บทที่ 18 เดินทางไปปักกิ่งตอนที่กลับออกมาจากโกดังหยางจิ้งก็มีเงินก้อนใหญ่ถึง 75500 หยวนกลับออกมาด้วย หยางซีซีนั้นยิ้มอย่างพอใจ พลางคิดว่าตอนนี้พอจะมีทุนที่จะเดินไปปักกิ่งบ้างแล้ว!!!วันนั้นหลังจากที่กลับมาจากการส่งของให้กับแก๊งมังกรขาว หยางซีซีก็จัดการ ‘ปั๊ม’ หมู วัว แกะ และพืชผักผลไม้เอาไว้ให้กับครอบครัวหยางมากมาย เพราะว่าการไปครั้งนี้อาจจะใช้เวลานานหลายวัน เธอเกรงว่าแก๊งมังกรขาวจะขายของดีจัดและทำให้ของหมด ซึ่งตอนนี้เธอได้วางค่ายกลขยายพื้นที่ในสวนหลังให้กว้างขึ้นเป็น 30 ไร่เลยทีเดียวดังนั้นมันจึงเพียงพอที่จะใส่เนื้อสัตว์ และให้มีพื้นที่สำหรับปลูกผักผลไม้สำหรับเอาไว้จัดส่งแน่นอนหลังจากที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันทานอาหารเย็น และนั่งดื่มชากันเพื่อย่อยอาหาร ตอนนี้ร่างกายของทุกคนนั้นถือว่าแข็งแรงมากทีเดียวคุณพ่อคุณแม่จากที่มีรอยตีนกามากมายบนใบหน้าตอนนี้หากว่าสังเกตุดีจะเห็นว่าตีนกาเหล่านั้นลดน้อยลงมาก ไหนจะเส้นผมที่มีเส้นสีดำแซมขึ้นมามากกว่ามีขาวแล้วเพราะทุกวัน พวกเขาต่างก็กินอาหารที่มีพลังวิญญาณเข้าไปนั้นเองหยางซีซีมองดูแต่ละคนที่ร่างกายเริ่มดีขึ้นอย่างพอใจ พี่สะใภ้สามเมื่อจัดการทำความสะอาดโ
บทที่ 19 เหตุการณ์บนรถไฟ“คุณย่า!!! คุณย่า อย่าตีหนู อย่าขายหนูเลย!!! แม่ แม่จ้าช่วยด้วย …แม่ แม่มาแล้ว"หานหรูอี้ได้ยินที่ลูกสาวของเธอพูดแบบนั้นออกมาก็ยิ่งเสียใจและร้องไห้มากขึ้นก่อนจะพยายามสงบใจและปลอบลูกของเธอว่า“ไม่เป็นไรแล้วลูก ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราออกมาจากนรกแห่งนั้นแล้ว ฮื่อออ!!”หานหรูอี้แม่ของเด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดลูกสาวไว้แน่น พูดปลอบโยนลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หยางซีซีมองดูสองแม่ลูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางมือเบาๆ บนมือของหานหรูอี้ หยางซีซีอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองแม่ลูกสุดอนาจคู่นี้กันแน่ เธอจึงได้แตะที่ข้อมือของหานหรูอี้เพื่อมองดู ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อหน้าราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หานหรูอี้ในอดีตเป็นเพียงนักศึกษาสาวที่ต้องมาเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายเธอถูกวางยาและพาเธอไปโยนเข้าไปในห้องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เมามายไม่ได้สติเช่นกัน เธอจำต้องแต่งให้กับชายหนุ่มคนนั้นที่เธอไม่ได้รัก และต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและถูกรังแกในบ้านแม่สามีของเธอและต้องเผชิญหน้ากับความไม่ยอมรับจากครอบครัวสามีที่ต้องการเพียงลูกสะใภ้ที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าหวังเทียนซานสามีของหานหรูอี้
บทที่ 20 หานหรูอี้หยางซีซีพูดพร้อมกับให้ขวดน้ำทิพย์ไป หานหรูอี้มองไปที่หญิงสาวชาวบ้านที่หน้าตางดงามคนนี้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเธอและลูกสาว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าหานหรูอี้นั้นเหมือนกับว่าได้นั่งอยู่กับองค์หญิงหรือฮองเฮาเหมือนในนิยายออนไลน์ที่เธอเคยอ่านก่อนที่จะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหานหรูอี้คนนี้นี่เอง…..“คุณจะพักอยู่ที่ห้องนี้ก่อนก็ได้เพราะว่าพวกฉันซื้อมาแบบ 4 คน ให้ลูกสาวของคุณนอนที่ในนี้ก่อน ด้านนอกเสียงรบกวนเยอะ”เป็นพี่สาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างชายร่างสูงใหญ่ที่เสนอความคิด ซึ่งเมื่อหานหรูอี้นิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เป็นอย่างที่เธอบอกจริงๆ ภายในตู้นอนแห่งนี้เงียบสงบกว่าด้านนอกหลายเท่าหนักและเธอรู้สึกว่าอากาศจะถ่ายเทได้ดีกว่ามากด้วยในนี้ไม่ได้กลิ่นอาหารหรือกลิ่นเหงื่อไคลใดๆ เลย ทั้งที่ก็อยู่ในรถไฟขบวนเดียวกันแท้ๆ หานหรูอี้พยักหน้าและกล่าวขอบคุณเบาๆ เมื่อมีเวลาพัก และร่างกายที่ได้ยาสมุนไพรของหญิงสาวคนนั้น ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือเธอและลูกสาวทำให้หานหรูอี้เริ่มผ่อนคลายและหลับตาลงจากนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในไม่กี่วันที่ผ่านมา แบบที่เธอยังตั้งตัวไม่ติด….ใช่แล้ว!!!
บทที่ 21 …พี่ใหญ่มาแล้ว!!!ต่อไปชีวิตของเธอและลูกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วเธอได้เจอฮองเฮาผู้นั้นแล้ว หานหรูอี้คิดก่อนจะค่อยๆหลับตาตามลูกสาวของเธอไป ….หยางซีซีมองสองแม่ลูกที่คนลูกนั้นนอนส่วนคนที่เป็นแม่นั้นนั่งให้ลูกสาวนอนหนุนตัก ตอนนี้หยางซีซีนั้นไม่ทราบเรื่องการตัดสินใจของหานหรูอี้ว่าจะยังกลับไปที่บ้านเดิมของเธอหรือไม่ หยางซีซีจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก เธอก็หลับตาและพักผ่อนเช่นกัน รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนเย็นของวันที่ 2 พวกเขาก็มาถึงปักกิ่งเมื่อรถไฟเทียบท่าที่ชานชาลา ตอนนี้พวกเขาทั้ง 5 คนต่างก็พยายามเบียดผู้คนที่เบียดเสียดกันเพื่อจะลงจากรถไฟ หานหรูอี้นั้นมีกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบที่กำลังสะพายอยู่ไหนจะอุ้มลูกสาวอีก ร่างผอมของเธอขึ้นไปเซเล็กน้อย พี่ใหญ่หยางฟู่หลงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินไปและขออุ้มหานอวี้ลูกสาวของหานหรูอี้เอง ซึ่งเธอก็ตกลงทันทีเธอยิ้มและเอ่ยขึ้นมาว่า“ขอบคุณมากค่ะพี่ใหญ่”ใช่แล้ว!! ตอนนี้หยางซีซีนั้นตัดสินใจที่จะรับหานหรูอี้เป็นน้องสาวบุญธรรมของเธอซึ่งพี่ใหญ่ฟู่หลงและพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งอยู่แล้ว เพราะว่าพวกเขานั้นเชื่อว่าสิ่งที่หยางซีซีตัดสินใจนั้นถูกต้อ
บทที่ 22 พี่ใหญ่…เย่วเย่วเจ็บ!!..หยางซีซีที่นั่งมาในรถรับจ้างไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกถึงความไม่สบายใจและร้อนใจอย่างรุนแรงเช่นนี้..ความรู้สึกกระวนกระวายใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของเธออย่างรวดเร็ว เธอพยายามจะหาสาเหตุของความรู้สึกแปลกๆ นี้ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้สักที จนกระทั่งนึกถึงความเป็นจริงที่ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของเธอเอง ความรู้สึกกระวนกระวายนี้อาจจะเป็นความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในจิตใต้สำนึกของเจ้าของร่างเดิมก็เป็นได้ความคิดนี้ทำให้หยางซีซีรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เธอหันไปมองหานหรูอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ"ช่วยบอกคนขับรถให้ขับเร็วขึ้นอีกหน่อยได้ไหมคะ ฉันต้องการจะไปถึงบ้านคุณป้าให้เร็วที่สุด"หยางซีซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเห็นได้ชัด หยางซีซีพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ก็ทำได้ไม่นาน ความรู้สึกกระวนกระวายใจก็กลับมาครอบงำจิตใจของเธออีกครั้ง เธอจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง รถแล่นผ่านทิวทัศน์ที่คุ้นเคย แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่กำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก เธอคิดถึงน้องสาวของเจ้าข
บทที่ 23 ร้ายมาร้ายกลับ ฮองเฮาไม่เคยโกงหยางซีซีโอบกอดน้องสาวแน่น ร่างกายนี้ของเธอสั่นเทาด้วยความโกรธแค้นและความเสียใจ ความทรงจำในอดีตที่เลวร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ภาพของน้องสาวที่ถูกทารุณกรรม ภาพของลุงที่ยืนมองด้วยสายตาเฉยเมย ภาพที่หลิวตงลูกชายของเขา ผลักน้องสาวเธอจนล้มกระแทกพื้นจนมือถูกหินบาดเลือดไหลเป็นแผลยาว ภาพเหล่านั้นทำให้ความเกลียดชังในใจของเธอลุกโชนหยางซีซีจับมือเล็กๆ ที่มีแต่กระดูกของน้องสาวขึ้นมาดู ยังมีรอยแผลจากรอยบาดนั้นปรากฎอยู่ เธอมองใบหน้าของน้องสาวที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและบาดแผล ความโกรธแค้นในใจของเธอปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง เธอไม่สามารถทนเห็นน้องสาวของเธอต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว สายตาของเธอจ้องมองออกไปนอกประตูห้องเก็บของที่ผุพังเธอมองจ้องไปที่คนในบ้านหลังนี้…ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า"ฉันจะไม่ปล่อยให้คนที่ทำให้น้องสาวของฉันเป็นแบบนี้ลอยนวลไปได้หรอกไม่ต้องห่วง พวกเขาต้องชดใช้การกระทำครั้งนี้”น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเหมือนดังเป็นประกาศสัญญา ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยหมอกหนามีแสงประกายแวบๆ เหมือนดั่งว่าพวกเขารับรู้ในคำประกาศนี้ของเธอหยางซีซีโอบกอดหยางชิงเย่วแน่น ร่างกายของน้อง
บทที่ 24 หยางเฟยหลง"ปัง! ปัง! ปัง!"เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ สนามรบกลายเป็นนรกที่เต็มไปด้วยควันไฟและกลิ่นคาวเลือดและร่างที่บาดเจ็บล้มตายของทหาร หยางเฟยหลงเบี่ยงตัวหลบกระสุนปืนที่พุ่งมาใส่ราวกับฝน เขาจ้องมองไปที่ศัตรูที่กำลังล้อมพวกเขาอยู่โดยรอบด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ใบหน้าคมสันเปื้อนไปด้วยเขม่าดินปืน แต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว หมอกควันตลบอบอวลไปทั่วสนามรบ หลีเฉิงแบกร่างของนายพลเย่เฉินที่ได้รับบาดเจ็บวิ่งฝ่าดงกระสุนไปอย่างยากลำบาก หยางเฟยหลงคอยคุ้มกันด้านหลัง ปืนในมือไม่เคยหยุดยิง เขายิงสกัดศัตรูที่พยายามเข้ามาใกล้“ระวังด้านขวา!” หลีเฉิงตะโกนเตือน หยางเฟยหลงหันไปตามเสียงและพบว่ามีกลุ่มผู้ก่อการร้ายกำลังจะเข้ามาล้อมหลัง พวกเขาขว้างระเบิดมือใส่มา“หลบ!” หยางเฟยหลงผลักหลีเฉิงและนายพลเย่เฉินให้หลบลงไปกับพื้นระเบิดเสียงดังสนั่น ทำให้ผนังตึกที่อยู่ใกล้เคียงพังลงมา“นายเป็นไงบ้าง!” หยางเฟยหลงหันไปถามหลีหยาง“ผมไม่เป็นไร แต่ท่านนายพล...” หลีเฉิงมองไปที่นายพลเย่เฉินที่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเป็นห่วง“เราต้องรีบพาท่านนายพลออกไปจากที่นี่ให้ได้”
บทที่25 ซื้อบ้านที่ปักกิ่ง เช้าวันต่อมาขณะที่กำลังนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่นั้น หยางซีซีก็เอ่ยขึ้นมาว่าเธอต้องการที่จะหาซื้อบ้านสักหลังเพื่อจะได้ย้ายชื่อของตัวเองและน้องเข้าไป และตอนนี้น่าจะรวมถึงชื่อของหานหรูอี้และลูกสาวของเธอหานอวี้ด้วยเพราะตอนนี้เธอได้หย่าขาดจากบ้านสามีเก่าแล้ว เธอเองก็ไม่ต้องการที่จะย้ายกลับไปที่บ้านเก่าของตัวเองด้วยเช่นกัน“อยากจะซื้อบ้านเพื่อจะได้ย้ายชื่อในทะเบียนที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือคะ?”หานหรูอี้เอ่ยขึ้นมา เมื่อหยางซีซีบอกว่าตอนนี้เธอและน้องสาวได้ย้ายออกจากทะเบียนของบ้านตระกูลหลิวแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้สองพี่น้องนั้นชื่อยังลอยอยู่ยังไม่ได้เข้าทะเบียนที่ไหน จึงได้เอ่ยขึ้นมาหานหรูอี้นิ่งอยู่พักหนึ่งเธอกำลังคิดถึงเรื่องการซื้อขายสินทรัพย์ในยุค ปี 1976 ว่าสามารถทำได้หรือไม่ เพราะว่าในช่วงนี้ รัฐบาลยังเป็นผู้ควบคุมการผลิตและการกระจายทรัพย์สินหลักๆ รวมถึงที่อยู่อาศัยของประชาชนด้วย การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวจึงก็มีข้อจำกัดและเงื่อนไขที่เข้มงวดมากและต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาล ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมักจะเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคมสูง หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดี
บทสุดท้าย : ฝาแฝดหงส์มังกร / การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายวันเวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งครรภ์ของหยางซีซีนั้นตั้งครรภ์ครบเก้าเดือน ครอบครัวหยางก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญของตระกูล พวกเขาจองห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเอาไว้และหยางซีซีก็เข้าพักทันทีในวันคลอด หยางซีซีต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักในห้องคลอด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้หยางเฟยหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องคลอดเป็นกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด เขามองไปยังประตูห้องคลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกดดัน จนคุณพ่อหยางที่มีประสบการณ์มาหลายครั้งต้องตบบ่าเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า"หยุดเดินไปมาได้แล้วเจ้าสาม พ่อเริ่มเวียนหัวเพราะตามดูเรานี่ล่ะ"หยางเฟยหลงถอนหายใจยาว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ลดลง เขาภาวนาให้ภรรยาและลูกน้อยปลอดภัย ในขณะที่เสียงร้องของหยางซีซีดังลอดออกมา เขายิ่งรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกินและแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงร้องของทารกดังขึ้นมาจากภายในห้องคลอด"อุแว้ อุแว้ อุแว้!!"เสียงดังลั่นห้องไปหมดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกแม่เบ่งออกมาให้พบเจอกับโลกใหม่ หยางเฟยหลงรู้สึกเห
ตอนพิเศษ 2 ดร.หยางไป่หลงในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ดร.หยางไป่หลงกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เขามีท่าทีที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง แต่ว่าขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจในการสอน หลังจบชั้นเรียน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอมีใบหน้าสวยงามคิ้วโค้งเรียว ดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ตามประสาลูกสาวคนเล็กของคนรวยและมีอำนาจ เธอคือเซี่ยจื่อหานลูกสาวของนายพลเซี่ยและเป็นอาจารย์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยชิงหัวเช่นกัน“ดร. หยางใช่ไหมคะ? ฉันเซี่ยจื่อหานเพิ่งมาร่วมงานที่นี่ เห็นได้ยินมาว่าคุณกำลังพัฒนาโครงการทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์ ฉันเองก็สนใจงานวิจัยนี้เหมือนกัน”เซี่ยจื่อหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ความหล่อของเขานั้นเหมือนจะไม่ใช่ของจริงที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พลางถอนหายใจและคิดว่า …ไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมหนักหนามาสอนเด็กสาวพวกนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันหยางไป่หลงหันมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กๆ“ใช่ครับ ผมก
ตอนพิเศษ 1 หยางไป่หลง อัจฉริยะในรอบ 100 ปี หลังจากที่หยางไป่หลงได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่เพียงแค่มีผลการเรียนที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หายาก นั่นก็คือความจำแบบภาพถ่าย ทุกสิ่งที่เขาได้เห็นผ่านตา ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทางวิชาการหรือภาพที่ซับซ้อน เขาก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด นี่ทำให้หยางไป่หลงมีความได้เปรียบในการศึกษาและการทำงานวิจัยอย่างมากความสามารถในการจดจำของหยางไป่หลงทำให้เขาได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยหลายคน พวกเขาต่างเห็นศักยภาพในตัวของหยางไป่หลงว่ามีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ และด้วยความสนใจเป็นพิเศษในด้านเทคโนโลยี เขามักจะใช้เวลาว่างทำการทดลองใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ เขาใช้เวลาหลายคืนในการคิดค้นโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต***ระบบ AI เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านคอม
บทที่ 94 จุดจบ (จบ ) หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน และในที่สุดประกาศเรื่องการปลดรัฐมนตรีเผยเฉินฟงก็ออกมา ตอนนี้เฟิงอวี้ชิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อคิดถึงก้าวต่อไปของเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่เธอจะต้องกำจัดหมากที่หมดประโยชน์อย่างรัฐมนตรีเผยออกจากชีวิตแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเธอก็คือ ท่านผู้นำประเทศ ดังนั้นเธอจึงได้คิดว่ารีบจัดการเคลียร์ปัญหาเล็กๆ อย่างรัฐมนตรีเผยยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอได้ทราบแล้วว่า หยางฮองเฮานั้นคือภรรยาของรองรัฐมนตรีหยางเฟยหลง นั้นก็แปลได้ว่าพวกเขาย่อมมีอำนาจพอสมควร และหากว่าเธอต้องการที่จะอยู่เหนือพวกเขา เธอจำเป็นต้องได้ท่านผู้นำประเทศหนุนหลัง และการจะได้เขามานั้นก็ไม่ยากสำหรับเธอ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เธอทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยพลาดสักครั้งเลย เฟิงอวี้ชิงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองเฟิงอวี้ชิงเดินเข้าไปในห้องของอดีตรัฐมนตรีเผยในยามดึก ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ที่ดังจากเตียง ร่างของรัฐมนตรีเผยนอนเหยียดยาวบนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ใบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความแก่ชรา เฟิงอวี้ช
บทที่93 ตาต่อตาฟันต่อฟัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนกลายเป็นตึงเครียด ผู้คนรอบข้างที่สังเกตเห็นสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันต่างก็รู้สึกถึงความอึดอัดและพลังที่ปะทะกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน ความเกลียดชังที่ไม่มีทางจบสิ้น ความโกรธเคียดแค้นที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นหยางซีซีหรือเฟิงอวี้ชิง ต่างก็รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงในอนาคตเฟิงอวี้ชิงก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังหยางซีซีอย่างไม่ละสายตา"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้...หยางฮองเฮา" เสียงของเธอเต็มไปด้วยการยั่วยุและการท้าทาย ทันใดนั้นภาพอดีตที่เจียงกุ้ยเฟยเคยวางยาพิษทำร้ายหยางซีซีจนถึงแก่ความตายก็ผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองฝ่ายหยางซีซีจำได้อย่างชัดเจนถึงวันที่เธอถูกไล่ล่าและเจ็บปวดจากความแค้นของเจียงกุ้ยเฟย ความโกรธที่เคยสงบลงกลับปะทุขึ้นมาในใจ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เก็บซ่อนไว้เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มเย็นชาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น"เจ้าก็เหมือนกัน เจียงกุ้ยเฟย โลกกลมจริงๆ ข้าคิดว่าคงไม่ได้พบเจ้าที่นี่อ
บทที่ 92 การเผชิญหน้าครั้งที่หนึ่งเรื่องราวของหานหรูอี้และหวังเทียนซานยังคงดำเนินต่อไป โดยที่หานหรูอี้ยังคงให้เขาง้องอนอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งอาการนั้นคล้ายกับที่หยางซีซีเคยเป็นมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหมดเวลาที่จะเล่นตัวแล้วในเย็นวันหนึ่งเมื่อหวังเทียนซานพูดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา หานหรูอี้จึงตอบตกลงทันทีคำตอบนั้นทำให้หวังเทียนซานถึงกับงุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าเธอจะยอมง่ายๆ หลังจากที่เขานั้นเคยของเธอแต่งงานอยู่หลายครั้ง"หรูอี้... คุณตอบตกลงจริงหรือ?" หวังเทียนซานถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียง เขายังคงมองหน้าหานหรูอี้ด้วยความไม่เชื่อหานหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ให้เขา "ฉันตกลงแล้ว คุณคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอกนะ?""ไม่... ไม่แน่นอน! ผมแค่... ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะยอมง่าย ๆ แบบนี้" หวังเทียนซานพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตาของเขามีความสุขที่ไม่อาจซ่อนได้หานหรูอี้มองเขาอย่างอ่อนโยน "ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คุณทรมานหรอก เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันต้องการความจริงใจจากคุณ"หวังเทียนซานยื่นมือมากุมมือขอ
บทที่ 91 สืบหาความจริง / ลักพาตัว“ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือคะ” คนที่ถามเป็นหยางซีซีนั้นเอง เพราะว่าตอนนี้หานหรูอี้นั้นไม่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่ โชคดีที่แขนไม่หักเพียงแค่ร้าวเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว“ใช่ผมพบเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นรู้สึกว่าเขานั่งอยู่ข้างถนนเนื้อตัวมอมแมมมาก ในตอนนั้นมีคนกำลังจะลอบทำร้ายผมด้วย และเขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยและจัดการคนเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขามีฝีมือดีจึงได้รับเอาไว้ และให้เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่นาน แต่เพราะว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจมากจนผมเลื่อนให้เขามาเป็นคนสนิทนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีบาดแผลขาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะนั้น นั้นอาจจะทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ท่านผู้นำนั้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนสนิทของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องผัวเมียแต่หากว่าคนสนิทเขาทำคนท้องแล้วไม่ยอมรับเขาก็จะจัดการมันให้เอง“ท่านไม่ต้องสืบหาแล้วหล่ะค่ะ ฉันกับเขาหย่าขาดกันแล้วและฉันก็ออกจากบ้านเขามาแล้วด้วยค่ะ” หานหรูอี้ที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นมา“หย่า…หย่าตอนไหนผมยังไม่ได้เซ้นต์เอกสารอะไรเลยนะ” หวังเทียนซานที่มองดูหญิงสาวด้วยความไม่ชอ
บทที่ 90 ตั้งครรภ์ / ฉันเป็นเมียแกไงล่ะ..ไอ้บ้า!!!ครอบครัวหยางย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง พี่รองและสะใภ้รองหยางจิ้งและหยางฟู่เหยาไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งสองมักจะลงไปที่เซินเจิ้นหรือจงไห่เพื่อดูที่ดินที่พวกเขาได้กว้านซื้อเอาไว้ โดยมีคนของนายพลเซี่ยจงติดตามไปด้วยและจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเมื่อนายพลเซี่ยลงมือแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่างก็แหวกทางออกให้พวกเขาอย่างไม่ยากเย็นนักหยางเฟยหลงมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เวียนหัว คลื่นไส้ อยากทานของเปรี้ยว ไปจนถึงการรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วถามหาน้ำมะนาวหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มเขียวหวาน หยางซีซีมองสามีด้วยสายตาขำขันในขณะที่เขานั่งทานมะม่วงดิบด้วยท่าทางพยายามกลบเกลื่อนอาการแพ้ท้องนั้นวันหนึ่งหยางเฟยหลงตื่นขึ้นแต่เช้าพร้อมกับอาการคลื่นไส้อย่างหนัก เขารีบลุกจากเตียงและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออาเจียน เสียงอาเจียนดังออกมาจากห้องน้ำทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจ หยางซีซีรีบเดินไปดูพร้อมกับความเป็นห่วง เมื่อเธอเปิดประตูห้องน้ำ เห็นหยางเฟยหลงนั่งทรุดอยู่กับพ
บทที่ 89 รับจางอี้เฉิงเข้าทำงาน / เงาในความทรงจำวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดครอบครัวตระกูลหยางก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง โดยมีเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพราะต้องดูแลโรงงานผลิตสบู่ร่วมกับจางอี้เฉิงที่มาเป็นผู้จัดการโรงงานให้ซึ่งเรื่องการได้จางอี้เฉิงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยามาทำงานด้วยนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนหลังไปหลายเดือนก่อน วันนั้นหยางจิ้งขับรถผ่านไปและเห็นจางอี้เฉิงกำลังเดินเตะฝุ่นเพื่อหางานทำอยู่ เขาจึงได้จอดรถรับและพาไปร้านอาหารและหาที่คุยกันจางอี้เฉิงที่เคยเป็นหนุ่มหล่อและดูสง่างาม ตอนนี้กลับดูหมดสง่าราศีเพราะความลำบาก สภาพของเขาดูโทรมจนแทบจำไม่ได้ ผิวที่เคยขาวตอนนี้กลับคล้ำหมองและแห้งกร้าน ราวกับไม่ได้สัมผัสน้ำมาหลายวัน เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเก่าและไม่สะอาดนัก มีกลิ่นอับและรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าที่เคยสดใสนนั้นเริ่มปรากฎรอยยับย่นขึ้นมา อาจเพราะความเครียดในชีวิตและการอดนอนอย่างต่อเนื่อง แววตาที่เคยมีประกายกลับดูหม่นหมองและอ่อนล้า สะท้อนถึงคืนวันที่ยากเข็ญและความกดดันที่แบกอยู่บนบ่า แววตาที่บ่งบอกถึงการผ่านความผิดหวังและความเหนื่อยล้ามาก ราวกับคนที่ต้องเผช