บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผัก
หลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"
คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอยู่รอด แต่สำหรับเธอแล้ว ทองคำและเครื่องประดับเหล่านี้กลับมีความหมายมากกว่านั้น หยางซีซีจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า
“ทองคำและเครื่องประดับเหล่านี้ไม่ว่าเวลาไหนมันก็มีค่าในตัวของมันเสมอค่ะคุณแม่ ตอนนี้ที่ทุกคนคิดว่าเป็นของไม่มีค่าเพราะว่าพวกเขาขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในชีวิต แต่หากว่าวันหนึ่งทุกอย่างกลับมาดีขึ้น ของเหล่านี้ก็จะกลับมามีค่ามีราคาอีกครั้ง ฉันจึงอยากจะฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ต้องการเก็บพวกมันเอาไว้เยอะๆ หน่อย ส่วนเรื่องของการเก็บรักษาก็ไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ ฉันจะทำที่เก็บของเหล่านี้เองค่ะ”
หยางซีซีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ทำ เธอพยายามอธิบายให้คุณแม่หยางเม่ยเข้าใจว่าการเก็บสะสมทองคำและเครื่องประดับในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแสวงหาผลประโยชน์ แต่ยังเป็นการวางแผนสำหรับอนาคตที่อาจจะดีขึ้นอีกด้วย และยังแนะนำพี่สะใภ้ทั้งสองให้เริ่มเก็บของเหล่านี้ด้วยเลย ในอนาคตของเหล่านี้จะกลับมา มาค่ามีราคาดั่งเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่สะใภ้สามพูดพวกเขาก็เริ่มจะคิดตามแล้ว และตั้งใจว่าต่อไป หากเจอพวกทองคำ เครื่องประดับพวกเขาจะซื้อเอาไว้ตามน้องสะใภ้สามเลย
เมื่อพูดเสร็จเธอก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่สะใภ้รองซื้อมาและกองสมบัติเข้าไปเก็บในห้อง ก่อนที่จะออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็นำผลไม้ทั้ง 3 ชนิดออกมา โดยเธอแกะสตอเบอรี่และองุ่นแบ่งออกมา 3-4 ผล เพราะในกล่องมีเพียง 10 ผลเท่านั้น ส่วนองุ่นก็มี 2 พวงไม่ใหญ่มากที่เหลือก็ให้ครอบครัวแบ่งกันชิม
พวกเขาเป็นชาวนายากจนมากที่สุดในหมู่บ้านไหนเลยจะเคยกินผลไม้ราคาแพงแบบนี้ มีเพียงหยางฟู่เหยาเท่านั้นที่เคยกิน ดังนั้นเมื่อได้กินสตอเบอรี่และองุ่นพวกเขาจึงได้ชื่นชอบมากแม้ว่าพวกมันจะผลไม่ใหญ่แต่รสชาติก็ถือว่าไม่เลว เมื่อทุกคนได้ชิมผลไม้ทั้งสองชนิดแล้ว หยางซีซีก็เอ่ยถึงแผนการของเธอทันที
“ผลไม้เหล่านี้ฉันกะจะเอามาปลูกที่ส่วนหลังบ้านของพวกเราค่ะคุณพ่อคุณแม่ เพราะตอนนี้นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว พวกผักผลไม้ก็ราคาแพงขึ้นเช่นกัน อย่างสตอเบอรี่กล่องเล็กนี้ ราคา 15 หยวน ซึ่งแพงกว่าเนื้ออีกนะคะ ดังนั้นฉันจึงอยากจะปลูกและนำไปขายพร้อมกับเนื้อเสียเลย เพราะฉันเห็นในตลาดมีน้อยมาก ฉันจึงอยากจะปลูกผลไม้ราคาแพงเหล่านี้ขายด้วยเลย ทุกคนเห็นว่าอย่างไรคะ” หยางซีซีเอ่ยขึ้นมา
“พี่เห็นด้วยนะน้องสะใภ้สาม เพราะจากที่ดูเกือบทั่วตลาดในวันนี้ผลไม้แทบจะไม่มีเลย ว่าแต่ว่าเราจะปลูกตรงไหนได้เล่าเพราะพื้นที่ของบ้านเราก็เล็กนิดเดียว” หยางฟู่เหยาเป็นคนเอ่ยสนับสนุนน้องสะใภ้ในขณะนั้นสามีของเธอก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของภรรยารักของตัวเองตลอดเวลา
“ฉันจะใช้พื้นที่หลังบ้านเรานี่แหละค่ะ ตอนนี้หลังบ้านทำแปลงผักใหม่แล้วใช่หรือเปล่าคะคุณแม่”
หยางซีซีหันมาถามแม่สามี ซึ่งคุณแม่หยางที่เป็นคนคุมงานก็พยักหน้าว่าทุกอย่างเรียบร้อย
“เรื่องปลูกผลไม้ฉันจะจัดการเองนะคะ ส่วนเรื่องการขายเนื้อพรุ่งนี้ฉันคิดว่าเราน่าจะออกแต่เช้าหน่อย เพราะเท่าที่ดูแล้วในตอนเช้าคนน่าจะเยอะกว่าวันนี้”
“แต่ว่าวันนี้หิมะตกหนักมากพวกเราจะขึ้นเขาไปฆ่าหมูที่นั่นได้อย่างไรน้องสะใภ้สาม” เป็นพี่ใหญ่ที่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วบอกถึงความกังวลออกมา
หยางซีซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก สายลมพัดโชยมาพร้อมกับความหนาวเย็นยามฤดูหนาว ดั่งที่พี่ชายคนโตได้เตือนไว้ การออกไปข้างนอกในสภาพอากาศเช่นนี้คงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง
สายตาของเธอทอดมองไปยังแปลงผักหลังบ้าน แม้พื้นที่จะไม่กว้างมากนัก เพียงพอแค่สำหรับการปลูกผักสวนครัวเล็กๆ น้อยๆ ของครอบครัวเท่านั้น ทันใดนั้นความคิดสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว หยางซีซีอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ใบหน้าแสดงออกถึงความคิดที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ภายในบ้านตระกูลหยางที่เคยเงียบสงบ ได้กลายเป็นโรงงานขนาดย่อมในพริบตา ด้วยฝีมือของหยางซีซีที่สร้างค่ายกลควบคุมอากาศและขยายพื้นที่ให้สวนหลังบ้านเล็กๆ ของพวกเธอนั้นให้มีความกว้างใหญ่ถึง 2 ไร่
ภายในค่ายกลที่หยางซีซีสร้างขึ้นมา บรรยากาศภายในแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง อากาศอบอุ่นสบาย ไม่หนาวเย็นเหมือนกับภายนอกที่หิมะกำลังตกหนัก เสียงลมและหิมะที่ปะทะกับผนังบ้านก็ถูกกักเอาไว้เพียงด้านนอกไม่สามารถทะลุเข้ามาด้านในได้ ทำให้ภายในค่ายกลเงียบสงบและเหมาะแก่การทำงานเป็นอย่างยิ่ง
คุณพ่อหยางและลูกชายทั้งสองของตระกูลหยางต่างก็กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการชำแหละหมูขนาดใหญ่ และเพราะว่าอากาศที่อยู่ภายในค่ายกลนั้นเย็นสบายไม่หนาวไม่ร้อน ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง พวกเขาก็สามารถชำแหละเนื้อหมูได้เกือบ 600 ชั่ง ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มากพอสำหรับการขายในวันพรุ่งนี้
ขณะที่บรรดาผู้ชายกำลังยุ่งอยู่กับการชำแหละหมู ไม่ไกลกันนั้น คุณแม่หยางและสะใภ้ใหญ่ก็กำลังช่วยกันทำความสะอาดไก่จำนวน 30 ตัวเพื่อนำไปขายในวันพรุ่งนี้ด้วย
ถัดจากโรงงานชำแหละนั้นสะใภ้รองกำลังยุ่งอยู่กับการปลูกสตรอว์เบอร์รีและองุ่นและแตงโมในสวนที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ สวนที่เคยเล็กๆ กลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพืชผลสดใหม่ โดยคราวนี้หยางซีซีนั้นได้ให้หยางฟู่เหยาใช้น้ำที่ผ่านการแช่จากหัตถ์เทวะของเธอสำหรับรดพวกมัน เพราะว่าเธอไม่ต้องการให้ผลไม้เหล่านี้มีพลังวิญญาณสูงมากจนเกินไป ส่วนเรื่องการเจริญเติบโตนั้นยังคงรวดเร็วมากเช่นเดิม หลังจากที่หยางฟู่เหยาปลูกเมล็ดของพวกมันลงไปเพียงแค่ 10 นาทีพวกมันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เถาเลื้อยยาวออกมารวดเร็วมาก จนหยางฟู่เหยาจำเป็นต้องรีบวิ่งมาให้พวกผู้ชายมาช่วยกันทำค้างให้พวกมันเลื้อยเวลาเก็บจะได้ไม่ลำบาก พวกผู้ชายเมื่อเห็นว่าองุ่นและแตงโมนั้นออกเถาเลื้อยเร็วมาก พวกเขาก็รีบช่วยกันทำค้างของมันทันที ส่วนสตอเบอรี่นั้นปลูกไปเพียง 30 นาที พวกมันก็ออกผล และผลของพวกมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีสีแดงสวยฉ่ำน่ากินมาก หยางจิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาทนไม่ไหวจึงได้เด็ดขึ้นมากินหนึ่งผล และใส่ปากภรรยาที่รักอีกหนึ่งผล เมื่อรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดกระจายทั่วไป ทำให้ทั้งคู่รู้สึกทั้งสดชื่นและมีพลังเพิ่มขึ้นมาทันที ...ก็นะผลไม้วิญญาณนี้น่า
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในบ้านตระกูลหยาง ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น ตกตะลึงและกับพลังอันน่าทึ่งของหยางซีซี พวกเขาต่างก็คิดเหมือนกันคือ เธอคือนางฟ้าประจำตระกูลหยางที่ลงมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากความอดยากจริงๆ
ส่วนหยางซีซีผู้เป็นต้นเหตุของความมหัศจรรย์ทั้งหมดนี้กลับเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบ้าน เพราะการสร้างค่ายกลขนาดใหญ่และปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในนั้นต้องใช้พลังงาน และพลังจิตที่สูงมาก ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่หยางเห็นเช่นนั้นจึงให้เธอเข้าไปพักผ่อน และรับหน้าที่ดูแลงานบ้านส่วนที่เหลือทั้งหมดเอง ในขณะที่กำลังนอนหลับเพื่อพักผ่อนอยู่นั้น หยางซีซีรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่อยู่ในห้องของเธอ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเธอเห็นเงารางๆ ของหญิงสาวที่มีหน้าตาเหมือนกันกับเธอ หยางซีซีขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“คุณคือหยางซีซีเจ้าของร่างนี้รึ? คุณต้องการร่างของคุณกลับคืนหรือเปล่า?”
เงาเลือนรางอยู่ๆ ก็คุกเข่าและคำนับเธออย่างนอบน้อม ก่อนจะพยักหน้าและสั่นหน้าในขณะเดียวกันปากของเธอไม่ได้ขยับแต่หยางซีซีกลับได้ยินสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อสารกับเธอนั้นคือ
“หม่อมฉันคือหยางซีซีเพคะ และหม่อมฉันก็ไม่สามารถที่จะกลับคืนร่างได้แล้ว เวลาของหม่อมฉันหมดลงแล้ว เพียงแต่ว่า...หม่อมฉันมีบางที่ยังค้างคายังไม่สามารถทำได้สำเร็จจึงอยากจะขอร้องให้ฮองเฮาทรงช่วยเหลือ คือว่า หม่อมฉันยังมีน้องสาวอีก 1 คน ตอนนี้อาศัยอยู่กับป้าลุงที่ปักกิ่ง น้องสาวของหม่อมฉันนั้นลำบากมากเธอถูกที่บ้านป้าลุงข่มเหงรังแกมาหลายปีแล้ว หม่อมฉันจึงอยากจะขอร้องให้ฮองเฮาทรงช่วยเหลือน้องสาวของกระหม่อมด้วยเถอะ ทรงช่วยน้องสาวของหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ” ร่างเงาเลือนรางของหยางซีซีนั้นก้มลงและโขกศีรษะลงกับพื้นให้กับหยางซีซีหลายครั้ง จากนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลพรากลงมาก.
“เอาเถอะ เจ้าอย่าทำเช่นนี้ ตอนนี้ข้านั้นอยู่ในร่างของเจ้า ดังนั้นข้าจะดูแลทุกอย่างเอง ส่วนเรื่องน้องสาวของเจ้าต่อไปเธอก็คือน้องสาวของข้า ข้าจะไปรับเธอมาอยู่ที่นี่เอง เจ้าอย่างได้กังวล...จงเดินทางไปในที่ที่เจ้าควรไปเถิด และข้าขอให้เจ้าได้เกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีอายุยื่นยาว มีแต่ครอบครัวที่รักสมบูรณ์ตลอดไป จงไปเถิด” ...
สิ้นเสียงของหยางซีซี ร่างเงาของหยางซีซีก็ค่อยๆ เลือนรางและหายไป....
“น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ” ....
***ไรท์ไม่อาจจะทนเสียงเรียกร้องจากรีดที่รัก ให้กลับไปช่วยน้องสาวได้ ตอนนี้จึงได้รีบแล้วค่ะ 5555 ***
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 16 การค้าใหญ่กำลังมาการขายของครอบครัวหยางเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพวกเขาวุ่นวายอยู่จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงเนื้อที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว ส่วนผลไม้นั้นเหลือเพียง 2 กล่องที่หยางซีซีเก็บเอาไว้ไม่อย่างนั้นก็หมดตั้งแต่ครั้งชั่วโมงแรกแล้ว เมื่อความชุลมุนลดลงหยางซีซีก็มองไปที่แผงของคุณตาและหลานชายที่เธอซื้อทองคำไปเมื่อวาน ซึ่งพวกเขาก็นั่งยิ้มแฉ่งมองมาที่เธอทันที….หยางซีซีเดินไปหาทั้งสองคนก่อนจะถามว่าได้เตรียมของมาให้เธอหรือไม่ สองตาหลานพยักเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“แม่หนู ทำไมไม่ไปที่บ้านของผมหล่ะที่นั่นผมยังมีอีก 2 หีบใหญ่เลยนะ และก็..และก็ญาติของผมพอรู้ว่ามีคนสนใจของพวกนี้พวกเขาก็อยากจะขายและแลกเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน” คุณตาเห็นว่าตอนนี้เนื้อที่พวกเธอขายยังเหลืออยู่ประมาณ 50 กว่าชั่งเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาเขาก็กลัวเนื้อจะหมดเหมือนกันหยางซีซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่พี่รองและพี่สะใภ้รองเธอกระซิบ 2-3 ประโยคพวกเขาพยักหน้าและช่วยกันเก็บแผงทันที จากนั้นพวกเขาต่างก็พากันเดินออกไป โดยในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านคนของตลาดมืดนั้นพวกเขาต่างก็มองจ้องมาที่ตะกร้าใบเก่าที่พวกหยางจิ้งแบกอยู
บทที่ 17 การค้ากับแก๊งมังกรขาวหยางจิ้งแจ้งความต้องการตามที่หยางซีซีบอกทันทีซึ่งเฉียงจงเมื่อรู้ว่าพวกเขามีเนื้อมากพอที่จะจัดส่งและยังจะจัดส่งให้เป็นตัวก็ดีใจมาก ต้องทราบว่าตอนนี้อากาศหนาวจัดเนื้อหายากมากจริงๆ บางตลาดแทบจะไม่มีเนื้อขายแล้ว และหากว่าได้มาเป็นตัวพวกเขายังสามารถขายกระดูกและพวกเครื่องในและหัวของมันได้“ตกลง”เฉียงจงมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“พวกคุณคงจะพอมีข้อมูลมาบ้างว่าตลาดที่พวกคุณขายของอยู่นั้นเป็นของใคร ฉันเฉียงจงเป็นผู้จัดการดูแลตลาดนี้ และอีก2 -3 แห่งอย่างที่บอกไป” เฉียงจงเอ่ยขึ้นมา จากนั้นก็มองจ้องไปที่ทั้งสามคนเหมือนจะเป็นการข่มขวัญอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า“ผมชื่อหยางจิ้งนี้ภรรยาของผม หยางฟู่เหยาและก็น้องสะใภ้ของผม หยางซีซี" หยางจิ้ง เพิ่งจะมีโอกาสได้แนะนำตัวเอง เอ่ยตอบ“ตลาดมืดแห่งนี้มันเป็นของแก๊งมังกรขาว และการทำการค้ากับแก๊งมังกรขาวนั้น....พวกคุณคงจะรู้ว่าหากมาล้อเล่นหรือผิดสัญญากับแก๊งมังกรขาวนั้น...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร” เมื่อพูดเสร็จเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นหนึ่งอันและหักมันแรงๆ ต่อหน้าคนทั้งสาม เหมือนจะเป็นการข่มพวกของหยางซีซีนั้นเอง ว่
บทที่ 18 เดินทางไปปักกิ่งตอนที่กลับออกมาจากโกดังหยางจิ้งก็มีเงินก้อนใหญ่ถึง 75500 หยวนกลับออกมาด้วย หยางซีซีนั้นยิ้มอย่างพอใจ พลางคิดว่าตอนนี้พอจะมีทุนที่จะเดินไปปักกิ่งบ้างแล้ว!!!วันนั้นหลังจากที่กลับมาจากการส่งของให้กับแก๊งมังกรขาว หยางซีซีก็จัดการ ‘ปั๊ม’ หมู วัว แกะ และพืชผักผลไม้เอาไว้ให้กับครอบครัวหยางมากมาย เพราะว่าการไปครั้งนี้อาจจะใช้เวลานานหลายวัน เธอเกรงว่าแก๊งมังกรขาวจะขายของดีจัดและทำให้ของหมด ซึ่งตอนนี้เธอได้วางค่ายกลขยายพื้นที่ในสวนหลังให้กว้างขึ้นเป็น 30 ไร่เลยทีเดียวดังนั้นมันจึงเพียงพอที่จะใส่เนื้อสัตว์ และให้มีพื้นที่สำหรับปลูกผักผลไม้สำหรับเอาไว้จัดส่งแน่นอนหลังจากที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันทานอาหารเย็น และนั่งดื่มชากันเพื่อย่อยอาหาร ตอนนี้ร่างกายของทุกคนนั้นถือว่าแข็งแรงมากทีเดียวคุณพ่อคุณแม่จากที่มีรอยตีนกามากมายบนใบหน้าตอนนี้หากว่าสังเกตุดีจะเห็นว่าตีนกาเหล่านั้นลดน้อยลงมาก ไหนจะเส้นผมที่มีเส้นสีดำแซมขึ้นมามากกว่ามีขาวแล้วเพราะทุกวัน พวกเขาต่างก็กินอาหารที่มีพลังวิญญาณเข้าไปนั้นเองหยางซีซีมองดูแต่ละคนที่ร่างกายเริ่มดีขึ้นอย่างพอใจ พี่สะใภ้สามเมื่อจัดการทำความสะอาดโ
บทที่ 19 เหตุการณ์บนรถไฟ“คุณย่า!!! คุณย่า อย่าตีหนู อย่าขายหนูเลย!!! แม่ แม่จ้าช่วยด้วย …แม่ แม่มาแล้ว"หานหรูอี้ได้ยินที่ลูกสาวของเธอพูดแบบนั้นออกมาก็ยิ่งเสียใจและร้องไห้มากขึ้นก่อนจะพยายามสงบใจและปลอบลูกของเธอว่า“ไม่เป็นไรแล้วลูก ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราออกมาจากนรกแห่งนั้นแล้ว ฮื่อออ!!”หานหรูอี้แม่ของเด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดลูกสาวไว้แน่น พูดปลอบโยนลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หยางซีซีมองดูสองแม่ลูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางมือเบาๆ บนมือของหานหรูอี้ หยางซีซีอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองแม่ลูกสุดอนาจคู่นี้กันแน่ เธอจึงได้แตะที่ข้อมือของหานหรูอี้เพื่อมองดู ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อหน้าราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หานหรูอี้ในอดีตเป็นเพียงนักศึกษาสาวที่ต้องมาเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายเธอถูกวางยาและพาเธอไปโยนเข้าไปในห้องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เมามายไม่ได้สติเช่นกัน เธอจำต้องแต่งให้กับชายหนุ่มคนนั้นที่เธอไม่ได้รัก และต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและถูกรังแกในบ้านแม่สามีของเธอและต้องเผชิญหน้ากับความไม่ยอมรับจากครอบครัวสามีที่ต้องการเพียงลูกสะใภ้ที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าหวังเทียนซานสามีของหานหรูอี้
บทที่ 20 หานหรูอี้หยางซีซีพูดพร้อมกับให้ขวดน้ำทิพย์ไป หานหรูอี้มองไปที่หญิงสาวชาวบ้านที่หน้าตางดงามคนนี้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเธอและลูกสาว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าหานหรูอี้นั้นเหมือนกับว่าได้นั่งอยู่กับองค์หญิงหรือฮองเฮาเหมือนในนิยายออนไลน์ที่เธอเคยอ่านก่อนที่จะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหานหรูอี้คนนี้นี่เอง…..“คุณจะพักอยู่ที่ห้องนี้ก่อนก็ได้เพราะว่าพวกฉันซื้อมาแบบ 4 คน ให้ลูกสาวของคุณนอนที่ในนี้ก่อน ด้านนอกเสียงรบกวนเยอะ”เป็นพี่สาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างชายร่างสูงใหญ่ที่เสนอความคิด ซึ่งเมื่อหานหรูอี้นิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เป็นอย่างที่เธอบอกจริงๆ ภายในตู้นอนแห่งนี้เงียบสงบกว่าด้านนอกหลายเท่าหนักและเธอรู้สึกว่าอากาศจะถ่ายเทได้ดีกว่ามากด้วยในนี้ไม่ได้กลิ่นอาหารหรือกลิ่นเหงื่อไคลใดๆ เลย ทั้งที่ก็อยู่ในรถไฟขบวนเดียวกันแท้ๆ หานหรูอี้พยักหน้าและกล่าวขอบคุณเบาๆ เมื่อมีเวลาพัก และร่างกายที่ได้ยาสมุนไพรของหญิงสาวคนนั้น ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือเธอและลูกสาวทำให้หานหรูอี้เริ่มผ่อนคลายและหลับตาลงจากนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในไม่กี่วันที่ผ่านมา แบบที่เธอยังตั้งตัวไม่ติด….ใช่แล้ว!!!
บทที่ 21 …พี่ใหญ่มาแล้ว!!!ต่อไปชีวิตของเธอและลูกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วเธอได้เจอฮองเฮาผู้นั้นแล้ว หานหรูอี้คิดก่อนจะค่อยๆหลับตาตามลูกสาวของเธอไป ….หยางซีซีมองสองแม่ลูกที่คนลูกนั้นนอนส่วนคนที่เป็นแม่นั้นนั่งให้ลูกสาวนอนหนุนตัก ตอนนี้หยางซีซีนั้นไม่ทราบเรื่องการตัดสินใจของหานหรูอี้ว่าจะยังกลับไปที่บ้านเดิมของเธอหรือไม่ หยางซีซีจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก เธอก็หลับตาและพักผ่อนเช่นกัน รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนเย็นของวันที่ 2 พวกเขาก็มาถึงปักกิ่งเมื่อรถไฟเทียบท่าที่ชานชาลา ตอนนี้พวกเขาทั้ง 5 คนต่างก็พยายามเบียดผู้คนที่เบียดเสียดกันเพื่อจะลงจากรถไฟ หานหรูอี้นั้นมีกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบที่กำลังสะพายอยู่ไหนจะอุ้มลูกสาวอีก ร่างผอมของเธอขึ้นไปเซเล็กน้อย พี่ใหญ่หยางฟู่หลงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินไปและขออุ้มหานอวี้ลูกสาวของหานหรูอี้เอง ซึ่งเธอก็ตกลงทันทีเธอยิ้มและเอ่ยขึ้นมาว่า“ขอบคุณมากค่ะพี่ใหญ่”ใช่แล้ว!! ตอนนี้หยางซีซีนั้นตัดสินใจที่จะรับหานหรูอี้เป็นน้องสาวบุญธรรมของเธอซึ่งพี่ใหญ่ฟู่หลงและพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งอยู่แล้ว เพราะว่าพวกเขานั้นเชื่อว่าสิ่งที่หยางซีซีตัดสินใจนั้นถูกต้อ
บทสุดท้าย : ฝาแฝดหงส์มังกร / การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายวันเวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งครรภ์ของหยางซีซีนั้นตั้งครรภ์ครบเก้าเดือน ครอบครัวหยางก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญของตระกูล พวกเขาจองห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเอาไว้และหยางซีซีก็เข้าพักทันทีในวันคลอด หยางซีซีต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักในห้องคลอด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้หยางเฟยหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องคลอดเป็นกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด เขามองไปยังประตูห้องคลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกดดัน จนคุณพ่อหยางที่มีประสบการณ์มาหลายครั้งต้องตบบ่าเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า"หยุดเดินไปมาได้แล้วเจ้าสาม พ่อเริ่มเวียนหัวเพราะตามดูเรานี่ล่ะ"หยางเฟยหลงถอนหายใจยาว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ลดลง เขาภาวนาให้ภรรยาและลูกน้อยปลอดภัย ในขณะที่เสียงร้องของหยางซีซีดังลอดออกมา เขายิ่งรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกินและแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงร้องของทารกดังขึ้นมาจากภายในห้องคลอด"อุแว้ อุแว้ อุแว้!!"เสียงดังลั่นห้องไปหมดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกแม่เบ่งออกมาให้พบเจอกับโลกใหม่ หยางเฟยหลงรู้สึกเห
ตอนพิเศษ 2 ดร.หยางไป่หลงในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ดร.หยางไป่หลงกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เขามีท่าทีที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง แต่ว่าขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจในการสอน หลังจบชั้นเรียน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอมีใบหน้าสวยงามคิ้วโค้งเรียว ดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ตามประสาลูกสาวคนเล็กของคนรวยและมีอำนาจ เธอคือเซี่ยจื่อหานลูกสาวของนายพลเซี่ยและเป็นอาจารย์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยชิงหัวเช่นกัน“ดร. หยางใช่ไหมคะ? ฉันเซี่ยจื่อหานเพิ่งมาร่วมงานที่นี่ เห็นได้ยินมาว่าคุณกำลังพัฒนาโครงการทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์ ฉันเองก็สนใจงานวิจัยนี้เหมือนกัน”เซี่ยจื่อหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ความหล่อของเขานั้นเหมือนจะไม่ใช่ของจริงที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พลางถอนหายใจและคิดว่า …ไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมหนักหนามาสอนเด็กสาวพวกนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันหยางไป่หลงหันมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กๆ“ใช่ครับ ผมก
ตอนพิเศษ 1 หยางไป่หลง อัจฉริยะในรอบ 100 ปี หลังจากที่หยางไป่หลงได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่เพียงแค่มีผลการเรียนที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หายาก นั่นก็คือความจำแบบภาพถ่าย ทุกสิ่งที่เขาได้เห็นผ่านตา ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทางวิชาการหรือภาพที่ซับซ้อน เขาก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด นี่ทำให้หยางไป่หลงมีความได้เปรียบในการศึกษาและการทำงานวิจัยอย่างมากความสามารถในการจดจำของหยางไป่หลงทำให้เขาได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยหลายคน พวกเขาต่างเห็นศักยภาพในตัวของหยางไป่หลงว่ามีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ และด้วยความสนใจเป็นพิเศษในด้านเทคโนโลยี เขามักจะใช้เวลาว่างทำการทดลองใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ เขาใช้เวลาหลายคืนในการคิดค้นโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต***ระบบ AI เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านคอม
บทที่ 94 จุดจบ (จบ ) หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน และในที่สุดประกาศเรื่องการปลดรัฐมนตรีเผยเฉินฟงก็ออกมา ตอนนี้เฟิงอวี้ชิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อคิดถึงก้าวต่อไปของเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่เธอจะต้องกำจัดหมากที่หมดประโยชน์อย่างรัฐมนตรีเผยออกจากชีวิตแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเธอก็คือ ท่านผู้นำประเทศ ดังนั้นเธอจึงได้คิดว่ารีบจัดการเคลียร์ปัญหาเล็กๆ อย่างรัฐมนตรีเผยยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอได้ทราบแล้วว่า หยางฮองเฮานั้นคือภรรยาของรองรัฐมนตรีหยางเฟยหลง นั้นก็แปลได้ว่าพวกเขาย่อมมีอำนาจพอสมควร และหากว่าเธอต้องการที่จะอยู่เหนือพวกเขา เธอจำเป็นต้องได้ท่านผู้นำประเทศหนุนหลัง และการจะได้เขามานั้นก็ไม่ยากสำหรับเธอ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เธอทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยพลาดสักครั้งเลย เฟิงอวี้ชิงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองเฟิงอวี้ชิงเดินเข้าไปในห้องของอดีตรัฐมนตรีเผยในยามดึก ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ที่ดังจากเตียง ร่างของรัฐมนตรีเผยนอนเหยียดยาวบนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ใบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความแก่ชรา เฟิงอวี้ช
บทที่93 ตาต่อตาฟันต่อฟัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนกลายเป็นตึงเครียด ผู้คนรอบข้างที่สังเกตเห็นสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันต่างก็รู้สึกถึงความอึดอัดและพลังที่ปะทะกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน ความเกลียดชังที่ไม่มีทางจบสิ้น ความโกรธเคียดแค้นที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นหยางซีซีหรือเฟิงอวี้ชิง ต่างก็รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงในอนาคตเฟิงอวี้ชิงก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังหยางซีซีอย่างไม่ละสายตา"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้...หยางฮองเฮา" เสียงของเธอเต็มไปด้วยการยั่วยุและการท้าทาย ทันใดนั้นภาพอดีตที่เจียงกุ้ยเฟยเคยวางยาพิษทำร้ายหยางซีซีจนถึงแก่ความตายก็ผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองฝ่ายหยางซีซีจำได้อย่างชัดเจนถึงวันที่เธอถูกไล่ล่าและเจ็บปวดจากความแค้นของเจียงกุ้ยเฟย ความโกรธที่เคยสงบลงกลับปะทุขึ้นมาในใจ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เก็บซ่อนไว้เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มเย็นชาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น"เจ้าก็เหมือนกัน เจียงกุ้ยเฟย โลกกลมจริงๆ ข้าคิดว่าคงไม่ได้พบเจ้าที่นี่อ
บทที่ 92 การเผชิญหน้าครั้งที่หนึ่งเรื่องราวของหานหรูอี้และหวังเทียนซานยังคงดำเนินต่อไป โดยที่หานหรูอี้ยังคงให้เขาง้องอนอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งอาการนั้นคล้ายกับที่หยางซีซีเคยเป็นมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหมดเวลาที่จะเล่นตัวแล้วในเย็นวันหนึ่งเมื่อหวังเทียนซานพูดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา หานหรูอี้จึงตอบตกลงทันทีคำตอบนั้นทำให้หวังเทียนซานถึงกับงุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าเธอจะยอมง่ายๆ หลังจากที่เขานั้นเคยของเธอแต่งงานอยู่หลายครั้ง"หรูอี้... คุณตอบตกลงจริงหรือ?" หวังเทียนซานถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียง เขายังคงมองหน้าหานหรูอี้ด้วยความไม่เชื่อหานหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ให้เขา "ฉันตกลงแล้ว คุณคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอกนะ?""ไม่... ไม่แน่นอน! ผมแค่... ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะยอมง่าย ๆ แบบนี้" หวังเทียนซานพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตาของเขามีความสุขที่ไม่อาจซ่อนได้หานหรูอี้มองเขาอย่างอ่อนโยน "ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คุณทรมานหรอก เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันต้องการความจริงใจจากคุณ"หวังเทียนซานยื่นมือมากุมมือขอ
บทที่ 91 สืบหาความจริง / ลักพาตัว“ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือคะ” คนที่ถามเป็นหยางซีซีนั้นเอง เพราะว่าตอนนี้หานหรูอี้นั้นไม่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่ โชคดีที่แขนไม่หักเพียงแค่ร้าวเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว“ใช่ผมพบเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นรู้สึกว่าเขานั่งอยู่ข้างถนนเนื้อตัวมอมแมมมาก ในตอนนั้นมีคนกำลังจะลอบทำร้ายผมด้วย และเขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยและจัดการคนเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขามีฝีมือดีจึงได้รับเอาไว้ และให้เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่นาน แต่เพราะว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจมากจนผมเลื่อนให้เขามาเป็นคนสนิทนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีบาดแผลขาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะนั้น นั้นอาจจะทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ท่านผู้นำนั้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนสนิทของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องผัวเมียแต่หากว่าคนสนิทเขาทำคนท้องแล้วไม่ยอมรับเขาก็จะจัดการมันให้เอง“ท่านไม่ต้องสืบหาแล้วหล่ะค่ะ ฉันกับเขาหย่าขาดกันแล้วและฉันก็ออกจากบ้านเขามาแล้วด้วยค่ะ” หานหรูอี้ที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นมา“หย่า…หย่าตอนไหนผมยังไม่ได้เซ้นต์เอกสารอะไรเลยนะ” หวังเทียนซานที่มองดูหญิงสาวด้วยความไม่ชอ
บทที่ 90 ตั้งครรภ์ / ฉันเป็นเมียแกไงล่ะ..ไอ้บ้า!!!ครอบครัวหยางย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง พี่รองและสะใภ้รองหยางจิ้งและหยางฟู่เหยาไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งสองมักจะลงไปที่เซินเจิ้นหรือจงไห่เพื่อดูที่ดินที่พวกเขาได้กว้านซื้อเอาไว้ โดยมีคนของนายพลเซี่ยจงติดตามไปด้วยและจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเมื่อนายพลเซี่ยลงมือแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่างก็แหวกทางออกให้พวกเขาอย่างไม่ยากเย็นนักหยางเฟยหลงมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เวียนหัว คลื่นไส้ อยากทานของเปรี้ยว ไปจนถึงการรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วถามหาน้ำมะนาวหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มเขียวหวาน หยางซีซีมองสามีด้วยสายตาขำขันในขณะที่เขานั่งทานมะม่วงดิบด้วยท่าทางพยายามกลบเกลื่อนอาการแพ้ท้องนั้นวันหนึ่งหยางเฟยหลงตื่นขึ้นแต่เช้าพร้อมกับอาการคลื่นไส้อย่างหนัก เขารีบลุกจากเตียงและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออาเจียน เสียงอาเจียนดังออกมาจากห้องน้ำทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจ หยางซีซีรีบเดินไปดูพร้อมกับความเป็นห่วง เมื่อเธอเปิดประตูห้องน้ำ เห็นหยางเฟยหลงนั่งทรุดอยู่กับพ
บทที่ 89 รับจางอี้เฉิงเข้าทำงาน / เงาในความทรงจำวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดครอบครัวตระกูลหยางก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง โดยมีเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพราะต้องดูแลโรงงานผลิตสบู่ร่วมกับจางอี้เฉิงที่มาเป็นผู้จัดการโรงงานให้ซึ่งเรื่องการได้จางอี้เฉิงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยามาทำงานด้วยนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนหลังไปหลายเดือนก่อน วันนั้นหยางจิ้งขับรถผ่านไปและเห็นจางอี้เฉิงกำลังเดินเตะฝุ่นเพื่อหางานทำอยู่ เขาจึงได้จอดรถรับและพาไปร้านอาหารและหาที่คุยกันจางอี้เฉิงที่เคยเป็นหนุ่มหล่อและดูสง่างาม ตอนนี้กลับดูหมดสง่าราศีเพราะความลำบาก สภาพของเขาดูโทรมจนแทบจำไม่ได้ ผิวที่เคยขาวตอนนี้กลับคล้ำหมองและแห้งกร้าน ราวกับไม่ได้สัมผัสน้ำมาหลายวัน เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเก่าและไม่สะอาดนัก มีกลิ่นอับและรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าที่เคยสดใสนนั้นเริ่มปรากฎรอยยับย่นขึ้นมา อาจเพราะความเครียดในชีวิตและการอดนอนอย่างต่อเนื่อง แววตาที่เคยมีประกายกลับดูหม่นหมองและอ่อนล้า สะท้อนถึงคืนวันที่ยากเข็ญและความกดดันที่แบกอยู่บนบ่า แววตาที่บ่งบอกถึงการผ่านความผิดหวังและความเหนื่อยล้ามาก ราวกับคนที่ต้องเผช