บทที่ 6 มันจะต้องเป็นความลับของครอบครัวเราตลอดไป
“สะใภ้สามเธอทำได้อย่างไร!!!!”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นสั่นเทาด้วยความตกใจและตื่นตะลึง
วันนี้คุณแม่หยางเม่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า เมื่อเดินมาใกล้ห้องครัวเธอได้ยินเสียงของลูกสะใภ้คุยกันที่ห้องครัวเรื่องการทำอาหาร เลยคิดจะออกไปเก็บไข่มาเพิ่มให้พวกเขาเสียหน่อยเพราะจากที่ได้ยินแว่วๆ รายการอาหารนั้นไม่มีเนื้อสัตว์หรือไข่เลย ไหนๆ วันนี้เธอก็เห็นว่าลูกสะใภ้สามนั้นลุกจากเตียงมาได้แล้ว เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้สามได้กินของดีเสียหน่อย เพราะหลายวันที่ผ่านมานั้นสะใภ้สามนอนป่วยมาตลอดกินได้น้อยด้วย ยิ่งเธอเป็นคนขี้โรคเอะอะอะไรนิดหน่อยก็ปวดหัว ก็เป็นไข้ หยางเม่ยจึงอยากจะให้เธอได้กินไข่บำรุงร่างกาย ความรู้สึกเอ็นดูลูกสะใภ้ของหยางเม่ยนั้นมีที่มาจากอดีตอันขมขื่นของเธอเอง เมื่อครั้งยังสาวเธอถูกครอบครัวขายให้กับตาเฒ่าหยางของเธอ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความเจ็บปวดจากอดีตได้ฝังรากลึกอยู่ในใจของเธอ
ถึงแม้ว่าเมื่อเธอมาอยู่ที่ตระกูลหยางพวกเขาจะดูแลเธออย่างดี แต่ความฝังใจมันก็ยากที่จะสลัดให้หลุดได้ง่ายๆ ดังนั้นเมื่อมีลูกสะใภ้แต่งเข้ามาเธอจึงดูแลเอาใจใส่พวกเธอทั้งสามมาก มากกว่าลูกชายของตัวเองก็ว่าได้ เพราะเธอยังหวังให้เหล่าลูกสะใภ้เหล่านี้คลอดหลานสาวมาให้เธออยู่ดังนั้นเธอจำเป็นต้องบำรุงเหล่าลูกสะใภ้ทุกคนให้ สำหรับลูกสะใภ้ทั้งสามคนของเธอนั้น นับว่าเธอเป็นคนที่โชคดีมากคนหนึ่งที่ได้สะใภ้ดีทุกคน แม้ว่าพวกเธอที่แต่งเข้ามาโดยไม่มีสินเดิมติดตัวมาเลยสักคน แต่ว่าพวกเธอแต่ละคนไม่มีใครเห็นแก่ตัว และเอาเปรียบกันเลย ไหนจะดูแลบ้านเรือนได้อย่างดี จนแบ่งเบาภาระของเธอลงได้มากจริงๆ เธอเห็นถึงความอ่อนโยน ความอดทน และความรักที่พวกเธอมีให้กับครอบครัวหยาง คุณแม่หยางเม่ยอยากให้ลูกสะใภ้ของเธอมีความสุขในครอบครัวนี้จริงๆ เธอจึงมักจะหาโอกาสดูแลเอาใจใส่พวกเธออยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เธอจะคอยสังเกตว่าลูกสะใภ้แต่ละคนชอบทานอะไร และพยายามหาอาหารบำรุงร่างกายมาให้พวกเธอทานอยู่เสมอเท่าที่ความสามารถในการหาอาหารของพวกผู้ชายในบ้านของเธอจะทำได้
วันนี้เธอจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉง เธอเดินไปยังเล้าไก่หลังบ้านอย่างรวดเร็ว ด้วยความตั้งใจที่จะเก็บไข่สดๆ มาเพิ่มให้ลูกสะใภ้ได้นำไปปรุงอาหาร ‘ลูกสะใภ้สามเพิ่งจะแต่งงานมาได้ไม่นาน ยังต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรง’ หยางเม่ยคิดในใจพลางหยิบตะกร้าใส่ไข่ขึ้นมา ไข่สดๆ สักฟองคงจะช่วยบำรุงร่างกายของลูกสะใภ้ได้บ้าง คุณแม่หยางเม่ยคิดเพราะความหวังที่จะมีหลานสาวสักคนเป็นแรงผลักดันให้หยางเม่ยดูแลเอาใจใส่ลูกสะใภ้ทั้งสามเป็นอย่างดี เธอเชื่อว่าหากลูกสะใภ้มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ก็จะสามารถให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารักมาเป็นแก้วตาแก้วใจของเธอได้
"ฉันจะไม่ยอมให้ลูกสะใภ้ของฉันต้องลำบากเหมือนที่ฉันเคยเป็นมาเด็ดขาด"
หยางเม่ยกล่าวกับตัวเองอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านพร้อมกับตะกร้าไข่ที่เก็บมาได้ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหยางอาจจะดูแปลกประหลาดในสายตาของคนภายนอก เพราะอย่างที่ทราบกันว่าในสังคมชนบท หรือสังคมยุคนั้นพวกเขาจะให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่สำหรับคุณแม่หยางเม่ยแล้ว นี่คือครอบครัวที่เธอเลือกที่จะสร้างขึ้นมาด้วยความรักและความผูกพัน แม้ว่าความรักของเธอจะไม่ได้มอบให้กับลูกชายโดยตรง แต่เธอก็ได้มอบให้กับลูกสะใภ้ทั้งสามอย่างเต็มเปี่ยม
หยางเม่ยเดินถือไข่ไก่สดๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสมาตามทาง เมื่อเห็นลูกสะใภ้สามกำลังเดินตรงไปยังแปลงผัก เธอยกมือขึ้นเพื่อจะทักทายลูกสะใภ้สามตามปกติ แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยอะไรออกไป ดวงตาก็เบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งที่หยางซีซีทำอยู่ ลูกสะใภ้สามของเธอไม่ได้กำลังเก็บผักอย่างที่เธอคิด แต่เธอกำลังยื่นมือออกไปสัมผัสต้นผักแต่ละต้นราวกับจะส่งพลังบางอย่างให้พวกมันแต่แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับภาพที่ทำให้เธอถึงกับอ้าปากค้าง ตะกร้าใส่ไข่ที่ถืออยู่ก็ร่วงหลุดจากมือของเธอทันที
หยางซีซี ยืนอยู่ท่ามกลางแปลงผักที่ดูราวกับสวนสวรรค์ ฝ่ามือของหล่อนวางอยู่บนใบผักกาดขาว ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสุขและความสงบ ราวกับกำลังถ่ายทอดพลังบางอย่างให้กับพืชผัก พืชผักทุกต้นดูมีชีวิตชีวา ส่องประกายระยิบระยับราวกับมีดวงจันทร์น้อยๆ ส่องแสงอยู่ภายใน
หยางเม่ยรู้สึกว่ากับเห็นวิญญาณ เธอถึงกับถอยหลัง 2-3 ก้าวทีเดียว ตั้งแต่เกิดมาจนเธออายุ 50 กว่าปีเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน พืชผักที่เคยดูเหี่ยวเฉา กลับดูสดใสและมีชีวิตชีวาเกินกว่าที่พืชพรรณใดที่เธอเคยพบเห็นมาก่อน ทำให้ขาทั้งสองข้างของหยางเม่ยราวกับถูกปักไว้กับพื้น เธอใจสั่นระรัว หายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกตื่นตกใจและสงสัยผสมปนกันไปหมด เธอพยายามจะเข้าใจในสิ่งที่เห็น แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
หลังจากตั้งสติได้สักพัก หยางเม่ยแม้ว่าจะมีทั้งความตกตะลึง สังสัยและในนั้นมีความหวาดกลัวปนเปอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหยางซีซีอย่างเงียบๆ เธอสังเกตดูแปลงผักอย่างละเอียด พืชผักทุกต้นดูมีชีวิตชีวาผิดจากเดิม ใบไม้สีเขียวเข้มดูมันวาว ฟักทองจากที่ยังไม่ออกลูก ตอนนี้ลูกของมันพองเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น มันโตเต็มที่และสมบูรณ์แบบราวกับถูกโอบอุ้มด้วยแสงสว่างสีทองลูกใหญ่มากจนแม้กระทั่งเธอก็คงจะไม่สามารถที่จะอุ้มขึ้นมาได้แน่
หยางเม่ยรู้สึกใจสั่นคลอน เธอไม่เคยเห็นสิ่งใดที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน เธอค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้แปลงผักทีละก้าว สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่ลูกสะใภ้สามที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมหัศจรรย์นี้
“นี่มัน... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่สะใภ้สาม ทำไมลูกถึงทำให้ผักมันงามแบบนี้ได้”
มือของคุณแม่หยางเม่ยสั่นสะท้านขณะที่เธอเดินไปดูฟักทองยักษ์ที่ออกลูกเกือบ 50 ลูก กองเต็มสวนก็ว่าได้ จากนั้นเธอก็ก้มลงเพื่อดูหัวใช่เท่าที่น่าจะใหญ่กว่าขาของเธออีก...
"แม่...แม่เห็นหมดเลยเหรอคะ?"
เสียงของหยางซีซีสั่นเบาๆ เธอเองก็ตกใจเช่นกันที่อยู่แม่สามีก็มายืนอยู่ด้านหลังและเห็นสิ่งที่เธอทำจนหมด ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฮองเฮามาก่อนแต่เมื่อถูกจับได้ในระยะเผาขนแบบนี้เธอก็หาคำอธิบายไม่ถูกไปไม่เป็นเหมือนกัน จึงได้แต่ เออ อ่า อยู่แบบนั้นเป็นนานจึงได้ สามารถเอ่ยทักทายแม่สามีออกมาได้
"สะใภ้สาม ละ..ลูกทำได้อย่างไรกัน"
แม่หยางเม่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือไม่แพ้กัน เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกสะใภ้ขี้โรค ที่ลูกชายของเธอเก็บขึ้นมาได้จากแม่น้ำจะมีพลังวิเศษเช่นนี้ แบบนี้หากว่ามีใครรู้เข้าลูกสะใภ้สามของเธอต้องไม่ปลอดภัยแน่นอน...
"คือ... คือ เออ คือว่า ฉัน..."
หยางซีซีอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเริ่มอธิบายอย่างไรดี หากว่าเธอบอกแม่สามีว่าเธอมีมีอที่มีพลังพิเศษ แบบนั้นแม่สามีจะไม่กลัวเธอหรือเอาเธอไปถ่วงน้ำหรือ!!! เอาอย่างไรดี หยางซีซีคิดสับสนวุ่นวายหาคำอธิบายดีๆ อยู่
"มะ...ไม่เป็นไรลูก ไม่ต้องกลัว...แม่..แม่จะไม่บอกใคร"
ด้วยความเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในบ้าน แม้ว่าจะบอกลูกสะใภ้ของตัวเองว่าไม่ให้กลัวแต่ว่าตัวของเธอก็ยังไม่กล้าจะเข้าไปใกล้ตัวของลูกสะใภ้สามเท่าไหร่…เออ คือ..มันก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่นะสิ…
คุณแม่หยางเม่ยเห็นท่าทางที่ไปไม่เป็นของเธอก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เธอค่อยๆ เดินมาหาและพยายามที่จะยิ้มให้ลูกสะใภ้สามเพื่อเป็นการบอกว่าสถานการณ์ที่พวกเธอกำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ได้ร้ายแรงมาก เพียงแต่ว่า พยายามอย่างไรรอยยิ้มที่คุณแม่หยางส่งมามันก็เหยเกเหลือเกิน หากมองดูดีๆ จะเป็นว่าริมฝีปากของเธอนั้นสั่นเล็กๆ อยู่เลย
“เข้าไปข้างในกันเถอะแล้วค่อยเล่าให้แม่ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เห็นลูกสะใภ้สามหาคำตอบไม่ได้ เธอก็เลยชวนให้หยางซีซีเข้าไปในบ้านก่อน
หยางซีซีนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองแปลงผักที่อลังการงานสร้างขนาดนั้นหากจะปิดมันจะมิดได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อทำอะไรไม่ได้เธอจำเป็นต้องบอกแม่สามารถเกี่ยวกับมือวิเศษของตัวเองแล้วหละ..เธอจึงพยักหน้าเบาๆ
ตัดมาที่ห้องครัว สะใภ้ใหญ่เมื่อเห็นว่าหยางซีซีเดินออกมานานแล้วแต่ยังไม่เอาผักกาดขาวเข้าไปให้เธอสักที เธอกลัวว่าน้องสะใภ้สามที่เพิ่งจะหายป่วยไข้เกิดไม่สบายขึ้นมาอีก เธอจึงเดินมาที่แปลงผักหลังบ้านและเห็นแม่สามีกับน้องสะใภ้สามกำลังยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยทักสายตาของเธอก็สาดไปที่แปลงผักหลังบ้านทันที จากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างจนแม่สามีกลัวว่ามันจะหลุดออกจากเบ้า ปากอ้ากว้างจนหากว่ามีแมลงวันมันก็คงจะบินเข้าไปได้แน่นอน จากนั้นก็ยกมือสั่นๆ ชี้ไปที่แปลงผักของครอบครัวทันที
คุณแม่หยางเม่ยเห็นปฎิกิริยาของสะใภ้ใหญ่เข้า เธอรีบเดินมาปิดปากของลูกสะใภ้ใหญ่ทันทีเพราะกลัวว่าลูกสะใภ้ใหญ่จะกรีดร้องออกมาและทำให้ชาวบ้านรู้เรื่องราวตอนนี้ เธอต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงได้ดึงสติของสะใภ้ใหญ่ให้กลับมาได้ เพราะยิ่งตอนที่ลูกสะใภ้ของเธอมองไปที่ฟักทองดูเหมือนว่าตาของเธอจะเหลือก เหมือนจะเป็นลมอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อในที่สุดสะใภ้ใหญ่ก็เริ่มกลับมาเป็นตัวเองได้อีกครั้ง ตอนนี้เธอให้คุณแม่หยางเอามือที่เพิ่งเก็บไข่ไก่จากเล้ามาออกจากปากของเธอได้แล้ว คุณหยางจึงเอามือออกและเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาแต่หนักแน่นกับเธอว่า
“รีบเข้าไปในบ้านและปลุกทุกคนขึ้นมา เร็วเข้า”
สะใภ้ใหญ่ดูเหมือนว่าเริ่มจะเข้าใจว่านี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติแล้วสำหรับครอบครัวหยางเธอจึงพยักหลายครั้งและรีบไปเคาะแต่ละห้องทันที คุณแม่หยางและหยางซีซีเดินมารอพวกเขาอยู่ที่ห้องโถงแล้วเมื่อทุกคนเปิดประตูออกมาจากห้องด้วยความงวยงง ..พวกเขาเห็นคุณแม่และสะใภ้สามยืนรออยู่กลางห้อง
จากนั้นเหตุการณ์เหมือนที่เกิดขึ้นกับคุณแม่หยางและสะใภ้ใหญ่ก็วนลูปไปสำหรับทุกคน เมื่อทุกคนเห็น มอง และมีวิ่งไปจับต้นผักต่าง โดยเฉพาะฟักทองนั้นจนพอใจแล้ว ตอนนี้พวกเขาต่างก็หันมาจ้องมองที่มือของหยางซีซีกันทั้งหมดโดยไม่ได้นัดหมาย หยางซีซีเห็นสายตาของพวกเขาที่มองมาเธอจึงค่อยๆ เอามือซ้อนไว้ด้านหลังและก้มหน้าลงเล็กน้อย ขณะนั้นเองคุณแม่หยางที่อายุมากที่สุดในบ้านหลังนี่จึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า
" นี้เป็นเรื่องใหญ่แล้วครอบครัวตระกูลหยางที่มีเทพธิดาปรากฎตัวขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้จะให้คนนอกรู้ไม่ได้เด็ดขาดเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับของครอบครัวตระกูลหยางตลอดไป ทุกคนห้ามพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ สะใภ้ใหญ่สะใภ้รอง แม้แต่ครอบครัวของพวกเธอก็ห้ามบอกออกไปเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่ หากว่าใครไม่ยอมเชื่อฟังละก็ฉันจะให้ลูกชายของฉันหย่าขาดกับพวกเธอทันที…..พวกเธอก็น่าจะรู้นะว่าบ้านนี้ คำพูดของฉันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว"
…เมื่อพูดเสร็จเธอก็ค่อยๆ หันไปมองตาเฒ่าหยางที่ยืนตะลึงอยู่ไกลสุด แต่เขาได้ยินประโยคท้ายของเมียแก่ของเขาได้ชัดเจนมาก เขาเพียงเหล่ตามองไปทางเธอเล็กน้อยจากนั้นก็รีบเก็บสายตากลับทันที และรีบเดินไปดูฟักทองยักษ์อีกครั้งพลางคิดว่าเขาจะ เขาคนเดียวจะอุ้มมันขึ้นหรือเปล่าน่า!!!!
**** นี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า พ่อเฒ่าหยางกลัวแม่หรือเปล่าน่า!!*****
บทที่ 7 กินเนื้อ กินเนื้อ กินเนื้อ“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณพ่อคุณแม่!!”หลังจากที่ทุกคนมากันครบและอาการตื่นเต้นจากการเห็นสวนผักเก่าๆ โทรมๆ ของพวกเขากลายเป็นเหมือนสวนสวรรค์ทุเลาลงบ้างแล้ว หยางซีซีก็เริ่มแต่งเรื่อง เออ...เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือวิเศษของเธอให้กับครอบครัวได้รู้กัน“คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องสะใภ้สามที่ตายไปหลายปีแล้วมาเข้าฝันและให้พรวิเศษอย่างนั้นหรือ?”เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวที่หยางซีซีเล่าเอ่ยถามออกมา และคำถามของเธอก็แทนใจของทุกคนในบ้านเลยทีเดียวหยางซีซีพยายามเล่าเรื่องราวของตนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความศรัทธาและความอัศจรรย์ใจ อย่าลืมว่าเธอคือฮองเฮามาก่อนนะ การเล่าเรื่องให้คนเชื่อถือจะไปอยากอะไร..จริงไหม!!“พวกพี่ก็ทราบว่าฉันนอนป่วยอยู่หลายวัน ในตอนนั้นวิญญาณของฉันได้หลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็เห็นแสงสีทองสว่างอยู่ข้างหน้า ฉันเลยเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ แสงสีทองนั้นสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ มันดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนถูกมันดูดกลืนเข้าไป ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงเรี
บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้านบรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามากเมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พ
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้านบรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามากเมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พ
บทที่ 7 กินเนื้อ กินเนื้อ กินเนื้อ“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณพ่อคุณแม่!!”หลังจากที่ทุกคนมากันครบและอาการตื่นเต้นจากการเห็นสวนผักเก่าๆ โทรมๆ ของพวกเขากลายเป็นเหมือนสวนสวรรค์ทุเลาลงบ้างแล้ว หยางซีซีก็เริ่มแต่งเรื่อง เออ...เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือวิเศษของเธอให้กับครอบครัวได้รู้กัน“คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องสะใภ้สามที่ตายไปหลายปีแล้วมาเข้าฝันและให้พรวิเศษอย่างนั้นหรือ?”เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวที่หยางซีซีเล่าเอ่ยถามออกมา และคำถามของเธอก็แทนใจของทุกคนในบ้านเลยทีเดียวหยางซีซีพยายามเล่าเรื่องราวของตนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความศรัทธาและความอัศจรรย์ใจ อย่าลืมว่าเธอคือฮองเฮามาก่อนนะ การเล่าเรื่องให้คนเชื่อถือจะไปอยากอะไร..จริงไหม!!“พวกพี่ก็ทราบว่าฉันนอนป่วยอยู่หลายวัน ในตอนนั้นวิญญาณของฉันได้หลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็เห็นแสงสีทองสว่างอยู่ข้างหน้า ฉันเลยเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ แสงสีทองนั้นสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ มันดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนถูกมันดูดกลืนเข้าไป ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงเรี