บทที่9 สร้างมิติใส่ของ
“..ฉันรู้รหัสค่ะ”
สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”
เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำ
พูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของใช้จำเป็น พวกเขาเดินวนเวียนอยู่แถวโรงงานเหล็กแห่งหนึ่ง จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยกำลังยืนอยู่หน้าโรงงานเหล็กแห่งนั้น หยางฟู่เหยามองอยู่นานจนแน่ใจว่าร่างสูงนั้นคือ เป็นพี่ใหญ่ของเธอ
จางอี้เฉิงนั้นเมื่อเห็นสภาพของน้องสาวและหยางจิ้งในตอนนั้นดูไม่ค่อยดีนัก เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเก่าและรองเท้าก็ดูจะไม่ค่อยสมบูรณ์ พี่ใหญ่จางของเธอเห็นสภาพเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกสงสารไม่ได้ เขาเดินเข้ามาหาและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบน้องสาวคนเล็กด้วยความเป็นห่วง
"เหยาเหยา...เป็นยังไงบ้าง" เสียงของพี่ใหญ่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หยางฟู่เหยาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ "สบายดีค่ะพี่"
พี่ใหญ่ของเธอเห็นว่าน้องสาวและน้องเขยของเธอดูลำบาก จึงตัดสินใจให้เงินและของใช้จำเป็นแก่พวกเขา แต่หยางฟู่เหย่าและหยางจิ้งปฏิเสธที่จะรับ
"ไม่เป็นไรค่ะพี่ใหญ่ ฉันพอมีพี่ใหญ่เก็บไว้ใช้เถอะ"
หยางฟู่เหยาปฏิเสธด้วยความจริงใจ เพราะเธอรู้ดีว่าเธอเลือกที่จะเดินออกมาก็ต้องยอมรับไม่ว่าชีวิตจะสุขหรือทุกข์เธอจะไม่ขอกลับไปที่บ้านใหญ่อีก
แต่พี่ใหญ่จางของเธอไม่ยอมรับคำปฏิเสธ เขายัดเงินและของใช้ให้กับหยางฟู่เหยา โดยไม่รับการปฏิเสธใดๆ และยังถามถึงที่อยู่ของพวกเธอด้วย หลังจากนั้นมา พี่ใหญ่ของเธอก็มักจะส่งของมาให้พวกเขาเป็นประจำทุก 2-3 เดือนเสมอ
หยางจิ้งรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ใหญ่จางอี้เฉิงเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าพวกเขาติดหนี้บุญคุณพี่ใหญ่คนนี้มากมาย จึงแอบนำผักป่าและเห็ดแห้งที่เก็บมาได้ไปให้พี่ใหญ่ที่โรงงานเป็นครั้งคราว เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ และครั้งล่าสุดนี้ของที่ส่งมานั้นมีรหัสเข้าตลาดมืดมาด้วย เพราะพี่ใหญ่นั้นคิดว่าบ้านของพวกเธอนั้นมีของป่าอาจจะอยากจะแอบนำไปขายที่นั่นบ้างนั้นเอง
“หากว่ามีรหัสแล้วเราก็สามารถที่จะเข้าไปขายของได้แล้วสิคะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เอาไก่และเนื้อกับผักพวกนี้บางส่วนไปขายกันเถอะ”
หยางซีซีนั้นเหมือนเห็นว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วเธอก็เสนอทันที เพราะว่าจากสภาพของบ้านตระกูลจางตอนนี้นั้นพวกเขาต้องการเงินมากจริงๆ ทั้งเพื่อนำมาซ่อมแซมบ้านหลังเล็กนี้และเพื่อซื้อของอื่นๆ เพราะเท่าที่หยางซีซีเห็นด้วยตาเปล่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้าของพวกเขานั้นล้วนแต่ทั้งเก่าขาดและมีรอยปะอยู่เกือบทุกตัวก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถทำให้เสื้อผ้าเหล่านี้ของพวกเขากลับมาใหม่ได้ แต่ว่าด้วยคุณภาพของเสื้อผ้ารองเท้าเหล่านี้ก็ไม่ได้ดีมาก ดังนั้นหากมีมาเพิ่มและหาซื้อของมีคุณภาพมันย่อมดีกว่า ไหนจะพวกเครื่องปรุงต่างๆ ที่อยู่ในครัวที่มีน้อยนิดนั้นด้วย
เมื่อทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของเธอหยางซีซีก็มองไปรอบๆ บ้านหลังน้อยนี้ทันที มองหาไม่นางเธอก็จ้องตะกร้าสานใบเก่าของพ่อหยางที่วางอยู่ในครัว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความตั้งใจ เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยใช้พลังของหัตถ์เทวะสร้างพื้นที่มิติขนาดเล็กได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าตอนนั้นสิ่งที่เธอใช้เป็นวัตถุรองรับคือหยกจักรพรรดิชั้นยอด (พอดีตอนนี้ไม่มีหยกธรรมดาเลยค่ะ มีแต่ของชั้นยอด5555) แต่ว่าคราวนี้เธอจะลองใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานเพื่อเป็นวัตถุรองรับพื้นที่มิติดู ครั้งนี้เธอจึงคิดจะนำความรู้ที่อาจารย์ได้สอนมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการเก็บของที่จำเป็นต้องนำไปขายที่ตลาดมืด เพราะหากว่าเป็นตะกร้าสานเก่าๆ มันก็จะไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนมาก เพราะว่าคนที่นี่นิยมใช่ตะกร้าไม้ไผ่สานกันมาก
หยางซีซีหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวางมือทั้งสองข้างลงบนตะกร้าสานใบเก่า พลังงานสีขาวนวลบริสุทธิ์ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเธอและหลั่งไหลไปที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ไหลเวียนไปรอบตัวตะกร้าไม้ไผ่สาน พลังงานเหล่านี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ทันใดนั้นเอง ตะกร้าสานใบเก่าก็เริ่มเปล่งประกายสีขาวจ้าขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ บิดเบี้ยวและขยายตัวยืดออกไปกว้างประมาณ 5 เมตร หรือเท่ากับห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งจากนั้น จากนั้นมันก็ค่อยๆ หดตัวลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเท่าขนาดเดิมของมัน แต่ว่าภายในตะกร้าสานใบนี้มีอีกมิติหนึ่งซ่อนอยู่นั้นเอง
ดวงตาของสมาชิกตระกูลหยางเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและตื่นตะลึง พวกเขามองดูหยางซีซีที่กำลังสร้างตะกร้ามิติด้วยความทึ่ง สิ่งที่พวกเขากำลังเห็นอยู่ตรงหน้ามันช่างเกินความคาดหมายเกินกว่าที่จินตนาการจะคิดถึง
ความจริงแล้ว พวกเขาไม่เคยเชื่อเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาก่อน การที่หยางซีซีจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเอง ได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง ๆ พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
ทุกครั้งที่หยางซีซีทำอะไรที่น่าทึ่ง พวกเขาก็จะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความชื่นชมและความภาคภูมิใจในตัวเธอและพวกเขาก็อดดีใจไม่ได้ที่เจ้าสามหยางเฟยหลงเก็บภรรยามาได้ดีจริงๆ เขาถึงกับเก็บนางฟ้าเข้ามาอยู่ในบ้านตะกลูหยางของพวกเขาได้…เจ้าสามช่างสามารถ
"นี่มัน...มันเหลือเชื่อจริงๆ"
คุณพ่อหยางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแม้ว่าเขาพยายามที่จะระงับเอาไว้แล้วก็ตาม
“ซีซีลูกเก่าจริงๆ ทำได้อย่างไรกัน”
คุณแม่หยางเอ่ยซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด จากนั้นสมาชิกตระกูลหยางก็ไม่ได้ถามอะไรอีก พวกเขาเข้าใจดีว่าบางสิ่งบางอย่างมันอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
“นี่มันคืออะไรกันหรือสะใภ้สาม”
เป็นคุณพ่อที่อดรนทนไม่ไหวถามออกมา ก็เขาเห็นตะกร้าไม้ไผ้ที่เขาสานและใช้งานมานานนั้นอยู่ๆก็ยืดออกกว้างจนเท่าห้องใหญ่ๆ หนึ่งห้องจากนั้นมันก็หดตัวลงกลับมาขนาดเท่าเดิมจะไม่ให้เขาถามได้อย่างไรเล่า และแน่นอนสีหน้าของสมาชิกทุกคนก็แสดงออกมาว่าอยากรู้มากจริงๆ
“นี่คือพื้นที่มิติที่ฉันสร้างขึ้นมาเองค่ะ” หยางซีซีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะใช้มันในการเก็บของที่เราจะนำไปขายที่ตลาดมืดค่ะ”
จากนั้นหยางซีซีก็แสดงวิธีการใช้พื้นที่มิตินี้ให้ทุกคนได้รู้ โดยเธอเริ่มนำเอาเก้าอี้โต๊ะเอาไปอย่างรวดเร็ว สมาชิกในตระกูลย่อมตกใจที่อยู่ๆ โต๊ะเก้าอี้ที่พวกเขานั่งอยู่ก็หายวับไปกับตา จากนั้นไม่นานสะใภ้สามพึมพำอะไรเบาๆ สักอย่างชุดโต๊ะเก้าอี้ชุดเดิมก็กลับออกมาและวางอยู่ที่เดิมด้วย
ตอนนี้นั้นสามารถพูดได้ว่าปากของทุกคนนั้นอ้ากว้างจนแมลงสามารถบินเข้าไปได้แล้วจริงๆ
จากนั้นหยางซีซีก็เรียกสติพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งจนพวกเขาสามารถกลับมามีสติสัมปชัญญะได้ปกติอีกครั้ง หยางซีซีจึงได้บอกวิธีการใช้ให้ทุกคนได้รู้ นั้นคือวิธีการผูกพันกับตะกร้ามิติ โดยตะกร้าใบนี้จะเป็นตะกร้าที่จดจำเจ้าของ หากว่ามีคนมาขโมยหรือแย่งไป มันจะกลับมาหาเจ้าของเอง ดังนั้นหากว่าต้องการแสดงความเป็นเจ้าของและผูกพันกับตะกร้าทุกคนต้องใช้เลือดของตัวเองปาดลงไป บริเวณใดก็ได้ของตะกร้าใบนี้ ซึ่งเมื่อได้ยินคุณพ่อหยางเป็นคนแรกที่หาเข็มเล็กๆ มาทิ่มนิ้วของตัวเองและป้ายลงไปในตะกร้าทันที เขาอยากจะลองใช้มันจริงๆ นี่น่า จากนั้นทุกคนก็ต่างพากันปาดนิ้วที่มีเลือดหยดเล็กไปตามส่วนต่างๆ ของตะกร้า เมื่อหยางซีซีจับที่ตะกร้าอีกครั้งแสงสีขาวก็ผสมกับเลือดที่ป้ายอยู่จากนั้นเลือดเล็กๆ เหล่านั้นก็ซึมเข้าไปในตะกร้าสานใบเก่านี้ทันที
ในขณะนั้นเอง ทุกคนต่างรู้สึกถึงความผูกพันกับตะกร้าใบนี้มากขึ้น ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ราวกับมันคือส่วนหนึ่งของร่างกายนั้นเอง
หลังจากนั้นหยางซีซีก็ได้ บอกกับทุกคนถึงคุณสมบัติของพื้นที่มิติที่เธอสร้างว่าสามารถที่จะทำอะไรได้ เช่น
ความจุภายในตะกร้าใบนี้ มีพื้นที่มิติที่กว้างประมาณ 5 เมตร สามารถเก็บของได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผัก ผลไม้ เครื่องมือ หรือแม้แต่เสื้อผ้า"
รักษาความสด :อาหารและพืชผักที่เก็บไว้ภายในพื้นที่มิติจะคงความสดใหม่ได้นานเป็นพิเศษ เหมือนเพิ่งเก็บมาจากสวน
ป้องกันการเน่าเสีย: ของใช้ต่างๆ ที่เก็บไว้จะไม่เกิดการเน่าเสียหรือเสียหาย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่หรือมันจะคงสภาพเดิมตลอดไปนั้นเอง
ป้องกันการสูญหาย: ของที่เก็บไว้ภายในพื้นที่มิติจะปลอดภัยจากการสูญหาย หรือถูกทำลายจากภายนอก และหากมีคนขโมยก็ไม่ต้องกังวลเพราะมันจะกลับมาหาเจ้าของของมันเอง
เคลื่อนย้ายสะดวก: แม้ว่าภายในตะกร้ามิติจะมีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ตัวตะกร้าเองก็ยังคงมีขนาดเท่าเดิม ทำให้สะดวกในการพกพา แต่สะพายก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย
หยางซีซีอธิบายต่อว่า
"นอกจากนี้ พื้นที่มิติยังสามารถปรับอุณหภูมิได้เอง เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งของที่เก็บอยู่ภายใน เช่น ถ้าเราเก็บผลไม้ไว้ ก็สามารถปรับอุณหภูมิให้เย็นเพื่อรักษาความสดได้ค่ะ"
การใช้งานตะกร้ามิติก็ง่ายมาก เพียงแค่จินตนาการถึงสิ่งของที่ต้องการจะเก็บ แล้วเอื้อมมือเข้าไปในตะกร้า สิ่งของนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาทันที หรือถ้าต้องการนำของออกมา ก็เพียงแค่จินตนาการว่าต้องการนำสิ่งของนั้นออกมา สิ่งของนั้นก็จะออกมาจากตะกร้า
หยางซีซีอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างละเอียดว่าควรจะใช้ตะกร้ามิติใบนี้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัย ทุกคนในครอบครัวต่างก็ตื่นเต้นและดีใจกับสิ่งประดิษฐ์อันน่าอัศจรรย์นี้ พวกเขาเชื่อว่าตะกร้ามิติใบนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ทุกคนในครอบครัวต่างก็ฟังด้วยความสนใจและตื่นเต้น พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีสิ่งของวิเศษเช่นนี้อยู่ในโลก
"นี่มันเหมือนของวิเศษในนิทานเลยนะ" คุณแม่หยางพูดขึ้นมาด้วยความทึ่ง
"ใช่ค่ะคุณแม่ (มันคือนิยาย 5555) " หยางซีซีตอบกลับ "แต่สิ่งนี้เป็นของจริงที่เราสร้างขึ้นมาด้วยกันค่ะ และใช้งานได้ง่ายด้วย เอาไว้พอเรามีเวลาฉันจะสร้างพื้นที่มิติให้กับทุกคนจะได้มีเป็นของตัวเองดีไหมค่ะ"
“ดี!!!” ครอบครัวหยางประสานเสียงกันเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที
****อยากมีตะกร้ามิติเป็นของตัวเองจัง****
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 16 การค้าใหญ่กำลังมาการขายของครอบครัวหยางเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพวกเขาวุ่นวายอยู่จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงเนื้อที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว ส่วนผลไม้นั้นเหลือเพียง 2 กล่องที่หยางซีซีเก็บเอาไว้ไม่อย่างนั้นก็หมดตั้งแต่ครั้งชั่วโมงแรกแล้ว เมื่อความชุลมุนลดลงหยางซีซีก็มองไปที่แผงของคุณตาและหลานชายที่เธอซื้อทองคำไปเมื่อวาน ซึ่งพวกเขาก็นั่งยิ้มแฉ่งมองมาที่เธอทันที….หยางซีซีเดินไปหาทั้งสองคนก่อนจะถามว่าได้เตรียมของมาให้เธอหรือไม่ สองตาหลานพยักเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“แม่หนู ทำไมไม่ไปที่บ้านของผมหล่ะที่นั่นผมยังมีอีก 2 หีบใหญ่เลยนะ และก็..และก็ญาติของผมพอรู้ว่ามีคนสนใจของพวกนี้พวกเขาก็อยากจะขายและแลกเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน” คุณตาเห็นว่าตอนนี้เนื้อที่พวกเธอขายยังเหลืออยู่ประมาณ 50 กว่าชั่งเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาเขาก็กลัวเนื้อจะหมดเหมือนกันหยางซีซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่พี่รองและพี่สะใภ้รองเธอกระซิบ 2-3 ประโยคพวกเขาพยักหน้าและช่วยกันเก็บแผงทันที จากนั้นพวกเขาต่างก็พากันเดินออกไป โดยในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านคนของตลาดมืดนั้นพวกเขาต่างก็มองจ้องมาที่ตะกร้าใบเก่าที่พวกหยางจิ้งแบกอยู
บทที่ 17 การค้ากับแก๊งมังกรขาวหยางจิ้งแจ้งความต้องการตามที่หยางซีซีบอกทันทีซึ่งเฉียงจงเมื่อรู้ว่าพวกเขามีเนื้อมากพอที่จะจัดส่งและยังจะจัดส่งให้เป็นตัวก็ดีใจมาก ต้องทราบว่าตอนนี้อากาศหนาวจัดเนื้อหายากมากจริงๆ บางตลาดแทบจะไม่มีเนื้อขายแล้ว และหากว่าได้มาเป็นตัวพวกเขายังสามารถขายกระดูกและพวกเครื่องในและหัวของมันได้“ตกลง”เฉียงจงมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“พวกคุณคงจะพอมีข้อมูลมาบ้างว่าตลาดที่พวกคุณขายของอยู่นั้นเป็นของใคร ฉันเฉียงจงเป็นผู้จัดการดูแลตลาดนี้ และอีก2 -3 แห่งอย่างที่บอกไป” เฉียงจงเอ่ยขึ้นมา จากนั้นก็มองจ้องไปที่ทั้งสามคนเหมือนจะเป็นการข่มขวัญอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า“ผมชื่อหยางจิ้งนี้ภรรยาของผม หยางฟู่เหยาและก็น้องสะใภ้ของผม หยางซีซี" หยางจิ้ง เพิ่งจะมีโอกาสได้แนะนำตัวเอง เอ่ยตอบ“ตลาดมืดแห่งนี้มันเป็นของแก๊งมังกรขาว และการทำการค้ากับแก๊งมังกรขาวนั้น....พวกคุณคงจะรู้ว่าหากมาล้อเล่นหรือผิดสัญญากับแก๊งมังกรขาวนั้น...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร” เมื่อพูดเสร็จเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นหนึ่งอันและหักมันแรงๆ ต่อหน้าคนทั้งสาม เหมือนจะเป็นการข่มพวกของหยางซีซีนั้นเอง ว่
บทสุดท้าย : ฝาแฝดหงส์มังกร / การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายวันเวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งครรภ์ของหยางซีซีนั้นตั้งครรภ์ครบเก้าเดือน ครอบครัวหยางก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญของตระกูล พวกเขาจองห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเอาไว้และหยางซีซีก็เข้าพักทันทีในวันคลอด หยางซีซีต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักในห้องคลอด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้หยางเฟยหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องคลอดเป็นกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด เขามองไปยังประตูห้องคลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกดดัน จนคุณพ่อหยางที่มีประสบการณ์มาหลายครั้งต้องตบบ่าเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า"หยุดเดินไปมาได้แล้วเจ้าสาม พ่อเริ่มเวียนหัวเพราะตามดูเรานี่ล่ะ"หยางเฟยหลงถอนหายใจยาว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ลดลง เขาภาวนาให้ภรรยาและลูกน้อยปลอดภัย ในขณะที่เสียงร้องของหยางซีซีดังลอดออกมา เขายิ่งรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกินและแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงร้องของทารกดังขึ้นมาจากภายในห้องคลอด"อุแว้ อุแว้ อุแว้!!"เสียงดังลั่นห้องไปหมดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกแม่เบ่งออกมาให้พบเจอกับโลกใหม่ หยางเฟยหลงรู้สึกเห
ตอนพิเศษ 2 ดร.หยางไป่หลงในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ดร.หยางไป่หลงกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เขามีท่าทีที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง แต่ว่าขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจในการสอน หลังจบชั้นเรียน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอมีใบหน้าสวยงามคิ้วโค้งเรียว ดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ตามประสาลูกสาวคนเล็กของคนรวยและมีอำนาจ เธอคือเซี่ยจื่อหานลูกสาวของนายพลเซี่ยและเป็นอาจารย์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยชิงหัวเช่นกัน“ดร. หยางใช่ไหมคะ? ฉันเซี่ยจื่อหานเพิ่งมาร่วมงานที่นี่ เห็นได้ยินมาว่าคุณกำลังพัฒนาโครงการทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์ ฉันเองก็สนใจงานวิจัยนี้เหมือนกัน”เซี่ยจื่อหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ความหล่อของเขานั้นเหมือนจะไม่ใช่ของจริงที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พลางถอนหายใจและคิดว่า …ไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมหนักหนามาสอนเด็กสาวพวกนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันหยางไป่หลงหันมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กๆ“ใช่ครับ ผมก
ตอนพิเศษ 1 หยางไป่หลง อัจฉริยะในรอบ 100 ปี หลังจากที่หยางไป่หลงได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่เพียงแค่มีผลการเรียนที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หายาก นั่นก็คือความจำแบบภาพถ่าย ทุกสิ่งที่เขาได้เห็นผ่านตา ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทางวิชาการหรือภาพที่ซับซ้อน เขาก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด นี่ทำให้หยางไป่หลงมีความได้เปรียบในการศึกษาและการทำงานวิจัยอย่างมากความสามารถในการจดจำของหยางไป่หลงทำให้เขาได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยหลายคน พวกเขาต่างเห็นศักยภาพในตัวของหยางไป่หลงว่ามีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ และด้วยความสนใจเป็นพิเศษในด้านเทคโนโลยี เขามักจะใช้เวลาว่างทำการทดลองใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ เขาใช้เวลาหลายคืนในการคิดค้นโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต***ระบบ AI เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านคอม
บทที่ 94 จุดจบ (จบ ) หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน และในที่สุดประกาศเรื่องการปลดรัฐมนตรีเผยเฉินฟงก็ออกมา ตอนนี้เฟิงอวี้ชิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อคิดถึงก้าวต่อไปของเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่เธอจะต้องกำจัดหมากที่หมดประโยชน์อย่างรัฐมนตรีเผยออกจากชีวิตแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเธอก็คือ ท่านผู้นำประเทศ ดังนั้นเธอจึงได้คิดว่ารีบจัดการเคลียร์ปัญหาเล็กๆ อย่างรัฐมนตรีเผยยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอได้ทราบแล้วว่า หยางฮองเฮานั้นคือภรรยาของรองรัฐมนตรีหยางเฟยหลง นั้นก็แปลได้ว่าพวกเขาย่อมมีอำนาจพอสมควร และหากว่าเธอต้องการที่จะอยู่เหนือพวกเขา เธอจำเป็นต้องได้ท่านผู้นำประเทศหนุนหลัง และการจะได้เขามานั้นก็ไม่ยากสำหรับเธอ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เธอทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยพลาดสักครั้งเลย เฟิงอวี้ชิงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองเฟิงอวี้ชิงเดินเข้าไปในห้องของอดีตรัฐมนตรีเผยในยามดึก ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ที่ดังจากเตียง ร่างของรัฐมนตรีเผยนอนเหยียดยาวบนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ใบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความแก่ชรา เฟิงอวี้ช
บทที่93 ตาต่อตาฟันต่อฟัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนกลายเป็นตึงเครียด ผู้คนรอบข้างที่สังเกตเห็นสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันต่างก็รู้สึกถึงความอึดอัดและพลังที่ปะทะกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน ความเกลียดชังที่ไม่มีทางจบสิ้น ความโกรธเคียดแค้นที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นหยางซีซีหรือเฟิงอวี้ชิง ต่างก็รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงในอนาคตเฟิงอวี้ชิงก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังหยางซีซีอย่างไม่ละสายตา"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้...หยางฮองเฮา" เสียงของเธอเต็มไปด้วยการยั่วยุและการท้าทาย ทันใดนั้นภาพอดีตที่เจียงกุ้ยเฟยเคยวางยาพิษทำร้ายหยางซีซีจนถึงแก่ความตายก็ผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองฝ่ายหยางซีซีจำได้อย่างชัดเจนถึงวันที่เธอถูกไล่ล่าและเจ็บปวดจากความแค้นของเจียงกุ้ยเฟย ความโกรธที่เคยสงบลงกลับปะทุขึ้นมาในใจ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เก็บซ่อนไว้เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มเย็นชาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น"เจ้าก็เหมือนกัน เจียงกุ้ยเฟย โลกกลมจริงๆ ข้าคิดว่าคงไม่ได้พบเจ้าที่นี่อ
บทที่ 92 การเผชิญหน้าครั้งที่หนึ่งเรื่องราวของหานหรูอี้และหวังเทียนซานยังคงดำเนินต่อไป โดยที่หานหรูอี้ยังคงให้เขาง้องอนอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งอาการนั้นคล้ายกับที่หยางซีซีเคยเป็นมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหมดเวลาที่จะเล่นตัวแล้วในเย็นวันหนึ่งเมื่อหวังเทียนซานพูดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา หานหรูอี้จึงตอบตกลงทันทีคำตอบนั้นทำให้หวังเทียนซานถึงกับงุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าเธอจะยอมง่ายๆ หลังจากที่เขานั้นเคยของเธอแต่งงานอยู่หลายครั้ง"หรูอี้... คุณตอบตกลงจริงหรือ?" หวังเทียนซานถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียง เขายังคงมองหน้าหานหรูอี้ด้วยความไม่เชื่อหานหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ให้เขา "ฉันตกลงแล้ว คุณคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอกนะ?""ไม่... ไม่แน่นอน! ผมแค่... ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะยอมง่าย ๆ แบบนี้" หวังเทียนซานพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตาของเขามีความสุขที่ไม่อาจซ่อนได้หานหรูอี้มองเขาอย่างอ่อนโยน "ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คุณทรมานหรอก เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันต้องการความจริงใจจากคุณ"หวังเทียนซานยื่นมือมากุมมือขอ
บทที่ 91 สืบหาความจริง / ลักพาตัว“ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือคะ” คนที่ถามเป็นหยางซีซีนั้นเอง เพราะว่าตอนนี้หานหรูอี้นั้นไม่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่ โชคดีที่แขนไม่หักเพียงแค่ร้าวเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว“ใช่ผมพบเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นรู้สึกว่าเขานั่งอยู่ข้างถนนเนื้อตัวมอมแมมมาก ในตอนนั้นมีคนกำลังจะลอบทำร้ายผมด้วย และเขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยและจัดการคนเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขามีฝีมือดีจึงได้รับเอาไว้ และให้เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่นาน แต่เพราะว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจมากจนผมเลื่อนให้เขามาเป็นคนสนิทนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีบาดแผลขาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะนั้น นั้นอาจจะทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ท่านผู้นำนั้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนสนิทของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องผัวเมียแต่หากว่าคนสนิทเขาทำคนท้องแล้วไม่ยอมรับเขาก็จะจัดการมันให้เอง“ท่านไม่ต้องสืบหาแล้วหล่ะค่ะ ฉันกับเขาหย่าขาดกันแล้วและฉันก็ออกจากบ้านเขามาแล้วด้วยค่ะ” หานหรูอี้ที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นมา“หย่า…หย่าตอนไหนผมยังไม่ได้เซ้นต์เอกสารอะไรเลยนะ” หวังเทียนซานที่มองดูหญิงสาวด้วยความไม่ชอ
บทที่ 90 ตั้งครรภ์ / ฉันเป็นเมียแกไงล่ะ..ไอ้บ้า!!!ครอบครัวหยางย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง พี่รองและสะใภ้รองหยางจิ้งและหยางฟู่เหยาไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งสองมักจะลงไปที่เซินเจิ้นหรือจงไห่เพื่อดูที่ดินที่พวกเขาได้กว้านซื้อเอาไว้ โดยมีคนของนายพลเซี่ยจงติดตามไปด้วยและจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเมื่อนายพลเซี่ยลงมือแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่างก็แหวกทางออกให้พวกเขาอย่างไม่ยากเย็นนักหยางเฟยหลงมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เวียนหัว คลื่นไส้ อยากทานของเปรี้ยว ไปจนถึงการรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วถามหาน้ำมะนาวหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มเขียวหวาน หยางซีซีมองสามีด้วยสายตาขำขันในขณะที่เขานั่งทานมะม่วงดิบด้วยท่าทางพยายามกลบเกลื่อนอาการแพ้ท้องนั้นวันหนึ่งหยางเฟยหลงตื่นขึ้นแต่เช้าพร้อมกับอาการคลื่นไส้อย่างหนัก เขารีบลุกจากเตียงและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออาเจียน เสียงอาเจียนดังออกมาจากห้องน้ำทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจ หยางซีซีรีบเดินไปดูพร้อมกับความเป็นห่วง เมื่อเธอเปิดประตูห้องน้ำ เห็นหยางเฟยหลงนั่งทรุดอยู่กับพ
บทที่ 89 รับจางอี้เฉิงเข้าทำงาน / เงาในความทรงจำวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดครอบครัวตระกูลหยางก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง โดยมีเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพราะต้องดูแลโรงงานผลิตสบู่ร่วมกับจางอี้เฉิงที่มาเป็นผู้จัดการโรงงานให้ซึ่งเรื่องการได้จางอี้เฉิงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยามาทำงานด้วยนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนหลังไปหลายเดือนก่อน วันนั้นหยางจิ้งขับรถผ่านไปและเห็นจางอี้เฉิงกำลังเดินเตะฝุ่นเพื่อหางานทำอยู่ เขาจึงได้จอดรถรับและพาไปร้านอาหารและหาที่คุยกันจางอี้เฉิงที่เคยเป็นหนุ่มหล่อและดูสง่างาม ตอนนี้กลับดูหมดสง่าราศีเพราะความลำบาก สภาพของเขาดูโทรมจนแทบจำไม่ได้ ผิวที่เคยขาวตอนนี้กลับคล้ำหมองและแห้งกร้าน ราวกับไม่ได้สัมผัสน้ำมาหลายวัน เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเก่าและไม่สะอาดนัก มีกลิ่นอับและรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าที่เคยสดใสนนั้นเริ่มปรากฎรอยยับย่นขึ้นมา อาจเพราะความเครียดในชีวิตและการอดนอนอย่างต่อเนื่อง แววตาที่เคยมีประกายกลับดูหม่นหมองและอ่อนล้า สะท้อนถึงคืนวันที่ยากเข็ญและความกดดันที่แบกอยู่บนบ่า แววตาที่บ่งบอกถึงการผ่านความผิดหวังและความเหนื่อยล้ามาก ราวกับคนที่ต้องเผช