่อฟังที่บุตรสาวพูดออกมาแล้วจึงเกิดความสงสัย มีใครเคยบอกนางเช่นนั้นงั้นรึ แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นของดีอะไรเลยนะ "โถ่ ท่านพ่อ นี่เป็นสุดยอดอาหารเช่นกัน ก่อนหน้านี้มันยังไม่โผล่พ้นดินข้าก็เลยไม่ทันสังเกตเห็น แต่ตอนนี้มันโผล่ออกมามากข้าเลยต้องเก็บเกี่ยวมันเสียหน่อย พวกท่านช่วยข้าเก็บมันหน่อยข้าพึ่งได้แค่เจ็ดแปดหน่อเอง" หลี่หงมองหน้าหลี่จงบุตรชายแล้วจึงพยักหน้าหากนางว่ากินได้คงกินได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้บุตรสาวยังเก็บลูกหนามไปมากมาย และเอามาให้ครอบครัวได้กินจนอิ่มท้อง ของที่คนอื่นมองไม่เห็นค่าใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ บางทีมันก็อาจกินได้จริง ๆ ก็เป็นได้ "นี่ก็มากมายแล้วนะ ทั้งเห็ดโคนสามกลุ่มที่เจอตอนหาหน่อไม้ของเจ้า อีกทั้งหน่อไม้มากกว่าสามสิบหน่อ เรากลับกันเถอะหากนานกว่านี้ท่านแม่ของเจ้าจะเป็นกังวลเอา" เมื่อมองดูเวลาพระอาทิตย์ก็ขึ้นเหนือศีรษะเสียแล้ว หลี่หงจึงถามบุตรสาวว่ามันเพียงพอแล้วหรือยัง หากกลับไปช้าก็กลัวว่าเมียรักจะเป็นห่วงเอาได้ "ยังหรอกเจ้าค่ะ ดูนี่สิเจ้าคะข้าได้ไส้เดือนมาด้วย" ไส้เดือนที่นางขุดมาได้ดิ้นทุรนทุรายเพราะถูกสับด้วยเสียม นางขุดพวกมันมาทำไมกัน หลี่หงมองไม่ออกเลยว่าบุตรสาวต้องการจะทำอะไรกันแน่ "ท่านพ่อตัดไม้ไผ่ลำเล็กๆ นี่ให้ข้าสักสองอันหน่อยเจ้าค่ะ" หลี่หลิวเขย่าแขนผู้เป็นพ่อเบา ๆ แล้วบอกให้ผู้เป็นพ่อทำเบ็ดตกปลาตามที่นางบอก เมื่อได้ไม้ไผ่ยาวสองเมตรมาสองอันที่ขนาดเท่านิ้วนางก็เอาเข็มที่นำมาจากบ้านท่านย่าสองอันออกมา แล้วร้อยด้วยด้ายเย็บผ้าที่ยาวหนึ่งเมตรครึ่งที่ช้อนทับกันเป็นสองเส้นเพราะกลัวด้ายจะบางเกินไป จากนั้นงอเข็มให้โค้งสุดท้ายใส่ไส้เดือนติดกับเข็มทั้งสองอันแล้วมัดกับไม้ไผ่ก็เป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวหย่อนไส้เดือนที่ดิ้นไปมาลงในน้ำ ฝูงปลาน้อยใหญ่เห็นของกินที่ชอบก็แย่งกันงับเหยื่อ หลี่หลิวบอกพี่ใหญ่ และท่านพ่อคอยจังหวะให้ปลากินเหยื่อแล้วรีบดึงคันเบ็ดขึ้นโดยเร็ว สองพ่อลูกเมื่อเห็นว่าทำเช่นนี้ก็ได้ปลาแล้วจึงสนุกกับการตกปลาอยู่พักใหญ่จนได้ปลามาสิบกว่าตัว พวกเขาพากันร้อยปลาโดยใช้เถาวัลย์ร้อยตรงเหงือกปลาทะลุออกทางปาก และทำเป็นสองพวงมัดรวมกันแล้ววางไว้บนรถลาก ได้ทั้งปลา เห็ด หน่อไม้ และเกาลัด เจ้าเล็กที่กินจุได้อิ่มท้องสมใจอย่างแน่นอน หลี่หงมองบุตรสาวที่ฉลาดเฉลียวรู้จักคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างประหลาดใจ ลูกสาวข้าเก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่ยังเล็กภายภาคหน้าต้องได้ดิบได้ดีเป็นแน่ พ่อคนนี้จะสนับสนุนเจ้าเอง หลี่หงยิ้มแก้มแทบปริจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ และเอ่ยชมบุตรสาวรวมทั้งบุตรชายไม่ขาดปากในขณะที่ลากรถลาก โดยมีเด็กสาวเดินตามพรางเล่นเด็ดดอกไม้ดอกหญ้าทำมุงกุฎไปด้วย "นี่ก็เลยเที่ยงวันมาแล้วเหตุใดพวกพี่ ๆ ของเจ้ากับพ่อของเจ้ายังไม่กลับมาอีกนะ"หวังลู่ที่ยังไม่เปลี่ยนนามสกุลตามสามีเอ่ยปากขึ้นอย่างร้อนรน ได้ข่าวว่าบนเขามีสัตว์น้อยใหญ่อยู่มากมายคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ ยิ่งคิดนางยิ่งหวั่นและวิตกกังวลใจ "นั่นไง ๆ ท่านแม่ใช่รถลากของท่านพ่อหรือไม่ มีไม้ไผ่เต็มรถเลยขอรับ" "ไหนดูซิ ใช่แล้ว ๆ นั่นคือท่านพ่อ และพี่ ๆ ของเจ้า พวกเขาปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ดีมากจริง ๆ" เมื่อเห็นสามพ่อลูกกลับมาอย่างปลอดภัยนางก็โล่งอกและคลายกังวล "ท่านพ่อ!! ทางนี้ขอรับ ทางนี้" หลี่เฉินที่ช่วยท่านแม่ถางหญ้าที่รก และหนาทึบออกจนโล่งกว้างได้โบกมือกระโดดไปมาเหมือนลิง "ดูน้องเล็กของเจ้าสิดีใจอย่างกับรู้ว่าจะได้กินของอร่อยฮ่า ๆ" หลี่หงภูมิใจที่สามารถทำให้ครอบครัวได้อิ่มท้อง พวกเด็ก ๆ จะไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป พอคิดถึงอาหารการกินพรุ่งนี้ต้องไปซื้อข้าวสารของใช้มาเพิ่มเสียแล้ว ตอนออกมาจากบ้านใหญ่ข้าวสักเม็ดเขาก็ไม่กล้าที่จะนำติดไม้ติดมือมาด้วย เขานำมาแค่ของใช้ในครัวเล็กที่ท่านพ่อยกให้เท่านั้น "ท่านพ่อให้ข้าช่วยทำอาหารนะเจ้าคะ ข้าทำอร่อยนะ ฮิฮิ" คราวก่อนที่ข้าได้โชว์ฝีมือไปหวังว่าท่านพ่อจะให้ข้าได้ทำมัน เพราะดูท่าแล้วท่านแม่คงทำเมนูที่ข้าอยากกินไม่เป็นอย่างแน่นอน "ได้ ๆ พ่อรู้แล้วเจ้าทำออกมาได้ดีทีเดียว" หลี่จงหัวเราะเสียงดัง แน่นอนว่าอาหารที่น้องสาวของเขาทำนั้นถูกปากถูกใจเขาเป็นอย่างมาก เพราะมันอร่อยกว่าท่านแม่ทำเสียอีก ดีจริง ๆ ที่รสมือของน้องสาววัยหกขวบของเขาสามารถทำอาหารอร่อยได้ถึงเพียงนี้"ท่านพ่อ!! ท่านแม่รอพวกท่านจนอยู่ไม่เป็นสุข เหตุใดพวกท่านถึงไปนานเพียงนี้ล่ะขอรับ" หลี่เฉินบุตรชายคนเล็กวัยสี่ขวบรีบเดินออกมารับตรงถนนและพยายามช่วยลากรถด้วยพลังอันเต็มเปี่ยมของเขา แต่ทว่ารถลากกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เมื่อหลี่หงเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอ่อนให้กับบุตรชายคนเล็กที่มีน้ำใจอยากจะช่วยเหลือ แต่เขาตัวเล็กเกินไปจึงไม่สามารถช่วยได้ หลี่หงเลยบอกว่าหิวน้ำเขาจึงรีบวิ่งสับขาสั้น ๆ เข้าบ้านไปหาน้ำหาท่ามาให้ท่านพ่อด้วยความยินดี"ชื่นใจนัก" เขาชมบุตรชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู"ท่านแม่ดูสิขอรับ เราได้ปลามาเยอะมากเลยขอรับ" บุตรชายคนโตถือพวงปลาที่ร้อยมาอย่างดิบดียกชูสูงขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง"ได้มาจากที่ใดกันทำไมถึงได้เยอะเพียงนี้ แถมทุกตัวอวบอ้วนทั้งนั้น"หลี่จงหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วบอกท่านแม่อย่างละเอียดว่าน้องรองเราเก่งกาจเพียงใด หวังลู่ยิ้มกว้างย่อตัวลงสวมกอดสาวน้อยที่สวมมงกุฎดอกหญ้าอย่างรักใคร่ ลูกสาวข้าคือตัวนำโชคจริง ๆ ทั้งแกงเห็ดที่อร่อยอีกทั้งลูกหนามที่หอมหวานก็ถูกนางค้นพบ ถ้าจะมีอะไรที่แปลกมากกว่านี้ข้าก็จะไม่สงสัยเลยที่นางท
พอกลับถึงบ้านท่านแม่ออกจากครัวมาดูถึงกับอ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย จึงได้แต่ช่วยขนข้าวของลงจากรถลาก"เจ้าเอาตุ่มใส่น้ำมาทำอันใดมากมายถึงเพียงนี้" ท่านแม่ที่ช่วยท่านพ่อยกลงด้วยความหนักใจเอ็ดนางไปหนึ่งที นี่ต้องเสียเงินมากเป็นแน่ เงินที่ได้มาจากท่านปู่มิใช่พวกเจ้าสองคนพ่อลูกใช้กันหมดแล้วกระมัง"ข้าจะเอาไปใส่ปลาเจ้าค่ะ""ใส่ปลารึ""ใช่เจ้าค่ะ ตุ่มนี้จะเอาไว้ใส่น้ำในห้องครัวจะได้ใช้สอยสะดวกมากขึ้น ข้าเห็นท่านแม่ต้องใช้ถังไปตักน้ำมาวันล่ะหลาย ๆ ครั้ง หากมีตุ่มใส่น้ำเราก็แค่คอยเติมน้ำให้เต็มก็จะสะดวกเวลาใช้สอย อีกตุ่มเอาไว้ใส่ปลาเจ้าค่ะข้าจะตกปลาตัวเล็กมาด้วยแล้วเลี้ยงมันไว้ในตุ่มน้ำ พอขุดบ่อปลาเสร็จค่อยปล่อยมันลงบ่อ ส่วนอีกตุ่มข้าว่าจะทำห้องน้ำเจ้าค่ะ เพราะเรายังไม่มีห้องน้ำต้องอาบน้ำกลางแจ้งข้ารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก"เมื่อได้ยินคำตอบของบุตรสาวที่วางแผนอย่างดิบดีนางหวังได้แต่ยิ้มอ่อนให้บุตรสาว เข้าใจว่านางอยากช่วยให้แม่สบายขึ้นจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ถึงจะโมโหเพราะนางใช้จ่ายเกินตัวแต่ก็ต้องอมยิ้มกับความเอาใจใส่ของนาง ส่วนอีกตุ่มหลี่หลิวแอบเก็บเข้ามิติไปเรียบร้อยตั้งแต่อย
ครอบครัวหลี่หลิวมาถึงตลาดยามเช้าได้จองพื้นที่เพื่อที่จะขายอาหาร พวกเขาจุดเตาตั้งกระทะ และจัดข้าวของวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงพื้นริมถนนถัดจากร้านขายผักป่า ซึ่งน้ำมัน ซอสถั่วเหลือง กระเทียม ต้นหอมพร้อมกับเกลือได้ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดี ท่านพ่อนำกระบองคบเพลิงมาจุดแล้วตั้งไว้ไม่ห่างจากกระทะ เพื่อที่จะให้หลี่หลิวมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาถึงกับลงทุนเดินไปซื้อคบเพลิงนี้มา หลี่หลิวกล่าวขอบคุณท่านพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสนางตักน้ำมันหนึ่งกระบวยใส่กระทะเหล็กขนาดใหญ่ พอเริ่มร้อนก็ใส่กระเทียมที่พึ่งทุบเจียวจนหอมได้ที่ ตามด้วยหน่อไม้ลงไปผัดให้เข้ากัน ทำให้เกิดเสียง ฉ่า ฉ่า ฉ่า กลิ่นหอมของกระเทียมกระตุ้นความหิวของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ครอบครัวของหลี่หลิวเองยังต้องกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน เมื่อหน่อไม้เริ่มสุกได้ที่นางเติมน้ำลงเล็กน้อยใส่ซอสและเกลือ ก่อนจะผัดอีกครั้งชิมรสชาติแล้วใส่ต้นหอมซอยลงปิดท้ายกลิ่นหอมคั่วกระทะในยามเช้ามืดดึงดูดให้ผู้คนมายืนออกันอยู่หน้าร้านของหลี่หลิวมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ท่านพ่อที่ต้องยกเทใส่หม้อเหล็กเป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวปาดเหงื่อที่
เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา
หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในท
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขาหลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก"มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน"ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อยหลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลู
ตะวันคล้อยทุกคนกลับถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ของตนจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัว และกินข้าวปลากันก่อนจะแยกย้ายกันเข้าหลับนอนตอนกลางวันได้ทั้งปลา หน่อไม้ รวมทั้งหอยโข่งตัวอวบอ้วนที่พี่ใหญ่กับท่านแม่งมกลับมา แล้วต้มหั่นไว้รอจนเสร็จสรรพให้อย่างดิบดี หลี่หลิวเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทอดปลาทั้งตัวไปขายเพิ่มอีกหนึ่งเมนู แล้วใช้ใบบัวที่นางเก็บมาใส่เป็นภาชนะแทนกระบอก เพราะกระบอกไม้ไผ่มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักมันจึงไม่สามารถใส่ปลาที่มีขนาดครึ่งโลลงไปได้วันนี้ท่านแม่โชคดีมากเลยทีเดียว นางตกปลาครั้งแรกก็ได้ปลามามากกว่าสามสิบตัว หลี่หลิวได้นำปลามาปล่อยลงสระที่นางเอารากบัวมาปลูกไว้ แถมนางยังใส่น้ำในมิติลงไปมากกว่าครึ่งถัง หลังจากที่ใส่น้ำในมิติลงไปได้ไม่นานปรากฏว่าต้นบัวก็เริ่มออกยอดแตกกิ่งโผล่ใบมามากมาย แถมน้ำยังใสสะอาดไม่ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ พอนำปลาตัวเล็กที่ตกได้มาหกเจ็ดตัวเทลงไปในน้ำ พวกมันก็ว่ายวนไปมาสำรวจที่อยู่อาศัยใหม่ราวกับว่ามันชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวของพวกมันทำให้หลี่หลิวภูมิใจไม่น้อย"ดูท่าพวกเจ้าจะรอดแล้วล่ะนะ อย่าลืมออกลูกหลานให้ข้าเยอะ ๆ หน่อยล่ะ" หลี่หลิว
ผู้ชายคนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็ฉวยโอกาสหน้าม่อใส่น้องสาวข้า เขาช่างกล้าพูดหลอกล่อน้องสาวของข้า คงคิดว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดเสเพลของเขาหรือเช่นไร หลี่จงอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกล้าที่จะขอหมั้นหมายกับน้องของเขา ทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ ยังมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่อีกหรือ น้องข้าพึ่งจะหกขวบเศษ ๆ แต่เขากล้าที่จะคิดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าต้องคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีเสียแล้ว"เจ้าคือ?" สือไท่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ร่างผอมบางอย่างสงสัยทว่าหลี่จงกลับไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว เขาลุกขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง คางน้อย ๆ ขบกรามเกร็งแน่น ดวงตาคมกริบปรากฏแววดุดัน เขาเดินเข้าห้องพักของตนไปโดยไม่พูดจากับข้าเลยสักคำสือไท่รับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มที่มันทะลักออกมาจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เด็กคนนี้แววตาน่ากลัวเสียจริง คราวหน้าข้าต้องมองให้ดีก่อนที่จะพูดคุยกับแม่นางน้อยคนนั้นเสียแล้ว"เจ้าอย่าได้ไว้ใจชายหนุ่มจากเมืองหลวงเชียวนะ" หลี่จงใบหน้าบึ้งตึงเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก"ท่านหมายถึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะหรือ" หลี่หลิวมองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านพี่โกรธเคือ
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย