"น้องรอง น้องรอง ข้าจะทำเช่นไรดี!!"
ชายตัวสูงโปร่งร่างบาง ผิวหนังแทบจะติดกระดูก อีกทั้งบนร่างกายต่างก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ซึ่งเขาเอาแต่เรียกชื่อของน้องสาวที่กำลังนอนหายใจโรยรินด้วยความไม่สบายใจ ผิวของเด็กหนุ่มขาว และซีดมาก จึงทำให้เห็นร่องรอยของการถูกทำร้ายได้อย่างชัดเจน เขามองดูน้องสาวที่นอนสลบไสลและตัวร้อนผ่าวแก้มทั้งสองแดงก่ำด้วยความกังวล ท่านพ่อ ท่านแม่ ก็ออกไปทำไร่ทำนาตั้งแต่เช้ามืด ส่วนข้าอยู่บ้านคอยช่วยเหลือท่านย่าทำงานบ้าน และดูแลน้อง ๆ เมื่อสองวันก่อนด้วยความหิวของน้องเล็ก น้องรองจึงแอบไปเอาหมั่นโถวในห้องครัวมาให้น้องเล็กหนึ่งลูก พอท่านย่าจับได้ พวกเราก็โดนท่านย่าทุบตีอย่างหนัก ดีที่ตอนนั้นน้องเล็กออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ เลยปลอดภัย แต่น้องรองน้องสาวเพียงคนเดียวของข้า นางอาการสาหัสจนถึงกลับต้องล้มหมอนนอนเสื่อ อีกทั้งยังไข้ขึ้นสูงมาตั้งแต่วันนั้น ซึ่งเกิดจากการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมของท่านย่า "มัวแต่ยืดยาดอืดอาดอยู่ได้ ข้าใช้ให้เจ้าไปให้อาหารหมูในคอก และเป็ดไก่ แต่เจ้ากลับมานั่งพักผ่อนเฉื่อยชาอะไรอยู่ที่นี่!!" นางหลี่ไช่หัวผู้เป็นย่า เห็นว่าหลานชายหายไปนานจึงเดินมาดู พอเห็นว่าประตูห้องที่สามแง้มอยู่ นางจึงเดินตรงดิ่งมา และได้เห็นว่าหลานชายแอบมาอู้งาน นางจึงตะคอกใส่อย่างหมดความอดทน "หน็อยแน่!! แกริอาจกล้าไม่ฟังคำสั่งของข้างั้นรึ!" นางหลี่ไช่หัวง้างฝ่ามือเตรียมจะตบสั่งสอน แต่หลานชายตัวดีกลับอ้างว่าน้องสาวของเขาไข้ขึ้นสูงมากกว่าเมื่อวาน อยากให้ท่านย่าอนุญาตให้เขาไปเชิญท่านหมอเฉินมาดูอาการน้องของตน แต่มีรึที่นางหลี่ไช่หัวผู้ขี้เหนียวจะยอมควักสักอีแปะ เพื่อคนงานข้าทาสอย่างพวกเขา "แกกล้าดียังไง! ถึงได้มาขอให้ข้าไปเชิญท่านหมอมารักษาน้องขี้โรคของเจ้า ที่วัน ๆ เอาแต่กินกับกิน งานการไม่รู้จักทำ พอกินเสร็จแล้วไปเที่ยวเล่นแทนที่จะรู้จักหน้าที่ แล้วนี่ข้าต้องฉีกเนื้อเฉือนหนังของตัวเองมาช่วยพวกแกด้วยหรือไง" พูดจบนางหลี่ผู้เป็นย่าก็สะบัดหน้าหนี และไม่ลืมที่จะตะโกนบอกให้เจ้าใหญ่หรือหลี่จง ซึ่งเป็นหลานคนแรกของครอบครัวบุตรคนที่สอง ให้รีบ ๆ ไปทำงานเสีย ไม่เช่นนั้นจะถูกนางทุบตีอีกครั้ง "น้องรองเจ้านอนพักไปนะ ประเดี๋ยวพี่ใหญ่ของเจ้าทำงานเสร็จแล้วจะรีบกลับมาเช็ดตัวให้เจ้าอีกที" เจ้าใหญ่บิดน้ำออกจากผ้าหมาด ๆ แล้ววางลงบนหน้าผากของผู้เป็นน้อง ก่อนเขาจะลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเบา ๆ เพื่อให้น้องสาวได้นอนพักผ่อน ถึงแม้ว่านางจะไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งวันแล้วก็ตาม แต่เขาก็คอยหยอดน้ำข้าวต้มให้นางเพื่อหวังว่านางจะกลับมาแข็งแรงโดยเร็ววัน แอดดด!! เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงหลี่หลิวสาวน้อยวัยหกปีเศษค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก "เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน ความทรงจำที่น่ากลัวกำลังหลั่งไหลทะลักเข้ามาในหัวของฉันอย่างบ้าคลั่ง ปวดหัวจัง หรือโรคไมเกรนของฉันจะกำเริบขึ้นอีกมาหรือเปล่าเนี่ย" เสี่ยวเหมยซึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มที่แล้วต่างก็เหลียวซ้ายมองขวา เธอกลับพบว่าที่ที่ตนเองอยู่ ณ ตอนนี้ เหมือนกับภาพความทรงจำที่ได้รับมาเธอก็ยิ่งตกใจ มือเล็ก ๆ เสื้อผ้าโบราณที่เก่า และมีรอยปะอยู่หลายแห่งมันช่างดูโทรมมาก แต่ก็สะอาดในระดับหนึ่ง พื้นห้องเป็นปูนสาก ๆ มีเสื่อหมอนสำหรับห้าคนในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง เสี่ยวเหมยเห็นแบบนั้นก็ถึงกับกุมขมับตัวเองทันที "ฉันมาอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย อุ๊ย!!!" เสี่ยวเหมยอุทานออกมาเมื่อเธอพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ความทรงจำอันเลวร้ายจากการถูกทุบตีทำให้เธอเข้าใจได้ทันที ว่า เด็กนี่ตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ส่วนฉันก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปอีท่าไหนถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ เสี่ยวเหมยพยายามรวบรวมความทรงจำของเด็กน้อยคนนี้ กลายเป็นว่าเด็กคนนี้พึ่งอายุได้เพียงหกปีกว่า ๆ ชื่อหลี่หลิว เธอมีพี่ชายหนึ่งคนคือหลี่จงซึ่งมีอายุได้เก้าปี และยังมีน้องเล็กชื่อหลี่เฉินอายุสี่ปี พ่อมีชื่อว่าหลี่หง แม่มีชื่อว่าหวังลู่ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง และค่อนข้างไปทางขาดแคลน ส่วนผู้นำของครอบครัวนี้คือปู่หลี่หวนเป็นสามีของนางหลี่ไช่หัว ท่านปู่และท่านย่ามีบุตรด้วยกันสามคน ลุงหลี่โจวคือพี่คนโตแต่งงานมีครอบครัว และมีลูกชายหนึ่งคนอายุสามปีโดยประมาณ ลุงหลี่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงจึงพยายามอ่านหนังสือเพื่อหวังสอบเข้าเป็นข้าราชการ แต่จนป่านนี้ก็ยังสอบไม่ผ่านเลยสักครั้ง แต่ด้วยการสนับสนุนจากท่านปู่ และท่านย่า จึงทำให้ลุงโจวได้อ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องงานไร่งานนาจึงตกเป็นของท่านพ่อของเจ้าของร่างนี้ หลี่หงทำงานอย่างยากลำบากกับภรรยา เพื่อแบ่งเบาภาระท่านปู่ท่านย่าแต่กลับโดนใช้งานเยี่ยงข้าทาส พวกเขาทำงานเต็มที่แต่อาหารกลับไม่เพียงพอ ทำให้ครอบครัวบุตรคนที่สองดูเหมือนพวกขาดสารอาหาร และสุดท้ายหลี่เทียนบุตรชายคนเล็ก เขาแต่งงานมีครอบครัว และย้ายออกไปอยู่กับภรรยาพร้อมกับบุตรอีกสองคนชายหญิง เขาได้รับมรดกจากท่านปู่ไปไม่น้อย เพราะเป็นลูกที่ท่านปู่ให้ความรักมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หลี่เทียนแยกตัวออกไปก็ทำไร่แล้วนำไปขายไม่ต่างจากบ้านของท่านปู่นัก ทว่าดูโดยรวม ๆ แล้วทางนั้นสถานการณ์ดีกว่าทางนี้มากโข "จิ๊ ๆ ช่างร้ายกาจนัก ท่านย่าผู้นี้เอาเปรียบครอบครัวของข้า แถมยังใช้งานเหมือนช้างม้า แต่ไม่แม้นที่จะให้อิ่มท้อง" เสี่ยวเหมยที่จับต้นชนปลายตามความทรงจำที่น้อยนิดได้แล้วเธอถึงกับหัวเสีย คนยุคนี้ช่างบ้าบออะไรแบบนี้ แถมผู้นำครอบครัวอย่างท่านปู่ก็ปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรนอกจากการอ่านหนังสือ นี่คงเป็นแบบอย่าง และแรงผลักดันทำให้ลุงใหญ่อยากเป็นข้าราชการอย่างแน่นอน แต่ท่านลุงใหญ่ก็ปาเข้าสามสิบกว่าปีแล้วน่าจะปล่อยวางได้แล้วนะ แถมดูจากความทรงจำลุงใหญ่คนนี้ไม่เคยแม้แต่จะสอบผ่านเลยสักครั้งด้วยซ้ำ "ข้าต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ไม่เช่นนั้นล่ะก็ คนคงจะคิดว่าข้าถูกผีเข้าจนนำข้าไปเผาไฟเป็นแน่" เสี่ยวเหมยในร่างของหลี่หลิวรู้สึกกระหายน้ำจึงลุกขึ้นเทน้ำในเหยือกขึ้นมาดื่มอย่างช้า ๆ ด้วยความรู้พื้นฐานในการดูแลคนป่วยทำให้นางค่อย ๆ ปรับสภาพร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายนี้ไม่ได้ขยับเขยื้อนมาพักใหญ่ จึงค่อนข้างจะชาตามแขนขาอยู่บ้าง หลี่หลิวกำมือเข้าออกช้า ๆ เพื่อกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน อาการปวดหัววิงเวียนจึงค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ แต่ร่างนี้มันขาดสารอาหารมากเกินไปแล้ว ผอมจนเหลือแต่กระดูกเลยก็ว่าได้ ผิวขาวซีดของเด็กน้อยมีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่หลายจุด นี่ไม่ใช่การสั่งสอนทั่วไปเสียแล้ว เพราะนี่มันเป็นการฆาตกรรมทางอ้อมชัด ๆ "ไม่แม้นแต่จะพาไปหาหมอ มิหนำซ้ำหยูกยายังไม่ให้กินอีก นี่ท่านย่าหลี่ไช่หัวผู้นี้คิดจะตัดเสบียงให้ลดลงหรือยังไง" หลี่หลิวนำร่างอันเปราะบางเหมือนคนขี้โรคนอนลงบนที่นอนเดิมเพื่อฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย ถึงจะออกไปข้างนอกตอนนี้คงมิวายถูกท่านย่าดุด่าว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นสำออย แม้ว่าตอนนี้จะหิวมาก แต่การดื่มน้ำบ่อย ๆ ก็คงช่วยได้ในระดับหนึ่ง หลี่หลิวบ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะปิดตาลงด้วยความเหลือเชื่อ เคยอ่านนิยายมาก็มากแต่ไม่คิดมาก่อนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงแบบนี้ แบบนี้หรือไม่พวกนักเขียนที่เขียน ๆ กันได้ข้ามภพมาแล้วเอากลับไปเขียนเป็นนิยายให้คนอ่านกัน หลี่หลิวได้แต่คิดไปคิดมาจนกระทั่งเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว "พี่มาแล้ว" พี่ใหญ่ที่พึ่งเสร็จจากการให้อาหารสัตว์ที่เลี้ยงไว้ เดินเข้ามาภายในห้องนอนหลังจากที่เขาล้างไม้ล้างมือเสร็จ เขาก็เอาผ้าที่ตกหล่นอยู่ข้าง ๆ น้องสาวลงกระมังน้ำเช่นเคย หลี่จงใช้มือวัดไข้น้องรองอย่างห่วงใย ก่อนจะวางผ้าที่บิดหมาด ๆ วางลงหน้าผากของนางอีกครั้ง "หลี่หลิวไข้เจ้าลดแล้ว ดีจริง ๆ ท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาท่านต้องดีใจมากแน่ ๆ " หลี่จงยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นว่าน้องสาวอาการดีขึ้น คืนก่อนอยู่ดี ๆ เขาก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงท่านแม่นอนสะอื้นเบา ๆ ทำให้ในใจของเขาอยู่ไม่สุข ถ้าเป็นไปได้ข้าที่เป็นพี่ใหญ่ก็อยากจะช่วยน้องรองให้มากกว่านี้ แต่เมื่อท่านย่าออกคำสั่งมา ข้าทำได้แค่ปกป้องน้องรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากได้กินอิ่มท้องสักหน่อย น้องเล็กคงไม่งอแง น้องรองก็คงไม่ต้องทำเช่นนั้น ทำไมท่านย่าถึงใจร้ายแต่กับครอบครัวของเรานักนะ คิดแล้วเจ้าใหญ่ก็จุกในอกไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ "อืม.." หลี่หลิวที่รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองอยู่ นางจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นเด็กหนุ่มผอมโซนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้หลี่หลิวตกอกตกใจไม่น้อย "พะ พี่ใหญ่" "ไม่ต้องลุก ๆ เจ้าพักอีกหน่อยเถอะนะ ว่าแต่..เจ้าหิวไหม ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วข้าจะไปเอาน้ำต้มโจ๊กที่ท่านแม่ทำตอนเช้ามาให้เจ้ากิน" เจ้าใหญ่เห็นใบหน้าซีดเซียวของน้องรองจึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย "เจ้าค่ะ ข้าเริ่มหิวแล้ว แต่ว่าท่านย่าจะไม่โกรธหรือเจ้าคะ ถ้ารู้ว่าพี่ใหญ่ไปเอาโจ๊กที่ทำไว้ให้ลุงใหญ่มากินเช่นนี้" "เจ้าอย่าห่วงเลย ข้าเอามาแค่น้ำต้มโจ๊กเท่านั้น ไม่ได้เอาข้าวมาท่านย่าไม่เคืองหรอก" เจ้าใหญ่ยิ้มกริ่มก่อนจะลุกเข้าไปห้องครัว เขาตักน้ำต้มโจ๊กที่เอาแต่น้ำจริง ๆ มาให้น้องรองได้ดื่ม น้ำในหม้อโจ๊กนี่มันจะพออิ่มท้องได้อย่างไรกัน หลี่หลิวมองน้ำสีขุ่นที่รับมาจากพี่ชายที่ยิ้มไม่หุบ แล้วดื่มรับรสชาติที่จืดชืดของมันอย่างจนใจ ขนาดเกลือในบ้านท่านย่าผู้นี้ยังไม่ให้ใส่มากเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะสิ้นเปลืองเงินทอง ถ้าประหยัดขนาดนี้ ต้องมีเงินเก็บมากโขเลยแน่ ๆ ว่าแต่ท่านย่าเขาไม่คิดจะเอามาจุนเจือครอบครัวสักหน่อยเลยหรือ ถ้าจะพูดให้ถูกควรบอกว่าท่านย่าไม่คิดแบ่งปันมาให้ครอบครัวของนางเลยถึงจะใช่ "อร่อยใช่ไหม" เจ้าใหญ่มองหน้าน้องรองที่ซดน้ำโจ๊กจนหมดถ้วยอย่างพอใจ "เจ้าค่ะ" หลี่หลิวตอบไปพร้อมกับยื่นมือออกไปรับเอาน้ำที่พี่ชายตักมาให้ แล้วจึงดื่มตามน้ำต้มโจ๊กไปเพื่อล้างปาก น้ำต้มโจ๊กอะไรกัน นั่นมันน้ำซาวข้าวซะมากกว่า มันทั้งไร้รสชาติแถมยังไม่อิ่มท้องเลยแม้แต่นิด แบบนี้ฉันจะเอาชีวิตน้อย ๆ นี้ให้อยู่รอดได้ยังไงกัน "พี่ใหญ่ข้าอยากไปเดินเก็บผักป่าบนภูเขา ท่านช่วยพาข้าไปได้ไหมเจ้าคะ" หลี่หลิวจำได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเชิงเขานัก มีหลายครอบครัวที่นอกจากทำไร่แล้ว ก็ยังออกล่าสัตว์ป่าด้วย ถึงแม้นาน ๆ ครั้งจะจับสัตว์ได้ก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าที่มีเนื้อให้ได้กิน "เจ้าพึ่งฟื้นตัว รอไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหลังจากให้อาหารสัตว์เรียบร้อยแล้ว ดีหรือไม่" เจ้าใหญ่ใช้มือเรียวบางลูบหัวน้องสาวด้วยความห่วงใย พร้อมกับส่งรอยยิ้มแสนอบอุ่นใจให้กับนาง "พี่ชาย ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้านอนมามากพอแล้ว ท่านพาข้าไปเถอะนะ น๊าพี่ใหญ่.." หลี่หลิวจับมือพี่ชายที่ลูบหัวตนมาจับไว้ แล้วแกว่งไปมาเป็นการออดอ้อน ฉันลงทุนขนาดนี้ ดูซิว่าเขายังจะทนได้ไหม ในความทรงจำของแม่หนูนี่ พี่ชายคนนี้รักน้องสาวมาก และตามใจนางอยู่บ่อยครั้ง เสี่ยวเหมยจึงใช้โอกาสนี้ออดอ้อนพี่ชายตัวผอม เพื่อที่จะขึ้นเขาไปหาของกิน น้ำแช่ข้าวมันไม่อิ่มท้องเลยสักนิด ข้าต้องไปหาอะไรบนเขาสักหน่อย อย่างน้อยพวกผักป่าหรือผลไม้อาจจะช่วยให้อิ่มท้องได้บ้าง แต่ร่างกายนี้ก็พิลึก อยู่ ๆ พลังวังชาก็กลับมาเต็มเปี่ยม อาการวิงเวียนและชาตามตัวหลังจากพักไปครู่หนึ่งก็มลายหายไป ราวกับว่าไม่เคยเป็นเสียอย่างงั้น แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่ฉันจะได้ออกไปดูโลกที่ล้าหลังนี้ และจะได้สำรวจพื้นที่สักหน่อย "ก็ได้ ๆ แต่ข้าต้องไปบอกท่านย่าเสียก่อน" "งั้นท่านก็รีบหน่อย ข้าจะเตรียมตัวรอนะเจ้าคะ" "ตกลง ตามใจเจ้า" หลังจากที่เจ้าใหญ่ลุกขึ้นเดินมาหน้าประตูห้องนอน เขาก็หันกลับไปมองผู้เป็นน้องสาวด้วยความห่วงใย นางพึ่งหายไข้ข้าจะพานางไปดีหรือไม่นะ แต่ด้วยนิสัยของนาง หากข้าไม่พาไปก็อาจเป็นไปได้ที่นางจะแอบออกไปด้วยตนเอง หากเป็นแบบนั้นไม่สู้ข้าไปด้วยจะไม่ดีกว่าหรือ ปัญหาคือท่านย่าจะยอมหรือไม่นี่สิ ใช่…. ข้าต้องอ้างว่าไปหาผักป่า หากบอกว่าพาน้องไปเที่ยวเล่นแล้วละก็ มิวายคงโดนดุด่าแถมถูกใช้ไปผ่าฟืนอีกตามเคยทั้งที่ไม้ฟืนที่เก็บมา และผ่าไว้ก็มากมายพอแล้ว "ท่านย่าขอรับ ตอนนี้น้องรองตื่นแล้ว" "ข้าก็บอกแล้วไง ว่านางเด็กนั่นมันไม่เป็นไร พวกเจ้านั่นแหละที่เป็นกระต่ายตื่นตูม" เมื่อนางหลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้น นางก็เอ็ดหลานชายตัวดีไปหนึ่งที "คือว่า.... ข้าอยากพาน้องรองไปเก็บผักป่าขอรับ บ้านเราไม่ได้ไปเก็บนานมากแล้ว ท่านว่า.." "ก็ไปสิ ไปหามาเยอะ ๆ ล่ะ ถ้าได้มาเยอะจะได้เอาไปขาย ข้าจะได้มีเงินเก็บไว้ซื้อข้าวปลาให้พวกเจ้ากิน ถ้าเช่นนั้นรีบไปซะสิ เดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน" ไม่ทันที่เจ้าใหญ่จะเอ่ยปากขอ ท่านย่าหลี่ไช่หัวก็อนุญาต แถมบอกให้เก็บมาเยอะ ๆ หลี่จงจึงกล่าวขอบคุณ และไปตระเตรียมตะกร้าสะพายหลังกับมีดพร้า แล้วเดินมาเรียกหลี่หลิว ทว่ากลับไม่พบนางอยู่ที่ห้องเขาจึงเดินไปหน้าบ้าน และเห็นนางสวมใส่รองเท้ารอเรียบร้อยแล้วจึงเดินปรี่เข้าไปหา "พี่ใหญ่เร็ว ๆ ดูสิข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว" หลี่หลิวที่อายุสามสิบแล้ว แต่ต้องมาเรียกเด็กน้อยว่าพี่มันรู้สึกกระดากปากไม่น้อย แต่ด้วยร่างกายนี้เป็นน้องสาวของเขา และเราก็มาอยู่แทนที่นาง ดังนั้นจึงต้องหัดเรียกเช่นนี้ให้ชินเข้าไว้ "เจ้าจะเอามีดสั้น และเสียมขุดมัน ไปด้วยทำไมกัน" เจ้าใหญ่เดินมาถึงหน้าบ้านเห็นนางตระเตรียมมีด และเสียมเพื่อจะนำไปด้วยจึงถามขึ้นอย่างสงสัย ปกติแล้วเราไปเก็บผักหนามไม่จำเป็นต้องมีมีดหรือเสียมด้วยซ้ำ ที่เขาพกมีดพร้าไปด้วยเพื่อตัดผ่าทาง ซึ่งอาจจะมีกิ่งหนามขวางทางจึงต้องนำมีดพร้าขนาดกลางไปด้วยก็เท่านั้น หลี่หลิวไม่ตอบอะไร นางดึงมือพี่ชายของเจ้าของร่างนี้ และเร่งเร้าให้เขาใส่รองเท้า ส่วนนางเอามีดสั้นที่มีปลอกเหน็บข้างเอวแล้วถือเสียมเดินนำหน้าหลี่จงไปก่อนอย่างเอาแต่ใจ "ช้าหน่อย ๆ รอข้าก่อน" เจ้าใหญ่เห็นเช่นนั้น จึงรีบนั่งลงวางตะกร้าสวมใส่รองเท้า พอเสร็จก็รุดหน้าไปหาน้องสาว พร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่มีมีดพร้าอยู่ด้วยทันที "เจ้าจะรีบไปใย ดูเถิดพี่ลืมแม้กระทั่งกระบอกน้ำแล้วเห็นไหม" เจ้าใหญ่ที่เร่งรีบตามน้องรองมา แต่ทว่ากลับลืมสิ่งที่จำเป็นไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้น้องสาวของเขาคงต้องกระหายน้ำเอามาก ๆ เป็นแน่ "ไม่เห็นจะเป็นไร เราก็แค่ไปตัดไม้ไผ่ที่ป่าข้างริมลำธารก็ได้แล้ว" เด็กน้อยวัยหกขวบพูดเป็นต่อยหอย แถมนางยังเดินนำทางไปจนถึงลำธารตีนเขา แล้วบอกให้พี่ชายตัวผอมตัดไม้ไผ่เพื่อทำกระบอกสำหรับใส่น้ำ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายร่างบางของเจ้าของร่างนี้จะแข็งแรงไม่น้อย เพียงไม่นานก็ได้กระบอกมาสองอัน จากนั้นจึงพักดื่มน้ำริมลำธารแล้วเติมน้ำใส่กระบอก และหาใบไม้มาก่อนจะม้วน ๆ สำหรับยัดปิดเป็นฝาจนพร้อม หลี่หลิวใช้มือน้อย ๆ ของเจ้าของร่าง และนั่งยอง ๆ ใช้อุ้งมือช้อนน้ำขึ้นมาดื่มอย่างอารมณ์ดี นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ในเมืองใหญ่ผู้คนต่างวุ่นวาย มากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ ต่างจิตต่างใจแข่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แถมยังมีแต่ปัญหารุมเร้า ใครจะไปคิดละว่า การได้หนีจากเมืองที่วุ่นวายมันจะสบายใจแบบนี้กัน ไม่ต้องรีบเร่งแข่งขัน ไม่มีหัวหน้าคอยบ่น นี่แหละคือสวรรค์บนดินชัด ๆ "ไปกันเถอะ นี่ก็กินเวลามานานมากแล้ว" "อื้ม ไปกันเจ้าค่ะ" "ตามข้ามา เดินระวัง ๆ ด้วยเข้าใจหรือไม่" "เจ้าค่า" "ระวังพวกกับดักของนายพรานด้วยนะ หากพลาดพลั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้" "ข้ารู้ ๆ" เจ้าใหญ่ที่เดินนำหน้าได้แต่คอยบอกน้องรองอย่างห่วงใย ถึงเขาจะเคยพาน้องรองขึ้นเขามาสามสี่ครั้งแล้ว แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ เหมือนที่ท่านพ่อของเขาเคยพาเขามา และคอยเตือนเขาอยู่บ่อยครั้ง จนเขาชำนาญแล้วจึงปล่อยให้ขึ้นเขาเองได้เช่นนี้ "พี่ใหญ่รอข้าก่อน" ด้วยสภาพอากาศที่เป็นใจพื้นบนเขาค่อนข้างชุ่มชื้น ตามทางเดินถูกเปิดจนคล้ายถนนสายหนึ่ง หลี่หลิวเดินตามพี่ชาย และคอยสอดส่องจนเจอกับกลุ่มเห็ดโคนเข้า จึงเอ่ยบอกให้ผู้เป็นพี่ชายหยุดรอ ส่วนนางวิ่งออกไปข้างทางที่มีต้นไม้พุ่มไม้เล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด ด้วยความตื่นเต้น "เจ้าอย่าเดินมั่วซั่วแบบนั้น เดี๋ยวเจอกับดักเข้าจะได้รับบาดเจ็บเอานะ" หลี่จงเห็นน้องรองวิ่งหน้าตาตื่นจึงรีบพูดห้ามปราม และต้องตามนางไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอเห็นน้องรองนั่งย่อตัวลง และเอามีดสั้นออกมาค่อย ๆ งัดดอกเห็ดที่มีทั้งดอกตูม และดอกบานอย่างพอใจ เขาจึงมองการกระทำของนางด้วยความสับสน "น้องรอง นั่นเจ้าทำอะไรรึ" "ท่านไม่เห็นหรือ ว่าข้ากำลังเก็บเห็ด" หลี่หลิวชูเห็ดที่ตนเองพึ่งจะดึงออกมาจากพื้นดินด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม "เห็ดอะไรกัน กินแล้วจะตายไหม ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนเก็บเห็ดป่าไปกินแล้วตาย จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเก็บเห็ดพวกนี้ไปกินอีกเลย จะมีก็แค่เห็ดหูหนูดำเท่านั้นแหละที่คนนิยมกินกันเพราะมันปลอดภัย และทำซุปอร่อยมาก" "พวกเขาไม่รู้มากกว่า ว่าอันไหนกินได้หรือมีพิษ" หลี่หลิวงัดดอกเห็นด้วยมีดสั้นทีล่ะดอก และอธิบายให้พี่ชายตัวน้อยฟังไปด้วยว่าเห็ดชนิดนี้กินได้ เมื่อเห็นน้องสาวดูมั่นใจขนาดนั้น เพื่อไม่ให้นางเสียกำลังใจเขาจึงนั่งลง และช่วยน้องสาวเก็บแถมยังหาใบไม้ใหญ่มารอง ก่อนจะวางเห็ดใส่แล้วทำเป็นมัด ๆ ได้สามมัดใหญ่ "นี่มันอาหารป่ามื้อใหญ่เชียวนะข้าต้องอิ่มท้องแล้วล่ะ" เย็นนี้หากเป็นไปตามที่หลี่จงบอกแล้วล่ะก็ ท่านย่า ท่านปู่รวมทั้งลุงใหญ่คงไม่กล้ากินเมนูนี้อย่างแน่นอน หลี่หลิวคิดได้แบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ"พี่ใหญ่เจ้าคะ มีอะไรอีกบ้างหรือเจ้าคะ ที่ชาวบ้านไม่นิยมเก็บไปกินกัน" หลี่หลิวรีบถามหลี่จงขึ้นมาโดยทันควัน เมื่อมองเห็นทางเอาตัวรอดเพิ่มขึ้นมา นี่มันทองในดินชัด ๆ พวกเขาไม่รู้สินะว่าเห็ดโคนพวกนี้ทั้งดอกใหญ่ และขาอวบ ดอกตูม ๆ พวกนี้ราคามันแสนแพงแค่ไหนนี่มันของหายากเชียวนะ"ได้สิ ไว้ข้าเจอจะค่อย ๆ บอกเจ้าทีหลังนะ ดื่มน้ำสักหน่อยไหม" เมื่อเอาเห็ดวางใส่ตะกร้าที่ว่างเปล่าก็ดูชื่นใจขึ้นมาไม่น้อย เดินมาครึ่งชั่วโมงก็เจอของดีเข้าแล้วจะว่ายังไงดีล่ะ ต้องขอขอบคุณชาวบ้านที่ไม่ยอมกินกันอย่างสุดซึ้งล่ะนะ หลี่หลิวถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างมากจนต้องเดินไปยิ้มไปเลยทีเดียว"ทางข้างหน้ามีต้นไม้ข้างทางขนาดใหญ่ ตอนเดินเจ้าต้องระวังให้ดี อย่าไปเผลอเหยียบหนามมันเข้าให้ล่ะ""ได้ ๆ ข้าจะระวังเจ้าค่ะ""เหตุใดเจ้าถึงยังไม่หุบยิ้มอีกล่ะ""ก็ข้าดีใจมาก ๆ เลยหนิเจ้าคะ""เจ้าต้องดีใจขนาดนั้นเลยงั้นรึ มันก็แค่เห็ดที่ถูกชาวบ้านเขาเขี่ยทิ้งก็เท่านั้น""เอาไว้ข้าทำแกงเห็ดให้ท่านได้กินก่อน แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไปด้วย""ได้ ๆ" เจ้าใหญ่ตอบรับไปทั้งแบบนั้น แต่ในใจยังกังวลว่าถ้ากินแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไรดี แต่ก
พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงนางหลี่กลับจากบ้านข้าง ๆ มาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะเพื่อนบ้านบอกจะยกหมูให้นางหนึ่งตัวจนนางยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว หลี่หวนเห็นเช่นนั้นใจก็ไม่เป็นสุขนัก หากนางรู้ว่าครอบครัวของบุตรชายคนที่สองย้ายออกไปแล้ว นางคงบ่นสามวันเจ็ดวันที่ขาดคนคอยช่วยงานในบ้าน และไร่นา"ภรรยาตัวดีของเจ้ารองทำกับข้าวกับปลาเสร็จหรือยัง ตะวันเริ่มขึ้นแล้วนะทำไมวันนี้ถึงดูเงียบจัง" เมื่อกลับถึงบ้านนางหลี่ไช่หัวก็บ่นให้สะใภ้รองไม่ขาดคำ ตาเฒ่าหลี่หวนได้แต่แอบส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก"ไม่อยู่แล้ว""อะไรคือไม่อยู่แล้ว พวกเขาออกไปทำไร่แต่ไม่ยอมทำกับข้าวกับปลาไว้ให้ข้างั้นหรือ ดีเลยไว้กลับมาข้าจะต้องสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้ว" กล้าดีอย่างไรถึงกับทิ้งหน้าที่ที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกไปเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องหาคนมาทำครัวแทนเสียแล้ว ใช่แล้วสะใภ้ใหญ่ก็ทำได้หนิ ถึงรสมือของนางจะไม่ดีเท่าเมียเจ้ารองแต่ก็ถือว่ายังพอกินได้ เรื่องอะไรข้าต้องไปทำกับข้าวกับปลาพวกนี้ด้วยตนเองด้วยล่ะ"พวกเขาย้ายออกไปแล้ว""ท่านว่าอะไรนะ!!! ย้ายออกไปแล้วงั้นหรือ!""ใช่ ย้ายออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว""พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงได้ไปไ
"ท่านพ่อ!! ท่านแม่รอพวกท่านจนอยู่ไม่เป็นสุข เหตุใดพวกท่านถึงไปนานเพียงนี้ล่ะขอรับ" หลี่เฉินบุตรชายคนเล็กวัยสี่ขวบรีบเดินออกมารับตรงถนนและพยายามช่วยลากรถด้วยพลังอันเต็มเปี่ยมของเขา แต่ทว่ารถลากกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เมื่อหลี่หงเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอ่อนให้กับบุตรชายคนเล็กที่มีน้ำใจอยากจะช่วยเหลือ แต่เขาตัวเล็กเกินไปจึงไม่สามารถช่วยได้ หลี่หงเลยบอกว่าหิวน้ำเขาจึงรีบวิ่งสับขาสั้น ๆ เข้าบ้านไปหาน้ำหาท่ามาให้ท่านพ่อด้วยความยินดี"ชื่นใจนัก" เขาชมบุตรชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู"ท่านแม่ดูสิขอรับ เราได้ปลามาเยอะมากเลยขอรับ" บุตรชายคนโตถือพวงปลาที่ร้อยมาอย่างดิบดียกชูสูงขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง"ได้มาจากที่ใดกันทำไมถึงได้เยอะเพียงนี้ แถมทุกตัวอวบอ้วนทั้งนั้น"หลี่จงหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วบอกท่านแม่อย่างละเอียดว่าน้องรองเราเก่งกาจเพียงใด หวังลู่ยิ้มกว้างย่อตัวลงสวมกอดสาวน้อยที่สวมมงกุฎดอกหญ้าอย่างรักใคร่ ลูกสาวข้าคือตัวนำโชคจริง ๆ ทั้งแกงเห็ดที่อร่อยอีกทั้งลูกหนามที่หอมหวานก็ถูกนางค้นพบ ถ้าจะมีอะไรที่แปลกมากกว่านี้ข้าก็จะไม่สงสัยเลยที่นางท
พอกลับถึงบ้านท่านแม่ออกจากครัวมาดูถึงกับอ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย จึงได้แต่ช่วยขนข้าวของลงจากรถลาก"เจ้าเอาตุ่มใส่น้ำมาทำอันใดมากมายถึงเพียงนี้" ท่านแม่ที่ช่วยท่านพ่อยกลงด้วยความหนักใจเอ็ดนางไปหนึ่งที นี่ต้องเสียเงินมากเป็นแน่ เงินที่ได้มาจากท่านปู่มิใช่พวกเจ้าสองคนพ่อลูกใช้กันหมดแล้วกระมัง"ข้าจะเอาไปใส่ปลาเจ้าค่ะ""ใส่ปลารึ""ใช่เจ้าค่ะ ตุ่มนี้จะเอาไว้ใส่น้ำในห้องครัวจะได้ใช้สอยสะดวกมากขึ้น ข้าเห็นท่านแม่ต้องใช้ถังไปตักน้ำมาวันล่ะหลาย ๆ ครั้ง หากมีตุ่มใส่น้ำเราก็แค่คอยเติมน้ำให้เต็มก็จะสะดวกเวลาใช้สอย อีกตุ่มเอาไว้ใส่ปลาเจ้าค่ะข้าจะตกปลาตัวเล็กมาด้วยแล้วเลี้ยงมันไว้ในตุ่มน้ำ พอขุดบ่อปลาเสร็จค่อยปล่อยมันลงบ่อ ส่วนอีกตุ่มข้าว่าจะทำห้องน้ำเจ้าค่ะ เพราะเรายังไม่มีห้องน้ำต้องอาบน้ำกลางแจ้งข้ารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก"เมื่อได้ยินคำตอบของบุตรสาวที่วางแผนอย่างดิบดีนางหวังได้แต่ยิ้มอ่อนให้บุตรสาว เข้าใจว่านางอยากช่วยให้แม่สบายขึ้นจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ถึงจะโมโหเพราะนางใช้จ่ายเกินตัวแต่ก็ต้องอมยิ้มกับความเอาใจใส่ของนาง ส่วนอีกตุ่มหลี่หลิวแอบเก็บเข้ามิติไปเรียบร้อยตั้งแต่อย
ครอบครัวหลี่หลิวมาถึงตลาดยามเช้าได้จองพื้นที่เพื่อที่จะขายอาหาร พวกเขาจุดเตาตั้งกระทะ และจัดข้าวของวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงพื้นริมถนนถัดจากร้านขายผักป่า ซึ่งน้ำมัน ซอสถั่วเหลือง กระเทียม ต้นหอมพร้อมกับเกลือได้ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดี ท่านพ่อนำกระบองคบเพลิงมาจุดแล้วตั้งไว้ไม่ห่างจากกระทะ เพื่อที่จะให้หลี่หลิวมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาถึงกับลงทุนเดินไปซื้อคบเพลิงนี้มา หลี่หลิวกล่าวขอบคุณท่านพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสนางตักน้ำมันหนึ่งกระบวยใส่กระทะเหล็กขนาดใหญ่ พอเริ่มร้อนก็ใส่กระเทียมที่พึ่งทุบเจียวจนหอมได้ที่ ตามด้วยหน่อไม้ลงไปผัดให้เข้ากัน ทำให้เกิดเสียง ฉ่า ฉ่า ฉ่า กลิ่นหอมของกระเทียมกระตุ้นความหิวของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ครอบครัวของหลี่หลิวเองยังต้องกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน เมื่อหน่อไม้เริ่มสุกได้ที่นางเติมน้ำลงเล็กน้อยใส่ซอสและเกลือ ก่อนจะผัดอีกครั้งชิมรสชาติแล้วใส่ต้นหอมซอยลงปิดท้ายกลิ่นหอมคั่วกระทะในยามเช้ามืดดึงดูดให้ผู้คนมายืนออกันอยู่หน้าร้านของหลี่หลิวมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำอาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ท่านพ่อที่ต้องยกเทใส่หม้อเหล็กเป็นอันเสร็จสิ้น หลี่หลิวปาดเหงื่อที่
เมื่อเห็นทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง หลี่หลิวได้บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้จะไม่ขายอาหารที่ตลาดเช้า เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปดูม้ากับท่านพ่อ นางจึงไปเดินเล่นตรงคลองน้ำทางฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน สายตาของนางเหลือบไปเห็นหอยทากชนิดหนึ่งที่คนเรียกกันว่าหอยโข่ง นางรีบกลับเข้าไปในครัวแล้วตรงดิ่งมาที่คลองน้ำหน้าบ้าน พร้อมทั้งถังไม้ขนาดเล็กที่เหมาะมือ สังเกตลี่หลิวพับเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวขึ้นจนถึงข้อพับ จากนั้นถอดรองเท้าถุงเท้าออก และค่อย ๆ เดินลงคลองเล็กที่กว้างประมาณหนึ่งวา น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยสายนั้นเย็นมากจนนางสะดุ้ง แต่ในคลองน้ำขนาดเล็กที่ทอดยาวนั้นมีหอยทากเกาะตามต้นหญ้ายาวเป็นทาง หลี่หลิวงมหอยทากโดยการใช้เท้าน้อย ๆ ของนางค่อยคลำดูตามคลองน้ำ ส่วนหอยทากที่เกาะบนต้นหญ้านั้นเห็นได้ชัดเจน นางเดินตามคลองน้ำไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีหอยทากที่เรียกกันว่าหอยโข่งก็เต็มถังไม้เสียแล้ว หลี่หลิวรีบตะโกนเรียกพี่ชายให้มาช่วยนางยกถังไม้ ส่วนตัวนางกระโดดขี่หลังพี่ชายเพราะรองเท้าของตนได้ถอดทิ้งไว้ตรงคลองหน้าบ้าน"เจ้าเก็บหอยทากพวกนี้มาทำไมกัน หอยทากเหล่านี้ชาวบ้านยังไม่ได้เก็บมาทุบทิ้ง เพราะหอยทากมันชอบกัดกินต้นข้าวในนา
หลี่จงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางเขายังคงคิดไม่ตกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับน้องสาว ข้าเห็นเต็มตาทั้งสองข้าง และใช้มือคลำหาตอนที่นางหายไปหากนางหายไปนานกว่านั้นข้ากะว่าจะไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยหาเสียแล้ว ทว่านางกลับมาอย่างปลอดภัย เมื่อเห็นน้องรองกลับมาเขาได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ นี่ข้ากำลังกลัวน้องสาวตัวเองอยู่งั้นหรือ หลี่จงลุกขึ้นนั่ง และเก็บที่นอนของตนเมื่อรู้ว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว หลี่หลิวงัวเงียลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วหาวสองสามที พร้อมบิดขี้เกียจโดยยืดแขนทั้งสองข้าขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้"หลี่หลิวที่บิดขี้เกียจอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลบตาก้มต่ำมองเท้าตนเองแล้วรีบเก็บแขนลง เมื่อคืนพี่ชายตัวน้อยยังนอนไม่หลับงั้นรึทำเช่นไรดี หลี่หลิวเกิดความประหม่ากระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดีได้แต่เอามือเล็ก ๆ ที่วางไว้บนตักกำหมัดแน่นจนมือสั่น"เจ้าไม่ไว้ใจข้าที่เป็นพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?" หลี่จงมองออกว่าน้องรองของตนมีเรื่องปิดบัง และไม่ยอมที่จะบอกตนจึงรู้สึกแน่นที่อกและจุกในใจ"พี่ใหญ่...ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ" ในท
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหลี่หงรู้สึกเย็นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก รถลากวิ่งผ่านชุมชนออกมาทางไร่นาไม่นานก็ถึงกระท่อมปลายนาของพวกเขาหลี่หงกลั้นหายใจไปตั้งหลายครั้งเมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนยังดีที่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนบ้านท่านย่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ทำให้เขาโล่งอกเป็นอย่างมาก"มากันแล้วรึ" หญิงวัยกลางคนตะเบ็งเสียงออกมาเมื่อเห็นรถม้าเข้ามาตรงลานบ้าน"ท่านแม่..." หลี่หงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกร่อย ๆ แล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างรอเขาอยู่ชายคาข้างบ้านด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาเขาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่ และพี่สะใภ้ใหญ่จะบุกมาถึงที่กระท่อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขาเช่นนี้หลี่หงมองไปยังภรรยาของเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าใบหน้างามดูหดหู่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางคงถูกท่านย่าดุด่าไปไม่น้อยหลี่หงรีบกระโจนลงจากรถม้าแล้วรีบเดินไปพยุงภรรยาตนให้ลุกจากพื้นดิน ก่อนก้มหัวทำความเคารพให้ท่านแม่ของตนอย่างสุภาพ ถึงแม้ว่าท่านจะทำหน้าบูดบึ้งเพียงใดก็ตาม หลี่จงเห็นเช่นนั้นรีบกระโดดลงจากรถม้า และเดินไปลู
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย